วันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ดร

Cinnamon Hall,

206 Kelawei Road, Penang. S.S.

วันที่ ๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๗๙

ทูล สมเด็จกรมพระนริศฯ

หม่อมฉันได้รับลายพระหัตถ์ฉะบับลงวันที่ ๓ ตุลาคมแล้วที่ตรัสถามมาถึงเมืองจันทนคร ที่เจ้าเมงกูนหนีไปอยู่นั้น หม่อมฉันตรวจดูในหนังสือ Imperial Gazetteer of India ได้ความว่าเมือง Chandernagore เปนเมืองน้อยขึ้นแก่ฝรั่งเศส อยู่ที่ริมลำน้ำฮุคคลีข้างใต้เมืองกาลกัตตาลงมาสัก ๒๐ ไมล์ มีเรื่องตำนานว่าแต่เดิมเปนเมืองใหญ่ ฝรั่งเศสตีได้เปนเมืองขึ้นสัก ๒๐๐ ปีมาแล้ว ครั้นฝรั่งเศสเกิดรบกับอังกฤษ ๆ ตีได้อาณาเขตต์ของฝรั่งเศสในอินเดียแทบทั้งหมด แต่เมื่อทำสัญญาเลิกสงครามกันอังกฤษคืนเมืองขึ้นอินเดียให้ฝรั่งเศสสองสามเมือง เปนเมืองเล็ก ๆ อยู่ในวงแวดล้อมของเมืองขึ้นอังกฤษดังนั้น เมืองจันทรนครอยู่ในพวกนั้น เดี๋ยวนี้จึงไม่เปนเมืองสำคัญเหมือนแต่ก่อน เรื่องเจ้าเมงกูนหนีไปอยู่เมืองจันทรนครนั้นยังมีต่อไป เห็นจะเปนเมื่อฝรั่งเศสเข้าสบเสียกับพะม่าอยากจะให้พะม่าไว้ใจ จึงให้ส่งเจ้าเมงกูนไปไว้เมืองไซง่อนเลยอยู่ที่นั้นมาจนตลอดอายุ สมเด็จพระราชปิตุลาฯ ได้ทรงรู้จักเมื่อเสด็จไปเมืองไซง่อน

อนึ่งแตงดาหวุ่นคยีที่อังกฤษเนรเทศไปไว้เมืองคัตตัก Cuttak นั้นเดิมหม่อมฉันสำคัญว่าอยู่ในประเทศพะม่า นึกสงสัยอยู่ว่าจะควบคุมกันอย่างไรเพราะแกมีพวกพ้องมาก เพิ่งมาพบแผนที่ว่าเมืองนั้นอยู่ในอินเดีย

เรื่องโกศอัฐิแม่นั้น หม่อมฉันคิดใคร่ครวญแล้ว ว่าที่ทำใหม่จะทำเปนโกศอย่างเดิมหรือจะทำเปนอย่างอื่นดี เห็นว่าถ้าเปนของแรกสร้าง ก็น่าจะทำด้วยถรรพสัมพาระที่ขโมยไม่พึงปราร์ถนาแต่อัฐิแม่ได้เคยใส่โกศมาแล้ว จะเปลี่ยนเปนอย่างอื่นด้วยกลัวขะโมยก็ออกตะขิดตะขวงใจ จึงตกลงว่าจะทำโกศอย่างเดิม เปนแต่ไม่กวดขันฝีมือให้เปนอย่างเอก เพราะเปนเวลาขัดสนต้องทำแต่ตามลำภังแต่จะจัดการรักษาให้มั่นคงขึ้นกว่าแต่ก่อน

พระยาสุริยานุวัตรนั้นเกิดปีเดียวกับหม่อมฉัน แต่เขาแก่กว่า ๒ เดือน เห็นจะตายอย่างรวดเร็วด้วยไม่มีวี่แววว่าป่วยเลย ในใบพิมพ์แจ้งความที่เจ้าภาพเขามีแก่ใจส่งมาให้หม่อมฉัน ก็ไม่บอกว่าป่วยเปนโรคอะไร ตรวจดูในหนังสือพิมพ์ข่าวก็ไม่ปรากฎ ได้ยินแต่ว่าผู้ตายได้สั่งให้เอาศพไปฝังไว้ที่วัดประยุรวงศ์ฯ มิให้เผา ศพใส่หีบเปนแต่เอาโกศไม้สิบสองที่ได้พระราชทานไปตั้งไว้ให้ปรากฎเกียรติยศพิเศษ

หม่อมฉันรู้สึกเสียดายพระยาพจนปรีชามาก แต่คิดดูก็เห็นว่าถึงเวลาตายของแกแล้ว เปรียบเหมือนถูกตี ๒ ครั้ง ๆ แรกรอดมาได้ ถูกตีซ้ำอีกครั้งหนึ่ง อายุมากเท่านั้นจะทนที่ไหนไหว

ข่าวทางปีนังที่ควรทูลประจำสัปดาหะที่ล่วงมาแล้ว มีผู้ดีพะม่า ๓ คนมาเที่ยวแหลมมลายู ถือจดหมายของเจ้าผิวชักนำมาถึงหม่อมฉัน ดูก็เปนคนเรียบร้อยดี ว่าเปนชาวเมืองมัณฑเลบ้านเรือนอยู่ใกล้กับเจ้าผิวชอบกัน เธอจึงให้จดหมายชักนำมา ในจดหมายของเจ้าผิวขึ้นต้นว่า “My dear Uncle” แกเลยสมมตเอาเปนอาว์ไม่แต่เพียงเรียกเมื่อพบกัน หม่อมฉันตอบจดหมายเลยถามแกถึงยศเจ้าพะม่า ว่านับเปนเจ้าลงมากี่ชั้น และฝากจดหมายไปถึงอาจารย์ อูโปคยา ผู้ที่เคยชี้แจงโบราณคดีแก่หม่อมฉัน ขอให้เขาช่วยสืบหนังสือโลกพยุหะ ซึ่งอ้างว่าเปนต้นตำรากฎมณเฑียรบาล ว่าเปนภาษาพะม่าหรือภาษามคธ ถ้าและเปนภาษามคธจะซื้อหรือขอยืมฉะบับมาลอกได้หรือไม่ เมื่อสองสามวันนี้เจ้าหญิงพูนได้รับจดหมายเจ้าฉายเมืองบอกมาว่าหาแผ่นเสียงเพลง “โยเดีย” ได้แผ่น ๑ เรียกว่า “เพลงยุหงิด” ดูเข้าที แต่แผ่นเสียงนั้นยังมาไม่ถึง

ในคราวเมล์นี้ หม่อมฉันส่งเรื่องเที่ยวเมืองพะม่าตอนที่ ๗ ท่อนที่ ๑ มาถวาย มีรูปฉายประกอบ ๓ รูป คือ

๑. รูปเรือกำปั่นไฟอย่าง “เอ๊กซเปรส” Express ที่หม่อมฉันมา

๒ รูปเรือลำเลียงพ่วงเรือเอ๊กเปรส

๓ รูปเรือเอ๊กซเปรสที่สวนกันกลางทาง

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ