๑๕๕. เสด็จประพาสเมืองราชบุรีและกาญจนบุรี

ทรงพระราชดำริว่า แขวงเมืองราชบุรี เมืองกาญจนบุรี ยังมิได้เสด็จไปทอดพระเนตร และมีพระราชประสงค์จะได้วัดแดดวัดดาว รู้ว่าลัตติตูต ลอนติตูตเท่าไร จะได้ทราบว่าผู้รักษาเมืองกรมการทำนุบำรุงราษฎรเป็นสุข หรือได้ความเดือดร้อนประการใด จึงสั่งให้เจ้าพนักงานทำที่ประทับร้อนแรมตามระยะทาง และทางม้าล้อเกวียนเตรียมคอยรับเสด็จที่เมืองเพ็ชรบุรี ครั้นณวันจันทร์ เดือน ๓ แรม ๓ ค่ำ[๑] ก็ทรงเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดชไปประทับที่พระนครคิรีราตรี ๑ ครั้นรุ่งขึ้นณวันพุธ เดือน ๓ แรม ๕ ค่ำ ก็ยกพยุหยาตราโดยสถลมารคล่วงมรรคามาถึงพลับพลาที่ประทับแรมบ้านทุ่งป่าคา ล่วงมรรคาได้ ๔๐๐ เส้น ครั้นรุ่งขึ้นณวันพฤหัสบดี เดือน ๓ แรม ๖ ค่ำ เสด็จยกพยุหยาตรามาถึงบ้านเขาย้อยประทับร้อน เวลาเที่ยงได้ทรงวัดแดดครั้ง ๑ แล้วเสด็จไปถึงด่านบางน้ำเค็ม สิ้นแดนเมืองเพ็ชรบุรีทาง ๓๐๐ เส้น รวมทาง ๗๐๐ เส้น เข้าแดนเมืองราชบุรีไปถึงพลับพลาประทับแรมบ้านห้วยโรง เป็นระยะทาง ๑๑๓ เส้น เวลาค่ำก็ทรงวัดดาว ครั้นรุ่งขึ้นวันศุกร เดือน ๓ แรม ๗ ค่ำ[๒] เสด็จจากห้วยโรงมาถึงเขาถ้ำปลา ล่วงมรรคา ๒๕๗ เส้น ประทับร้อนทอดพระเนตรปลาในถ้ำ พระธำมรงค์เพ็ชร์ตกหายในที่นั้น แล้วทรงวัดแดดอีกครั้ง ๑ เวลาบ่ายก็เสด็จมาถึงพลับพลาบ้านอ่างทอง ล่วงมรรคา ๑๑๓ เส้น ครั้นรุ่งขึ้นวันเสาร์ เดือน ๓ แรม ๘ ค่ำ[๓] เสด็จจากบ้านอ่างทองถึงเขาสวนหลวง ล่วงมรรคา ๓๖๐ เส้น ประทับร้อนทรงวัดแดดอีกครั้ง ๑ ครั้นเวลาบ่ายก็เสด็จจากเขาสวนหลวง ไปถึงพลับพลาแรมบ้านโคกกระต่าย ล่วงมรรคา ๒๓๐ เส้น เวลาค่ำก็ทรงวัดดาว รุ่งขึ้นวันอาทิตย์ แรม ๙ ค่ำ เสด็จจากที่ประทับโคกกระต่าย มาถึงบ้านเขานางแก้ว บ้านเขาชะงุ้ม แล้วถึงพลับพลาหนองหลักทอง ล่วงมรรคา ๔๖๔ เส้น ประทับร้อนในที่นั้น กันดารน้ำยิ่งนัก ไพร่พลไม่มีน้ำรับประทาน กรมการตักไว้แต่พอในพลับพลา ทรงวัดแดดแล้ว ก็รีบเสด็จมาถึงพลับพลาเขาหีบน้ำ ล่วงมรรคา ๓๓๐ เส้น ประทับแรมสิ้นแดนเมืองราชบุรี ในที่นั้นกันดารน้ำยิ่งนัก มีแต่พอรับประทานเล็กน้อย เวลาค่ำทรงวัดดาว ครั้นรุ่งขึ้นวันจันทร์ แรม ๑๐ ค่ำ เสด็จจากเขาหีบน้ำมาถึงพลับพลาดอนขี้เหล็ก ล่วงมรรคา ๓๗๐ เส้น ประทับร้อน เวลาเที่ยงทรงวัดแดดอีกครั้ง ๑ เวลาบ่ายเสด็จทางชลมารค ทรงเรือพระที่นั่งเก๋ง ทวนน้ำขึ้นไปถึงเขาถ้ำแว้ ขึ้นนมัสการพระในถ้ำแล้วเสด็จลงเรือพระที่นั่ง ไปถึงพลับพลาบ้านชุกกุ่มเมืองกาญจนบุรี ล่วงมรรคา ๕๙๕ เส้น ประทับแรม รุ่งขึ้นวันอังคาร แรม ๑๑ ค่ำ[๔] เสด็จทอดพระเนตรแก่งหลวงแควน้อย รุ่งขึ้นวันพุธ แรม ๑๒ ค่ำ ทอดพระเนตรทุ่งนาคราช รุ่งขึ้นวันพฤหัสบดี แรม ๑๓ ค่ำ เสด็จทอดพระเนตรพุรางแล้ว เสด็จทอดพระเนตรบ้านราษฎรในแขวงเมืองกาญจนบุรี

ในวันนั้นเกิดพายุพัดฝนตกหนัก คนในค่ายหลวงป่วยเจ็บเป็นอันมาก โปรดฯ พระราชทานน้ำพระพุทธมนต์ให้รับประทาน คนที่ป่วยเจ็บก็หายไม่มีผู้ใดเป็นอันตราย เสด็จประทับแรมอยู่ ๕ ราตรี ได้ทรงวัดแดดวัดดาว รุ่งขึ้นวันศุกร แรม ๑๔ ค่ำ เสด็จจากพลับพลาเมืองกาญจนบุรี มาถึงพลับพลาบ้านหนองขาว ล่วงมรรคา ๓๕๐ เส้น ประทับแรมอยู่ราตรี ๑ รุ่งขึ้นณวันเสาร์ เดือน ๔ ขึ้น ๑ ค่ำ[๕] เสด็จจากบ้านหนองขาวมาถึงพลับพลาบ้านน้อย พรหมแดนเมืองกาญจนบุรี ล่วงมรรคา ๑๕๐ เส้น ประทับร้อนแล้วเสด็จถึงพลับพลาพระแท่นดงรังเวลาบ่าย ๕ โมง ล่วงมรรคา ๔๐๐ เส้น ประทับแรมอยู่คืน ๑ รุ่งขึ้นเสด็จนมัสการพระแล้ว เวลาบ่ายก็เสด็จมาประทับแรมห้วยกะบอก ล่วงมรรคา ๓๐๐ เส้น ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า ๑ โมง เสด็จมาประทับร้อนพลับพลาหนองแขม เวลาบ่ายก็เสด็จมาจากหนองแขม มาประทับอยู่พระราชวังพระปฐมเจดีย์ วันเดือน ๔ ขึ้น ๓ ค่ำ[๖] เมื่อเสด็จตามระยะทางที่มีบ้านเรือน ราษฎรก็พาบุตรหลานออกมาเฝ้าทั้งชายหญิงสองข้างมรรคา ถวายของป่าตามมีตามได้ ก็ทรงปราศรัยบ้าง พระราชทานเงินคนชราพิการและคนที่ถวายของบ้าง ทรงไต่ถามถึงสุขทุกข์ของราษฎร ราษฎรก็ร้องทุกข์ว่า พระยากาญจนบุรีเบียดเบียนได้ความเดือดร้อนนัก ได้ทรงทราบดังนี้เป็นหลายราย

พณฯ หัวท่านเจ้าสมุหพระกลาโหม เกณฑ์ให้เจ้าภาษีไปตั้งโรงครัวที่ประทับแรมทุกแห่ง ข้าราชการไพร่พลทหารมิได้อดอยาก มาประทับอยู่ที่พระปฐมเจดีย์ ครั้นบำเพ็ญพระราชกุศลอยู่ ๓ ราตรีแล้ว ก็เสด็จกลับพระนคร จึงสั่งให้เจ้าพนักงานถอดพระยากาญจนบุรีออกเสียจากที่เจ้าเมือง



[๑] วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ฯ

[๒] วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ฯ

[๓] วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ฯ

[๔] วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ฯ

[๕] วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ฯ

[๖] จันทร์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ