๒๔๐. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต

จึงรับสั่งให้พระยาบุรุษฯ จุดเทียนชัย และห้ามมิให้ถวายพระหนทาง แล้วก็ทรงเจริญพระกรรมฐานสมาธิภาวนานิ่ง ศีร์ษะสู่ทิศอุดร ผันพระพักตร์ต่อประจิมทิศ พอย่ำค่ำประถมยามแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสู่สวรรคต ตั้งแต่วันทรงพระประชวรมาจนวันสวรรคตได้ ๓๗ วัน อยู่ในราชสมบัติได้ ๑๘ พระพรรษา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประสูติวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ปีชวดฉศก ศักราช ๑๑๖๖[๑] สิริพระชนม์ได้ ๖๕ พรรษา

ขณะนั้นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ที่สมุหพระกลาโหม สั่งให้หมู่องครักษ์และกรมอาสา ๘ เหล่า กรมทหารอย่างยุโรปทั้งปวงในพระบรมมหาราชวังและพระบวรราชวัง ตั้งกองจุกช่องล้อมวงทั้งชั้นนอกชั้นใน ให้กวดขันมั่นคงขึ้นกว่าแต่ก่อน แล้วพณฯ หัวเจ้าท่าน เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์สั่งให้สังฆการีไปเชิญเสด็จกรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ และพระราชาคณะฐานานุกรมฝ่ายธรรมยุติกา ซึ่งไปประชุมเยี่ยมฟังพระอาการอยู่ที่พระที่นั่งสุทไธศวรรย์ ๒๕ องค์ ให้อาราธนามาฟังเป็นประธานในเวลาที่ประชุม ท่ามกลางพระที่นั่งอนันตสมาคม ตรงหน้าพระมหาเศวตฉัตร พร้อมด้วยพระวงศานุวงศ์ข้าทูลละอองผู้ใหญ่ผู้น้อย มาอยู่ในที่ประชุมนั้น คอยฟังคำปรึกษา

พณฯ หัวเจ้าท่านที่สมุหพระกลาโหมเห็นเจ้าและขุนนางพร้อมกันแล้ว จึงกล่าวขึ้นในท่ามกลางประชุมว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังทรงพระชนมายุอยู่ ก็ได้โปรดอนุญาตให้ว่าผู้ที่จะดำรงทรงแผ่นดินต่อไปให้ประชุมปรึกษากันให้พร้อมเพรียง จะเห็นพระเจ้าน้องยาเธอ หรือพระเจ้าลูกยาเธอ หรือพระเจ้าหลานเธอ องค์หนึ่งองค์ใด ซึ่งทรงพระสติปัญญาวัยวุฒิรอบรู้สรรพสิ่งทั้งปวง ควรจะปกป้องสมณะชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎรได้ ก็ให้ยกพระองค์นั้นขึ้นเถิด มิได้ทรงรังเกียจที่จะให้แก่พระเจ้าลูกยาเธอฝ่ายเดียว สุดแต่การสโมสรเห็นพร้อมเพรียงกัน ฉันใดจะได้ความสุขทั่วกัน ก็ตามใจพระวงศานุวงศ์และท่านเสนาบดี บัดนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็สวรรคตแล้ว แผ่นดินว่างเปล่าอยู่ ท่านทั้งหลายซึ่งอยู่ในที่ประชุมนี้ จะเห็นเจ้านายพระองค์ใด ที่จะเป็นที่พึ่งแก่พระวงศานุวงศ์ และเสนาบดีอาณาประชาราษฎรได้ไม่เกิดการยุคเข็ญ ก็ให้ว่าขึ้นในที่ท่ามกลางประชุมนี้ อย่าได้มีความเกรงขามเลย

ฝ่ายกรมหลวงเทเวศรวัชรินทร์ ซึ่งมีพระชนมายุยิ่งกว่าพระวงศานุวงศ์ทั้งปวง จึงกล่าวขึ้นในที่ประชุมว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้ามีพระเดชพระคุณ ได้ทำนุบำรุงพระวงศานุวงศ์และชุบเลี้ยงมุขมนตรีใหญ่น้อยขึ้นเป็นอันมาก มีพระคุณล้นเหลือ ไม่มีสิ่งใดจะทดแทนพระคุณนั้นได้ ขอให้ยกสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนพินิตประชานารถ ซึ่งเป็นพระราชโอรสผู้ใหญ่ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เหมือนหนึ่งได้ทดแทนพระคุณท่านเห็นว่ายังทรงพระเยาว์อยู่ ให้ช่วยกันทำนุบำรุงกว่าจะทรงพระเจริญขึ้น

พณฯ หัวเจ้าท่าน ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ จึงซ้ำถามพระวงศานุวงศ์และมุขมนตรีทั้งหลายว่า กรมหลวงเทเวศรวัชรินทร์ตรัสดังนี้ ท่านทั้งปวงจะเห็นควรประการใดก็ให้ว่าขึ้น ท่านทั้งหลายก็ยินยอมพร้อมกัน ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงว่าขึ้นอีก แผ่นดินที่ล่วงแล้วแต่ก่อนๆ มา มีพระมหากษัตริย์แล้วก็ต้องมีอุปราชฝ่ายหน้าเป็นเยี่ยงอย่างมาทุกๆ แผ่นดิน ก็ครั้งนี้จะควรแก่ท่านผู้ใด ที่จะเป็นที่อุปราชฝ่ายหน้า

กรมหลวงเทเวศรวัชรินทร์จึงกล่าวขึ้นอีกว่า เห็นแต่กรมหมื่นบวรวิชัยชาญ ควรจะรับราชการในที่อุปราชได้ ด้วยได้ศึกษาร่ำเรียนวิชาและทหารอย่างยุโรปชำนิชำนาญ และการช่างต่างๆ ก็ได้เรียนรู้ตามแบบอย่างพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกระทำมา และจะให้คุ้มครองข้าไทยในกรมนั้นด้วย ขอให้ยกกรมหมื่นบวรวิชัยชาญขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเถิด

ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ได้ซ้ำถามพระวงศานุวงศ์เสนาบดีก็เห็นพร้อมกันแล้ว ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ว่า สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนบำราบปรปักษ์ ก็ทรงพระสติปัญญารอบรู้ราชการในแผ่นดินต่างๆ ด้วยได้เคยทำราชการในตำแหน่งที่กรมวังมาถึง ๒ แผ่นดินแล้ว ขอให้เป็นผู้สำเร็จราชการในพระคลังมหาสมบัติ และพระคลังต่างๆ และในสถานราชกิจ และเป็นผู้อุปถัมภ์ในการพระเจ้าแผ่นดินด้วย

การปรึกษาตกลงยินยอมพร้อมกันในที่ประชุมแล้ว กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ และพระราชาคณะถานานุกรม ก็สวดชัยมงคลขึ้นพร้อมกัน



[๑] วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๔๗ ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ