- เมษายน
- วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ยังอยู่ในตอนที่ ๒
- วันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๙ เมษายน ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๓ เที่ยวเมืองหงสาวดี
- วันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- วันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ยังอยู่ในตอนที่ ๓
- วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- พฤษภาคม
- วันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- วันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๓
- วันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ยังอยู่ในตอนที่ ๓
- วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ เที่ยวเมืองมัณฑเล
- วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- มิถุนายน
- วันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๒
- วันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๓
- วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๔
- วันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๕
- วันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- กรกฎาคม
- วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๖
- วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๔ ท่อน ๗
- สิงหาคม
- วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย
- วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย (ท่อนที่ ๓)
- วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๕ เที่ยวเมืองมัณฑเลภาคปลาย (ท่อนที่ ๔)
- วันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- กันยายน
- วันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร (๒)
- วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๖ วินิจฉัยเคราะห์กรรมเมืองพะม่า (ท่อนที่ ๑)
- วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๖ วินิจฉัยเคราะห์กรรมเมืองพะม่า (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- ตุลาคม
- วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —กฎมณเทียรบาลพะม่า
- วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ ล่องแม่น้ำเอราวดี
- วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ ล่องแม่น้ำเอราวดี (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ ล่องแม่น้ำเอราวดี (ท่อนที่ ๓)
- วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เที่ยวเมืองพุกาม
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น (๒)
- พฤศจิกายน
- วันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เที่ยวเมืองพุกาม (ตอนที่ ๓)
- วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- —จดหมายบันทึก ที่แก้เปลี่ยนคำ ในกฎมนเฑียรบาลพม่า
- วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๔)
- วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๕)
- วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- ธันวาคม
- วันที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๖)
- วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๗)
- วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๘)
- วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เรื่องเที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๙)
- วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๘ เรื่องเที่ยวเมืองแปร (ท่อนที่ ๑)
- มกราคม
- วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๘ เรื่องเที่ยวเมืองแปร (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ
- วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- —วันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙
- —คำนำ หนังสือเรื่องกฎมณเทียรบาลพะม่า
- วันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- —ประมวญวัน วันอาทิตย์ วันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙
- กุมภาพันธ์
- วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๒)
- วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๓)
- วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- มีนาคม
- วันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๔)
- วันที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- วันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
- วันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๙ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขากลับ (ท่อนที่ ๕)
- วันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ น
เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๗ เที่ยวเมืองพุกาม (ท่อนที่ ๒)
จะเล่าเรื่องตำนานเมืองพุกามต้องกล่าวถึงชาวเมืองพะม่าแต่ดึกดัมบรรพ์ก่อนจึงจะเข้าใจได้ชัดเจน แผ่นดินที่รวมเปนเมืองพะม่าอยู่บัดนี้เดิมทีเดียวตอนใกล้ฝั่งทะเลเปนที่อยู่ของมนุษย์จำพวกผิวดำและผมหยิกฝรั่งเรียกว่า ชาวอินโดเนเซีย Indonesia ไทยเราเรียกว่า “เงาะ” หรือ “ชาวน้ำ” แต่ตอนดอนขึ้นไปไม่มีร่องรอยที่จะรู้ว่ามนุษย์จำพวกใดอยู่มาก่อน จนถึงราวสมัยใกล้พุทธกาลจึงมีมนุษย์จำพวกที่ฝรั่งเรียกว่า มงโคเลียน Mongolian เริ่มอพยบจากแดนดินที่เปนเมืองจีนอยู่เดี๋ยวนี้คงมาตั้งภูมิลำเนาในเมืองพะม่า มนุษย์พวกมงโคเลียนที่อพยบลงมาชั้นแรกนั้นพูดภาษาเดียวกัน และมาจากแดนจีนภาคใต้โดยทางเดียวกัน แต่มาแยกกันเมื่อถึงแม่น้ำโขง พวกหนึ่งอพยบต่อลงไปทางลุ่มแม่น้ำโขงไปเที่ยวตั้งภูมิลำเนาทางนั้น ภายหลังได้นามว่า “เขมร” หรือ “ขอม” พวกหนึ่งอพยบมาทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา มาได้นามว่า “ลาว” หรือ “ลว้า” อีกพวกหนึ่งอพยบไปทางลุ่มแม่น้ำสละวิน ไปตั้งภูมิลำเนาตอนชายทะเลใกล้ปากแม่น้ำสละวิน พวกนี้ต่อมาได้นามว่า “มอญ” ขยายอาณาเขตขึ้นไปข้างเหนือจนถึงแม่น้ำสะโตงและแม่น้ำเอราวดี ภายหลังรวมกันเปนประเทศมอญตั้งเมืองสะเทิมเปนเมืองหลวง ต่อมามีมนุษย์จำพวกมงโคเลียนอีก ๓ จำพวกพูดภาษาต่างกัน เดิมอยู่ในแดนจีนทางข้างตะวันตก (ต่อแดนธิเบต) อพยบลงมาทางลุ่มน้ำเอราวดี จำพวกที่ ๑ ที่นำหน้าลงมาก่อนเรียกว่าพวก “พยุ” Pyuมาตั้งภูมิลำเนาในแดนดินที่ภายหลังตั้งเปนเมืองพะม่า ต่อแดนมอญไปข้างเหนือ รวมกันเปนประเทศหนึ่งตั้งเมืองสารเขตร์เปนเมืองหลวง (อยู่ใกล้กับเมืองแปรบัดนี้) พวกที่ ๒ ซึ่งอพยบตามพวกพยุลงมา (คือพวกพะม่าแต่ชั้นแรก) เรียกว่า “ม่าน” Myon จำพวกนี้มาตั้งภูมิลำเนาอยู่ข้างเหนือแดนของพวกพยุขึ้นไปจนต่อแดนพวกไทย (เมื่อยังอยู่เมืองนั้นเจา) ตั้งเมืองตะโล้งเปนเมืองหลวง จำพวกที่ ๓ เรียกว่า การัน Karan ไปตั้งภูมิลำเนาทางชายทะเลอ่าวเบงคอล ต่อมาเปนประเทศได้นามว่า “ยักไข่” Araccan ถ้าว่าฉะเพาะแผ่นดินที่เปนเมืองพะม่าเดี๋ยวนี้ชาวเมืองชั้นเดิมที่เปนพวกใหญ่จึงเปน ๓ ชาติ แบ่งอาณาเขตต์กันปกครองเปน ๓ ภาค ภาคเหนือเปนอาณาเขตต์พวกม่าน ภาคกลางเปนอาณาเขตต์พวกพยุ ภาคใต้เปนอาณาเขตต์พวกมอญ พวกอินโดเนเซียที่มาอยู่ก่อนทนพวกที่มาใหม่เบียดเบียนไม่ไหวก็พากันอพยบย้ายถิ่นฐานไปเที่ยวอยู่กับพวกของตนที่มีอยู่ตามเกาะในมหาสมุท หรือหนีขึ้นไปอาศัยอยู่บนภูเขา ยังมีพืชพันธุ์อยู่จนบัดนี้ เมื่อมีบ้านเมืองเกิดขึ้นแล้วพวกชาวอินเดียก็ใช้เรือมาค้าขาย ด้วยอยู่ใกล้กันเปรียบอย่างกรุงเทพฯ กับเมืองสิงคโปร์ จะเริ่มมาแต่เมื่อใดไม่ปรากฎ มีในเรื่องพงศาวดารอินเดียแต่ว่าเมื่อพระเจ้าจันทรคุปต์ต้นราชวงศ์โมรีย์ (องค์อัยกาของพระเจ้าอโศกมหาราช) เปนพระเจ้าราชาธิราชอยู่ในระวาง พ.ศ. ๒๒๒ จน พ.ศ. ๒๔๖ นั้น ประสงค์จะบำรุงเศรฐกิจให้รุ่งเรืองทรงแนะนำอุดหนุนให้พวกชาวอินเดียไปเที่ยวค้าขายตามต่างประเทศ จึงประมาณว่าชาวอินเดียจะเริ่มมาค้าขายที่เมืองยักไข่ เมืองสารเขตร์ เมืองสะเทิม (และเดินบกจากเมืองมอญมาถึงเมืองนครปฐมเมื่อยังเปนเมืองหลวงของพวกลาว) ตั้งแต่ราว พ.ศ. ๒๓๐ เปนต้นมา
ลักษณที่พวกชาวอินเดียมาค้าขายนั้น ที่แห่งใดค้าขายดีก็ตั้งเปนสถานี ให้คนพวกของตนผลัดเปลี่ยนกันอยู่ประจำทำการมากบ้างน้อยบ้าง ชาวอินเดียที่มาค้าขายล้วนแต่ผู้ชาย มักมาได้หญิงชาวเมืองเปนเมียแล้วเลยตั้งภูมิลำเนาอยู่ในท้องที่ เกิดมีเชื้อสายชาวอินเดียเปนพลเมืองมากขึ้นโดยลำดับ ก็ชาวอินเดียได้บันลุอาริยธรรมสูงกว่าพวกชาวเมืองที่อยู่มาแต่ก่อน เมื่อมาอยู่ปะปนกันนานเข้าพวกชาวอินเดียก็ได้เปนครูบาอาจารย์ นำวิชาความรู้กับทั้งประเพณีแลสาสนาของชาวอินเดียก็มาประดิษฐานในประเทศเหล่านี้ ต่อมาถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเปนราชาธิราชในอินเดียเมื่อระวาง พ.ศ. ๒๖๘ จน พ.ศ. ๓๐๐ ทรงเลื่อมไสยสถาปนาพระพุทธสาสนาเปนสาสนาสำหรับประเทศ แล้วให้เที่ยวสั่งสอนพระพุทธสาสนาถึงนา ๆ ประเทศ (ดังจะพรรณนาโดยพิศดารในตอนที่ ๘ ต่อไปข้างหน้า) พวกชาวเมืองยักไข่ เมืองพยุ แลเมืองมอญ (ตลอดไปจนพวกลาวที่เมืองนครปฐม) ก็นับถือพระพุทธสาสนาแต่นั้นมาในสมัยเมื่อพระพุทธสาสนามาประดิษฐานแล้วดูเหมือนพวกพยุที่เมืองสารเขตร์จะรุ่งเรืองอาริยธรรมยิ่งกว่าพวกอื่น เพราะปรากฎว่าพวกพยุรู้จักใช้หนังสือก่อน และพวกมอญกับพะม่าเอาแบบอักษรพยุไปแก้ไขใช้เปนหนังสือของตนเมื่อภายหลัง ศิลาจารึกโบราณที่พบในเมืองพะม่าชั้นเก่ากว่าเพื่อนก็เปนอักษรแลภาษาพยุทั้งนั้น เรื่องที่พรรณนามาถ้าว่าโดยย่อแผ่นดินที่เปนเมืองพะม่าเดี๋ยวนี้แบ่งเปน ๔ อาณาเขตต์ คือ ประเทศม่าน ยักไข่ พยุ แลมอญ มาหลายร้อยปีจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอันเปนต้นเรื่องตำนานเมืองพุกามที่จะกล่าวต่อไป
เรื่องตำนานเมืองพุกามเปน ๒ ภาค ภาคต้นเปนสมัยเมื่อพระราชาธิบดีปกครอง ภาคปลายเปนสมัยพระเจ้าราชาธิราชปกครอง ในภาคต้นมิใคร่รู้ได้ชัดเจนเหมือนภาคปลาย เริ่มความภาคต้นว่าเมื่อ พ.ศ. ๖๕๐ พวกมอญขยายอาณาเขตต์ขึ้นมาข้างเหนือตีได้เมืองสารเขตร์ อันเปนราชธานีของพวกพยุ พระเจ้าแผ่นดินพยุถูกจับไปเปนเชลยหรือสิ้นพระชนม์สูญไป มีราชภินัยองค์หนึ่งทรงนามว่า “สมุทฤทธิ์” Thamudarit หนีพ้นภัยได้ พาพรรคพวกขึ้นไปข้างเหนือ ไปตั้งถิ่นถานอยู่ที่ป่า “ปอกกัน” Paukkan (น่าจะเปนมูลของชื่อที่เรียกกันว่าเมืองพุกามเมื่อภายหลัง) พวกพยุและพวกอื่นที่แตกฉานเที่ยวซุ่มซ่อนอยู่ ณ ที่ต่างๆ ก็พากันไปรวบรวมอยู่กับเจ้าสมุทฤทธิ์มากขึ้นจนมีหมู่บ้านถึง ๑๙ ตำบล คนเหล่านั้นพร้อมใจกันยกเจ้าสมุทฤทธิ์ขึ้นเปนพระราชาธิบดีครองอาณาเขตต์เปนอิสสระ จึงเกิดเมืองพุกามขึ้นด้วยประการฉนี้ ในสมัยเดียวกันนั้นประเทศม่านทางข้างเหนือก็ถูกพวกไทยรุกแดนเข้ามาทางตะวันออก พวกม่านสู้ไม่ได้ก็เริ่มอพยบลงมาตั้งภูมิลำเนาทางข้างใต้ (ตอนที่ภายหลังตั้งเปนเมืองชเวโบ และเมืองอังวะ) มากขึ้นเปนลำดับมา พวกม่านนั้นก็ถือพระพุทธสาสนา แต่ถือตามลัทธิมหายาน ซึ่งชาวอินเดียพามายังเมืองม่านโดยทางบก ต่างลัทธิกับที่พวกมอญ พยุ ที่ถืออย่างหินยาน เวลาเมื่อพระเจ้าสมุทฤทธิ์ครองเมืองพุกามนั้น มีเจ้าม่านในราชวงศ์ซึ่งเคยครองเมืองตะโก้งองค์หนึ่งทรงนามว่า “ปยินสอตี” Pyin Saw Ti เปนศิษย์อยู่ในสำนักพระยเสคยอง Yathe Gyaung (เห็นจะเปนเถระพระสงฆ์มหายาน) พระอาจารย์พาหนีภัยจากเมืองม่านลงมาขอพึ่งบุญพระเจ้าสมุทฤทธิ์อยู่ที่เมืองพุกามแต่ยังเยาว์ ครั้นเจ้าปยินสอตีเติบใหญ่ขึ้นเปนคนกล้าหาญมีความสามารถในการรบพุ่งปราบปรามข้าศึกศัตรู พระเจ้าสมุทฤทธิ์จึงให้อภิเศกกับราชธิดาและต่อมาตั้งให้เปนมหาอุปราช แต่เมื่อพระเจ้าสมุทฤทธิ์สิ้นพระชนม์เจ้าปยินสอตีจะสนองคุณอาจารย์ เชิญให้พระยเสคยอง (ลาสิกขา) ขึ้นครองราชสมบัติตัวเองคงเปนแต่มหาอุปราชต่อมาจนอาจารย์สิ้นชีพแล้วจึงขึ้นเปนพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าปยินสอตีเปนกษัตริย์ม่านองค์แรกที่ครองเมืองพุกาม เมื่อแผ่อาณาเขตต์ขึ้นไปได้กว้างขวางประสงค์จะให้คนต่างชาติต่างภาษาที่เปนพลเมืองเปนพวกเดียวกันทั้งหมด จึงให้ใช้คำ “มรัมมะ” Maramma เปนนามสำหรับเรียกชาวเมืองซึ่งขึ้นอยู่ในอาณาเขตต์พุกาม เปนมูลของคำที่เรียกว่า “พะม่า” กันอยู่จนบัดนี้ จึงเกิดประเทศพะม่าขึ้นเปนคู่แข่งกับประเทศมอญตั้งแต่สมัยพระเจ้าปยินสอตีเปนต้นมา ราชธานีของประเทศพะม่า ตั้งอยู่ที่เมืองปอกกันมาสัก ๑๐๐ ปี มีพระเจ้าแผ่นดินปกครองต่อกันมา ๖ พระองค์ ถึงพระเจ้าสินลิคยอง Thinli Gyaung ให้สร้างราชธานีใหม่เรียกว่าเมืองศรีวิสัย Thiyipissya ที่ตำบลกยอกสะคะ Yauksaka อยู่ข้างใต้ราชธานีเดิม มีพระเจ้าแผ่นดินครองอาณาเขตต์พะม่าอยู่ที่เมืองศรีวิสัยต่อมา ๖ พระองค์ ถึงพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งทรงพระนามว่า “แสกแดง” Thaikdaing อันนับในจำนวนเปนที่ ๑๒ ให้ย้ายราชธานีไปสร้างใหม่ที่ตำบลสะมะดี ขนานนามเมืองว่า “สัมปาวดี” Sumpawadi มีพระเจ้าแผ่นดินปกครองสืบกันมาอีก ๗ พระองค์ ถึงพระเจ้า “ตุนคยิต” Tungyit เมื่อพระเจ้าแผ่นดินองค์นี้สิ้นพระชนม์ มีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ราชสมบัติไปได้แก่ “บัณฑิตย์” คนหนึ่ง จะเปนเชื้อสายราชวงศ์หรืออย่างไรไม่กล่าว ปรากฏแต่ว่าบวชเปนพระภิกษุสึกออกมาเปนพระเจ้าแผ่นดิน แต่เห็นจะเปนผู้รอบรู้โหราสาสตร์และวิชาอาคมมาก เมื่อครองราชสมบัติทรงพระนามว่า “พระเจ้าสิงกราชา” Thinka Yaza (ดูเหมือนจะเรียกในหนังสือแต่งทางเมืองเชียงใหม่ว่า “สิงหราชา”) เปนผู้ที่ตั้งจุลศักราชเมื่อ พ.ศ. ๑๑๘๑ ต่อพระเจ้าสิงกราชามีพระเจ้าแผ่นดินครองอาณาเขตต์พะม่าอยู่ที่เมืองสัมปาวดีต่อมาอีก ๑๓ องค์ ถึง “พระเจ้าปยินพรา” Pyin Pya นับเปนที่ ๓๓ ย้ายราชธานีจากเมืองสัมปาวดีมาสร้างเมืองพุกามที่ปรากฏอยู่บัดนี้ เป็นราชธานีขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๐ (ดูเหมือนจะขนานนามเมืองว่า “อริมัทบุระ” เรียกนามนั้นปรากฎอยู่ในหนังสือแต่งที่เมืองลังกา) มีพระเจ้าแผ่นดินต่อมาอีก ๗ องค์ ถึง “พระเจ้าโสกกะเต” Sokka te นับเปนที่ ๔๐ มีน้องยาเธอต่างพระชนนีองค์หนึ่ง ทรงนามว่า “อนุรุธ” พะม่าเรียกว่า “อโนรธา” Anawrahter เกิดกินแหนงกันและกัน เจ้าอนุรุธหนีไปตั้งซ่อมสุมผู้คน ณ ตำบลโปปาที่เชิงภูเขามหาคีรี ได้รี้พลมากแล้วยกเข้ามารบชิงได้ราชสมบัติจากพระเจ้าโสกกะเต ก็ได้เปนพระเจ้าแผ่นดินเมื่อ พ.ศ. ๑๕๘๗ สิ้นเรื่องเมืองพุกามภาคต้นเพียงนี้
รวมปีแต่แรกตั้งเมืองพุกามมาจนพระเจ้าอนุรุธได้ราชสมบัติประมาณ ๙๓๖ ปี มีพระเจ้าแผ่นดินปกครองมา ๔๑ พระองค์ สร้างเมืองต่างๆ เปนราชธานีถึง ๔ เมืองคือ เมืองปอกกัน เมืองศรีวิลัย เมืองสัมปาวดี และเมืองอริมัทบุระ พวกพะม่าถือพระพุทธสาสนา เวลาราชธานีตั้งอยู่ที่ไหนก็พากันสร้างเจดีย์สถานที่นั้น ก็เมืองราชธานีทั้ง ๔ นั้นอยู่ใกล้ๆ กัน เพราะฉะนั้นจึงมีเจดีย์สถานมากกว่ามาก สร้างเรี่ยรายไปตามท้องที่หลายร้อยเส้น แต่เจดีย์สถานที่สร้างก่อนรัชชสมัยของพระเจ้าอนุรุธ สร้างทางคติมหายานและเปนวัดขนาดย่อมๆ ทั้งนั้น ยังปรากฎอยู่จนทุกวันนี้ก็มาก วัดที่ทำใหญ่โตงดงามเปนของสร้างแต่สมัยพระเจ้าอนุรุธเปนต้นมา และสร้างทางคติหินยานทั้งนั้น