ปกิรณะกะประวัติของสุนทรภู่

ของ

ธนิต อยู่โพธิ์

ตาม “ประวัติสุนทรภู่” ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์ไว้ ทรงกล่าวถึงท่านสุนทรภู่ เมื่อรับราชการอยู่ในรัชกาลที่ ๒ ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรง “นับสุนทรภู่เป็นกวีที่ปรึกษาด้วยอีกคนหนึ่ง ทรงตั้งเป็นที่ขุนสุนทรโวหารในกรมพระอาลักษณ์ พระราชทานที่ให้ปลูกเรือนอยู่ที่ใต้ท่าช้าง และมีตำแหน่งเฝ้าเป็นนิจ แม้เวลาเสด็จประพาส ก็โปรดฯ ให้ลงเรือพระที่นั่งเป็นพนักงานอ่านเขียนในเวลาพระทรงพระราชนิพนธ์บทกลอน”

ตรงนี้แสดงว่า ท่านขุนสุนทรโวหารได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและทรงปรึกษาเมื่อทรงพระราชนิพนธ์บทกลอนเนือง ๆ และเมื่อทรงพระราชนิพนธ์ติดขัด ก็คงจะโปรดให้ท่านขุนสุนทรโวหารต่อกลอนเป็นบางคราว จึงเป็นทางให้ท่านขุนได้อยู่ใกล้ชิดพระยุคลบาทยิ่งขึ้น และคงจะมีบางครั้งที่ท่านขุนสุนทรโวหารคงจะยึดมั่นในความคิดเห็นของตนโดยไม่ยอมผ่อนปรน ตามวิสัยของกวีหรือศิลปินทั้งหลาย ซึ่งบางทีความคิดเห็นนั้นก็อยู่แต่ในวงแคบและมืดทาง แต่ท่านเจ้าของก็ยังดันทุรังดื้อด้านกราบทูลโต้แย้งเข้าไป หรือพูดอย่างธรรมดาสามัญก็คือ กราบทูลโต้แย้งขัดคอไม่ชอบด้วยเหตุผลและกาลเทศะ จนเป็นเหตุให้ทรงกริ้วหลายครั้งหลายหน บางคราวก็พอจะโปรดประทานได้ แต่ก็คงจะมีบางครั้งที่จำต้องทรงดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยพระมหากรุณาธิคุณเพื่อปราบพยศเสียบ้าง และทางที่จะทรงปราบพยศอย่างหนึ่ง ก็คือโปรดให้นำตัวไปจำขังในบางคราว และท่านขุนสุนทรโวหารก็คงจะถูกเข้าโดยวิธีนี้หลายครั้ง เช่นเดียวกับที่เล่าถึงศรีปราชญ์ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงมีเรื่องเล่ากันมาเกี่ยวกับชีวิตราชการของท่านสุนทรภู่ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดฯ ให้เอาตัวไปคุมขังหรือจำคุกไว้เป็นครั้งคราว แต่คราวใดโปรดให้นำตัวท่านสุนทรภู่ไปจำขัง ก็มักมีเรื่องเล่าถึงอัจฉริยะทางต่อกลอนพระราชนิพนธ์ติดตามมา เช่นเล่ากันว่า ครั้งหนึ่งได้โปรดให้นำตัวสุนทรภู่ไปจำขังไว้ เห็นจะเป็นตอนปลายรัชกาลที่ ๒ ระยะนั้นกำลังทรงพระราชนิพนธ์บทละครนอก เรื่องสังข์ทอง เล่ากันมาว่า ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทโลมระทว่างเจ้าเงาะกับนางรจนา เมื่อแรกมาอยู่กระท่อมปลายนา เมื่อทรงพระราชนิพนธ์บทโลมของเจ้าเงาะ มักทรงเป็นกลอนคำด้วย ครั้นทรงพระราชนิพนธ์บท

โอโล้ม

๏ แสนเอยแสนแขนง น้อยหรือแกล้งตัดพ้อเล่นต่อหน้า
ติเล็กติน้อยคอยนินทา ค่อนว่าพิไรไค้แคะ
พี่ก็ไม่หลีกเลี่ยงเถียงสักสิ่ง มันก็จริงกระนั้นนั่นแหละ
เจ้าเย้ยเยาะว่าเงาะไม่งามแงะ

ครั้นทรงพระราชนิพนธ์มาถึงตรงนี้ ก็ทรงคิดคำและกลอนสัมผัสให้เป็นที่พอพระราชหฤทัยไม่ได้ หรือจะทรงนึกถึงขุนสุนทรโวหารขึ้นมาด้วยพระราชหฤทัยเมตตาปรานีก็ไม่ทราบ ได้โปรดให้มหาดเล็กที่เคยทรงใช้สอยในเรื่องบทกลอน ไปถามขุนสุนทรโวหารในที่คุมขัง ทั้งโปรดมีพระราชกระแสรับสั่งไปด้วยว่า “ถ้าต่อได้จะให้ออกจากที่คุมขัง” มหาดเล็กผู้นั้นคงจะสนิทสนมชอบพอกับท่านขุนสุนทรโวหาร (อาจเป็นเจ้าหมื่นไวยวรนาถ หัวหมื่นมหาดเล็กเพื่อนของสุนทรภู่ก็ได้) จึงรีบไปด้วยอารามดีใจ และบอกกับท่านขุนเป็นทำนองว่า “นี่ท่านขุน ในหลวงท่านทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องสังข์ทองค้างไว้ มีพระราชกระแสรับสั่งมาให้ท่านขุนแต่งต่อ ถ้าแต่งต่อได้จะโปรดเกล้าฯ ให้พ้นโทษ ออกจากที่คุมขัง” ท่านขุนจึงถามว่า ทรงพระราชนิพนธ์ค้างไว้ว่าอย่างไร มหาดเล็กผู้นั้นก็ว่าทวนกลอนพระราชนิพนธ์ดังกล่าวข้างต้นให้ฟังและยํ้าว่า ถ้าแต่งต่อได้จะโปรดให้พ้นโทษ ท่านขุนสุนทรโวหารจึงเอ่ยขึ้นว่า “แฮะ แฮะ ว่าเล่นหรือว่าจริง” มหาดเล็กผู้นั้นก็ยํ้ากับท่านขุนสุนทรโวหารว่า “จริงจิ๊ง มีพระราชกระแสรับสั่งว่า ถ้าต่อได้ จะโปรดให้พ้นโทษจริงๆ” แล้วเตือนให้ท่านขุนสุนทรโวหารแต่งต่อกลอนพระราชนิพนธ์ ท่านขุนก็ว่า ก็แต่งต่อถวายแล้วยังไงล่ะ ว่า “แฮะ แฮะ ว่าเล่นหรือว่าจริง มหาดเล็กผู้นั้นก็ลองทบทวนคำกลอนพระราชนิพนธ์ดูใหม่ว่า

๏ แสนเอยแสนแขนง น้อยหรือแกล้งตัดพ้อเล่นต่อหน้า
ติเล็กติน้อยคอยนินทา ค่อนว่าพิไรไค้แคะ
พี่ก็ไม่หลีกเลี่ยงเกี่ยงสักสิ่ง ยันก็จริงกระนั้นนั่นแหละ
เจ้าเย้ยเยาะว่าเงาะไม่งามแงะ แฮะแฮะว่าเล่นหรือว่าจริง

ก็ได้ความและสัมผัสกันดี จึงรีบกลับเข้าไปกราบทูล ก็โปรดและทรงพระราชนิพนธ์ต่อจนจบบทและกระแสความว่า

อย่าประมาทรูปพี่เห็นขี้เหร่ ไม่ว่าเล่นเป็นเสน่ห์ชอบใจหญิง
ชาวรั้วชาววังไม่ชังชิง อุตส่าห์ทิ้งมาลัยมาให้เงาะ
ใช่ว่าจะแสร้งแกล้งอวดตัว นานไปพี่กลัวจะชมเปาะ
ว่าพลางเย้ายวนชวนหัวเราะ แกล้งปะเหลาะปะแหละและเลียม
นี่แน่น้องผินหน้ามาข้างนี้ ไม่พอที่จะระคายอายเหนียม
ดูดู๋ขืนยังนั่งเอี้ยมเฟี้ยม ใจคอเหี้ยมเกรียมหนักหนานัก
มาเถิดเจ้าเข้าไปเสียในมุ้ง กลางนากลางทุ่งยุงมันหนัก
อย่าทำบิดตะกูดพูดเยื้องยัก แสนงอนค้อนควักไปทีเดียว

แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ท่านสุนทรภู่พ้นโทษ กลับเข้าราชการเข้าเฝ้าใกล้ชิดเช่นเดิม เล่ากันมาดังนี้เรื่องหนึ่ง

กล่าวกันมาอีกเรื่องหนึ่งว่า ในรัชกาลที่ ๒ นั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จดำรงพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ อยู่ในรัชกาลนั้น ตอนแรกๆ ก็ทรงโปรดปรานชอบพอสนิทสนมกับท่านสุนทรภู่มาก ในฐานะทรงเป็นกวีที่ทรงปรึกษาด้วยกัน เล่ากันว่า วันหนึ่งขณะที่บรรดาข้าราชการมารอเฝ้าคอยเสด็จออก ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทอดพระเนตรเห็นสิงโตหินที่เพิ่งนำมาตั้งใหม่ ประดับอยู่หน้าพระที่นั่ง จึงทรงเริ่มคำกลอนนำขึ้นว่า

กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ - โตติ้งสิงห์ตั้งเหมือนดั่งเป็น
สุนทรภู่ - ดูผงกผกเผ่นไม่ผันผยอง
กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ - มาแต่ไหนใหม่ตัวนี้มีทำนอง
สุนทรภู่ - เสือกไม่ไปไสไม่คล่องมาแต่จีน

แล้วต่างก็เป็นที่รื่นรมย์สนุกสนานไปด้วยกัน[๑]
ครั้นเสด็จออก ต่างก็พากันเข้าเฝ้า แต่ก็เป็นดังกล่าวมาข้างต้น เมื่อคุ้นเคยกันหนักเข้า ท่านสุนทรภู่ก็คงจะเลยธงไปตามวิสัยของศิลปินที่แก่วิชา จึงเกิดเรื่องขัดแย้งถึงกับกล้าแก้คำกลอนพระนิพนธ์ ซึ่งกรมหมื่นเจษฏาบดินทร์ทรงแต่งถวายหน้าพระที่นั่ง เช่น แก้กลอนตอนนางบุษบาเล่นธารในเรื่องอิเหนา และตอนท้าวสามนต์จะให้ ๗ ธิดาเลือกคู่ในเรื่องสังข์ทอง ตอนที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนำมาเล่าไว้แล้วในประวัติสุนทรภู่ จึงเป็นเหตุให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงขัดเคืองแต่นั้นมา

ครั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยสวรรคต เมื่อแรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๘ ปีวอก พ.ศ.๒๓๖๗ และพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงสืบราชสมบัติเป็นพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เฉลิมพระนามต่อมาว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านขุนสุนทรโวหารอาลักษณ์ก็ถูกถอดออกจากบรรดาศักดิ์ และถูกปลดออกจากราชการ คนทั้งหลายจึงเรียกกันว่า สุนทรภู่ และท่านสุนทรภู่มีความหวาดกลัวต่อพระราชอาชญา จึงออกบวชเป็นพระภิกษุในปีวอก ซึ่งเป็นปีสวรรคตนั้นเอง ด้วยเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเคารพพระภิกษุสงฆ์มาก แม้กระนั้นก็คงจะยังเกรงกลัวราชภัยอยู่ พระภิกษุสุนทรภู่จึงหลบไปอยู่เสียตามหัวบ้านหัวเมืองต่างๆ เห็นจะราว ๒-๓ ปี เช่นที่กล่าวไว้ในคำกลอน “รำพันพิลาป” ว่า

แต่ปีวอกออกขาดราชกิจ บรรพชิตพิศวาสพระศาสนา
เหมือนลอยล่องท้องชเลอยู่เอกา เห็นแต่ฟ้าฟ้าก็เปลี่ยวสุดเหลียวแล
ดูฟากฝั่งหวังจะหยุดก็สุดเนตร แสนเทวษเวียนว่ายสายกระแส
เหมือนทรวงเปลี่ยวเที่ยวแสวงทุกแขวงแคว ได้เห็นแต่ศิษย์หาพยาบาล
ทางบกเรือเหนือใต้เที่ยวไปทั่ว จังหวัดหัวเมืองสิ้นทุกถิ่นฐาน
เมืองพริบพรีที่เขาทำรองนํ้าตาล รับประทานหวานเย็นก็เป็นลม
ไปราชพรีมีแต่พาลจังฑาลพระ เหมือนไปปะบรเห็ดเหลือเข็ดขบ
ไปขึ้นเขาเล่าก็ตกอกระบม ทุกข์ระทมแทบจะตายเสียหลายคราว

และยังกล่าวว่าเร่ร่อนไปตามหัวบ้านหัวเมืองอื่นๆ อีก คงจะคะเนว่า พอพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลืมๆ แล้ว ท่านสุนทรภู่ก็กลับ ดูเหมือนจะมาอยู่วัดราชบูรณะในกรุงเทพฯ ก่อน แต่แม้กระนั้นก็คงจะไม่สู้มีเจ้านายองค์ใดกล้าทรงอุปการะ แม้แต่เจ้าฟ้าอาภรณ์ซึ่งเคยเป็นศิษย์มาแต่ในรัชกาลที่ ๒ ก็เกรงพระบารมีในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่กล้าทรงอุปถัมภ์ เมื่อท่านสุนทรภู่แต่ง “เพลงยาวถวายโอวาท” แก่เจ้าฟ้ากลาง คือสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ และเจ้าฟ้าปิ๋ว พระอนุชาของเจ้าฟ้าอาภรณ์ จึงแต่งกลอนกระแหนะกระแหน แทรกฝากไว้ในเพลงยาวนั้นว่า

สิ้นแผ่นดินสิ้นบุญของสุนทร ฟ้าอาภรณ์แปลกพักตร์อาลักษณ์เดิม

เข้าใจว่า ท่านสุนทรภู่คงจะขาดผู้อุปการะที่เป็นหลักเป็นแหล่ง จึงเริ่มแต่งกลอนสุภาพเรื่องพระอภัยมณีขึ้นในระยะนี้ ดังที่ข้าพเจ้าได้เปรียบเทียบบุคคลและเหตุการณ์ไว้ในเรื่อง “ตัวละครและเหตุการณ์ในเรื่องพระอภัยมณี ที่พิมพ์ไว้ในเบื้องต้นของคำกลอนสุภาพเรื่องพระอภัยมณี เล่ม ๔

ในคำกลอนเรื่องพระอภัยมณีนั้น มีถ้อยคำเป็นสุภาษิตอยู่คำหนึ่ง ซึ่งเป็นคำของฤๅษีเกาะแก้วพิสดารสอนสุดสาคร ตอนตกเหวว่า

รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี

ท่านสุนทรภู่เองก็คงจะยึดถือสุภาษิตบทนี้ด้วยเหมือนกัน เมื่อเห็นเจ้านายอื่นๆ ต่างเกรงพระราชบารมีในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่มีองค์ใดกล้าทรงอุปการะ ท่านสุนทรภู่จึงคิดเข้าหาท่านผู้ที่พอจะพึ่งพิงได้ เล่ากันว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีเจ้าจอมที่โปรดมากอยู่คนหนึ่ง คือ เจ้าจอมมารดาบาง และทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดากับเจ้าจอมมารดาบาง ๒ องค์ คือ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงวิลาศ ซึ่งต่อมาได้สถาปนาเป็นกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ องค์หนึ่ง พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ พระองค์หนึ่ง ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระเมตตารักใคร่โปรดปรานพระราชธิดาและพระราชโอรสทั้งสองพระองค์นี้เป็นอย่างยิ่ง โปรดให้พระองค์เจ้าลักขณานุคุณประทับอยู่ ณ วังที่พระองค์เองเคยเสด็จประทับอยู่ก่อนเสวยราชสมบัติ คือวังท่าพระทุกวันนี้ ครั้งแรก ท่านสุนทรภู่ได้ไปพึ่งพระบารมีอยู่กับสมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ในฐานะเป็นกวีและเป็นพระภิกษุด้วยกัน ครั้นต่อมาเมื่อพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ ทรงผนวช ณ วัดพระเชตุพน ใน พ.ศ. ๒๓๗๕ คงจะได้ทรงรู้จักมักคุ้นกับท่านสุนทรภู่ ก็ทรงพระปรานี ครั้นเสด็จลาผนวชแล้ว ท่านสุนทรภู่ก็ยังคงพึ่งพระบารมีพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ อยู่ต่อมาระยะหนึ่ง และว่าพระองค์เจ้าลักขณานุคุณทรงชักชวนให้มาอยู่วัดมหาธาตุ เพราะเป็นวัดใกล้วังท่าพระ จะได้ทรงอุปการะได้สะดวก แต่คงจะพึ่งอยู่ไม่ได้นาน พระองค์เจ้าลักขณานุคุณก็สิ้นพระชนม์เสียเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๘ เมื่อพระองค์เจ้าลักขณานุคุณสิ้นพระชนม์แล้ว ท่านสุนทรภู่คงจะย้ายจากวัดมหาธาตุ กลับไปอยู่วัดพระเชตุพนอีก เพราะเมื่อคราวแต่งนิราศวัดเจ้าฟ้าในปี พ.ศ.๒๓๗๙ พึ่งสมมติให้เป็นสามเณรพัดลูกชายแต่ง บอกไว้ว่า

เณรหนูพัดหัดประดิษฐ์คิดอักษร
เป็นเรื่องความตามติดท่านบิดร กำจัดจรจากนิเวศน์พระเชตุพน

ในระยะนี้คงจะได้ติดต่อ หมายพึ่งพระบารมีกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระเชษฐภคินีร่วมเจ้าจอมมารดาของพระองค์เจ้าลักขณานุคุณอยู่ด้วยแล้ว เมื่อเดินทางไปถึงกรุงเก่า และแวะเข้านมัสการหลวงพ่อพนัญเชิง จึงกล่าวคำอธิษฐานไว้ตอนหนึ่งว่า

อนึ่งเล่าเจ้านายที่หมายพึ่ง ให้ทราบซึ่งสุจริตพิสมัย
อย่าหลงลิ้นหินชาติขาดอาลัย นํ้าพระทัยทูลเกล้าให้ยาวยืน

และกล่าวความอีกตอนหนึ่งว่า

ขอเดชะจะได้พึ่งให้ถึงจอม ขอให้น้อมโน้มสวาทอย่าคลาดคลา

ท่านสุนทรภู่กลับจากกรุงเก่าคราวนี้แล้ว คงจะได้พึ่งพระบารมีพระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ สมดังอธิษฐาน ขณะนั้น กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพทรงมีพระชนม์ ๒๕ พรรษา สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าว่า กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพได้ทรงหนังสือเรื่องพระอภัยมณี ที่ท่านสุนทรภู่ได้แต่งไว้ ๔๙ เล่มสมุดไทย จบความเพียงพระอภัยมณีออกบวชก็ชอบพระหฤทัย ทรงมีพระประสงค์จะมิให้จบเพียงนั้น จึงมีรับสั่งให้สุนทรภู่แต่งถวายให้ทรงต่อไป ด้วยเหตุนี้ ท่านสุนทรภู่จึงต้องคิดแต่งเรื่อง พระอภัยมณีตอนหลัง ตั้งแต่เล่มสมุดไทยที่ ๕๐ ขยายเรื่องต่อไปจนเล่มที่ ๙๙ จึงจบ และถ้าเป็นดังนี้ ท่านสุนทรภู่ก็คงจะเริ่มแต่งตอนหลังนี้ถวายตั้งแต่ยังมิได้ย้ายไปจำพรรษาาอยู่วัดเทพธิดาราม เช่นที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในคำนำของหนังสือนี้

แต่โดยวิสัยของกวีและศิลปิน ซึ่งอาจสร้างจินตนาการขึ้นได้โดยไม่จำกัดขอบเขต ท่านสุนทรภู่ก็เช่นเดียวกับศิลปินอื่น คงจะพยายามสร้างจินตนาการผูกเรื่องพรอภัยมณีตอนต่อใหม่ขึ้นมาจนได้ และมีหลายครั้งหลายตอน ที่ผูกโครงเรื่องและสร้างคำกลอนขึ้นมาคล้ายกับจะเคาะแคะกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ หรืออาจสมมติให้กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเป็นตัวละครในเรื่องเป็นบางครั้ง และท่านสุนทรภู่ก็อดเสียมิได้ที่จะสร้างความในใจแฝงฝากไว้กับตัวละครบางตัวในเรื่องพระอภัยมณี เช่น ตอนพระมังคลา โอรสพระอภัยมณีกับนางละเวงวัณฬา พลัดบ้านพลัดเมืองไปอยู่เมืองสำปันหนา แล้วไปเกิดรักนางดวงแข ธิดาท้าวรายา จึงเขียนสารถึงนางดวงแข (ตอนที่ ๗๗) เป็นกลอนว่า

นางรับสารอ่านกลอนอักษรสนอง ฉันจำลองลายหัตถ์จัดถวาย
กระดาษแทนแผ่นสุวรรณพรรณราย เพราะมุ่งหมายพระธิดายุพาพิน
แต่เรียมจนเพราะเป็นคนอนาถา แม้นเมตตาก็จะหายวายถวิล
เพราะความรักหนักเท่าพระธรณิน เชิญยุพินทราบคำที่รำพัน
อันตัวพี่เหมือนกระต่ายมาหมายแข ตะลึงแลแสงช่วงดวงบุหลัน
ก็สุดหมายที่จะมาดสวาทจันทร์ อยู่ถึงชั้นดาวดึงส์เห็นกึ่งเกิน
เมื่อไรเลยจันทราดวงดารก จะร่วงตกลงมาบ้างเห็นห่างเหิน
ขอเสี่ยงบุญหนุนนำให้จำเริญ เป็นที่เยินยอยศปรากฏไป
แม้นคู่เคียงเรียงหมอนแต่ก่อนสร้าง อย่าให้ร้างเชยชิดพิสมัย
ให้เหมือนพวงปุบผาสุมาลัย มาสวมใส่หัตถาศิลาลอย
เชิญพระนุชบุตรีนารีรัก ช่วยเชิดพักตร์พี่ไว้ได้ใช้สอย
อย่าบากบั่นผันพักตร์ให้รักลอย จงตอบถ้อยศุภสารสมานเอย

คำกลอนดังกล่าวนี้ และมีอีกหลายแห่ง ถ้านำไปเทียบกับคำกลอน หรือเนื้อความในเรื่อง “รำพันพิลาป” ก็ดูจะปรับความเข้ากันได้ว่า จินตนาการของท่านสุนทรภู่เป็นอย่างไร ซ้ำยังนำความในใจมาระบายไว้เป็นนัยๆ ดูประหนึ่งจะหมายถึงใครสักคนหนึ่ง อาจเป็นกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพก็ได้ ในนิราศพระประธมซึ่งแต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๕ เช่นว่า

โอ้บุปผาสารพัดที่กลัดกลีบ ครั้นรุ่งรีบบานงามไม่ห้ามหวง
ให้ชื่นชุ่มภุมรินสิ้นทั้งปวง ได้ซาบทรวงเสาวรสไม่อดออม
แต่ดอกฟ้าส่าหรีเจ้าพี่เอ๋ย มิหล่นเลยให้หมู่แมงภู่สนอม
จะกลัดกลิ่นสิ้นรสพราะมดตอม จนหายหอมแลกรอกเหมือนดอกกลอย

และกล่าวต่อไปเมื่อฝานหน้าวัดสักในคลองบางกรวยว่า

ถึงวัดสักเหมือนหนึ่งรักที่ศักดิ์สูง ยิ่งกว่าฝูงเขาเหินเห็นเกินสอย
แม้นดอกฟ้าคลาเคลื่อนหล่นเลื่อนลอย จะได้คอยเคียงรับประคับประคอง

เรื่องจินตนาการของกวีทำนองนี้ ยิ่งอ่านก็ยิ่งพบ ยิ่งพิจารณาก็ยิ่งเห็น และเมื่อเห็นไปๆ จะถูกหรือผิดไม่ทราบได้ ขอนำจินตนาการบางเรื่องที่สร้างขึ้นในขณะอ่านกลอนสุภาพเรื่องพระอภัยมณี ตอนที่ว่า กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ มีรับสั่งให้ท่านสุนทรภู่แต่งต่อ มากล่าวแต่โดยย่อเพียงเท่านี้.



[๑] เรื่องนี้ หม่อมเจ้าหญิงจงจิตรถนอม ดิศกุล ทรงเล่าประทาน

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ