วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น

ตำหนักปลายเนีน คลองเตย

วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๔๗๙

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรง ทราบฝ่าพระบาท

เมื่อวันที่ ๕ เดือนนี้ หญิงจงไปหาแสดงตนว่ากลับจากปีนัง เชิญลายพระหัตถ์ไปให้ เปนลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๓ เดือนนี้ พร้อมด้วยพระนิพนธ์เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่าตอนที่ ๗ เที่ยวเมืองพุกาม ท่อนที่ ๖ กับทั้งรูปฉายประกอบกันอีก ๔ รูป เปนพระเดชพระคุณล้นเกล้า

เรื่องเครื่องราชกกุธภัณฑ์อยู่ข้างจะลุกลาม พาให้หยุดไม่ได้

คาถาพระราชนิพนธ์ของทูลกระหม่อม ซึ่งทรงระบุเปนไม้ท้าวไว้นั้นเกล้ากระหม่อมก็คิดว่าคงทรงได้หลักในทางบาลีแห่งใดแห่งหนึ่งมา พระสารประเสริฐก็คิดเช่นนั้น แต่ครั้นไปตรวจหาในบาลีก็ยังไม่พบที่กล่าวถึงไม้ท้าวอยู่ที่ไหนเลย แต่เปนแน่ว่าที่ได้ค้นนั้นเปนส่วนน้อย จะยืนยันว่าไม่มีนั้นไม่ได้ ต้องว่ายังไม่พบ เกล้ากระหม่อมมานึกประมาณการณ์ขึ้นเมื่อเขียนหนังสือถวายนั้นเอง ว่าหรือจะทรงแต่งอลุ้มอล่วยเข้าหาตำราราชาภิเษกของเราซึ่งกำหนดเปนไม้ท้าว เพื่อไม่ให้ขัดกัน แต่ทั้งนี้เปนแต่สันนิษฐานเท่านั้น

ฝ่าพระบาททรงจำแม่น เปิดตำราปัญจราชาภิเษกตามที่ตรัสแนะก็พบผ้ารัตนกัมพล กล่าวไว้ดังนี้

“ลักษณเครื่องสำหรับราชาภิเษกของสมเด็จพระมหากษัตริย์นั้น คือ พระมหามงกุฎ ๑ พระภูษาผ้ารัตกัมพล ๑ พระขรรค์ ๑ พระเศวตรฉัตร ๑ เกือกทองประดับแก้วฉลองพระบาท ๑ สำหรับราชาภิเษกของสมเด็จพระมหากษัตริย์มีลักษณะห้าประการดังนี้แล”

ตามตำรานี้ ผิดกับที่เราถือใช้อยู่เวลานี้ถึงสองสิ่ง คือทานพระกรเปนเศวตรฉัตร กับวาลวิชนีเปนผ้ารัตกัมพล ดูก็พอไปได้ ใช้ผ้าขาวม้าปัดยุงแทนแส้

ขอประทานโทษที่เขียนวาลวีชนีถวายมาก่อน ใช้ ฬ สกดผิดไปของสิ่งนี้เห็นจะไม่มียุ่งอย่างไรในอินเดีย มายุ่งกันทางเมืองไทยนี้เอง ยุ่งเพราะเรื่องแปล วาล ว่าขนสัตว์หรือขนหางสัตว์ วีชนี เราแปลกันว่าพัดเพราะฉะนั้นถ้าทำด้วยขนจามรีตามคติอินเดียแล้วก็เปนพัดไม่ได้ กลายเปนแส้ไปเสีย เว้นแต่จะทำด้วยขนนกจึ่งจะเปนพัด แต่เหตุใดเครื่องราชกกุธภัณฑ์จึงไม่ใช้พัดขนนก ไพล่ไปใช้พัดใบตาล ซึ่งมีชื่อในภาษาบาลีไปเสียต่างหากเรียกว่า “ตาลปตฺต” เกล้ากระหม่อมเห็นว่าถ้าแปลคำ วีชนี ว่าเครื่องโบกปัดเสียเท่านั้นก็จะเปนอันสิ้นถ้อยคำหนามเสี้ยน เจ้ากรรมที่ฝรั่งก็แปล วีชนี ว่าพัดเสียด้วย แต่ก็น่าสงสัยอยู่มาก ใช้คำว่า Yaktail Fan แปลว่าพัดหางจามรี อันจะเปนพัดไม่ได้ แต่คำ Fan ของฝรั่งจะหมายความไปว่ากะไรได้บ้างไม่ทราบ แส้ ในภาษาฝรั่งจะมีหรือไม่มีก็ตาม

ในเรื่องฉัตรตามพระดำริที่ตรัสว่า ถ้าไม่มีเศวตรฉัตรยื่นถวายก็จะต้องชี้ทูลถวายเศวตรฉัตรที่ปักอยู่นั้น ความจริงก็ได้เคยทำมาแล้วยิ่งกว่านี้ขึ้นไปอีก มีความในพระราชนิพนธ์ทรงพระราชวิจารณ์ถึงพระราชพงศาวดารกรุงเก่าซึ่งตีพิมพ์จะแจกงานพระศพพระองค์เจ้าอรทินทุ์เพญภาคย์ ปรากฏอยู่ว่าประเพณีราชาภิเษกแต่ก่อนนั้น พราหมณ์ต้องอุ้มองค์พระมหากษัตริย์ขึ้นประทับบนพระที่นั่งภัทรบิฐ พระมหากษัตริย์จะเสด็จขึ้นเองไม่ได้ แต่ภายหลังประเพณีอย่างนั้นเลิก ข้อนี้ส่อให้เห็นได้ชัดว่า ฉัตรใหญ่ยกยื่นถวายไม่ได้ก็มอบถวายด้วยอุ้มพระองค์ลงวางภายใต้ฉัตรอันปักอยู่เหนือพระที่นั่งภัทรบิฐนั้น เหตุที่เลิกธรรมเนียมนั้นเสียก็เห็นได้ว่า อันตำแหน่งพระเจ้าแผ่นดินย่อมเปนสิ่งที่ช่วงชิงกันหากว่าพรหมณ์ซึ่งอุ้มพระองค์นั้นจะเปนใจกับผู้คิดกบฎทำประทุษร้ายในเวลาอุ้มพระองค์ก็ทำได้ถนัด จึ่งกันออกเสียให้ห่างพระองค์ไว้

อนึ่งเกล้ากระหม่อมได้พิจารณาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้ง ๕ ตามแบบซึ่งมาในคัมภีร์อภิธานปัปทีปิกา เห็นว่าเปนเครื่องทรงในพระองค์แต่ ๓ อย่างคือ มงกุฎ พระแสงขรรค์ กับฉลองพระบาท อีก ๒ อย่าง คือฉัตรกับวาลวีชนีนั้น เปนของราชบริพารเชิญเอางานถวาย เครื่องสำหรับเอางานถวายตามยศพระมหากษัตริย์ย่อมมีมากกว่านั้นอีกหลายอย่าง ทั้งเครื่องทรงในพระองค์ก็มีอีกหลายอย่าง แต่เหตุใดจึงเลือกนับเอาแต่จำเพาะ ๕ อย่างเท่านั้น ยังคิดไม่เห็นเหตุ

คราวนี้จะกราบทูลความเห็นลางอย่าง อันอุปบัติขึ้นเมื่ออ่านพระนิพนธ์ตรัสเล่าถึงเมืองพุกามประกอบด้วยรูปฉาย ซึ่งทรงพระเมตตาโปรดประทานไปคราวนี้

พระสถูปซึ่งมีรูปเหมือนผลแตงก็ดี เหมือนรูปบาตรก็ดี เปนรูปทรงบัวคว่ำก็ดี ควรจัดว่าเปนประเภทเดียวกัน บีบทรงให้สูงหน่อยก็เปนผลแตงกดทรงให้ต่ำหน่อยก็เป็นบาตร เสริมเชิงให้แปล้ออกไปหน่อยก็เปนทรงบัวคว่ำเปนการพอกเล็กพอกน้อยเท่านั้น

ในการที่สร้างพระสถูปไว้ชิดพื้นดิน เปนการกระทำที่ต้องด้วยหลักเดิมคือฝังสรีรธาตุในพื้นดินแล้วพูนดินไว้เปนที่หมาย ในการที่ทำฐานเตี้ยนั้นก็แสดงว่าเปนแบบเก่า มาจากเก็บเอาวัตถุใดๆ มาวางล้อมกองดินกันพังไปเสียเร็ว ส่วนที่ทำฐานยกเปนประทักษิณหลายชั้นนั้น มาจากสร้างพระสถูปบนเขาบนเนินเพื่อให้ส่งสูงได้เห็นไกล ในการไปมาเพื่อบูชาอยู่เสมอนั้น ทำให้รู้สึกว่าทางขึ้นลงกุกะไม่สดวก จึงคิดต่อยตัดหินหรือดินให้เปนปริมณฑลก่อเขื่อนล้อมลดหลั่นกันเปนชั้นๆ ทำคั่นบันไดให้ขึ้นลงง่าย เมื่อตกแต่งสถานที่ขึ้นเช่นนั้นก็ทำความงดงามช่วยให้เห็นองค์พระสถูปเปนสง่าผ่าเผยขึ้นอีกมาก เมื่อเห็นเปนอย่างอันส่งให้พระสถูปงดงามขึ้นเช่นนั้นแล้ว จึงจำมาพยายามทำในพื้นราบอุสส่าห์ก่อเขื่อนแล้วหาดินมาถม ให้เหมือนพระสถูปบนเขาบนเนิน เอาเปนแน่ได้ว่าวิธีทำพระสถูปชิดดินนั้นเปนแบบเก่า วิธีทำฐานส่งพระสถูปให้สูงนั้นเปนแบบใหม่

สถูปชะนิดที่ยอดปล้องไฉนส่งมาตั้งกับองค์ระฆัง ไม่มีบัลลังก์นั้น อยากจะวินิจฉัยว่าเปนสถูปบรรจุธาตุที่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า เพราะบัลลังก์นั้นเปนเครื่องหมายถึงพระพุทธเจ้า คือพระพุทธอาสน์

ประหลาดใจที่พระสถูปรูปอย่างพระมุเตาพระเกศธาตุไม่มีในเมืองพุกามไม่นึกเลยว่าพระสถูปรูปนั้นจะเปนของใหม่ พระมุเตาและพระเกศธาตุก็เปนพระสถูปอันมีชื่อมาเก่าแก่ แต่ได้ปฏิสังขรณ์ก่อแก้กันมาหลายยก ชะรอยพระสถูปเก่าจะต้องมีรูปเปนอย่างอื่นแน่นอน

พระเจดีย์ในเมืองพุกามองค์ที่ทำอย่างพระเจดีย์ที่โพธิคยานั้น เห็นได้ว่าตั้งใจถ่ายมาทำ แต่จะกราบทูลยืนยันว่าทำไม่เหมือน องค์ที่โพธิคยานั้นมีส่วนสูงมาก ทรงค่อยลดเข้าทีละน้อย ท่วงทีอย่างทรงปรางค์ แต่ที่พุกามนั้นมีส่วนเตี้ยมาก ทรงลดหวดเข้าไปเร็ว ท่วงทีกลายเปนเหมือนตุ้มปี่ไม่เหมือนปรางค์อย่างที่โพธิคยา

ตามพระดำรัสที่ว่าการก่อสร้างในเมืองพุกามทำแต่ด้วยอิฐปูน ไม่ทำด้วยศิลาซายเหมือนเมืองเขมร ใช่จะไม่มีศิลาซายก็หาไม่ มีหาได้ง่ายกว่าเมืองเขมรเสียอีก แต่เขาไม่ทำ มีผู้รู้ออกความเห็นว่าเพราะพะม่าต้องการให้แล้วเร็วๆ ความเห็นอันนี้ฟังขึ้นไม่ติดใจค้าน แต่ทำให้ไปนึกถึงเมืองเขมร เปนแหล่งที่ประหลาดนักหนา จะคิดคาดอะไรไปไม่ถึงเลย อันการก่อสร้างฝีมือเขมรนั้นมีเสียทุกอย่าง ก่ออิฐก่อแลง หรือก่ออิฐปนแลงถือปูนปั้นลายก็มี ก่ออิฐอวดฝีมืออย่างเรียบร้อยไม่ถือปูนเลยก็มี หรือฉลักอิฐที่ก่อแล้วเปนรูปภาพลวดลายด้วยอีกซ้ำหนึ่งก็มี ปั้นลายปูนประกอบกับก่ออิฐอย่างเรียบร้อยก็มี ก่ออิฐประกอบกับศิลาซายก็มี ก่อด้วยศิลาซายเขียวล้วนก็มี แดงล้วนก็มี ปนกันเขียวบ้างแดงบ้างก็มี พบที่ลักษณประหลาดก็หลายอย่าง เช่นองค์ปรางค์ที่ตั้งเทวรูปในท่ามกลาง ก่ออิฐถือปูนอย่างเลว ๆ เล็ก ๆ แต่พระระเบียงที่ล้อมทั้งกำแพงชั้นนอกทำใหญ่โต ก่อด้วยศิลาจำหลักลายอย่างประณีตก็มี ไม่ทราบว่าเหตุใดจึ่งเป็นเช่นนั้น ที่ปราสาทบายนเห็นศิลาซึ่งก่อไว้เปนหลังคา ด้านข้างในซึ่งเมื่อยังดีมีเพดานไม้ปิดไม่แลเห็นนั้นลางแท่งมีลายฉลักอยู่ รู้ได้ว่าไปรื้อเอาหินปราสาทเก่า ๆ แห่งอื่นมาใช้เพราะฉะนั้นเปนการยากหนักหนาที่จะสันนิษฐานว่าที่ไหนทำก่อนทำหลัง จะยึดเอาวิธีทำนั้นก็ยาก เพราะเลียนกันได้ ยังมีปัญหาง่ายๆ ว่าปราสาทหินเหล่านั้นเมื่อทำเสร็จแล้วจะทิ้งไว้เปนหินอยู่อย่างนั้น หรือว่าจะปิดทองทาสี ได้ลองถามความเห็นโปรเฟสเส้อ เซเดส์ ให้ความเห็นว่าปล่อยเปนหินอยู่ตามธรรมชาติ ความเห็นเช่นนี้ก็ทำให้สงสัยอยู่มาก ด้วยเห็นพระระเบียงลางแห่งก่อด้วยศิลาซายเขียวกับแดงต่อกัน ฉลักลายเนื่องเปนอันเดียวกัน แสดงอยู่ในตัวว่าหาศิลาอย่างเดียวกันมาทำไม่ได้ ถ้าไม่ปิดทองหรือทาสีกลบ จะมิเห็นต่างหน้าเกลียดเตมทนหรือ พูดเพ้อถึงเมืองเขมรมามากแล้ว จะหยุดเสียที

ในการปฏิสังขรณ์ ตรัสอ้างถึงพระศรีวิชัย จะขอทูลแยกธาตุพระศรีวิชัยถวาย ท่านเปนผู้มีอภินิหารที่คนนับถือมาก ท่านตระหนักในอภินิหารอันนั้นของท่าน จึงคิดใช้อภินิหารให้เปนชื่อเสียงกว้างขวางออกไปอีก โดยวิธีร้องขอเอาเงินคนละเล็กละน้อย รวบรวมเข้าให้เจ๊กทำสิ่งในพระสาสนาซึ่งโทรมแล้วให้คืนใช้ประโยชน์ได้ ความจำนงมีเพียงเท่านั้นเอง นั่นก็แล้วแต่เจ๊กจะทำไป ท่านไม่ใฝ่ใจที่ว่าจะทำอย่างไรเลย ที่จริงงานซ่อมแซมนั้นเปนงานที่ทำยากยิ่งนัก ต้องเสียเงินเสียแรงเสียเวลามากกว่าทำใหม่ ทั้งผลที่ทำได้ก็เห็นเปนเล็กน้อย จึงไม่มีคนพอใจจะทำ เกล้ากระหม่อมเคยถูกมาหนักต่อหนักแล้ว ว่าแต่เพียงงานเล็กที่สุด เพียงฟ้าผ่าเหมยอดพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทองค์ตะวันตกเหมแตกตกลงมา ต้องทำเหมใหม่ขึ้นเปลี่ยน ในการทำนั้นก็ระวังที่สุดอยู่แล้ว เก็บเอาเหมเก่าซึ่งแตกเปนซีกเล็กซีกน้อยเข้าประกับกัน แล้ววัดถ่ายทำใหม่เอาขึ้นไปใส่ แม้กระนั้นยังต้องเสียใจที่ดูกระด้างกระเดื่อง ไม่กินกับบัลลังก์และบัวกลุ่มดีเหมือนของเดิม

ข่าวในกรุงเทพฯ มีแต่ฉลองรัฐธรรมนูญอันเปนการสู้ส้า มีงานถึง ๕ วัน ๕ คืน แต่เชื่อแน่ว่าทรงทราบดีแล้ว ว่าเกล้ากระหม่อมไม่ได้ไปไม่มีอะไรจะมาเล่าถวาย

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ