- เมษายน
- วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ยังอยู่ในตอนที่ ๒
- วันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๙ เมษายน ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๓ เที่ยวเมืองหงสาวดี
- วันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- วันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ยังอยู่ในตอนที่ ๓
- วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- พฤษภาคม
- วันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- วันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- วันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ยังอยู่ในตอนที่ ๓
- วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ เที่ยวเมืองมัณฑเล
- วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- มิถุนายน
- วันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๒
- วันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๓
- วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๔
- วันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๕
- วันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- กรกฎาคม
- วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๖
- วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๗
- สิงหาคม
- วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย
- วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย (ท่อนที่ ๓)
- วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย (ท่อนที่ ๔)
- วันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- กันยายน
- วันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร (๒)
- วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๖ วินิจฉัยเคราะห์กรรมเมืองพะม่า (ท่อนที่ ๑)
- วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๖ วินิจฉัยเคราะห์กรรมเมืองพะม่า (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- ตุลาคม
- วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —กฎมณเทียรบาลพะม่า
- วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ ล่องแม่น้ำเอราวดี
- วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ ล่องแม่น้ำเอราวดี (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ ล่องแม่น้ำเอราวดี (ท่อนที่ ๓)
- วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เที่ยวเมืองพุกาม
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น (๒)
- พฤศจิกายน
- วันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เที่ยวเมืองพุกาม (ตอนที่ ๓)
- วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- —จดหมายบันทึก ที่แก้เปลี่ยนคำ ในกฎมนเฑียรบาลพม่า
- วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๔)
- วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๕)
- วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- ธันวาคม
- วันที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๖)
- วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๗)
- วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๘)
- วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๙)
- วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๘ เรื่องเที่ยวเมืองแปร (ท่อนที่ ๑)
- มกราคม
- วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๘ เรื่องเที่ยวเมืองแปร (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ
- วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- —วันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙
- —คำนำ หนังสือเรื่องกฎมณเทียรบาลพะม่า
- วันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- —ประมวญวัน วันอาทิตย์ วันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙
- กุมภาพันธ์
- วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๓)
- วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- มีนาคม
- วันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๔)
- วันที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๕)
- วันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
เรื่องพระเจ้าหงสาวดีธรรมเจดีย์ฟื้นพระพุทธสาสนาในรามัญประเทศ มีเหตุการณ์ที่น่าคิดวินิจฉัยอยู่หลายข้อ พิเคราะห์ตามพงศาวดารสมัยนั้น มอญกับพะม่ารบพุ่งกันเมื่อครั้งพระเจ้าราชาธิราชกับพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง เปนมหายุทธสงครามอยู่ช้านานจนหมดกำลังลงด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย จึงเลิกสงครามกลับเปนไมตรีกัน ทางกรุงศรีอยุธยาก็เกิดรบพุ่งกับเมืองเชียงใหม่ ครั้งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกับพระเจ้าติโลกะมหาราช (ในพงศาวดารไทยเรียกแต่ว่า “มหาราช”) เปนมหายุทธสงครามอยู่ช้านาน จนหมดกำลังลงทั้ง ๒ ฝ่ายจึงเลิกสงครามกลับเปนไมตรีเช่นเดียวกัน ปลาดที่เปนเช่นนั้นร่วมในสมัยเดียวกันทั้งมอญกับพะม่า และกรุงศรีอยุธยากับเมืองเชียงใหม่ และยังปลาดต่อไปอีกที่พระเจ้าธรรมเจดีย์กับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและพระเจ้าติโลกะมหาราช ต่างพระองค์ทรงบำเพ็ญพุทธสาสนูปถัมภกิจเปนอย่างวิสามัญในสมัยเดียวกันทั้ง ๓ พระองค์ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถให้ทูตไปนิมนต์คณะสงฆ์เข้ามาจากลังกาทวีปเมื่อ พ.ศ. ๒๐๐๘ แล้วทรงพระราชศรัทธาละราชสมบัติออกทรงผนวชเปนพระภิกษุอยู่ถึง ๘ เดือน พระเจ้าธรรมเจดีย์ให้รวมพระสงฆ์เปนลังกาวงศทั่วทั้งในรามัญประเทศเมื่อ พ.ศ. ๒๐๑๙ ฝ่ายพระเจ้าติโลกะมหาราชก็ให้พระสงฆ์ลังกาวงศ ทำสังคายนาพระไตรปิฎกที่เมืองเชียงใหม่เปนการใหญ่เมื่อ พ.ศ. ๒๐๒๐ ดูราวกับบำเพ็ญพระปรมัตถบารมีแข่งกัน มูลเหตุคงเกิดแต่นิยมกันมาแต่เดิมว่าพระเจ้าแผ่นดินย่อมรุ่งเรืองพระเกียรติยศ ด้วยแผ่พระราชอาณาเขตต์ได้กว้างขวางเปนพระเจ้าราชาธิราช ต่อมาได้คติมาจากลังกาทวีปอีกอย่างหนึ่ง ว่าถ้าพระเจ้าแผ่นดินทรงสามารถทำนุบำรุงพระพุทธสาสนาให้รุ่งเรืองในพระราชอาณาเขตต์ ก็ย่อมได้พระเกียรติยศเปนพระเจ้าธรรมราชา เสมอกับเปนพระเจ้าราชาธิราช จึงเกิดการบำเพ็ญพระเกียรติยศเปน ๒ อย่าง คือบำเพ็ญเปน “พระเจ้าราชาธิราช” หรือ บำเพ็ญเปน “พระเจ้าธรรมราชา” อย่างใดอย่างหนึ่งถ้าหากจะเปนทั้ง ๒ อย่างไม่ได้เหมือนพระเจ้าอโศกมหาราช ก็ในสมัยนั้น ทั้งพระเจ้าธรรมเจดีย์ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และพระเจ้าติโลกะมหาราช ไม่มีกำลังพอจะบำเพ็ญเปนพระเจ้าราชาธิราช จึงหันไปทรงบำเพ็ญพุทธสาสนูปถัมภกิจอย่างวิสามัญ เมื่อพิจารณาต่อไปถึงอุบายที่ทรงบำเพ็ญเปนพระเจ้าธรรมราชาผิดกันทั้ง ๓ พระองค์ ก็มีเค้าเงื่อนส่อให้เห็นเหตุ จะกล่าวฉะเพาะเหตุที่เนื่องด้วยพระเจ้าธรรมเจดีย์ ความปรากฏในหนังสืออื่นว่ามีพระสงฆ์มอญบางพวกกล่าวหา ว่าเมื่อพระเจ้าธรรมเจดีย์ยังทรงผนวชเปนพระมหาปิฎกธร ไปลักพานางตะละเจ้าเท้ามาจากเมืองอังวะ ความประพฤติเข้าฉายาอาบัติอทินนาทานปราชิก ข้อนี้แม้ในหนังสือราชาธิราชซึ่งแต่งเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าธรรมเจดีย์ข้างปลายเรื่อง เมื่อเล่าถึงเรืองราชประวัติตอนที่ไปลักนางตะละเจ้าเท้า ก็แก้ไขอย่างอ้อมแอ้ม ว่าเมื่อพระมหาปิฎกธรพูดจาตกลงกับนางตะละเจ้าเท้าในการที่จะพาหนีนั้นแล้ว มาคิดปรารภว่าการลักพานั้นเปน “ครุกรรมอันใหญ่หลวง จะขาดจากสิกขาบท” ครั้นจะลาสิกขาออกเปนคฤหัษฐ์ก็จะเข้าไปเฝ้านางตะละเจ้าเท้าไม่ได้เหมือนเปนพระ พระมหาปิฎกธรจึงใช้อุบายศึกเปนคฤหัษฐ์เสียก่อนแล้วกลับบวชเปนสามเณร แต่ครองผ้าอย่างเปนพระภิกษุเพื่อป้องกันภัย ดังนี้ ส่อให้สงสัยว่าที่พระเจ้าธรรมเจดีย์จัดการพระพุทธสาสนาครั้งนั้นมีเหตุในส่วนพระองค์เกี่ยวข้องอยู่ด้วย ยังมีข้อปลาดยิ่งกว่านั้นต่อไปอีกที่หนังสือราชาธิราช (Razadarit Ayedawpen) นั้น พะม่าว่าขุนนางมอญคนหนึ่งเปนที่พระยาทละแต่ง เมื่อรัชชกาลพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองในระวาง พ.ศ. ๒๑๒๔ จน พ.ศ. ๒๑๕๔ คือภายหลังรัชชกาลพระเจ้าธรรมเจดีย์มาเพียงราวร้อยปี ในหนังสือนั้นยกย่องพระเจ้าธรรมเจดีย์ว่าเปนอุดมบัณฑิตย์ พรรณนาพระเกียรติคุณเปนอเนกปริยาย แม้จนทรงแก้ปฤษณาต่าง ๆ และพระราชวินิจฉัยในอรรถคดีต่างๆ ก็เอามาเล่าถ้วนถี่ แต่ไฉนในหนังสือราชาธิราชไม่กล่าวถึงเรื่องพระเจ้าธรรมเจดีย์ทรงจัดการฟื้นพระพุทธสาสนา และรวมนิกายพระสงฆ์เสียเลยทีเดียว จะว่าผู้แต่งไม่รู้หลักศิลาจารึกกัลยาณีก็มี “ตำตา” อยู่ที่เมืองหงสาวดีในสมัยนั้น จึงน่าสงสัยว่าจะจงใจไม่กล่าวถึงทีเดียว จะเปนเพราะเหตุใดได้แต่สันนิษฐานตามเค้าเงื่อนที่มีอยู่ ด้วยพระเจ้าธรรมเจดีย์เปนใหญ่แต่ในรามัญประเทศ ประเทศอื่นๆ ที่ใกล้เคียง คือ พะม่า ยักไข่ ลานนาเชียงใหม่ และประเทศสยาม แม้ถือสาสนาเดียวกันก็เปนอิสสระอยู่ต่างหากทั้งนั้น พระเจ้าธรรมเจดีย์พื้นพระพุทธสาสนาแต่ในรามัญประเทศ และเกี่ยวข้องแต่ฉะเพาะพวกมอญ การที่พระเจ้าธรรมเจดีย์รวมนิกายสงฆ์ แม้จะเปนคุณแก่พระพุทธศาสนาดังพรรณนาในจารึกกัลยาณีก็ดี แต่กระบวรการที่ทำอยู่ข้างเรี่ยวแรงมาก ถึงให้พระสงฆ์ศึกหมดทั้งพระราชอาณาเขตต์ ศึกแล้วยอมให้บวชใหม่บ้างไม่ยอมให้บวชบ้าง เมื่อคิดคาดน้ำใจของพระสงฆ์มอญที่ต้องกระทำตามพระราชบริหารในครั้งนั้น เห็นว่าคงต่างกันเปน ๓ พวก พวก ๑ ยอมกระทำตามด้วยความเต็มใจ บางทีพวกนี้จะมีมาก พวก ๑ ยอมกระทำตามด้วยเกรงภัย แต่น้ำใจไม่สมัค อีกพวก ๑ ไม่ยอมทิ้งลัทธิเดิม คงหลบหนีหรือทำมารยาอย่างหนึ่งอย่างใดพอให้พ้นภัย การที่รวมนิกายพระสงฆ์มอญในครั้งนั้นเห็นจะไม่สำเร็จได้จริง เพราะฉะนั้นประเทศอื่นๆ ที่ใกล้เคียงจึงไม่ทำเช่นนั้นบ้าง เมื่อล่วงรัชชกาลพระเจ้าธรรมเจดีย์แล้ว การที่ได้ทรงจัดไว้ก็น่าจะเสื่อมทรามลงเปนอันดับมา จนถึงสามชั่วคนจึงแต่งหนังสือราชาธิราช ผู้แต่งหรืออาจจะเปนพระเจ้าบุเรงนอง เห็นว่าเรื่องฟื้นพระพุทธสาสนาที่จารึกในศิลากัลยาณีเปนการไม่สำเร็จประโยชน์ยั่งยืน จึงไม่กล่าวถึง แต่คิดดูในเวลานี้จะว่าไม่เปนประโยชน์ทีเดียวก็ว่าไม่ได้ ด้วยวิธีผูกสีมาทั่วทั้งเมืองพะม่ายังใช้อนุโลมตามแบบอย่างที่พระเจ้าธรรมเจดีย์ตั้งไว้ และใช้จารึกกัลยาณีอันพระสงฆ์คัดสำเนาจานไว้ในคัมภีร์ใบลานเปนหลักเมื่อเกิดสงสัยในการทำสีมามาจนตราบเท่าทุกวันนี้
วิธีผูกพัทธสีมาในเมืองพะม่าที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ นายทอเซียนโกได้เก็บเนื้อความแสดงไว้ในคำนำคำแปลจารึกกัลยาณี สังเกตดูคล้ายกับวิธีพระสงฆ์ไทยผูกพัทธสีมาก็มี ผิดกันก็มี คือ
๑. ใครจะสร้างโบสถ์ (วัดในเมืองพะม่ามีโบสถ์น้อยวัด) ต้องขอที่วิสุงคามสีมาต่อรัฐบาล ขนาดที่วิสุงคามโดยยาวราว ๒๑ วา กว้างราว ๑๘ วา ต่อรัฐบาลอนุญาตและยอมสละสิทธิถวายสงฆ์แล้ว จึงผูกสีมาได้
๒. เมื่อได้ที่วิสุงคามแล้ว พระสงฆ์นายกผู้จะอำนวยการพิธีจึงกะแนวสีมาซึ่งจะผูกในที่วิสุงคามนั้นเปนแนวโบสถ์เส้น ๑ ต่อออกไปอีกราว ๖ ศอกเปนแนกสีมาอีกแนว ๑ ให้แผ้วถางปราบที่ตรงนั้นให้เรียบราบแล้วเอาดินอ่อนโบกเปนพื้น และเอาปูนขาวหรือดินแดงโรยเปนเส้นหมายปันพื้นที่เปนช่องตาราง แต่ละช่องยาวราว ๔ ศอก กว้างราว ๒ ศอก พวกคฤหัษฐ์ปลูกปรำตกแต่งด้วยเครื่องประดับครอบตลอดเขตต์
๓ เริ่มการพิธีด้วยพระสงฆ์สวดกรรมวาจาถอนสีมา (อันหากจะมีอยู่แต่เดิม) ไปทุกช่องตารางที่หมายพื้น พิธีถอนสีมาทำหลายวันแล้วพักสัก ๒ วัน (จึง)
๔. ตั้งต้นทำพิธีผูกพัทธสีมา (ตอนนี้ดูเหมือนผิดกับไทยเปนข้อสำคัญอยู่อย่างหนึ่งที่พะม่าไม่ใช้ศิลาลูกนิมิตร์) แต่โบราณให้ขุดคูตรงเส้นสีมารอบทั้ง ๔ ด้าน แต่เดี๋ยวนี้ให้ขุดเปนแต่บ่อ ๘ บ่อหมายเขตต์ตรงมุมทั้ง ๔ กับย่านกลางทั้ง ๔ ด้าน ก่อนจะเริมทำการพิธีให้คนตักน้ำมาเทลงใน (คูหรือ) บ่อให้มีน้ำขังอยู่เสมอ ถ้าน้ำพร่องก็ต้องเติม แต่เมื่อเริ่มการพิธีแล้วจะเติมน้ำอีกไม่ได้ และต้องให้มีน้ำขังอยู่ตลอดเวลาทำการพิธี ภายในแนวบ่อน้ำเข้าไปสักศอก ๑ ทำรั้วตารางไม้ไผ่ตั้งไว้รอบ และให้มีพระหนุ่มยืนประจำอยู่ที่บ่อ พระสงฆ์สวดกรรมวาจาผูกสีมาเดินเวียนมาโดยลำดับ ถึงที่ (บ่อน้ำ) สีมาไหนก็ทักถาม เช่นถึงทิศตะวันออกถามว่า “ปุรตฺสีมาย ทิสาย กิํ นิมิตฺตํ” ภิกษุหนุ่มซึ่งประจำสีมานั้นตอบว่า “อุทกํ ภนฺเต” นัยว่าถามและตอบกันทั้งเปนภาษามคธและภาษาพะม่า
๕. เมื่อผูกสีมารอบแล้ว พระสังฆนายกอ่านประกาศบอกวันคืน เดือนปี กับทั้งชื่อพระเถระผู้ผูกพัทธสีมาและชื่อสีมา (คือชื่อวัด) ด้วย
๖. ต่อเมื่อทำพิธีผูกสีมาเสร็จแล้วจึงให้ถมบ่อน้ำ และเอาหลักศิลาปักตรงบ่อนั้นเปนเครื่องหมายเขตต์สีมาต่อไป