- เมษายน
- วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ยังอยู่ในตอนที่ ๒
- วันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๙ เมษายน ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๓ เที่ยวเมืองหงสาวดี
- วันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- วันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ยังอยู่ในตอนที่ ๓
- วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- พฤษภาคม
- วันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- วันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- วันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ยังอยู่ในตอนที่ ๓
- วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ เที่ยวเมืองมัณฑเล
- วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- มิถุนายน
- วันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๒
- วันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๓
- วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๔
- วันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๕
- วันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- กรกฎาคม
- วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๖
- วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๗
- สิงหาคม
- วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย
- วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย (ท่อนที่ ๓)
- วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย (ท่อนที่ ๔)
- วันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- กันยายน
- วันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร (๒)
- วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๖ วินิจฉัยเคราะห์กรรมเมืองพะม่า (ท่อนที่ ๑)
- วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๖ วินิจฉัยเคราะห์กรรมเมืองพะม่า (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- ตุลาคม
- วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —กฎมณเทียรบาลพะม่า
- วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ ล่องแม่น้ำเอราวดี
- วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ ล่องแม่น้ำเอราวดี (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ ล่องแม่น้ำเอราวดี (ท่อนที่ ๓)
- วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เที่ยวเมืองพุกาม
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น (๒)
- พฤศจิกายน
- วันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เที่ยวเมืองพุกาม (ตอนที่ ๓)
- วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- —จดหมายบันทึก ที่แก้เปลี่ยนคำ ในกฎมนเฑียรบาลพม่า
- วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๔)
- วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๕)
- วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- ธันวาคม
- วันที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๖)
- วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๗)
- วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๘)
- วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๙)
- วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๘ เรื่องเที่ยวเมืองแปร (ท่อนที่ ๑)
- มกราคม
- วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๘ เรื่องเที่ยวเมืองแปร (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ
- วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- —วันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙
- —คำนำ หนังสือเรื่องกฎมณเทียรบาลพะม่า
- วันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- —ประมวญวัน วันอาทิตย์ วันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙
- กุมภาพันธ์
- วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๓)
- วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- มีนาคม
- วันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๔)
- วันที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๕)
- วันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
วันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
Cinnamon Hall,
206 Kelawei Road, Penang. S.S.
วันที่ ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๗๙
ทูล สมเด็จกรมพระนริศรฯ
คิดดูจำนวนวันท่านเสด็จไปศรีราชาตามที่ตรัสบอกกำหนดไว้แต่ก่อน หม่อมฉันเข้าใจว่าเวลานี้คงจะเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ แล้ว จึงเขียนจดหมายถวายประจำสัปดาหะแต่ฉะบับนี้เปนต้นต่อไป มีความบางข้อค้างอยู่ยังมิได้ทูลสนองลายพระหัตถ์ที่มีมาแต่ก่อน จะทูลความเหล่านั้นเปนเบื้องต้น
๑. ประเทศที่เรียกว่า “สุวรรณภูมิ” นั้น หม่อมฉันคิดเห็นเปนยุติว่าเปนชื่อที่ชาวอินเดียเรียกภูมิภาคอันหนึ่ง อาจหมายความตลอดทั้งแหลมอินโดจีนก็เปนได้ มิใช่เรียกฉะเพาะเมืองหนึ่งเมืองใด เปรียบเหมือนเราพูดกันทุกวันนี้ว่า “ไปยุโรป” และ “ไปอเมริกา” หรือ “ไปอินเดีย” ฉันใด ชาวอินเดียแต่ดึกดำบรรพ์จะมาค้าขายทางนี้ ก็คงพูดกันแต่ว่า “ไปสุวรรณภูมิ” ฉันนั้น ชาวอินเดียมาเรือในชั้นแรกจำต้องตั้งสำนักการค้าริมทะเลเปนธรรมดา ต่อมาจึงเที่ยวค้าขายห่างสถานีริมทะเลออกไปโดยลำดับ ครั้นไปได้หญิงชาวท้องถิ่นเปนเมียก็เลยตั้งบ้านเรือนอยู่ประจำที่ มีลูกหลานว่านเครือเชื้อชาวอินเดียมากขึ้นเปนอันดับมา
ชาวอินเดียที่มา ใครถือสาสนาไหนก็พาสาสนานั้นมาด้วย เมื่อพระพุทธสาสนารุ่งเรืองในอินเดีย ชาวอินเดียที่ถือพระพุทธสาสนาก็พามายัง “สุวรรณภูมิ” ในสมัยเมื่อมีชาวอินเดียมาตั้งภูมิลำเนาอยู่แล้วหลายแห่ง เมื่อมีคนในท้องถิ่นเลื่อมใสกันแพร่หลายจนปราร์ถนาจะมีสงฆมณฑล พระเจ้าอโศกมหาราช หรือพระโมคลีบุตรจึงให้พระโสณะกับพระอุตตระ (เปนนายกนำสงฆ์คณะปรก) มาให้อุปสมบทใน “สุวรรณภูมิ” เพราะ “สังฆรัตน” เกิดด้วยอุปสมบท มิได้เกิดด้วยชาติตระกูลเหมือนอย่างพราหมณ์ ที่ให้พระโสณะกับพระอุตตระมา “สุวรรณภูมิ” ด้วยกัน ๒ องค์ ผิดกับส่งไปที่อื่นอันปรากฏชื่อแต่องค์เดียว ก็น่าสันนิษฐานว่าพระสงฆ์ที่ส่งมา “สุวรรณภูมิ” จะเปน ๒ คณะปรก สำหรับแยกกันไปให้อุปสมบทต่างที่อันอยู่ห่างกัน เห็นหลักที่จะอ้างได้มีเพียงเท่านี้
มุจลินทนาคราชที่ทำรูปพระนาคปรกนั้น ดูในอินเดียยกย่องกันมาก ชอบจำหลักรูปมาแต่ครั้งพระเจ้าอโศกมหาราช แต่แบบอินเดียเขาทำเปนรูปคนแต่งตัวอย่างกษัตริย์ แต่ทำเครื่องหมายเปนนาค ๕ หัวแผ่พังพานขึ้นไปจากบ่าจนปรกศีร์ษะ หม่อมฉันให้เอารูปพระยามุจลินทนาคราชแบบนั้น มาทำถือฉัตรคันกั้นพระพุทธรูปปางสมาธิ ทำฐานไม้เปนชะง่อนผา ตั้งภาพนาคอยู่สูงหน่อยพอให้แลเห็นได้ถนัด รูปพระนาคปรกที่ทำนั่งบนขดตัวนาคอันแผ่พังพานปกพระพุทธรูปนั้น เดิมหม่อมฉันเข้าใจว่าคิดทำแบบขึ้นในเมืองเขมร แต่มาเห็นภาพพระนาคปรกอย่างนั้นเปนของโบราณมีอยู่ในอินเดียข้างใต้ จึงรู้ว่าเปนแบบคิดขึ้นในอินเดียข้างใต้ เขมรเปนแต่ได้แบบมาทำ ไทยเราเอาอย่างมาจากเขมร หรือถ้าว่าตามความเห็นของมองสิเออร์ ปามองติเอ เมืองละโว้เอาอย่างมาแต่อินเดียแล้วเขมรรับต่อไป แบบพระนาคปรกที่ทำตัวนาคอย่างฝาชีคลุมพระพุทธรูปนั้น หม่อมฉันนึกจำได้ตะหงิด ๆ ว่าเกิดขึ้นเมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงรับพระเสาร์ ได้ยินทรงปรารภกับพระองค์เจ้าประดิษฐฯ ว่าพระนาคปรกอย่างเช่นทำกันมาไม่บังฝนได้ จะทำให้เห็นว่าพระยานาคบังฝนได้จริงๆ จึงได้คิดทำรูปนาคอย่างนั้น องค์แรกสร้างเปนพระขนาดเล็ก จะเปนพระพุทธรูปหล่อด้วยทองคำหรือเงินกาไหล่ ไม่ทราบแน่ นึกจำได้แต่ว่าตัวนาคนั้นถมยาเปนสี
หม่อมฉันถวายเรื่องเที่ยวเมืองพะม่ามากับจดหมายสัปดาหะนี้อีกท่อนหนึ่งอยู่ในตอนที่ ๔ ที่จริงแต่งไว้มากกว่าที่ถวายมา เพราะตอนนี้มีเวลาถึง ๓ สัปดาหะ แต่คิดว่าถวายมาในคราวเดียวจะชวนให้ทรงอึดอัดในเวลาทรงพิจารณา ท่อนนี้จึงถวายมาจะเพาะว่าด้วยปราสาทราชมณเฑียร มีรูปฉายาลักษณ์ประกอบกับที่พรรณนาด้วย ๑๐ รูป คือ
๑. รูปมหาปราสาท ดูแต่ลานวังข้างด้านหน้า
๒. รูปสีหาสนราชบัลลังก์
๓. ลับแลบังฝนด้านข้างมหาปราสาท
๔. รูปราชมณเฑียรข้างหลังมหาปราสาท
๕. รูปฝามหามณเฑียรแก้วที่ประดับกระจก
๖. มณเฑียรที่ประชุมนางใน
๗. ปราสาทที่ทรงหลั่งสิโนทก
๘. ที่นั่งเย็นของพระเจ้าสีป่อ
๙. มณเฑียรตึกของพระเจ้าสีป่อ
๑๐. ราชมณเฑียรหมู่ท้องพระโรงหลัง
พิจารณาไปในเรื่องเมืองพะม่าที่กล่าวในหนังสือต่างๆได้ความรู้ใหม่อีกอย่างหนึ่งว่าพะม่าไม่ได้เรียกประเทศของตนว่า “เมืองพะม่า” เรียกว่า “กรุงอังวะ” พระเจ้าแผ่นดินถึงเมื่อตั้งราชธานีอยู่ที่อื่น ที่สุดจนถึงพระเจ้าสีป่อก็เรียกว่า “พระเจ้าอังวะ” น่าพิสวงว่าเหตุใดจึงมาเหมือนกันกับไทยที่เรียกประเทศสยามว่า “กรุงศรีอยุธยา” และเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า “พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา” มาจนตลอดรัชชกาลที่ ๓ พึ่งมาเรียกชื่อ “สยาม” ในทางราชการตั้งแต่รัชชกาลที่ ๔ เปนต้นมา