- เมษายน
- วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ยังอยู่ในตอนที่ ๒
- วันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๙ เมษายน ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๓ เที่ยวเมืองหงสาวดี
- วันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- วันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ยังอยู่ในตอนที่ ๓
- วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- พฤษภาคม
- วันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- วันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- วันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ยังอยู่ในตอนที่ ๓
- วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ เที่ยวเมืองมัณฑเล
- วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- มิถุนายน
- วันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๒
- วันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๓
- วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๔
- วันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๕
- วันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- กรกฎาคม
- วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๖
- วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๗
- สิงหาคม
- วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย
- วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย (ท่อนที่ ๓)
- วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย (ท่อนที่ ๔)
- วันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- กันยายน
- วันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร (๒)
- วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๖ วินิจฉัยเคราะห์กรรมเมืองพะม่า (ท่อนที่ ๑)
- วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๖ วินิจฉัยเคราะห์กรรมเมืองพะม่า (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- ตุลาคม
- วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —กฎมณเทียรบาลพะม่า
- วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ ล่องแม่น้ำเอราวดี
- วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ ล่องแม่น้ำเอราวดี (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ ล่องแม่น้ำเอราวดี (ท่อนที่ ๓)
- วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เที่ยวเมืองพุกาม
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น (๒)
- พฤศจิกายน
- วันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เที่ยวเมืองพุกาม (ตอนที่ ๓)
- วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- —จดหมายบันทึก ที่แก้เปลี่ยนคำ ในกฎมนเฑียรบาลพม่า
- วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๔)
- วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๕)
- วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- ธันวาคม
- วันที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๖)
- วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๗)
- วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๘)
- วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๙)
- วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๘ เรื่องเที่ยวเมืองแปร (ท่อนที่ ๑)
- มกราคม
- วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๘ เรื่องเที่ยวเมืองแปร (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ
- วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- —วันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙
- —คำนำ หนังสือเรื่องกฎมณเทียรบาลพะม่า
- วันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- —ประมวญวัน วันอาทิตย์ วันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙
- กุมภาพันธ์
- วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๓)
- วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- มีนาคม
- วันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๔)
- วันที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๕)
- วันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
ตำหนักปลายเนีน คลองเตย
วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๗๙
กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรง ทราบฝ่าพระบาท
ลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ทรงพระเมตตาโปรดประทานอะไรไปด้วยอีกเปนหลายอย่าง ได้รับประทานแล้ว เปนพระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้
ตามที่ได้ทรงพบเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของพะม่า แล้วทรงพระเมตตาโปรดจดประทานไปนั้นดีมาก เกล้ากระหม่อมคิดจะเอาแทรกเข้าในกฎมณเทียรบาลพะม่า ตอนพิธีราชาภิเษกแห่งใดแห่งหนึ่ง ในวรรคซึ่งเปนพระวิจารณของฝ่าพระบาท แต่เวลานี้ต้นฉะบับอยู่ที่พระยาอนุมานยังไม่แทรกได้ ถ้าได้แทรกเข้าที่ตรงไหนแล้วจะเขียนรายงานส่งมาถวายให้ทราบฝ่าพระบาท
เครื่องราชกกุธภัณฑ์อันมีที่มาเปนหลักฐานอยู่ก็สองแห่งเท่านั้น
๑. มาในคัมภีร์อภิธานปัปทีปิกาว่า
“ขคฺโค จ ฉตฺตมุณหีสํ
ปาทุกา วาฬวีชนี”
๒. มีที่บานบัญชรพระอุโบสถวัดบวรนิเวศว่า
“วาฬวีชนี อุณฺหีสํ
ขคฺโค ทณฺโฑ จ ปาทุกา”
ผิดกันที่ฉัตรกับทานพระกร เกล้ากระหม่อมได้เคยให้พระสารประเสริฐ๑ ค้นในคัมภีร์ต่างๆ ที่พบก็เหมือนกันกับที่มาในคัมภีร์อภิธานปัปทีปิกาทั้งนั้น เอาเปนยุติได้ว่าแบบอินเดียนับเอาฉัตร แต่ไทยนับเอาทานพระกร คำที่บัญชรวัดบวรนิเวศเชื่อว่าทูลกระหม่อมทรงพระนิพนธ์ อนุโลมตามแบบอย่างข้างไทย ซึ่งปรากฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สันนิษฐานว่าที่ไทยไม่นับฉัตรเห็นจะเปนด้วย เราใช้วิธียื่นถวาย ฉัตรเปนของใหญ่โตมีปักอยู่แล้วเหนือภัทรบิฐ จึงเปลี่ยนเปนทานพระกร แม้กระนั้นในรัชกาลที่ ๔ ก็โปรดให้เอาฉัตรพระคชาธารมายื่นถวาย ได้ทำเช่นนั้นต่อมาจนถึงรัชชกาลที่ ๖ จึงได้โปรดให้ทำฉัตร ๙ ชั้นเล็ก ๆ ขึ้นถวาย ด้วยฉัตรพระคชาธารมีเพียง ๗ ชั้น ตำราที่ตรัสว่านับผ้ารัตกัมพลแทนมงกุฎนั้น เกล้ากระหม่อมก็ได้เห็น แต่นึกไม่ออกว่าเห็นที่ไหน ผู้บัญญัติตำรานั้นก็คงกอปด้วยหลักฐานเหมือนกัน พระสารประเสริฐจดมาให้ว่าได้พบในพระสูตรแห่งหนึ่ง ว่าพระเจ้าปัสเสนทิเสด็จจากพระนคร มอบราชการให้เสนาบดีผู้ใหญ่บังคับแทนพระองค์ ทรงมอบเครื่องราชกกุธภัณฑ์ มีผ้าโพกพระเศียรทอทองกับพระแสงพระราชทานไว้เปนสำคัญ ก็คำมกุฎนั้น ในภาษาบาลีมีความหมายอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเปนสิ่งอันใด หากใช้เปนเครื่องศิราภรณแล้วเรียกมกุฎทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นผ้าโพกก็คือมกุฎนั้นเอง ได้เคยเห็นอีกตำราหนึ่งนับเอาพระสังวาลเข้าเปนเครื่องราชกกุธภัณฑ์ แต่นั่นเห็นจะเปนของตากุหลาบ จะเปนคำให้การขุนหลวงหาวัดปลอมหรืออะไรพวกนั้น เอาเปนหลักฐานไม่ได้
รูปครรชิตซึ่งประทานไปคราวนี้ดีมาก มกุฎปรากฎเปนหมวกชัด รูปผิดกันกับที่พระเจ้าสีป่อทรงอยู่มาก ลักษณคล้ายหมวกกลีบลำดวนของเรา แสดงว่าเปนของอ่อนด้วย มีรอยพับที่ตรงหน้าผาก ที่กลีบหมวกนั้นจะเปนผ้าเหมือนกันหรือจะเปนเครื่องทองเห็นไม่ชัด ถ้าเปนเครื่องทองก็เปนแนวเดียวกับมาลาของเรา คือสวมหมวกแล้วสวมสุวรรณมาลาทับ และถ้าเปนสุวรรณมาลาก็ไปเข้ารูปสุวรรณมาลาพระพุทธรูปที่ได้กันมาจากเชียงใหม่ เห็นว่าได้หลักฐานสืบเนื่องกันมาเปนแน่ หมวกก็คือผ้าโพกทำสำเร็จให้แต่งได้ง่ายเท่านั้น แล้วก็เลยลดหย่อนให้ผ้าน้อยเบาขึ้น ส่วนเสื้อนั้นก็แบบเดียวกับของเรา หากว่าแต่งเต็มที่ก็ใส่เสื้อแขนชั้นใน ใส่เสื้อกั๊กชั้นนอก แต่เรามักทำติดกันเสีย เพื่อลดหย่อนให้ผ้าน้อยลงและใส่เบาขึ้น บรรดาเสื้อของเราที่มีขลิบต้นแขนนั้นแสดงให้รู้อยู่ว่าใส่เสื้อสองชั้น ที่ยังทำแขนสีหนึ่งตัวสีหนึ่งให้เหนปรากฏว่าเปนเสื้อสองชั้นอยู่ทีเดียวก็มี เช่นเสื้อโหม่งครุ่มเปนต้น รูปเขียนเก่าๆ ของเรา พบที่ทำใส่แต่เสื้อกั๊กชั้นเดียวเหมือนรูปครรชิตนั้นก็มี ปลายแขนของเสื้อครรชิตนั้นเหมือนกับต้นพระพาหาเครื่องต้นของเราทีเดียว อินทรธนูละครนั้นก็คือปลายแขนเสื้อกั๊กนั้นเทียว แต่เขาส่งรูปให้ใหญ่ยาวออกด้วยปรารถนาจะเสริมไหล่ให้กว้าง จะได้รับกับที่สวมหน้าโขนเพื่อไม่ให้เห็นหัวโตข่มตัว อนึ่ง รูปครรชิตนั้นยังให้ความรู้ที่อยากรู้อยู่อีกโสดหนึ่งด้วย โดยได้ทราบพระดำรัสเล่าถึงสถานที่ตั้งรูปพระมหากษัตริย์และพระมเหษีพะม่า ทำให้อยากทราบทางของเขาว่าทำรูปเหล่านั้นเปนรูปภาพอย่างที่ทำกันตามเห็นงาม หรือว่าพยายามจะทำให้เหมือนตัวจริง แต่ก็ทราบไม่ได้ ด้วยรูปเหล่านั้นสูญหายไปหมดแล้ว มารู้ได้จากรูปครรชิตนี้ ว่าทางของเขาทำรูปคนอย่างรูปภาพตามที่ช่างเห็นงาม เพียงแต่สมมติว่าเปนรูปคนนั้นเท่านั้น จะสังเกตได้แต่เพียงเครื่องแต่งตัว พอที่จะรู้ได้ตามศักดิตามประเภท
ข้อพระดำรัสอธิบายถึงการทำผ้าลาย ซึ่งได้ทอดพระเนตรเห็นที่เมืองสุหรัดนั้น ทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้งดีขึ้นมาก ได้คัดข้อความในลายพระหัตถ์ตอนนั้น ส่งไปให้พระยาอนุมานทราบไว้ด้วยแล้ว
เรื่องนักขัตตฤกษทีปาวลิ ได้เห็นหนังสือพิมพ์เขาลงแจ้งความของห้างการจิในกรุงเทพฯ ก่อน ว่าเขาจะปิดห้างในวันทีปาวลิ สดุดใจทำให้อยากทราบว่าทีปาวลิคืออะไร ตั้งใจว่าจะถามพราหมณ์ศาสตรี แต่ไม่ทันถาม ก็พอดีได้รับหนังสือพิมพ์ตัดซึ่งโปรดประทานไป ได้อ่านตรวจโดยถี่ถ้วนแล้ว ในฉะบับแรกอธิบายมูลเหตุแจ่มแจ้งมาก กล่าวความเปนสองตอนตั้งแต่หิรัณยากษ (หิรัณย+อักษ แปลว่าตาทอง) มาลักเอาภูมิเทวีไป เห็นจะหมายถึงนางพระธรณี แต่เรื่องของเราเปนลักม้วนเอาแผ่นดินไป ของเขาฟังแนบเนียนกว่า เพราะว่าลักเอาแต่ตัวนางผู้รักษาแผ่นดินไป ไม่เปนอันตรายแก่สัตวโลกผู้อยู่บนแผ่นดิน ทำให้ร้อนถึงพระนารายณ์ ต้องแปลงเปนหมูป่าไปฆ่าหิรัณยากษคืนเอานางกลับมาในการที่นางถูกลักไปแล้ว ได้รับการแก้ไขกลับคืนมานั้น นางได้ทำ “สัมเป๊ะ” กับยักษและกับนารายณ์ ตามคติลามกของความคิดพวกอินเดีย จึงเกิดบุตรขึ้นคนหนึ่งชื่อว่านรกาสูร มีฤทธิ์เดชมาก ด้วยเปนลูกเกิดแต่ยักษ์กับนารายณ์ผสมกัน แล้วนรกาสูรกำเริบฤทธิ์ขึ้นไปแย่งเอาฉัตรและมงกุฎของพระอินทร์กับทั้งตุ้มหูของแม่พระอินทร์ลงมา พระอินทร์สู้ไม่ได้ไปร้องอุทรณ์ต่อพระกฤษณ จึงเปนเหตุให้ต้องเสด็จไปปราบนรกาสูร นักขัตตฤกษทีปาวลินั้นเปนแสดงความยินดีในวันนรกาสูรตาย ส่วนฉะบับหลังผู้แต่งแกอายครึ จึงลงแก้ลากเอาเรื่องมาปรับกับทางสมัยใหม่ ซึ่งตรัสเรียกว่าวิทยาศาสตร์ ยกเอาแต่ปลายเรื่องมากล่าวนิดเดียว ว่าเมื่อนรกาสูรจะตายได้ขอพระให้ประชาชนทำทีปาวลิ คือแต่งประทีปเปนที่ระลึกในวันตาย
อันความหมายในถ้อยคำนั้นมันเดินไปอย่างประหลาด ฝ่าพระบาทเห็นจะยังไม่ทรงทราบว่าในกรุงเทพฯ เวลานี้ สิ่งที่ปลอมแปลงเขาเรียกว่า “วิทยาศาสตร์” แก้ผ้าเขาเรียกว่า “ศิลป” เหตุที่เรียกแก้ผ้าว่าศิลปนั้นเพราะหนังสือพิมพ์ลงรูปแก้ผ้า ถูกจับถูกฟ้องว่าเอารูปอนาจารลงพิมพ์ เขาแก้ว่าไม่ใช่รูปอนาจาร เปนรูปศิลปแสดงรูปทรงอันงดงามโดยธรรมชาติ ดูเหมือนรอดตัวมาได้ จึงได้ “ซู่ซ่า” กันเรียกรูปแก้ผ้าว่ารูปศิลป ส่วนของปลอมแปลงเรียกว่าวิทยาศาสตร์นั้น เกิดแต่ผู้หญิงตื่นคาดเข็มขัดนากกัน นาย ต. เง็กช้วนเห็นท่าดีจึ่งทำเข็มขัดทองแดงชุบนาคขึ้นขาย ประกาศว่าที่ร้านของเขามีเข็มขัดนากทำโดยทางวิทยาศาสตร์ขาย จะไม่มีเสียหายทั้งราคาก็ถูก จึงมีผู้หญิงที่อยากอวดมั่งมีแต่ทุนน้อยซื้อใช้กัน จนกระทั่งผู้ร้ายหลอกพาผู้หญิงไปฆ่า เพื่อปล้นเข็มขัดนากก็ได้เต่เข็มขัดวิทยาศาสตร์ ตัวนาย ต. เง็กช้วน ผู้ขายเข็มขัดปลอมก็ได้ชื่อว่านาย ต. วิทยาศาสตร์ นาย ต. มีสองคน คือนาย ต. บุญเทียมอีกคนหนึ่ง คนนั้นได้ชื่อว่า นาย ต. พระอภัย (เป่าปี่) ผู้หญิงที่ทาปากเขียนคิ้วใส่เสื้อยกทรง (คือก่องนม) ก็เรียกกันว่าผู้หญิงวิทยาศาสตร์ เพราะปลอมจะให้สวย
รถตุกตาไขกลแล่นได้บนโต๊ะไม่ตก ซึ่งทรงพระเมตตาฝากประทานไปให้ตุ๊ดตู่๒นั้นก็ได้รับแล้ว เปนพระเดชพระคุณล้นเกล้า ได้ส่งให้แก่ตุ๊ดตู่แล้ว รถชะนิดนั้นในกรุงเทพฯ ก็มีขาย ทีแรกมีขายที่ห้างไวต์อเวก่อน เปนของฝรั่งทำมาขายราคา ๖ สลึง ทีหลังญี่ปุ่นทำเข้ามาขายดาษดื่นราคา ๔๐ สตางค์ ดูราคาก็จะตกกันกับที่ปีนัง ดูรถตุ๊กตานั้นใจหาย หน้าต่างเล็กจนสมกับที่จะเรียกว่า รูต่าง เขาทำสำหรับเมืองหนาวแท้ๆ แล้วเราซื้อมาใช้ในเมืองร้อน ได้เคยไปขี่ที่สิงคโปร์หายใจไม่ออก
ในการทำปืนตลอดถึงตรวนมือให้เด็กเล่น เข้าใจว่าเปนนโยบายในการปกครองบ้านเมืองทีเดียว ด้วยกำลังเตรียมรบกัน เมืองใหญ่ล้วนมีอุบายที่จะอบรมให้เด็กชอบปืนรักการทหารกันทั้งนั้น ตรวนมือกับแป้งกดลายมือจะเปนทางฝึกหัด “บอย สเคาต์” เพื่อไว้ช่วยโปลิศ เปนทางที่เขาเห็นว่าเปนประโยชน์แก่บ้านเมือง
อ่านพระนิพนธ์เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ (ท่อนที่ ๔) คราวนี้ ล้วนแล้วไปด้วยพงศาวดารตอนเมืองพุกามรุ่งเรือง สนุกดี ได้รู้พงศาวดารพะม่าอย่างถี่ถ้วน ชื่อพระมหาเถร “ฉินระหัน” เห็นจะหมายถึง ชินอรหันต์
ขอทูลถวายรายงานในการที่จะตีพิมพ์กฎมณเทียรบาลพะม่า พระยาอนุมานรู้สึกสนุกด้วยมาก ในกฎมณเทียรบาลนั้นหลายแห่งที่ฝ่าพระบาทเขียนชื่ออะไรประทานไปมีแต่หนังสือฝรั่ง เมื่อนึกถึงคนที่อ่านหนังสือฝรั่งไม่ออกจะเดือดร้อนมาก จึงอยากให้มีชื่อเปนหนังสือไทยกำกับลงไว้เสียด้วย แต่ตัวเองจะเขียนลงก็ไม่กล้า เกรงว่าจะผิดเหมือนตำบลทุ่งคา ฝรั่งเอาไปเขียนหนังสือฝรั่งเปน Tongka ไทยเอามาแปลกลับเปน ตองแก จึงโล๊ะไปให้พระยาอนุมานช่วย แกก็ไม่กล้าเหมือนกัน เที่ยววิ่งหาพะม่าลืบสาว ได้ความก็เล็กน้อยเอาลงเปนร่องรอยไม่ได้ ด้วยพะม่าที่พบก็ไม่ทราบอะไรในทางราชการนัก แต่ได้เค้าที่ผิดพลาดอยู่ลางคำ เปนต้นเช่นที่ฝรั่งเขียน Myo เราอ่านว่า มโย แต่ภาษาพะม่าจริงๆ เปน เมี้ยว หมดทางที่จะเอาให้สมบูรณ์ได้ กำลังคิดกันอยู่ว่าควรจะทำอย่างไรดี