วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น

ตำหนักปลายเนีน คลองเตย

วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๙

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรง ทราบฝ่าพระบาท

ลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ โปรดประทานไปพร้อมด้วยพระนิพนธ์เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ ท่อนที่ ๓ ได้รับประทานแล้ว

ในเรื่องชื่อหอพระสมุดนั้น คำนำของเกล้ากระหม่อมเขียนออกชื่อไว้ถึง ๔ แห่ง อยู่ข้างฟั่นเฝือส่อให้รู้สึกว่าเรียงไม่ดี จะแก้ตัดเอาออกเสียให้เหลืออยู่แต่แห่งที่บังควร และจะใช้ชื่อว่าหอพระสมุด ตามพระดำริซึ่งตรัสแนะนำไปนั้น อนึ่งที่จ่าหน้าว่า คำนำ ก็จะแก้เสียเปนว่า คำอุทิศ เพื่อเปิดช่องไว้ให้กรมศิลปากรเขาแต่งคำนำลงได้ ไม่เช่นนั้นจะเปนไปปิดทางของเขาเสีย

เวลามีเหลืออยู่ก็พิจารณากฎมณเทียรบาลพะม่าเรื่อย ๆ ไป จึงเห็นขึ้นอีกแห่งหนึ่งว่าควรซ่อมแซม ที่ตรงพิธีเดือน ๙ มีความในต้นฉะบับแต่เพียงว่ามีการพิธี Sayedan Pwè ดูมืดมัวเต็มที จึงให้ไปถามพะม่าว่าคำนั้นแปลว่ากะไร เขาบอกว่าพิธีสลากภัตต์ จึงเห็นควรเติมความเข้าดังนี้ เดือน ๓ มีการพิธีสลากภัตต์ Sayedan Pwè

สังเกตราชประเพณีเมืองพะม่า ในการนิมนต์พระสงฆ์เข้าไปทำพิธีในพระราชวัง เห็นจะมีน้อยเต็มที

ในเรื่องสวดสัพพพุทธาแทนโสอัตถลัทโธนั้น ได้เริ่มใช้ที่วังลดาวัลย์ในการพระราชกุศลส่งพระศพออกพระเมรุ แต่ก็ลักลั่น ตอนเทศนาสวดโสอัตถลัทโธ ตอนสดับปกรณ์สวดสัพพพุทธา ความลักลั่นเช่นนั้น ส่อให้เห็นได้ว่าทำไปด้วยไม่ได้ปรึกษาตกลงพร้อมกัน แล้วได้ทราบจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ว่าสมเด็จพระสังฆราชเจ้าไปตรัสปรึกษาที่พระเมรุถึงการที่จะใช้สัพพพุทธา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ค้านว่ายาวนัก แต่พระองค์ท่านเปนผู้นำ ท่านทรงชักสัพพพุทธาก็ต้องสวดตามกันไป คำค้านของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์นั้นไม่ไร้ผล ด้วยเมื่อถึงงานบรรจุพระอังคารสมเด็จหญิงน้อยที่วัดราชบพิธ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงชัก ทุกฺขโรคภยาเวรา แปลว่าสัพพพุทธาตัด งานต่อมาพระก็ใช้สวดโสอัตถลัทโธบ้างสัพพพุทธาบ้าง แปลว่าเห็นแตกกันเปนสองพวก แต่ทุกขโรคภยาเวราไม่มีใครใช้สวดตามเสด็จ

ปลาดใจในเรื่องบ้านตัดหัวที่ได้ทรงทราบละเอียดลออมาก ตามพระดำรัสบรรยายนั้นปรากฎพอที่จะชี้ขาดลงไปได้ ว่าการตัดหัวนั้นพระยาอภัยภูเบศรเปนผู้กระทำ เพราะตัวตายที่นั่น เปนอันยอมให้อภัย ว่าทำไปอย่างไร้ผลด้วยอำนาจสัญญาวิปลาศ บ้านผีร้ายชะนิดนั้นเห็นจะไม่ใช่มีแต่ที่กรุงเทพฯ และปีนัง คงจะมีอยู่หลายบ้านหลายเมือง ด้วยได้พบในหนังสือซึ่งเป็นเรื่องอ่านเล่นก็มีกล่าวถึงอยู่เนืองๆ

เรื่องพระองค์หญิงวัลลภา ซึ่งตรัสเล่าว่าเธอเคยเป็นโรคเนื้องอกภายใน ถึงต้องผ่าพระนาภีตัดเนื้อออกนั้น เปนความรู้ซึ่งเพิ่งจะทราบในบางกอกไม่มีใครโจษกันถึงเรื่องนั้นเลย

ของสะสมของหม่อมเจ้าปิยภักดีนารถ เกล้ากระหม่อมก็เคยชำเลืองดู นึกชอบใจแต่เงินตรา เธอเก็บไว้ได้มากจริง ส่วนหนังสือนั้นไม่เคยหยิบดู เห็นลางฉะบับที่เขายืมมาลอก อ่านดูก็ไม่เกิดศรัทธา เปนพวกหนังสือนาย ก.ส.ร. กุหลาบ พวกเครื่องไม้ฉลักของเธอนั้นเปนของเก่าจริงอยู่ แต่สังเกตเห็นไม่มีชิ้นที่จะเปนครูได้เลย เกล้ากระหม่อมได้เคยปฏิบัติช่วยเธอ ด้วยจางวางรอดเอารูปพระกาลฉลักด้วยไม้มาขาย ได้แนะนำให้เขาเอาไปขายหม่อมเจ้าปิย แล้วจะได้ไปหรือไม่ได้ไปไม่ทราบ รูปพระกาลนั้นเชื่อว่าขะโมยมาแต่ศาลพระนครหลวง (ที่พระครูปลื้มไปซ่อม) ตามที่ซื้อของหม่อมเจ้าปิยสะสมไว้ เปนราคาถึง ๔๐,๐๐๐ บาทนั้น นับว่ามากพอใช้ แต่ก็ยังดีกว่าซื้อพลอย เห็นในหนังสือพิมพ์เขาลงว่า ผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรีนำพลอยที่ขุดได้ในจังหวัดนั้น ไปบอกขายกรมศิลปากร เพื่อให้ซื้อเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์สถาน เปนพลอยเมล็ดเดียวตั้งราคาถึง ๕๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่ตกลงซื้อกันว่าเงินในงบประมาณไม่มีพอ มีเงินในงบประมาณแต่เพียง ๔๐,๐๐๐ บาท

อ่านพระนิพนธ์เรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ซึ่งประทานไปคราวนี้ มีข้อเดียวที่จะกราบทูลในข้อที่ว่าเจ้าหญิงไปเที่ยวโรงเตี๊ยมจีน กลับมาทูลว่าสู้ในกรุงเทพฯ ไม่ได้ ข้อนี้เปนของประหลาด อย่าว่าแต่ในเมืองพะม่าเลย แม้ในเมืองฮ่องกงซึ่งเปนเมืองจีนทีเดียว ผู้ที่เคยไปกลับมาพูดหลายปาก เปนคำต้องกันว่าทำกับข้าวสู้ในกรุงเทพฯ ไม่ได้

คราวนี้จะกราบทูลรายงานการพระราชทานเพลิงศพพระยาโบราณจัดเปนงานเสด็จพระราชดำเนิน มีคณะผู้สำเร็จราชการไปแทนพระองค์ ๒ คน คนไปส่งสักการศพคับคั่ง สังเกตเห็นเปนคนเก่า ๆ แก่ ๆ เปนพื้น เห็นพระองค์ธานีนุ่งขาว จะถามเหตุแก่เธอก็กลัวเปิ่น เข้าใจว่านุ่งให้ในทางครูบาอาจารย์อะไรอย่างหนึ่ง กลับถึงบ้านยังได้ข่าวจากแม่โตเล่าทางผู้หญิงอีกว่าหญิงสุรางค์ศรีก็ไป ให้นึกสงสัยว่าไปด้วยเหตุใด แต่เมื่อได้สนทนากันเธอบอกว่าพระยาโบราณเปนครูของเธอ สูงพอใช้ ตัวแม่โตเองก็เกี่ยวข้อง ดุจเปนญาติกับพระยาโบราณด้วยไม่รู้ตัว เมื่อจะทำศพท่านพ่อ พระยาโบราณมาบอกว่า จะใช้อะไรก็ใช้ ผมไม่ใช่คนอื่น แม่โตงงไม่รู้หนเหนือหนใต้ ครั้นชี้แจงกันขึ้นจึงซับทราบด้วยความตกใจ คุณย่าเอี่ยมของแม่โตเคยไปสวนพ่อเดชอยู่บ่อยทีเดียว แต่หาทราบไม่ว่าพระยาโบราณเปนลูกพ่อเดช หนังสือที่แจกในงานศพนั้นดีนัก แต่ให้นึกหนักใจที่ฝ่าพระบาทต้องทรงตรวจหนังสือเปนกองสองกองในเวลาอันสั้น เกรงจะเปนเหตุให้ไม่ทรงสบาย เพราะสังเกตตัวเอง อายุตกเข้าปานนี้ หากทำการมากเวลาเหมือนแต่ก่อนมักจะทำให้นอนไม่หลับ หลับไม่ดีก็เปนเหตุให้อ่อนเปลี้ยไป

ในลายพระหัตถ์ฉะบับก่อน ตรัสถึงเงินค่าสร้างพระเมรุ ทรงพระดำริเห็นว่ามากเกินควรนั้น ขอประทานกราบทูลให้ทรงทราบว่า จำนวนที่หนังสือพิมพ์ลงนั้น เปนจำนวนที่ขออนุญาตเบิกใช้ในการพระเมรุรวมทั้งหมดจ่ายจิปาถะไม่ใช่จำเพาะแต่ทำเมรุอย่างเดียว ซ่อมแซมของใช้เช่นรถรัถฉัตรแว่นฟ้าฐานเขียง ตลอดถึงซื้อของเพิ่มเติมเสร็จในจำนวนนั้นด้วย

เมื่อวันที่ ๑๗ มีการบรรจุพระอังคารพระองค์หญิงอรพินทุ์ที่วัดราชบพิธอนุสสรณ์ที่บรรจุนั้น เดิมเปนหลักเล็กที่บรรจุอังคารเจ้าจอมมารดาย้อย เจ้าภาพเห็นไม่สมควรเปนที่บรรจุพระอังคารเจ้านายไว้ด้วยจึ่งรื้อเสียทำใหม่ เปนเกยลามีฐานตั้งแจกันปักดอกบัวบนนั้น มีที่บรรจุพระอังคารเจ้านายกับเจ้าจอมมารดารวมกันที่ฐาน ทำกะทัดรัดดี แต่สุสานวัดราชบพิธนั้นแน่นเสียเต็มทีแล้ว พื้นที่อันทำไว้แต่เดิมดูเปนไม่ได้นึกว่าอนุสสรณ์จะมีมากมายนัก ส่วนอนุสสรณ์ก็ไม่มีการควบคุม ใครจะทำเป็นลักษณอย่างไร ใหญ่เล็กเท่าไรก็ทำได้ตามใจ ที่สุดดูก็เกะกะไปหมด ไม่เปนระเบียบอันงาม

ขณะนี้มีญี่ปุ่นคณะคนรำคนร้องเข้ามา ในว่ามาตอบแทนในการที่ไทยได้จัดส่งคณะโรงเรียนนาฏศาสตร์ออกไปเล่นที่เมืองญี่ปุ่นเมื่อปีกลายนี้ ออกอยากเห็นอยากฟัง เพราะไม่เคยเห็นเคยฟัง แต่ยังไม่ทราบว่าเขาจะมาเล่นท่าไร ถ้าเขาเล่นในโรงหนังเก็บเงินก็ไปดูไปฟังได้ แต่ก็ท้อใจเหลือเกิน ด้วยเดี๋ยวนี้หูมันดื้อเสียเต็มทีแล้ว กลัวจะไม่ได้อะไรใส่กระเป๋ากลับมาบ้าน

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ