กฎมณเทียรบาลพะม่า

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงแปลจากภาษาอังกฤษ พ.ศ. ๒๔๗๘

กฎมณเทียรบาลพะม่า

พิธีราชาภิเศก

ตอนเตรียมการ

๑. มีท้องตราให้หาเจ้าประเทศราชไทยใหญ่ กับทั้งเจ้าเมืองทั้งปวง เข้าไปในงานทั้งหมด

๒. ให้เปลี่ยนหนังหุ้มกลอง (อินทเภรี) ทุกใบ เปลี่ยนผ้าขาวหุ้มเศวตฉัตร ทำมงกุฎกับทั้งเครื่องต้นเครื่องทรงใหม่

๓. ให้ซ่อมแซมป้อมปราการที่ชำรุดรอบพระนคร

๔. ให้ตั้งราชวัติ ผูกต้นกล้วยต้นอ้อยและปักธงรายตามถนนทั่วพระนครในวันราชาภิเศก

๕. ให้ปลูกโรงพิธีราชาภิเศก ณ ที่แห่งหนึ่ง (ในบริเวณพระราชวัง) มี (มณฑป) ที่สรง เรียกว่า “สดนาน” Thaga-nan (ของไทยเรียกว่า “มณฑปพระกายะสนาน” ต่อที่สรงไปปลูกพลับพลาที่ประทับและที่ประชุมเจ้านายและขุนนางทั้งปวง

๖. ให้ตักน้ำบริสุทธิจากที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ แห่มารวมไว้ ณ ที่สรง

๗. จัดปรอถทอง Golden Quicksilver กับพลอยนพรัตน และเครื่องรางต่าง ๆ รวมลงหีบใบ ๑ ตั้งไว้ที่โรงพิธี

๘. เตรียมนกต่างๆ ไว้ที่พลับพลา สำหรับปล่อยเมื่อเวลาราชาภิเศก

๙. วางทหารแต่งเต็มยศมีศัสตราวุธประจำตัวรายสองข้างถนนตลอดทางเสด็จจากพระราชมณเฑียรไปจนถึงโรงพิธี

๑๐. หมายสั่งเจ้านายชายหญิง เสนาบดี เจ้าประเทศราช เจ้าเมือง กับทั้งภรรยา ให้แต่งเต็มยศเข้าไปคอยตามเสด็จในกระบวรแห่จากพระราชมณเฑียรไปยังโรงพิธี

ลักษณการราชาภิเศก

๑. ถึงวันกำหนด พอเวลาได้ฤกษ์ พระเจ้าแผ่นดินขึ้นทรงยานมาศมีหญิงพรหมจารีย์นั่งประณมมือไปบนนั้น ๔ คน พอพระราชยานถึง “ต้นมะโย-บิน” (เห็นจะหมายว่าพอจะออกจากเขตต์พระราชมณเฑียร) เจ้าพนักงานลั่นกลองอินทเภรี ๒ ใบ มีชื่อเรียกว่า “สิโดสอน” Sidosôn เปนสัญญา เจ้านายและข้าราชการที่เตรียมตามเสด็จ ก็ไปเข้ากระบวรตามตำแหน่งของตน

๒. เมื่อแห่ไปถึงโรงพิธีแล้ว เสด็จสู่ที่สรง สระพระเกศาผลัดเครื่องทรงหลายครั้ง (เข้าใจว่าผลัดเครื่องเต็มยศ ที่ทรงเมื่อแห่ไปเปลี่ยนเปนเครื่องสรงครั้งหนึ่ง สรงแล้วทรงเครื่องต้นอีกครั้งหนึ่ง)

๓. เมื่อเสร็จพิธีสรงแล้ว เสด็จประทับที่ราชอาสน์ พราหมณ์ Pomma ๘ คน ถวายน้ำมนตร์กับดอกไม้อย่างหนึ่งซึ่งถือว่าเปนของวิเศษเรียกว่า “ปะเรียตปัน” Payeitpan (พิเคราะห์ดู น่าจะถวายเครื่องราชูปโภคสิ่งอื่นสำหรับพระยศด้วยตรงนี้ แต่ในหนังสือไม่กล่าวถึง)

๔. จบพระหัตถ์ทรงอุททิศเครื่องสักการบูชาพระมหาเจดียสถานที่สำคัญ เจ้ากรมอาลักษณ์ Nahkandaw ขานชื่อมหาเจดียสถาน ให้เจ้าพนักงานเชิญไปยังที่นั้นๆ (คงให้ปล่อยนกตรงนี้แต่ในตำราไม่กล่าวถึง)

๕. เสด็จทรงยานมาศแห่กลับ เมื่อเสด็จถึงเขตต์พระราชมณเฑียร เจ้าพนักงานตีกลองอินทเภรี ๒ ใบ เรียกว่า “วุนติตอนสอน” Wuntitonson เปนสัญญา

๖. เมื่อกลับถึงพระราชมณเฑียรแล้ว ทรงบำเพ็ญทานแก่สมณพราหมณ์และราษฎรและให้ประกาศอภัยทาน คือ

ก) ปล่อยนักโทษที่ต้องเวรจำ

ข) ห้ามมิให้ฆ่าสัตว์ ๗ วัน

ค) ปิดศาลระงับถ้อยความ ๗ วัน

ฆ) ห้ามมิให้วิวาทข่มเหงหรือกักขังกัน ๗ วัน

ประกาศนี้ ให้เที่ยวตีฆ้องกลองร้องป่าวให้ชาวราษฎรทราบทั่วพระนคร

การตั้งพระอัครมเหษีและพระมเหษีก็เห็นจะมีพิธี แต่ทำข้างฝ่ายในจึงไม่กล่าวถึง อนึ่ง สังเกตในระเบียบการราชาภิเศกมีกล่าวถึงสมณ (พระสงฆ์) แห่งเดียวแต่ว่าถวายไทยธรรมที่ในพระราชมณเฑียรเมื่อเสด็จกลับจากโรงพิธีราชาภิเศก จะนิมนต์พระสงฆ์เข้าไปสวดมนตร์งานเฉลิมพระราชมณเฑียรก่อนวันราชาภิเศกดอกกระมัง แต่สันนิษฐานยาก ด้วยไม่ทราบระเบียบพิธีสงฆ์เมืองพะม่าว่าจะเปนอย่างไร

พิธีเถลิงราชบัลลังก์

พิธีนี้เรียกในภาษาอังกฤษว่า Formal Ascending of the Throne หาฤกษ์ทำพิธีวันหนึ่งต่างหากเมื่อเสร็จพิธีราชาภิเศกแล้ว

ตอนเตรียมการ

๑. ทำพิธีนี้ที่ใน Mye-nan สุเมรุมหาปราสาท ตั้งเศวตรฉัตร สองข้างพระที่นั่งสีหาสนบัลลังก์ Thihathana Balin ข้างละ ๔ คัน มีข้าราชการประจำคอยไขพระทวารทอง (หลังพระที่นั่งสีหาสน์) ทางเสด็จออกข้างละคน และมีพระราชวงศกับข้าราชการผู้ใหญ่ยืนอยู่ริมฐานพระที่นั่งสีหาสน์ข้างละคน เพื่อเปนผู้ประกาศพระนามพระเจ้าแผ่นดินและพระนามพระอัครมเหษี

๒. เอากลองสำหรับเมือง State Drum ๒ ใบมาตั้งที่หน้าท้องพระโรง สำหรับตีเปนสัญญาเวลาเสด็จออกและเสด็จขึ้น

๓. สิ่งของต่างๆ ที่พระเจ้าแผ่นดินกับพระอัครมเหษีจะส่งไปถวายสักการบูชามหาเจดียสถานต่างๆ ก็เอามาจัดเรียบเรียงไว้ในท้องพระโรง

๔. จัดที่สำหรับเจ้านายและเสนาบดี เจ้าประเทศราช และข้าราชการทั้งปวงกับทั้งภรรยาเฝ้าตามตำแหน่ง บรรดาผู้ที่เข้าเฝ้าต้องแต่งเต็มยศและมีของถวาย (น่าจะเปนดอกไม้ธูปเทียน) เปนเครื่องเคารพทุกคน

๕. ข้างหน้าท้องพระโรง วางทหาร ๒ แถวทั้งภายในและภายนอกพระราชวัง ให้ปิดประตูชื่อ “ตะงา-นิ” Taga-ni และ “โยดอ-ยุ” Yodaw-yu (พิเคราะห์ความต่อไปในที่อื่นส่อว่าประตูที่ว่านี้อยู่ใกล้ท้องพระโรง) ทั้ง ๒ ประตู และจัดวางเครื่องราชบรรณาการของเจ้าประเทศราช กับทั้งของข้าราชการ (หัวเมือง) ไว้ข้างนอกตรงประตูนั้น

เสด็จออกมหาสมาคม

๑. ลักษณเสด็จออกมหาสมาคมมีพรรณนาไว้ในที่อื่น ว่าเจ้านายและข้าราชการเข้าไปนั่งประจำที่ก่อนเสด็จออก พระมหาอุปราชต้องเสด็จเข้าไปทีหลังคนอื่น พอพระมหาอุปราชประทับที่แล้วพระเจ้าแผ่นดินก็เสด็จออก

๒. พอได้เวลาพระเจ้าแผ่นดินกับพระอัครมเหษีเสด็จจากพระราชมณเฑียร มเหษีองค์อื่นกับทั้งเจ้านายผู้หญิงและนักสนมตามเสด็จเปนกระบวรมานั่งตามตำแหน่งของตนในห้องข้างหลังที่เสด็จออก เจ้าพนักงานไขบานพระทวารทอง พระเจ้าแผ่นดินกับพระอัครมเหษีเสด็จออกประทับเหนือพระที่นั่งสีหาสน์บัลลังก์ ขณะนั้นตีกลองสัญญา ๔ ใบ เจ้านายและข้าราชการทั้งปวงถวายบังคมพร้อมกัน

๓. เสด็จออกแล้ว จึงเปิดประตูตะงา-นิ และประตูโยดอ-ยุ ขนของเครื่องราชบรรณาการของเจ้าประเทศราชและข้าราชการหัวเมืองเข้าไปตั้งถวายในท้องพระโรง

๔. เจ้านายกับขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งเปนพนักงานอ่านประกาศพระนามก็เดินเข้าไปยืนตรงหน้าพระที่นั่งแล้วอ่านพระนามพระเจ้าแผ่นดินกับพระนามพระอัครมเหษี (ตามที่จารึกในพระสุพรรณบัตร)

ยกตัวอย่างพระนามพระเจ้ามินดงว่า ศิริปวรวิชยนันทยสบัณฑิต มหาธรรมราชาธิราช

พระนามพระอัครมเหษีพระเจ้ามินดงว่า ศิริปวรมหาราเชนตธิบดี รตนเทวี

พระนามพระเจ้าสีป่อนั้นว่า ศิริปวรวิชยนันทยสดิลก Yathitilawka ธิบดีบัณฑิต มหาธรรมราชาธิราช

พระเจ้าสีป่อมีแต่พระอัครมเหษีองค์เดียว พระนามราชินีสุปยาลัตอัครมเหษีว่า ศิริปวรดิลกมงคล มหารตนเทวี ดั่งนี้

เมื่อประกาศแล้วผู้อ่านม้วนคำจารึก (พระสุพรรณบัตร) ถวายต่อพระหัตถ์ ทรงรับใส่ไว้ในหีบทอง ส่วนตัวผู้อ่านกราบถวายบังคมแล้วถอยออกไปอยู่ตามตำแหน่งเฝ้า

๕. นะกันดอ (เห็นจะเปนเจ้ากรมอาลักษณ์) อ่านบัญชีของทรงพระราชูทิศถวายมหาเจดียสถาน และสันดอขัน อ่านบัญชีของบรรณาการเจ้าประเทศราชและเจ้าเมืองถวาย แล้วพนักงานขนของนั้นไป

๖. ต่อนั้นลั่นฆ้องเงินเรียกว่า “มงคล-เงิวมอง” ๕ ครั้งและตีกลอง ๔ ใบเปนสัญญา (ข้าเฝ้าถวายบังคม) แล้วเสด็จขึ้น เปนเสร็จการพิธีราชาภิเศกเท่านี้

เลียบพระนคร

เมื่อเสร็จงานราชาภิเศกมีพิธีเลียบพระนคร จะเลียบพระนครทั้งทางบกและทางน้ำ เหมือนอย่างไทยหรืออย่างไรไม่ทราบแน่ พบในหนังสือเรื่องหนึ่ง กล่าวแต่ถึงการเลียบพระนครทางน้ำ ว่าให้แต่งเรือพระที่นั่ง “การเวก” เปนเรือ ๒ ลำขนานกัน หัวเรือเปนรูปสัตว์ ท้ายเรือเปนอย่างหางแมลงป่องเหมือนเรือแม่ปะทั้ง ๒ ลำ ตรงกลางลำเรือขนานนั้นทำที่ประทับเปนปราสาท ข้างหน้ามีท้องพระโรงโถงข้างหลังมีพลับพลา เรือพระที่นั่งการเวกนั้นพายไปเองไม่ได้ เห็นจะให้เรือกระบวรจูง เวลาแห่เสด็จเลียบพระนครนั้น มีทหารรายริมฝั่งทั้งสองข้างคลองคูรอบพระนคร และมีหีบสำหรับรับฎีกาตั้งไว้ ๔ มุมเมือง ใครมีทุกข์ร้อนถวายฎีกาได้ในเวลาเสด็จเลียบพระนครนั้น

ฐานาเทวี

๑. ตามราชประเพณี พระเจ้าแผ่นดินพะม่ายอมมีมเหษี (ภาษาพะม่าเรียก “มิบุยะ” Mibuya เรียกในภาษาอังกฤษว่า (Queens) ๘ องค์ มียศหลั่นกันเปน ๓ ชั้น คือ อัครมเหษีองค์ ๑ มเหษี ๓ องค์ มเหษีรอง ๔ องค์

๒. อัครมเหษีนั้น เรียกในภาษาพะม่าว่า “นัมมะดอ มิบุยะขยอง คยี” องค์เดียวที่กั้นเศวตฉัตรและประทับร่วมราชอาสน์กับพระเจ้าแผ่นดินได้ในเวลาออกงาน

๓. มเหษี ๓ องค์นั้น องค์หนึ่งเรียกว่า “มยอก นันดอ มิบุยะ” แปลว่า มเหษีตำหนักเหนือ องค์หนึ่งเรียกว่า “อเลกนันดอ มิบุยะ” มเหษีตำหนักกลาง อีกองค์หนึ่งเรียกว่า “อะนอกนันดอ มิบุยะ” มเหษีตำหนักตะวันตก กั้นกลดปักทองทั้ง ๓ องค์

๔. มเหษีรอง ๔ องค์นั้น องค์หนึ่งเรียกว่า “มยอก สองดอ มิบุยะ” แปลว่า มเหษี Apartmemt ฝ่ายมณเฑียรเหนือ องค์หนึ่งเรียกว่า “ตองสองดอ มิบุยะ” มเหษีฝ่ายมณเฑียรใต้ องค์หนึ่งเรียกว่า “มยอก ชเว เยสอง มิบุยะ” แปลว่า มเหษีห้องทองเหนือ อีกองค์หนึ่งเรียกว่า “ตองชเว เยสอง มิบุยะ” มเหษีห้องทองใต้

อธิบายมเหษี ๘ องค์นี้ พิเคราะห์ดูก็เปนทำนองเดียวกันกับประเพณีไทยแต่โบราณ แต่ไม่ตรงกันทีเดียว ในกฎมณเฑียรบาลไทยว่า “พระภรรยาเจ้า” มี ๔ องค์ คือ พระอัครมเหษีองค์หนึ่ง พระมเหษีองค์หนึ่ง พระราชเทวีองค์หนึ่ง พระอัครชายาองค์หนึ่ง ทั้ง ๔ นี้มียศเปนเจ้า (ปรากฎในทำเนียบศักดินาว่า) มี “พระสนมเอก” อีก ๔ คน แต่มิได้มียศเปนเจ้า คือ ท้าวอินทสุเรนทร ๑ ท้าวศรีสุดาจันท์ ๑ ท้าวอินทรเทวี ๑ ท้ารศรีจุลาลักษณ ๑ ถ้ารวมแต่จำนวนก็เปน ๘ เหมือนทำเนียบพะม่า

๕. นักสนมมี ๒ ชั้นเรียกว่า มโยสา ชั้นหนึ่ง ยะวาสา ชั้นหนึ่ง

๖. มเหษี ๔ องค์ (พระอัครมเหษีกับมเหษีอีก ๓ องค์) นั้น

ก) อยู่ในบริเวณพระราชมณเฑียร ต่างมีที่ประทับไม่ห่างกับที่พระเจ้าแผ่นดิน

ข) กั้นพระกลดและทรงรองพระบาทได้หน้าที่นั่ง

ค) พระภรรยาเจ้าองค์อื่นจะทูลพระเจ้าแผ่นดิน ต้องหมอบกราบและต้องถวายบังคม เว้นแต่พระอัครมเหษี

ฆ) พระมเหษีและเจ้านาย ถวายบังคมกันตามหลั่นยศ

ง) นางในจะออกนอกวังต้องทูลลา แต่มเหษีทั้ง ๔ สั่งเจ้ากรมสนม อนอกดก ให้อนุญาตนางในที่ขึ้นอยู่ในสำนักตนให้ออกนอกวังได้

๗. มเหษีทั้ง ๔ อยู่ประจำพระองค์ไม่มีเวร แต่มเหษีรองผลัดกันกำกับนักสนมรับราชการเปนยาม Roster ซ้ายและยามขวา

ราชกุมารศักดิ์

ยศศักดิ์เจ้านาย มีปรากฏในหนังสือกฎมณเฑียรบาลที่ฝรั่งแปลแต่ว่าพระมหาอุปราช มีฉัตรทอง ๔ คันเปนเครื่องยศ เจ้านายลูกเธอมีฉัตร ๒ คัน แต่ตรวจดูพลความในตอนกฎมณเฑียรบาล ประกอบกับตอนว่าด้วยเรื่องพงศาวดารในรัชชกาลพระเจ้ามินดง (พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๒๑) ดูเค้าเงื่อนก็คล้ายกับธรรมเนียมเก่าของไทย คือว่าเจ้านายแต่ละองค์มีพระนาม ๓ ประเภท

ประเภทที่ ๑ พระนามที่เรียกกันมาแต่ยังทรงพระเยาว์ เช่น พระเจ้ามินดงทรงพระนามเดิมว่า “มองลวิน” พระเจ้าสีป่อพระนามเดิมว่า “มองปุ” เปนต้น พิเคราะห์ดูก็เปนทำนองเดียวกับที่ไทยเรียกว่า “พระองค์ทับ” หรือ “พระองค์มั่ง” แม้แต่โบราณก็เรียกสมเด็จพระนเรศวรว่า “พระองค์ดำ” และเรียกสมเด็จพระเอกาทศรฐว่า “พระองค์ขาว” เมื่อทรงพระเยาว์

พระนามประเภทที่ ๒ เปนราชทินนาม (จะจารึกในพระสุพรรณบัตรหรืออย่างไรไม่กล่าว) พระองค์ชายมักลงท้ายว่า “ธรรมราชา” พระองค์หญิงมักขึ้นต้นว่า “ศิริ” ลงท้ายว่า “เทวี” เปนแบบ ได้คัดมาลงไว้ให้เห็นพอเปนตัวอย่าง

พระนามพระองค์ชาย

มหาสุธรรมราชา (องค์นี้เปนน้องยาเธอและได้เปนพระมหาอุปราชของพระเจ้ามินดง)

มหาสุศิริธรรมราชา

ศิริมหาสุธรรมราชา

พระนามพระองค์หญิง

ศิริกิญจนเทวี

ศิริบทเทวี

ศิริสุนันทาเทวี

ศิริปุบผ Pappa เทวี (คือ สุปยาลัต)

ตั้งพระนามเดียวซ้ำกันกว่าองค์หนึ่งก็มี พิเคราะห์ดูก็เหมือนกับประเพณีไทยแต่โบราณที่ตั้งพระนามเจ้านายเปน พระราเมศวร พระอาทิตยวงศ พระเทพกระษัตรี และพระสุริโยทัย เปนต้น การตั้งพระนามประเภทนี้ ตั้งเมื่อพระองค์ชายเกล้าเกศา พระองค์หญิงเจาะพระกรรณ (ตรงกับพิธีโสกันต์ของไทย) ทำพิธีทีท้องพระโรงเปนการเต็มยศและมีสมโภช

พระนามประเภทที่ ๓ นั้น คือพระเจ้าแผ่นดินโปรดให้เจ้านายองค์ใด “กิน” เมืองใด ก็เอาชื่อเมืองนั้นมาเรียกเปนพระนาม เช่นพระเจ้าแผ่นดินพะม่าที่เรียกพระนามในพงศาวดารว่า พระเจ้าสารวดี (สาวัตถี) ก็ดี พระเจ้าพุกาม Pagan ก็ดี พระเจ้ามินดงก็ดี พระเจ้าสีป่อก็ดี ล้วนเรียกตามนามเมืองที่ได้กินเมื่อก่อนเสวยราชย์ทั้งนั้น คำว่า “กินเมือง” หมายความต่างกันกับ “ครองเมือง” กินเมือง คือได้ส่วยสาอากรที่เกิดในเมืองนั้นเปนผลประโยชน์ แต่ส่วนพระองค์คงอยู่ในราชธานี ครองเมือง ต้องออกไปประจำบังคับบัญชาการอยู่ที่เมืองนั้น พระนามประเภทที่ ๓ นี้ก็เห็นจะได้พระราชทานพร้อมกับราชทินนามนั้นเอง ประเพณีนี้ก็เหมือนกับประเพณีไทยแต่โบราณ มีอยู่ในกฎมณเฑียรบาลเรียกว่า “ลูกเธอกินเมือง”

ประเพณีให้กินเมือง พะม่าใช้กว้างขวางมาก พระมเหษี พระมหาอุปราช เจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ได้กินเมืองทั้งนั้น รองลงมาถึงชั้นนักสนมและขุนนางชั้นรองก็ได้กินบ้านส่วย เพิ่งมาเปลี่ยนประเพณีในรัชกาลพระเจ้ามินดงเมื่อเสียหัวเมืองข้างใต้ไปเปนของอังกฤษหมด จึงตั้งภาษีขึ้นใหม่เรียกว่า “สัสเมธะ” เก็บเงินรายตัวราษฎรโดยอัตราสิบชักหนึ่งตามที่ทำมาหาได้ เอาเงินมาแจกเบี้ยหวัดแทนส่วย ถึงกระนั้นพระอัครมเหษีและพระมหาอุปราชก็ยังกินเมืองอยู่อย่างเดิม

พระราชานุกิจ

๑. พระเจ้าแผ่นดินพะม่าเสด็จออกขุนนางวันละ ๓ ครั้งเปนนิจ แต่โดยปกติเสด็จออกห้องที่เฝ้าแห่งอื่น ต่อเปนการมหาสมาคมอย่างเต็มยศใหญ่ จึงเสด็จออกในมหาปราสาท โดยปกติเสด็จออกเช้าราวเวลา ๘ นาฬิกาครั้งหนึ่ง เสด็จออกเวลาบ่าย ๑๕ นาฬิกาครั้งหนึ่ง และเสด็จออกที่ระโหฐานเวลาค่ำ ๑๙ นาฬิกาอีกครั้งหนึ่ง

๒. เมื่อเสด็จออกเวลาเช้า เจ้านายและข้าราชการต้องเข้าเฝ้าพร้อมกันหมด ประภาษราชการแผ่นดินกับทั้งเศรษฐการ เสด็จออกเวลาบ่ายเข้าเฝ้าแต่เจ้าหน้าที่ ประภาษราชการในพระองค์และการในพระราชฐาน (เทียบกับพระราชานุกิจไทย เห็นว่าที่จริงจะทรงพิพากษาคดี) เสด็จออกเวลาค่ำมีแต่หัวหน้าข้าราชการในพระราชสำนัก (เห็นจะประภาษราชกิจในพระองค์และการในพระราชฐานตอนนี้) บางทีก็ทรงสนทนากับข้าราชการแต่บางคนฉะเพาะตัวต่อไป

๓. พระเจ้าแผ่นดินเสวยวันละ ๔ เวลา เวลาเช้าระวาง ๗ กับ ๘ นาฬิกา เมื่อก่อนเสด็จออกขุนนางครั้งหนึ่ง เวลาเที่ยงวันครั้งหนึ่ง เวลาเย็นครั้งหนึ่ง และเวลาค่ำอีกครั้งหนึ่ง

๔. พระภรรยาเจ้าทั้งหลายกับเจ้านายผู้หญิง เปนพนักงานปฏิบัติในเวลาเสวย พระมเหษีตั้งเครื่อง พระมเหษีรองและเจ้านายผู้หญิงเชิญเครื่อง และถวายอยู่งานพัด เปนต้น

๕. เครื่อง เมื่อเสวยแล้วเลื่อนถวายเจ้านายที่ปฏิบัติเสวย

๖. เวลาเสด็จเข้าที่บรรทม มีนักสนมผลัดเวรกันอยู่ยามนอกห้องบรรทม อ่านหนังสือ เช่น เรื่องชาดกเปนต้นถวายทรงฟังตลอดรุ่ง

๗. เวลาพระเจ้าแผ่นดินทรงเครื่อง ฉะเพาะแต่พระมเหษีเปนพนักงานปฏิบัติ

๘. พระมเหษีรองกับนักสนม ต้องผลัดเวรกันประจำยามอยู่ในพระราชมณเฑียรทั้งกลางวันกลางคืน และคอยตามเสด็จประพาสภายในพระราชวัง และมีขันทีรับใช้ด้วย

ขนบธรรมเนียมในราชสำนัก

๑. เจ้านาย เสนาบดี ข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนต้องเข้าเฝ้าเมื่อเสด็จออกเวลาเช้าทุกวัน ถ้าใครขาดเฝ้าโดยไม่จำเปนต้องระวางโทษขัง ๓ วัน

๒. ถ้าเกิดไฟไหม้ในพระนคร เจ้านายและข้าราชการต้องเข้าไปลงชื่อที่ในพระราชวังทุกคน ถ้าใครขาดโดยมิจำเปนต้องระวางโทษเอาตัวเปลื้องผ้ามัดตากแดด

ข้อนี้พบอธิบายในตอนพงศาวดารว่าเพราะผู้ก่อการขบถย่อมจุดไฟเผาบ้านเรือนเปนสัญญากัน จึงตั้งข้อบังคับให้เจ้านายและข้าราชการ ต้องเข้าไปในพระราชวังเมื่อเกิดไฟ เพื่อแสดงความบริสุทธิและช่วยปราบผู้ร้าย

๓. เวลาเสด็จออกนั้น ขุนนางตำแหน่ง “สันดอซิน” Thandawzin (เห็นจะเปนเจ้ากรมอาลักษณ์) เปนพนักงานอ่านหนังสือราชการถวายทรงฟัง และอ่านรายชื่อผู้เข้าเวรประจำซองในวันนั้นถวายให้ทรงทราบเมื่อเสด็จออกตอนบ่ายด้วย

๔. ประตูพระนคร ๑๒ ประตู ปิดกลางคืนแต่เวลา ๒๑ นาฬิกาไปจนรุ่งสว่างทุกวัน และปิดเมื่อมีเหตุการณ์เหล่านี้ด้วย คือ

ก) เวลาเสด็จออกมหาสมาคม

ข) ไฟไหม้

ค) เกิดจลาจลในพระนคร หรือใกล้พระนคร

ฆ) เวลาเมื่อสำเร็จโทษเจ้านายหรือข้าราชการผู้ใหญ่

๕. ขุนนางตำแหน่ง “นะกันดอ” Nahkandaw เปนพนักงานนำรายงานราชการประจำวันในศาลาลูกขุน “หลุตดอ” Hlutdaw กับฎีกาที่มีผู้ถวาย ส่งขันทีให้นำขึ้นถวายในเภลาค่ำทุกวัน

๖. ใครจะถวายฎีกา จะยื่นที่ศาลาลูกขุนหรือที่ “บเย แตก” Bye-taik สำนักงานมุขมนตรีในกรมวังก็ได้

๗. เมื่อทรงสั่งราชการ ผู้รับสั่งต้องนำความไปแจ้งแก่ “อัตวินหวุ่น” Atwinwun มุขมนตรีในกรมวังให้เขียนส่งไปยังศาลาลูกขุน

๘. เงินส่วยและภาษีอากรที่เจ้าเมืองหรือข้าหลวงผู้เก็บ ส่งมาจากหัวเมือง ต้องนำส่งที่ศาลาลูกขุน (เมื่อลูกขุนหักจ่ายการอื่น) แล้วส่งไปยังสำนักมุขมนตรีในกรมวัง (หักจ่ายในการราชสำนัก) แล้วส่ง (เงินเหลือ) ไปยังพระคลังมหาสมบัติหรือพระคลังข้างที่ตามควร

๙. ข้าราชการทุกคน เมื่อรับตำแหน่งต้องถือน้ำกระทำสัตย์

๑๐. ข้าราชการผู้ออกไปมีตำแหน่งอยู่หัวเมือง ต้องให้ภรรยาอยู่เปนตัวจำนำในพระนคร

๑๑. เจ้าประเทศราชและเจ้าเมือง ต้องมาเฝ้าปีละครั้งหนึ่งเปนอย่างน้อย

๑๒. เวลาเสด็จออกมหาสมาคม Kadaw ในมหาปราสาท พระมหาอุปราชต้องเข้าไปทีหลังผู้อื่น ตั้งเตียงที่พระมหาอุปราชประทับหน้าพระราชบัลลังก์ทางฝ่ายซ้าย เมื่อพระมหาอุปราชประทับที่และปิดประตู (ชาลาพระราชมณเฑียร) แล้วจึงเสด็จออก เมื่อเสด็จขึ้นแล้วก็ต้องให้พระมหาอุปราชเสด็จกลับก่อน แล้วผู้อื่นจึงตามออกจากท้องพระโรงตามลำดับยศ

๑๓. นอกจากพระมหาอุปราช เจ้าพระยา Wungyi และมะโยหวุ่น Myowun (ตามศัพท์ว่าเจ้าเมือง แต่ในที่นี้จะหมายว่าผู้ใดสงสัยอยู่) ๒ คน บรรดาเจ้านายและข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนต้องผลัดเปนเวรกัน เข้าไปนอนประจำซองที่ในพระราชวัง ถ้าขาดโดยมิจำเปนต้องระวางโทษขัง ๓ วัน

๑๔. ลักษณที่เจ้านายกับข้าราชการไปเข้าเวรประจำซองในพระราชวังนั้น ต้องไปลงชื่อที่ท้องพระโรง รับเวรเวลา ๑๘ นาฬิกาแล้วแบ่งกันนั่งยามเปน ๓ พวก พวกหนึ่งนั่งยามแต่เวลา ๑๘ นาฬิกา ถึงเที่ยงคืน พวกหนึ่งนั่งยามแต่เที่ยงคืนจน ๓ นาฬิกา อีกพวกหนึ่งนั่งยามแต่ ๓ นาฬิกาจนรุ่งสว่าง เวลากลางวันอยู่พร้อมกันหมด จนพวกเวรใหม่มาเปลี่ยนเมื่อ ๑๘ นาฬิกา

๑๕. ทหารที่ประจำในพระราชวังนั้น เปลี่ยนเวรกันเดือนละครั้งหนึ่ง

๑๖. ถ้าพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออก (ไปประทับแรม) นอกพระราชวัง ยิงปืน ๓ นัดเปนสัญญาปิดประตูพระนครทั้งหมด จนเสด็จกลับคืนเข้าพระราชวังแล้วจึงเปิดอย่างเดิม เจ้านายและข้าราชการต้องไปตามเสด็จ เว้นแต่ที่ติดประจำหน้าที่ ถ้าไม่ไปตามเสด็จต้องระวางโทษขัง

๑๗. ถึงวันขึ้นปีใหม่วันแรก ให้ยิงปืนใหญ่ ๓ นัดทุกประตูพระนครบอกให้ราษฎรรู้ฤกษ์สงกรานต์

๑๘. (ข้อนี้และต่อไปอีกข้อหนึ่งดูไม่เกี่ยวกับกฎมณเฑียรบาล คือ) ราษฎรเปนความกันในโรงศาล เมื่อยอมตามคำพิพากษาต้องรับเมี่ยงกินเปนสัญญาทั้งสองฝ่าย ถ้าได้กินเมี่ยงแล้วจะกลับเอาคดีนั้นรื้อว่ากล่าวหรืออุทธรณ์ต่อไปไม่ได้ ใครฝ่าฝืนต้องระวางโทษให้เอาตัวเที่ยวตีฆ้องตระเวนและให้เฆี่ยนทุกมุมเมือง แต่ถ้าคดีถึงศาลาลูกขุนถึงคู่ความไม่ยอมคำพิพากษาก็เปนเด็ดขาด

๑๙. โทษตระเวนแล้วเฆี่ยนนั้น มีต่อไปถึงผู้กระทำผิดในคดีเหล่านี้ คือ

ก) ลอกทองพระ

ข) ทำเงินปลอม

ค) ลักหญิงชาววัง

ฆ) วางเพลิง

ง) เปนข้าราชการรับสินบน

จ) ต้มเหล้าเถื่อน

ฉ) ปล้นสดมภ์

ผู้มีความผิดที่กล่าวต่อไปนี้ก็ต้องระวางโทษตระเวน แต่ไม่เฆี่ยน คือ

ช) เล่นเบี้ย

ซ) เมาเหล้า

ฌ) ฆ่าโค

ญ) กินเนื้อโคเปนนิจ

๒๐. ถึงเข้าวัสสา ให้เจ้าพนักงานขี่ช้างเที่ยวตีกลองประกาศแก่ชาวพระนคร เตือนให้ถือศีลทำทาน และห้ามมิให้ขายเนื้อขายปลาในพระนครตลอดวัสสา

๒๑. การเสด็จออกมหาสมาคมในมหาปราสาท โดยปกติมีปีละ ๓ ครั้ง คือ

ก) เสด็จออกเมื่อขึ้นปีใหม่เรียกว่า หนิต สิต กาดอ Hnit thit Kadaw ให้เจ้านายและข้าราชการในกรุงถือน้ำกระทำสัตย์

ข) เสด็จออกเมื่อเข้าวัสสาเรียกว่า วาวิน กาดอ Wawin Kadaw เฝ้าแต่เจ้านายและข้าราชการในกรุง

ค) เสด็จออกเมื่อออกวัสสาเรียกว่า วาคยุต กาดอ Wagyut Kadaw เจ้าประเทศราชและเจ้าเมืองเข้ามาสมทบด้วย มีการถือน้ำกระทำสัตย์เหมือนเมื่อขึ้นปีใหม่

๒๒. ในการเสด็จออกมหาสมาคม เจ้านายและข้าราชการฝ่ายในกับทั้งภรรยาข้าราชการ ก็ต้องเข้าเฝ้าเหมือนกับฝ่ายหน้า แต่เฝ้าที่ท้องพระโรงหลังอยู่ทางหลังวัง

๒๓. การที่เข้าเฝ้า มีข้อบังคับ คือ

ก) ต้องมีรับสั่งให้หาหรือได้รับพระราชานุญาต จึงเข้าเฝ้าได้

ข) ต่อมีพระราชดำรัสด้วยก่อน จึงกราบทูลสนองได้

ค) เวลาเสด็จประทับอยู่ในพระราชมณเฑียรหรือพระราชอุทยาน ใครจะเข้าเฝ้าไม่ได้ เว้นแต่ตรัสเรียก

ฆ) ถ้ายังไม่เสด็จขึ้น ข้าเฝ้าจะกลับก่อนหรือจะย้ายที่นั่งไม่ได้

ง) ห้ามมิให้สูบบุหรี่หน้าที่นั่ง

จ) นอกจากพระมเหษีทั้ง ๔ ห้ามมิให้ใครใส่เกือกหน้าที่นั่ง และจะถือร่มไปในกระบวรเสด็จก็ไม่ได้

ฉ) ในมหามณเฑียรแก้ว Hmannandaw อันเปนที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จอยู่ อยู่ประจำได้แต่มเหษี ๔ องค์ซึ่งมีห้องอยู่ใกล้กับห้องบรรทมของพระเจ้าแผ่นดิน

ช) จะส่งสิ่งอันใดถวายพระเจ้าแผ่นดิน ต้องถวายบังคม Shikho ก่อน เมื่อจะรับอะไร จากพระหัตถ์ก็อย่างเดียวกัน

ซ) สิ่งใดซึ่งเปนเครื่องราชูปโภค จะเรียกต้องเพิ่มคำ “ดอ” Daw แปลว่า “พระ” หรือ “หลวง” Royal เข้าข้างท้ายชื่อของสิ่งนั้น และจะจับต้องต้องไหว้ก่อน

ฌ) เวลาพระเจ้าแผ่นดินเสด็จมาใกล้ต้องถวายบังคม ๓ ครั้ง เมื่อเสด็จไปจากที่นั้นก็ต้องถวายบังคม ๓ ครั้งเหมือนกัน

ญ) นอกจากพระอัครมเหษี เมื่อทูลพระเจ้าแผ่นดิน “ต้องกราบ Shikho” ทุกครั้ง

ราชบัลลังก์

ในกฎมณเฑียรบาลพะม่า ต่อเรื่องราชาภิเศกกล่าวถึงราชบัลลังก์ Yaza Balin ในราชมณเฑียรสถานว่ามี ๘ แห่ง บอกอธิบายรายชื่อไว้ดังนี้

๑ สีหาสนบัลลังก์ Thihathana Balin ใหญ่และสำคัญกว่าเพื่อนจำหลักรูปราชสีห์ประดับ อยู่ในมหาปราสาท มีเศวตรฉัตร (ชั้นเดียว) ปักข้างละ ๔ คัน เปนที่ประทับเวลาเสด็จออกมหาสมาคมเปนการเต็มยศใหญ่

๒ หังสาสนบัลลังก์ Henthathana Balin จำหลักรูปหงส์ประดับอยู่ใน (หอพระซึ่งใช้เปน) ท้องพระโรงกลาง Zatawun Saung เปนที่ประทับเสด็จออกเวลามีพิธีสงฆ์และรับทูตต่างประเทศ

๓ คชาสนบัลลังก์ Gagyathana Balin จำหลักรูปช้างประดับอยู่ในพระที่นั่งเย็นฝ่ายซ้าย Byadeik Saung เปนที่ประทับเวลาเสด็จออกมุขมนตรีแห่งหนึ่ง

๔ สังขาสนบัลลังก์ Thinkathana Balin จำหลักรูปสังข์ประดับอยู่ในท้องพระโรงใน Hpôndaw Saung เปนที่ประทับเวลาพระราชทาน (สุพรรณบัตร) ยศศักดิ์ และเสด็จออกขุนนางโดยปกติ

๕ ภมราสนบัลลังก์ ฺBamayathana Balin จำหลักรูปตัวผึ้งประดับอยู่ในมหามณเฑียรแก้ว Hmandaw Saung เปนที่ประทับเวลางานพิธีฝ่ายใน

๖ มิคาสนบัลลังก์ Migathana Balin จำหลักรูปกวางประดับอยู่ที่พระที่นั่งปลีกองค์หนึ่ง Taung Smôk Saung เปนที่ประทับอวยทาน

๗ มยุราสนบัลลังก์ Mayanyothana Balin จำหลักรูปนกยูงประดับอยู่ที่พระที่นั่งอีกองค์หนึ่ง Myam Smôk Saung เปนที่ประทับทอดพระเนตรช้างเผือก

๘ ปทุมาสนบัลลังก์ Padommathana Balin จำหลักรูปดอกบัวประดับ อยู่ที่ท้องพระโรงหลัง Anauk Smôk Saung เปนที่ประทับเวลาเสด็จออกมหาสมาคมสตรี และเปนที่พระอัครมเหษีเสด็จออกรับแขกเมืองผู้หญิง

ราชบัลลังก์ทั้งปวงนั้น ทำด้วยไม้จำหลักปิดทองประดับกระจกเปนแท่นมีฐานรูปทรงเปน “เชิงบาตร” ฝรั่งว่าเหมือน “นาฬิกาทราย” คือคอดกลางผายข้างบนและข้างล่างเช่นเดียวกันทั้งนั้น เปนแต่ขนาดใหญ่เล็กและสูงต่ำผิดกัน มักตั้งต่อฝาด้านใน มีพระทวารทางเสด็จออกข้างหลังราชบัลลังก์ “สีหาสนบัลลังก์” ในมหาปราสาทนั้น เปนทำนองเดียวกับพระที่นั่งบุษบกมาลาวังหน้าในพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย (ที่จัดเปนห้องทองสัมฤทธิในพิพิธภัณฑสถาน) กรุงเทพฯ ผิดกันแต่ทำเปนแท่นไม่มีบุษบกแต่ทำเปนเรือนแก้ว ที่ซุ้มพระทวารข้างหลังหรูหรามาก

พิธี ๑๒ เดือน

เดือน ๕ พิธีสงกรานต์ Hnสาitthit Thigyandaw Pwè ถือกันว่าเทวดามหาสงกรานต์ Thingan Nat ลงมาอยู่ในมนุสโลกปีละ ๓ วัน

วันแรกพวกขุนนางแห่น้ำ ซึ่งตักมาจากแม่น้ำเอราวดีใส่หม้อดินประดับดอกไม้ มาถวายพระเจ้าแผ่นดิน และมีพิธีทำเปนน้ำมนตร์ แล้วแบ่งน้ำมนตร์นั้นส่งไปสรงพุทธเจดีย์ที่สำคัญทั้งในกรุงมัณฑเลและกรุงอมรบุระ

วันที่ ๒ เวลาเช้าพระเจ้าแผ่นดินกับพระอัครมเหษีเสด็จสู่ที่กายะสนาน ทรงสระพระเกศา โหรพราหมณ์ถวายพรชัยมงคลแล้วมีการ “สมโภชเลี้ยงลูกขุน” อธิบายการสมโภชเลี้ยงลูกขุน (พบในหนังสืออื่น) ว่าพระเจ้าแผ่นดินกับพระอัครมเหษีเสด็จออกเสวยพระกระยาเจือน้ำดอกไม้สด เรียกว่า “เข้าสงกรานต์” (คือ เข้าแช่) บนราชบัลลังก์ที่ห้องพิธีในมหามณเฑียรแก้ว โปรดให้เจ้านายกับขุนนางผู้ใหญ่เข้าไปรับพระราชทานเลี้ยงด้วย แล้วมีละคอน

วันที่ ๓ เสด็จออกมหาสมาคมเปนการเต็มยศใหญ่ในมหาปราสาท เจ้านายและข้าราชการในกรุงเข้าเฝ้าถือน้ำกระทำสัตย์ แล้วเสด็จออกท้องพระโรงหลัง ให้สตรีมีบันดาศักดิในกรุงเข้าเฝ้าและถือน้ำกระทำสัตย์เหมือนกัน

ส่วนประชาชน เมื่อถึงนักขัตฤกษสงกรานต์เล่นสาดน้ำกันแลกันตลอดตั้ง ๓ วัน

เดือน ๖ พิธีสมโภชน้ำเศก (พะม่าเรียกว่า Nyaungye Pwè ฝรั่งแปลว่า Consecrated Water Feast)

วันขึ้น ๑๔ ค่ำเจ้าพนักงานตักน้ำในแม่น้ำเอราวดีมา (ใส่หม้อ) รักษาไว้ในเรือนหลวง Court House แห่งหนึ่งที่ในพระราชวัง ถึงวันกลางเดือนแบ่งน้ำนั้นเปน ๒ ส่วน

ส่วนหนึ่งเรียกว่า Nyaung Ye เชิญไปถวายพระเจ้าแผ่นดิน อีกส่วนหนึ่งเรียกว่า Anaung Nyaung Ye เชิญไปถวายพระอัครมเหษี ในวันกลางเดือนนั้นเอง พระเจ้าแผ่นดินให้เจ้าพนักงานสรงน้ำพระพุทธรูปที่ในพระราชวัง รุ่งขึ้นวันแรมค่ำ ๑ สรงพระพุทธรูปด้วยน้ำส่วนของพระอัครมเหษี (มูลจะมาแต่พิธีทูลน้ำล้างพระบาทดอกกระมัง)

เนื่องการพิธีนี้มีละคอน Zat Pwè ที่สนามในวังด้านหลัง ตั้งแต่วันขึ้นค่ำ ๑ (พระอรัญญรักษา ซอเหลียง เปนชาวเมืองมัณฑเล เล่าว่ามีละคอนหลายวัน)

เดือน ๗ มีการพิธีต่างๆ ๔ พิธี คือ

๑) พิธีขอฝน Mo-nat Puzaw Pwè

๒) สอบพระปริยัติธรรม Sadaw Pyan Pwè หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Patama Sa-Pyan-sa-me Pwè

๓) พิธีขออภัย Hnit-thit Kadaw Pwè ฝรั่งแปลว่า Beg Pardon Festival

๔) พิธีแรกนามงคล Mingala Lodaw Pwè

พิธีขอฝนนั้นทำในสัปดาหะต้นของเดือน ๗ พระราชาคณะ Sadaw สงฆ์ ประชุมกัน ณ โรงพิธีข้างหน้าศาลาลูกขุน สวดพระปริต Nya Payeik คาถาพระยาปลาช่อนใน ๑๒ ตำนานขอฝน พราหมณ์ทำพิธีที่ริมประตูเมืองด้านใต้ ปลูกโรงพิธีเปนมณฑป ๒ หลัง ปั้นเทวรูปกับรูปสัตว์น้ำตั้งเปนประธานในมณฑปนั้น พราหมณ์ร่ายมนตร์ขอฝนแล้วแห่เทวรูปกับรูปสัตว์เหล่านั้นไปทิ้งลงในแม่น้ำเอราวดี ในการพิธีขอฝนพระเจ้าแผ่นดินหาได้เสด็จออกไม่

การสอบพระปริยัติธรรมนั้นกำหนดวันขึ้น ๘ ค่ำ พระราชาคณะสงฆ์ประชุมกันณสุธมฺมศาลา Thutama Zayat และปะฐานศาลา Patan Zayat ที่เชิงเขามัณฑเล สอบความรู้สามเณร ในการนี้เมื่อครั้งพระเจ้ามินดงเสด็จออกเสมอ หลักสูตรที่สอบนั้น (มีพรรณนาไว้ในหนังสืออีกเรื่องหนึ่งว่า) จัดเปน ๔ ประโยค ให้แปลคัมภีร์ต่างๆ ดังกล่าวต่อไปนี้

ประโยค ๑

กจฺจายน

อภิธมฺมสํคห

มาติกา

ธาตุกถา

ประโยค ๒

กจฺจายน

อภิธมฺมสํคห

มาติกา

ธาตุกถา

ยมก ๑-๕

ประโยค ๓

กจฺจายน

อภิธมฺมสํคห

มาติกา

ธาตุกถา

ยมก ๑-๑๐

อภิธานปฺปทีปิกา

ฉนฺท

อลํการ

ประโยค ๔

กจฺจายน

อภิธมฺมสํคห

มาติกา

ธาตุกถา

ยมก ๑-๑๐

ปตฺถาน กุสลฎีกา

อภิธมฺม อปฺปทีปิกา

ฉนฺท

อลํการ

ผู้เข้าสอบ ต้องจำได้ทั้งภาษามคธ และแปลเปนภาษาพะม่าได้ด้วย

สังเกตตามชื่อที่ใช้หนังสือคัมภีร์เดียวกันสอบทั้ง ๔ ประโยคพึงสันนิษฐานว่าคงเลือกตอนง่ายเปนประโยคต้น แล้วสอบตามที่ยากยิ่งขึ้นเปนลำดับไป น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งที่ใช้คัมภีร์พระปรมัตถเปนหลักสูตรเปนพื้น ข้อนี้ไปเข้ากับเรื่องนิทาน ว่าเมื่อเชิญพระไตรยปิฎกมาจากลังกาทวีป พายุพัดพาเรือลำบรรทุกคัมภีร์พระวินัยพลัดไปเมืองมอญ ลำที่บรรทุกพระสูตรพลัดมาเมืองไทย จึงเปนเหตุให้พระสงฆ์มอญชำนาญพระวินัย พระสงฆ์ไทยชำนาญพระสูตร น่าเติมความในนิทานนั้นว่าเรือลำบรรทุกพระปรมัตถพลัดไปเมืองพะม่า แต่ถ้าว่าตามเค้าเงื่อนทางโบราณคดี พะม่าน่าจะถ่ายแบบการสอบพระปริยัติธรรมไปจากมอญ จึงจัดระเบียบเปน ๔ ประโยคอย่างเดียวกัน คงเห็นว่าความรู้พระวินัยรุ่งเรืองอยู่แล้วในเมืองมอญ (อันเปนอาณาเขตต์ของพะม่าอยู่แล้ว) จึงบำรุงความรู้พระปรมัตถในเมืองพะม่า

พิธีขออภัยนั้น อธิบายว่าเปนประเพณีบ้านเมือง ผู้น้อยต้องแสดงความเคารพขออภัยผู้ใหญ่ในการพิธีนี้ เปนต้นแต่บุตรกับบิดา ญาติที่อ่อนอายุกับญาติผู้ใหญ่ บ่าวกับนาย ผู้น้อยกับผู้ใหญ่ จนที่สุดข้าราชการกับพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนพิธีหลวงนั้นเสด็จออกเปนการเต็มยศ แต่เดิมเจ้านายและข้าราชการต้องถือน้ำพระพิพัฒนสัตยาอีกครั้งหนึ่ง แต่พระเจ้ามินดงตรัสสั่งให้งดเสีย

พิธีแรกนามงคลนั้น พอฝนตกพื้นดินอ่อนจึงกำหนดฤกษ์ พระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกทรงไถนาหลวงที่ทุ่งหลังเมืองมัณฑเล แต่งพระองค์อย่างจอมพล เจ้านายข้าราชการแต่งเต็มยศ มีไถทองไถเงินและเครื่องแต่งตัวโคอย่างหรูหรา เจ้านายและข้าราชการผู้ใหญ่มีหน้าที่ต้องไถนาตามเสด็จด้วย พวกพราหมณ์ก็ทำพิธีบูชาขอพรเทวดาตลอดเวลาที่ไถนั้น

เดือน ๘ มีพิธีบวชนาคหลวง เรียกว่า Pyinsindaw kan Pwè หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Pyinsin Shin-pyu อย่างหนึ่ง กับพิธีเข้าวัสสา เรียกว่า Wawin Kadaw อย่างหนึ่ง

พิธีบวชนาคหลวงนั้น คืออุปสมบทพวกสามเณรที่แปลหนังสือได้เปนเปรียญในปีนั้น บวชวันขึ้น ๘ ค่ำ ณ วัดหลวงที่เชิงเขามัณฑเล และมีการฉลองอย่างครึกครื้น นอกจากนั้นพระราชทานบำเหน็จแก่เปรียญ ด้วยปลดญาติจากหน้าที่ราชการให้เปนผู้อุปฐาก มากและน้อยคนตามชั้นประโยคที่สอบได้

พิธีเข้าวัสสานั้น ในกฎมณเฑียรบาลกล่าวแต่ว่ามีการเสด็จออกมหาสมาคมที่มหาปราสาท เจ้านาย ข้าราชการในกรุงและเจ้าเมืองทั้งหลาย ต้องเข้ามาเฝ้าพร้อมกัน

เดือน ๙ มีการพิธี Sayedan Pwè อธิบายว่าถึงวันแรม ๘ ค่ำ พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานจตุปัจจัยทานพระภิกษุสงฆ์เท่าจำนวนปีพระชันสาและทรงทำพลีกรรมแก่เทพารักษ์ Nat ด้วย

เดือน ๑๐ มีการพิธี Hledaw Pwè หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Ye-thabin Hle Pwè คือแข่งเรือในแม่น้ำเอราวดี แต่ไม่มีรายการปรากฎ

เดือน ๑๑ มีการพิธีออกวัสสา

ก) ให้ผูกโครงเปนเขาพระสุเมรุขึ้นที่นอกพระราชวังด้านหน้า ประดับด้วยดวงประทีป เปนที่ประชุมชาวพระนคร ตั้งแต่วันขึ้นค่ำ ๑ ไปจนถึงขึ้น ๓ ค่ำ

ข) ตั้งแต่วันแรม ๘ ค่ำมีหุ่น (คือ มโหรศพ) รายรอบพระราชวัง ๗ วัน

ค) วันกลางเดือนแห่เครื่องบูชา (เห็นจะเปนผ้าป่า) ไปถวายตามวัด มีทั้งที่เปนของหลวงและของราษฎร์มีกระบวนแห่ไปทางบกบ้าง ไปทางน้ำด้วยเรือกลไฟหรือเรือพายบ้าง มักผูกหุ่นเปนรูปสัตว์ต่างๆ รองเครื่องบูชา และมีเครื่องดนตรีกับคนฟ้อนรำไปในกระบวนแห่ เปนการรื่นเริงอย่างใหญ่

ฆ) เสด็จออกมหาสมาคมอย่างเมื่อเข้าวัสสาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้พวกเจ้าประเทศราชต้องเข้ามาเฝ้า และมีการถือน้ำกระทำสัตย์ด้วย ครั้งนี้อนุญาตให้พวกพ่อค้าและเศรษฐีเข้าเฝ้าด้วย

ง) ตั้งแต่วันแรมค่ำ ๑ ไปจนถึงแรม ๘ ค่ำ ตามวัดแต่งประทีปและมีการมโหรศพต่างๆ (ฉลองบุญ)

เดือน ๑๒ มีการพิธีทอดกฐิน Kateindaw Pwé อย่างหนึ่ง พิธีเผารูปปราสาทจำลอง Tazaungdaing Pwè อย่างหนึ่ง

พิธีทอดกฐินนั้น กฐินหลวงอย่างสามัญเปนแต่เจ้าพนักงานเอาผ้าไตรย์กับเครื่องไทยธรรมไปถวายพระเจ้าแผ่นดินทรงจบพระหัตถ์และหลั่งน้ำสิโนทก แล้วนำไปยังสุธมฺมศาลา พวกชาววัดที่จะรับกฐินมารับขนเอาไปยังวัด ครั้นถึงวันกำหนดมีข้าราชการไปทอดแทนพระองค์ หาได้เสด็จไปทอดเองไม่ ขึ้น ๑๔ ค่ำทำจุลกฐินของหลวง เวลาเย็นหมายเรียกพวกภรรยาข้าราชการเข้าไปประชุมกันในพระราชวังทางด้านหลัง พอพลบค่ำก็ให้ลงมือปั่นฝ้ายทอผ้ากำหนดให้เสร็จเปนผืนผ้าก่อนรุ่งสว่าง ถ้าจับได้ว่าใครเอาผืนผ้าปลอมเข้าไป ทั้งสามีภรรยาต้องระวางโทษ ให้เอาผ้านั้นนุ่งห่มและรำซุยร้องเพลงเข้าปี่พาทย์ประจานตัว ผ้าที่ทอแล้วนั้นพอเช้าก็ตัดเย็บย้อมเปนไตรย์ ถวายจบพระหัตถ์แล้วพระราชทานไปทอดกฐินที่พระอารามหลวงในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ หาได้เสด็จไปทอดเองไม่

อนึ่ง ในวันกลางเดือน ๑๒ นั้น พระเจ้าแผ่นดินเสด็จไปบูชาเทวรูปณหอเทวาลัย เจ้านายและข้าราชการทั้งปวงก็ไปบูชาด้วย

พิธีเผารูปปราสาทจำลอง เห็นจะเปนพิธีเสดาะพระเคราะห์ในกฎมณเฑียรบาลพะม่า กล่าวว่าถึงวันแรม ๘ ค่ำให้เอาปราสาท Pyathat ซึ่งผูกโครงด้วยไม้ไผ่ ๘ หลัง ถวายพระเจ้าแผ่นดินกับพระอัครมเหษีจบพระหัตถ์ แล้วแห่ไปเผา ณ พระอารามที่สำคัญ ๘ แห่ง

เดือนอ้าย มีการพิธีถวายเข้าใหม่ เรียกว่า Maha Peinne Pwè-dawอธิบายว่าเมื่อเกี่ยวเข้าใหม่ที่ปลูกในนาหลวงได้แล้ว เอาไปถวายบูชา พระพุทธรูปมหามัยมุนี (ที่พระเจ้าปะดุงเชิญมาจากเมืองยักไข่) ขุนนาง เรียกว่า Lamaing Wun กับ Lamaing Saye (สันนิษฐานว่าในกรมนา) เปนพนักงานทำพ้อม สานผูกเปนรูปโคกระบือและกุ้ง ใส่เข้าเปลือกและพืชพรรณไม้อื่นที่เก็บเกี่ยวได้ผลในระดูเดียวกัน แล้วขนไปถวายที่วัดยักไข่นั้น

อนึ่งเมื่อถึงวันพระจันทร์ขึ้นด้วยกันกับดาวฤกษ์ กติเกยา Kyattiya และโรหิณี Yowhani ให้เชิญเทวรูปพระขันธกุมารอันทรงนกยูงออกมาตั้งทรงบูชา แล้วโปรยทานและแจกผ้าแก่ประชาชน

เดือนยี่ มีการพิธีเสด็จออกสนาม เรียกว่า Myingin-daw Pwè พระเจ้าแผ่นดินกับพระอัครมเหษีเสด็จออกท้องพระโรงหน้า และปลูกปรำข้าราชการพักข้างหน้าเขื่อนพระราชมณเฑียร มีการกีฬาที่ท้องสนามชัย

การกิฬา ชุดแรกเปนของเจ้านายและข้าราชการผู้ใหญ่กับนายทหารจัดมาประกวดกัน

ก) ชนช้างตัวเปล่า

ข) ชนข้างมีคนขี่

ค) ช้างสู้เสือ (บางทีก็เสือจริงบางทีก็หุ่นเสือ)

ฆ) ขี่ม้าวิ่งพุ่งหอกให้ถูกเป้า

ชุดหลัง พวกทหารม้าทั้งนายไพร่ประกวดกัน

ก) ยืนบนหลังม้าวิ่งแทงห่วง

ข) ยืนบนหลังม้าวิ่งฟัน Chatty (แปลไม่ออกว่าอะไร) มิให้ตกถึงดิน

ค) ยิงเป้า

ใครตกม้า ถูกปรับเอาเงินไปรวมเปนรางวัลคนชนะ หนึ่งในเดือนนี้ เจ้าฟ้าประเทศราชไทยใหญ่ส่งกล้วยไม้ (เอื้องแซะ) มาถวายด้วย

เดือน ๓ มีพิธีทำเข้ายาคู Yagu คือถึงวันขึ้น ๑๔ ค่ำกลางคืนให้พวกฝ่ายทหารหุง Cooking แป้งเข้าด้วยน้ำมะพร้าวเจือเนยและเครื่องหอมใช้ไม้หอมต่างๆ มีจันทน์เปนต้นเปนฟืน รุ่งขึ้นวันกลางเดือนเอาไปถวายพระเจ้าแผ่นดินทรงเจือน้ำมนตร์ แล้วส่งไปถวายพระสงฆ์ตามพระอารามในกรุงมัณฑเลและเมืองอมรบุระ พวกพลเมืองต่างก็หุงเข้ายาคูถวายพระเปนประเพณีบ้านเมือง

เดือน ๔ มีการพิธีบวงสรวงเทพารักษ์และก่อพระทราย

การบวงสรวงของหลวงนั้น ส่งเครื่องพลีกรรมไปบวงสรวงเทพารักษ์ที่รักษาพระนครทั้ง ๔ ทิศ และบวงสรวงเทพารักษ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ ณ เทวสถานต่างๆ อีก ๓๗ แห่ง ส่วนประชาชนก็เส้นผีกันเปนประเพณีทั่วไป

การก่อพระทราย (ตามวัด) นั้น ทำเปนการกุศลและทำเปนประเพณีบ้านเมืองเหมือนกัน สิ้นเรื่องพิธี ๑๒ เดือนเพียงเท่านี้

พิธีปลงพระบรมศพ

อธิบายประเพณีปลงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินพะม่า พบในหนังสืออื่น พรรณนาว่าด้วยงานปลงพระบรมศพพระเจ้ามินดงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๑ และได้ฟังคำชี้แจงของพวกพะม่า ว่าประเพณีปลงศพในเมืองพะม่านั้นเผาแต่ศพพระกับศพเจ้า ถ้าเปนบุคคลชั้นอื่นฝังทั้งนั้น ลักษณปลงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดิน อธิบายว่าแต่โบราณทีเดียวเมื่อถวายพระเพลิงแล้ว รวมพระบรมอัฐิไปลอยทิ้งในแม่น้ำเอราวดี และสร้างพระเจดีย์เปนอนุสสรณ์ไว้ตรงที่ปลงพระบรมศพ ต่อมาแปลงเปนบรรจุพระบรมอัษฐิไว้ในพระเจดีย์ที่สร้างเป็นอนุสสรณ์ แทนเอาไปลอยทิ้งน้ำ ครั้นถึงรัชชกาลพระเจ้ามินดง ตรัสสั่งให้บรรจุพระบรมศพของพระองค์ไว้ในวัตถุซึ่งสร้างเปนอนุสสรณ์ไม่ต้องทำการถวายพระเพลิง การบรรจุพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินพะม่าจึงเกิดขึ้นเมื่อปลงพระบรมศพพระเจ้ามินดงเปนครั้งแรก และถือกันว่าบรรจุศพนั้นไม่เปนการฝัง เพราะศพมิได้อยู่ในแผ่นดิน

รายการเรื่องปลงพระบรมศพพระเจ้ามินดงนั้นว่าเมื่อสวรรคต (วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๑) แล้ว เชิญพระบรมศพจากมณเฑียรทองที่เสด็จสวรรคต มาไว้บนพระแท่นตั้งตรงหน้าภมราสนบัลลังก์ในมหามณเฑียรแก้ว พระบรมศพหุ้มห่อด้วยผ้าขาว ปิดทองที่พระพักตร์และพระหัตถ์ทั้งสองข้าง รอบพระแท่นตั้งเครื่องต้นเครื่องทรงและเครื่องราชูปโภคกับของโปรดต่างๆ กับทั้งเครื่องพระกระยาหาร ต่อออกมาทำรั้วตาข่ายทองวงรอบ มีนางในผลัดกันนั่งประจำปัดแส้ ๔ คน ข้างเบื้องบนแขวนพวงดอกไม้ทองประดับประดา และมีกลอง (ชนะ) ตีประโคมทุกยาม ไว้พระบรมศพเช่นนั้น ๓ วัน (คงมีการพิธีในระวางนั้นด้วย แต่มิได้พรรณนา) ถึงวันที่ ๓ อนุญาตให้นักสนมนางในและข้าราชการทั้งปวงเข้าไปถวายบังคม แล้วเชิญพระบรมศพลงหีบทองประดับเนารรัตนตั้งไว้อีก ๓ วัน (สันนิษฐานว่าระยะ ๓ วันแรกเพื่อต่อหีบพระบรมศพต่อมาอีก ๓ วันหลังรอให้การก่อที่บรรจุสำเร็จ)

ถึงวันที่ ๗ แห่พระบรมศพจากพระราชมณเฑียรไปบรรจุณมณฑปที่ก่อขึ้นใหม่ในพระราชวังชั้นนอก (ถ้าเปรียบให้เข้าใจง่าย ที่สร้างมณฑปนั้นเหมือนอย่างอยู่ที่สนามตรงหน้าหอรัษฎากรพิพัฒน) กระบวรแห่ (ฝรั่งผู้ได้ไปดู พรรณนาไว้ว่า) หาบพระยานมาศนำหน้าแล้วถึงหมู่ช้างพระที่นั่งม้าพระที่นั่ง ล้วนแต่งเต็มประดาและผูกเครื่องราชอาสน์ต่างๆ ต่อนั้นถึงกระบวรข้าราชการแต่งเต็มยศ สวมเสื้อครุยใส่ลอมพอกอย่างพะม่า อัครมหาเสนาบดี ๒ คนเดินคู่กันนำหน้า มีคนถือร่มสีแดงคันดารอันเปนเครื่องยศอัครมหาเสนาบดีกั้น ขุนนางชั้นรองๆ เดินตามต่อมา ชั้นที่มีร่มเครื่องยศก็มีคนกั้นร่มแต่เปนคันตรงทั้งนั้น แล้วถึงกระบวรกลองชะนะแตรและเครื่องประโคม ต่อนั้นถึงกระบวรมหาดเล็ก (ตามที่ฝรั่งว่านางในด้วย) เชิญเครื่องราชูปโภคแล้วถึงหีบสำหรับจะทรงพระบรมศพเมื่อบรรจุต่อมาถึงพวกลูกเธอองค์ชายทรงขาวถือแถบผ้าโยงชักพระบรมศพ (ตรงนี้ผู้พรรณนาว่าเอาพระบรมศพออกใส่เปลหาม เห็นว่าน่าจะเข้าใจผิด ที่จริงจะเปนหีบพระบรมศพแต่งโคม) มีเศวตฉัตรกั้น ๒ ข้าง ๘ คัน ต่อนั้นถึงกระบวรนางในตามพระบรมศพ มีพระนางอเลนันดอซึ่งกั้นเศวตฉัตรและเจ้าฟ้าหญิงราชธิดากั้นพระกลดสีเหลือง กับลูกเธอพระองค์หญิงและนักสนมล้วนแต่งขาวเดินเปนกระบวร ต่อกระบวรนางในถึงกระบวรตำรวจแห่พระเจ้าสีป่อทรงราชยานตามพระบรมศพ ท้ายกระบวรเสด็จมีพระสงฆ์ ๖๔ รูปเท่าจำนวนปีพระชนมายุของพระเจ้ามินดงเดินตามเปนที่สุด (พระสงฆ์ ๖๔ รูปมิใช่กระบวรแห่ แต่ผู้จดไม่รู้ธรรมเนียมเห็นเดินตามไปข้างหลังก็เข้าใจว่าเดินแห่ ถ้าเปนในเมืองไทยก็เข้าใจได้ว่าคงนิมนตร์มาชักผ้าไตรย์บังสกุล แต่ในเมืองพะม่าไม่มีประเพณีชักผ้าบังสกุลในงานศพ จึงได้แต่สันนิษฐานว่าเห็นจะนิมนตร์มาสวดสดับกรณ) ตั้งแต่ปลงพระบรมศพพระเจ้ามินดงแล้ว พระศพเจ้านายก็ใช้ประเพณีบรรจุแทนเผาต่อมา ยังเผาในบัดนี้แต่ศพพระ

แปลกฎมณเฑียรบาลพะม่าเพียงเท่านี้

  1. ๑. มงกุฎพะม่า เย็บด้วยไหมปักทองรูปทรงคล้ายตุ้มปี่

  2. ๒. ยานมาศ พะม่าเรียกว่า “วอ” Waw จำหลักปิดทองล่องชาดมีที่นั่งทั้งข้างหน้าข้างใน (เหมือนรถแลนดอฝรั่ง) ขนาดใหญ่โตต้องหามถึง ๔๐ คน

  3. ๓. รูปฉายพระเจ้ามินดงทรงเครื่องเต็มยศอย่างพะม่ามีอยู่

  4. ๔. รูปฉายพระเจ้าสีป่อกับราชินีสุปยาลัตทรงเครื่องต้นอย่างพะม่ามีอยู่

  5. ๕. เศวตรฉัตรชั้นเดียว รูปเหมือนกับพระกลดไทย

  6. ๖. ถ้ามีเจ้าเปนผู้อ่านตามว่า ดูทำนองเจ้าอ่านพระนามพระเจ้าแผ่นดิน ขุนนางอ่านพระนามพระอัครมเหษี

  7. ๗. เรือนี้มีรูปภาพอยู่ ลำเก่าหัวเปนนก (ในพวกสัตว์หิมพาน) ลำใหม่ทำหัวเปนนาคมีครุธยืนอยู่ข้างหลัง

  8. ๘. คำว่า “มิบุยะ” พะม่าเรียกตั้งแต่พระอัครมเหษีลงไปจนเจ้าจอมมารดา ฝรั่งก็แปลว่า Queen ทั้งนั้น จะหาคำภาษาไทยให้ตรงกันไม่ได้

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ