- เมษายน
- วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ยังอยู่ในตอนที่ ๒
- วันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๙ เมษายน ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๓ เที่ยวเมืองหงสาวดี
- วันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- วันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ยังอยู่ในตอนที่ ๓
- วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- พฤษภาคม
- วันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- วันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- วันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ยังอยู่ในตอนที่ ๓
- วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ เที่ยวเมืองมัณฑเล
- วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- มิถุนายน
- วันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๒
- วันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๓
- วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๔
- วันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๕
- วันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- กรกฎาคม
- วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๖
- วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๗
- สิงหาคม
- วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย
- วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย (ท่อนที่ ๓)
- วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย (ท่อนที่ ๔)
- วันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- กันยายน
- วันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร (๒)
- วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๖ วินิจฉัยเคราะห์กรรมเมืองพะม่า (ท่อนที่ ๑)
- วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๖ วินิจฉัยเคราะห์กรรมเมืองพะม่า (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- ตุลาคม
- วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —กฎมณเทียรบาลพะม่า
- วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ ล่องแม่น้ำเอราวดี
- วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ ล่องแม่น้ำเอราวดี (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ ล่องแม่น้ำเอราวดี (ท่อนที่ ๓)
- วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เที่ยวเมืองพุกาม
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น (๒)
- พฤศจิกายน
- วันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เที่ยวเมืองพุกาม (ตอนที่ ๓)
- วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- —จดหมายบันทึก ที่แก้เปลี่ยนคำ ในกฎมนเฑียรบาลพม่า
- วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๔)
- วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๕)
- วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- ธันวาคม
- วันที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๖)
- วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๗)
- วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๘)
- วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๙)
- วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๘ เรื่องเที่ยวเมืองแปร (ท่อนที่ ๑)
- มกราคม
- วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๘ เรื่องเที่ยวเมืองแปร (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ
- วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- —วันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙
- —คำนำ หนังสือเรื่องกฎมณเทียรบาลพะม่า
- วันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- —ประมวญวัน วันอาทิตย์ วันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙
- กุมภาพันธ์
- วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๓)
- วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- มีนาคม
- วันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๔)
- วันที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๕)
- วันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
Cinnamon Hall,
206 Kelawei Road, Penang. S.S.
วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๗๙
ทูล สมเด็จกรมพระนริศ ฯ
หม่อมฉันได้รับลายพระหัตถ์ฉะบับลงวันที่ ๒๑ แล้ว
โคลง “จารีกาง” ที่ประทานมานั้นหม่อมฉันลืมไม่ได้นึกไปถึงเลย เห็นเปนลูกกุญแจสำหรับไขเอาอธิบายเรื่อง “แทงวิไสย” ได้ดีหนักหนาทีเดียว
ข้อ ๑ ได้ความชัดว่าที่เรียกว่าแทงวิไสยนั้นมาแต่ “แทงปิไส” แน่
ข้อ ๒ โคลงบทนี้เปนโคลงครั้งกรุงศรีอยุธยา เลือกเอามาลงไว้เปนตัวอย่างในตำราโคลง ความแสดงว่าแทงปิไสกับกะอั้วแทงควายผู้ชายเล่นและมีทั้ง ๒ อย่างด้วยกัน (ในงานโสกันต์) มาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
ข้อ ๓ แทงปิไสกับกะอั้วแทงควายที่เล่นในสมัยกรุงรัตนโกสินทรเอาอย่างมาแต่กรุงศรีอยุธยา แต่มาเปลี่ยนไปให้ละคอนผู้หญิงของหลวงเล่นแทงปิไส แต่กะอั้วแทงควายยังคงให้ผู้ชายเล่นอย่างเดิม
ข้อ ๔ หม่อมฉันเคยเห็นเล่นกะอั้วแทงควาย (ที่มุมสนามหน้าศาลาสหไทยสมาคม) หลายครั้ง ดูเปนเล่นจำอวดอย่างต่ำ เมื่อคิดว่าเหตุใดจึงเอาการเล่นเช่นนั้นมามีในงานโสกันต์ใหญ่ นึกขึ้นถึงที่เจ้าหลวงพระบางเอาการเล่นสิงห์กับคนป่า (ที่ร้องวู้ๆ) มาช่วยงานโสกัณฑ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช แลโปรดให้เล่นในสนามเดียวกับกุลาตีไม้ ก็คิดเห็นขึ้นมาว่าการเหล่านี้พวกประเทศราช หรือพวกชาวต่างประเทศที่เข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารคงจัดมาช่วยงาน เช่นเดียวกับเจ้าหลวงพระบางเอาเล่นสิงห์มาช่วย อาจจำแนกได้ดังนี้
๑) กุลาตีไม้ ของพวกแขกฮินดู (หม่อมฉันได้เคยเห็นแขกกลิงเล่นที่เมืองตรัง)
๒) สิงหโตล่อแก้ว ของพวกญวน
๓) กะอั้วแทงควาย ของพวกทวาย (ชื่อกะอั้วผัวนางกะแอ เปนชื่อทวาย)
๔) แทงปิไส ของพวกมลายู
น่าจะมีอย่างอื่นของพวกอื่นอีก
ข้อ ๕ เหตุใดในโคลงจึงเรียกว่า “จารีกาง” คำนี้มิใช่ภาษาไทย หม่อมฉันตรวจดูในปทานุกรมภาษามคธของอาจารย์จิลเดอ มีศัพท์ “จารี” แปลว่ากระทำ Acting หรือเดิน Walking ไปดูในปทานุกรมภาษามลายูที่หอสมุดเมืองปีนัง มีคำ “จารีกัน” Charikun ดูใกล้กับจารีกางมาก แต่ผู้แต่งหนังสือนั้นแปลว่า “ให้ค้นหาของ” To institute a search for anything ความไถลไปเสียอย่างอื่น หรือมลายูเขาจะใช้หมายความอย่างอื่นอีก เช่นว่ากิริยาข้าศึกค้นหากันในป่า ได้ดอกกระมัง
ข้อ ๖ ที่เปลี่ยนแทงปิไสมาให้ละคอนผู้หญิงของหลวงเล่น หม่อมฉันนึกว่าน่าจะเกิดขึ้นเมื่อรัชชกาลที่ ๒ กรุงรัตนโกสินทรนี้ เพราะเห็นว่าให้ผู้หญิงรำจะงามน่าดูกว่าผู้ชายเล่น อยากจะเดาต่อไปว่ามีขึ้นเมื่อการพิธีทูลกระหม่อมลงสรงเปนปฐม มาถึงรัชชกาลของทูลกระหม่อม จึงทรงพระราชดำริห์ให้มีรำช่อดอกไม้ทองเงินเพิ่มขึ้น ขอให้ทรงพิจารณาดูเถิด
ภาษิตว่า “ช่างอยู่แก่จีน สีนอยู่แก่ไทย” ที่ทรงยกขึ้นในลายพระหัตถ์นั้น ปลาดที่เปนของไทยแต่ง อาจแปลความได้ต่างกันถึง ๓ นัย นัย ๑ ว่าถึงจีนเปนช่างก็ยากจน ทำอะไรต้องเอาขายหาเงินที่ไทย นัย ๑ เปลี่ยนคำ “สีน” เปน “ศีล” ว่าจีนเปนช่าง ไทยซื่อตรง นัย ๑ ว่าจีนเปนช่างทำอะไรทำได้ ไทยได้แต่หาเงินไว้คอยซื้อ
หม่อมฉันทูลไปในจดหมายฉะบับก่อน ว่าได้ไปดูทำผ้าลายที่เมืองสุหรัดนั้นพลาดไป ที่จริงไปเมืองอะเมดะบัดซึ่งอยู่ใต้เมืองสุหรัดลงมา หม่อมฉันไปค้นในหนังสืออภิธานอินเดีย Imperial Gazetteer of India ได้ความว่าแว่นแคว้นอินเดียตอนใกล้ทะเลทางฝ่ายตะวันตกตั้งแต่เมืองบอมเบขึ้นไป แต่โบราณเรียกว่าภาค “กุสราต” Gutzarat บางสมัยก็รวมกันเปนราชอาณาเขตต์เดียว บางสมัยก็แยกกันเปนหลายราชอาณาเขตต์ เมืองสุหรัดและเมืองอะเมดะบัดรวมอยู่ในภาคกุสราตด้วยกัน เหมือนอย่างเมืองเชียงใหม่กับเมืองนครลำปางรวมอยู่ในมณฑลพายัพ ฉะนั้น มีอธิบายต่อมาว่าตามเมืองในภาคนี้ชาวเมืองทอผ้าเปนอาชีพมาแต่โบราณ ผ้าที่ทอในภาคนี้จึงดีกว่าแห่งอื่นในอินเดีย การย้อมสีและการทำลายก็เนื่องกับการทอ คือทำผ้าลายขาย ที่หม่อมฉันไปดูทำตามบ้านราษฎรดังทูลไปแล้ว ดูเหมือนจะเปนผ้าอย่างที่ทำจำนวนมาก สังเกตดูผ้าลายอย่างของโบราณมักทำลายงาม สีสด และเนื้อดีกว่าผ้าที่ขายในตลาด คงมีช่างที่ฝีมือดีเรียกราคาสูงกว่าที่ขายกันเปนสามัญ แต่ก็คงทำตามบ้านพวกช่างอย่างบ้านพานถมและบ้านหล่อในเมืองเราอยู่นั่นเอง
เรื่องที่จะทูลเสนอในสัปดาหะนี้ หม่อมฉันได้รับจดหมายเจ้าผิวมีมาแต่เมืองมัณฑเลตอบคำถามของหม่อมฉันเรื่องศักดิ์เจ้าพะม่า เธอบอกว่าในราชวงศพะม่านับว่าเปนเจ้า ๓ ชั่ว คือ ราชบุตร ราชนดา ราชปนดา (คือชั้นหม่อมราชวงศของเราก็ยังนับว่าเปนเจ้า) พิเคราะห์ดูเข้าเกณฑ์ “เจ็ดชั่วโคตร” ตามกฎหมายเข้าทีอยู่ ของไทยเราแต่เดิมก็จะเปนเช่นนั้นดอกกระมัง ทำเนียบเจ้าราชนิกูลในกฎหมายก็ขึ้นนามเปน “เจ้า” ทั้งนั้น เช่น “เจ้ารามฆพ” เปนต้น แม้ในรัชชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร พระราชทานยศจีนเรืองเมืองชลบุรี แรกก็ให้เปนเจ้าบำเรอภูธรราชนิกูล แล้วเลื่อนเปนกรมหมื่นและกรมขุนสุนทรภูเบศ คำ “หม่อมราชวงศ์” ที่มีในกฎหมายทำเนียบศักดินา น่าจะหมายตรงกับชั้นที่เราเรียกกันในปัจจุบันนี้ว่า “หม่อมหลวง” ดอกกระมัง ที่มาเปลี่ยนต้นนามเจ้าราชนิกูลเปน “หม่อม” เช่นหม่อมราโชทัย เปนต้น เข้าใจว่าเกิดขึ้นเมื่อรัชชกาลที่ ๔ ถึงกระนั้นก็ยังเคยได้ยินคนเรียกเจ้าพระยาเทเวศรฯ ว่า “เจ้าหลาน” เรียกหลวงสากลกิจประมวณ เมื่อเปนนายทหารมหาดเล็กว่า “เจ้าเฉลิม” หม่อมฉันลองคิดหาหม่อมราชวงศที่รับสัญญาบัตรเปนขุนนางมาแต่ก่อนรัชชกาลที่ ๕ ก็นึกไม่ออก จำได้ว่าเจ้าพระยาวิชิตวงศวุฒิไกรแต่ยังเปนหม่อมราชวงศ์คลี่๑ ได้ว่ากรมธรรมการมาเปนนาน จึงพระราชทานสัญญาบัตรเปนพระวุฒิการบดี ขอให้ทรงพิจารณาดู
ในสัปดาหะนี้หม่อมฉันส่งเรื่องเที่ยวเมืองพะม่าตอนที่ ๗ ท่อนที่ ๕ มาถวายอีกท่อนหนึ่ง หมดเรื่องตำนานเมืองพุกามเพียงท่อนนี้ ว่าด้วยตำนานเมืองพุกามอยู่ข้างยืดยาวสักหน่อย เพราะหม่อมฉันเห็นว่าตำนานเมืองพุกามยังไม่เคยมีในภาษาไทย จึงไม่ตัดเสียให้สั้น คราวหน้าจะพรรณนาว่าด้วยโบราณวัตถุที่เมืองพุกามต่อไป
-
๑. เจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไร (หม่อมราชวงศ์ คลี่ สุทัศน์) ↩