วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร

Cinnamon Hall,

206 Kelawei Road, Penang. S.S.

วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๗๙

ทูล สมเด็จกรมพระนริศฯ

ลายพระหัตถ์ฉะบับลงวันที่ ๗ หม่อมฉันได้รับแล้ว ที่ต้องพระประสงค์คำเขียนตำแหน่งพระมเหษีพะม่าด้วยอักษรฝรั่งนั้น หม่อมฉันเขียนถวายมากับ จดหมายนี้ตามพระประสงค์

เรื่องแทงวิสัยนั้นหม่อมฉันยังคิดออกต่อไปอีก คำว่า “วิสัย” ใช้ในที่นี้ไม่ได้ความ ที่ถูกน่าจะเปน “ปิไส” เห็นจะเปนภาษามาลายูหมายความว่า “โล่” หม่อมฉันเคยได้ยินพระยาเทพประชุน (ปั้น) อ่านบัญชีเครื่องราชบรรณาการประเทศราชมลายูกราบทูลมี “ปิไสหวาย” ไม่รู้ว่าอะไร ถามเขาบอกว่าโล่ทำด้วยหวายขด นึกว่าท่านคงจะได้เคยทรงฟังเหมือนกัน เพราะคะนั้นคนแทงปิไสคงถือโล่กับหอก ทำนองเดียวกับพวก Gladiator ของโรมัน เดิมก็เห็นจะเล่นถวายทอดพระเนตรอย่างตีกระบี่กระบอง แต่เหตุใดจึงสูญทางผู้ชาย กลายมาเปนผู้หญิงเล่น และเล่นฉะเพาะในงานโสกันต์ดูปลาดอยู่ ขอให้ทรงพระวิจารณ์ดู ผู้เล่นแทงวิสัยที่หม่อมฉันรำลึกได้นั้น คือ คุณเฒ่าแก่ เฟือง (ฤาษี) คน ๑ คุณเฒ่าแก่ ขำ (เงาะ) คน ๑ เคยเล่นละคอนในรัชชกาลที่ ๒ ทั้ง ๒ คน เต้นเปนท่าเปนทางอย่างคนแก่รำละคอน ไม่เร่อร่า แต่แต่งตัวใส่หนวดเคราอย่างเซี่ยวกาง ถือง้าวหรือหอกทั้ง ๒ คน

เรื่องลงรักนั้น ถ้ามีคำภาษามคธว่า “ลาขา” คำ “รัก” ที่เขาเรียกก็ผิดแน่

หม่อมฉันยินดีที่ทราบว่าชายใสได้ที่ทำการแล้ว หลานชายทรงวุฒิชัยของหม่อมฉันพ่อก็บอกว่าได้ตำแหน่งแล้วเหมือนกัน

จดหมายสัปดาหะนี้หม่อมฉันมีเรื่องแปลก ๆ ที่จะทูลหลายเรื่อง

เรื่องที่ ๑ หม่อมฉันต้องไปให้การที่ในศาล แต่มิใช่เพราะมาทำจุ้นจ้านให้เกิดถ้อยร้อยความอย่างไร เขาเปนความกันที่ศาลแพ่งในกรุงเทพฯ ด้วยอัยการฟ้องขับไล่จะเอาที่บ้านพระกันพยุหบาท โดยอ้างว่าที่วังกรมหมื่นกระษัตรย์ศรีเปนของหลวง ทั้งโจทก์จำเลยอ้างหม่อมฉันเปนพะยาน ศาลแพ่งขอให้กระทรวงการต่างประเทศส่งคำถามออกมายังศาลที่นี่ให้ถามหม่อมฉัน ยกรบัตรศาลมีจดหมายมาเชิญเสด็จอย่างเรียบร้อย หม่อมฉันก็ไปให้การที่ห้องยกรบัตรศาล เขาเชิญให้นั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือของเขา ไม่มีใครอื่นมาละเล้าละลุมนอกจากพระยามโนที่ไปเปนเพื่อนหม่อมฉัน เมื่อก่อนเขาจะถามเขาให้หม่อมฉันยืนขึ้นด้วยกันกับเขา ให้ยกมือชูขึ้นข้างหนึ่ง แล้วเขาบอกคำปฏิญาณให้ว่าตามว่า I will tell the truth, all the truth. nothing but the truth. ดังนี้แล้ว ก็นั่งลงถามตอบกันและเขาเขียนคำตอบลงเปนเส้นหมึกในทันที แล้วให้หม่อมฉันลงชื่อในที่สุด คำถามก็ไม่สลักสำคัญอันใด แต่ส่งหนังสือเรื่องตำนานวังเก่า ที่หม่อมฉันแต่งถวายให้ทรงพิมพ์แจกครั้งงานศพท่านแดงมาถามด้วย ว่าหม่อมฉันได้แต่งหนังสือนั้นหรือไม่ ปลาดอยู่ที่คำถามส่งมาเปนภาษาอังกฤษ คำตอบเขาก็ให้หม่อมฉันตอบเปนภาษาอังกฤษ เมื่อไปถึงศาลแพ่งยังจะต้องไปแปลเปนภาษาไทยอีก อาจจะเกิดโต้แย้งกันด้วยคำแปลก็เปนได้

เรื่องที่ ๒ มีผู้หญิงผู้ดีชาวเดนมาร์คคน ๑ ให้นายยิ้มกงซุลสยามที่นี่พามาหาหม่อมฉัน แสดงว่าเขาเปนคนชอบแต่งเพลงดนตรี ได้เข้าไปเที่ยวกรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้แลเลยไปดูนครวัดด้วย เขาได้ทราบอยู่นานแล้วว่าครั้งไทยรบกับฝรั่งเศสรบกันเมื่อ ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) มีพวกเดนชาวเมืองของเขาได้ช่วยไทยรบหลายคน ครั้นไปเห็นกรุงเทพฯ กับนครวัดจึงคิดอยากแต่งโอปราเรื่องไทยรบกับฝรั่งเศสแลที่พวกเดนช่วยไทยในครั้งนั้น แต่เมื่อถามถึงเรื่องราวที่รบกันไม่มีใครในกรุงเทพฯ ทราบ พากันแนะให้มาถามหม่อมฉันทั้งนั้น เขาจึงมาขอความสงเคราะห์ให้หม่อมฉันเล่าเรื่องให้เขาฟัง ความปลาดใจของหม่อมฉันอย่างไรไม่ต้องทูลอธิบาย หม่อมฉันคิดดูแล้วตอบเขา ว่าเรื่องรบกันครั้งนั้นหม่อมฉันทราบอยู่ ถ้าหากเปนราษฎรก็จะเล่าให้เขาฟังตามรู้ตามเห็น แต่รู้สึกขัดข้องอยู่เพราะเวลานั้นหม่อมฉันเปนข้าราชการผู้ใหญ่ได้มีหน้าที่ทำการครั้งนั้น เปรียบเหมือนเปนตัวละคอนเองคน ๑ ความรู้เห็นทั้งปวงได้มาโดยตำแหน่งหน้าที่ราชการทั้งนั้น ธรรมดาผู้ที่ได้เป็นรัฐบุรุษของบ้านเมือง ถึงจะออกจากตำแหน่งหน้าที่ไปแล้ว ก็ไม่สามารถปลดเปลื้องความรับผิดชอบในหนหลังให้ขาดได้ทีเดียว เปรียบว่าถ้าหม่อมฉันบอกเรื่องให้เขาไปแต่งโอปรา ถ้าฝรั่งเศสหรือชาติใดไม่พอใจไปต่อว่าต่อขานรัฐบาลไทย ก็เหมือนหม่อมฉันทำให้เกิดลำบากแก่คนภายหลังในบ้านเมืองของหม่อมฉัน ดูหาสมควรไม่ แกก็จนถ้อยคำสำนวน นัยว่าดูเหมือนแกจะกลับเข้าไปกรุงเทพฯ อีก

เรื่องที่ ๓ เมื่อเร็ว ๆ มีการปลงศพเมียมหาเศรษฐีชื่อ Leke ทำการใหญ่โต หม่อมฉันขึ้นรถไปจอดดูกระบวรแห่ศพ ให้หญิงพิลัยไปฉายรูปด้วย เครื่องแห่ทำอย่างประณีตบรรจง มีธงแพรติดตัวอักษรตั้งร้อย รถยนต์แต่งเครื่องกระดาดก็หลายหลัง แต่กระบวรแห่มีทั้งที่ควรติแลควรชมโดยฉะเพาะ ที่ควรตินั้นของทำงดงามเช่นธงแพรที่แห่เปนกระบวร ไปจ้างพวกกุ๊ยมาถือ แลดูเปรียบเหมือนกับแต่งเต็มยศตอนบน แต่แก้ผ้าตอนล่างพาให้เสียโฉมไปหมด ที่ควรชมโดยฉะเพาะนั้นรถยนต์แต่งให้พวกพรตจีนนั่งหลังหนึ่ง ทำที่นั่งในดอกบัวเปนชั้นๆ ข้างหลังมีเรือนแก้วทำเปนรัศมี อีกหลังหนึ่งสำหรับพรตประจำผ้าโยงมาหน้ารถศพ แต่รถศพนั้นงามอย่างยิ่ง แต่งคลุม หมดจนไม่เห็นเปนรถยนต์ หัวรถเปนหงส์ ตัวเหมงามหยดย้อยไม่เคยเห็นเหมือนมาแต่ก่อน เขาชี้ให้ดูตัวมหาเศรษฐีที่เปนผัว เห็นเข้านึกชมและออกสงสาร ด้วยแกเดินเกาะมาข้างหีบศพ ใส่เสื้อกุยเฮงนุ่งกางเกงผ้าสีดำใส่หมวกดำอย่างคนเลว ๆ เปนการไว้ทุกข์ ดูจับใจอยู่ ขอให้ทรงพิจารณาดูในรูปฉายที่ถวายมากับจดหมายนี้เถิด หม่อมฉันเขียนอธิบายไว้ข้างหลัง งานศพนี้แปลกอย่างหนึ่งที่เผาศพ ณ วัดจีน หม่อมฉันสืบถามถึงวิธีเผา ได้ความว่าเอาศพตั้งบนเชิงตะกอนทั้งหีบ ไม่เปิดหีบแตะต้องถึงศพเลยทีเดียว เอาฟืนกองเรียงแล้วเอาน้ำมันก๊าดราดจุดไฟ นัยว่าจะเผาตั้ง ๒ วัน จึงจะไหม้หมด

หม่อมฉันส่งเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ ท่อนที่ ๓ ถวายมากับจดหมายนี้ด้วย

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

  1. ๑. พระยาเทพประชุม (ปั้น ปันยารชุน)

  2. ๒. หม่อมเจ้าหญิงพิลัยเลขา ดิศกุล

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ