๏ ศรีสุวรรณนั้นคะนึงถึงนิเวศน์ |
ทูลลาเชษฐาตามความประสงค์ |
แล้วเชิญองค์ทรงยศท้าวทศวงศ์ |
ไปดำรงรมจักรนัครา |
แต่องค์พระอภัยมิได้เสร็จ |
ด้วยไม่เสร็จศึกขบถโอรสา |
ซ้ำสองนางต่างขัดพระอัชฌา |
แต่ตรึกตราอารมณ์ให้ตรมตรอม |
ทั้งแสนแค้นแสนรักสลักอก |
แสนวิตกจนพระรูปซีดซูบผอม |
น้อยหรือเมียเสียได้มันไม่ยอม |
พูดอ้อมค้อมขัดข้องจองหองฮึก |
คิดจะใคร่ไปบวชจนหนวดขาว |
ให้มันหนาวนอนสะอื้นไม่คืนสึก |
แต่ครวญคร่ำรำพึงคะนึงนึก |
จนจับไข้ให้สะทึกสะท้านองค์ ฯ |
๏ ฝ่ายสองนางต่างสงสารพระผ่านเกล้า |
ต่างเข้าเฝ้าทูลถามตามประสงค์ |
ทูลกระหม่อมผอมซูบทั้งรูปทรง |
ขอพระองค์จงประทานอาการประชวร ฯ |
๏ พระฟังคำชำเลืองค้อนเคืองขัด |
มิได้ตรัสตอบความทรามสงวน |
ครั้นถามซ้ำทำว่าชะเจ้ากระบวน |
อย่ามากวนเซ้าซี้ที่นี่เลย |
แล้วเอนองค์ลงบรรทมทรงห่มส่าน |
สั่นสะท้านทำเบือนแกล้งเชือนเฉย |
ทั้งสองนางต่างเห็นผิดจริตเคย |
พระเฉยเมยไม่เหมือนอย่างแต่หลังมา |
เห็นจะเคืองเรื่องที่ขัดไม่ตรัสด้วย |
มิให้ช่วยฟูมฟักเฝ้ารักษา |
พลางสั่งเหล่าสาวใช้อย่าได้ช้า |
เรียกหมอนวดหมอยามาไวไว ฯ |
๏ แล้วสองนางต่างว่าน่าสงสาร |
พระอาการก็ไม่แจ้งแถลงไข |
จะวิบัติขัดขวางเป็นอย่างไร |
มาเข้าไปด้วยกันแม่วัณฬา |
ได้ทูลอ้อนวอนถามตามจะโปรด |
ถึงกริ้วโกรธจะฟันบั่นเกศา |
ก็ตามทีพี่น้องเราสองรา |
จะก้มหน้าสู้ม้วยเสียด้วยกัน |
แล้วสองนางต่างเข้าเคียงบรรจถรณ์ |
ชลีกรก้มตัวกราบผัวขวัญ |
ค่อยหมอบกรานคลานขึ้นแท่นสุวรรณ |
ต่างนวดฟั้นฝ่าพระบาทไม่คลาดคลา |
พระเห็นนางข้างสุวรรณบรรจถรณ์ |
ชำเลืองค้อนโฉมฉายทั้งซ้ายขวา |
ค่อยเคลื่อนคลายหายสั่นจึงบัญชา |
แม่นางมาลีนะนางละเวง |
แกล้งเป็นหมอคอเดียวกันเจียวเจ้า |
ใครเชิญเล่าเข้ามารุมกันคุมเหง |
สารพัดขัดคำไม่ยำเกรง |
วาสนาของข้าเองมันอาภัพ |
ตัวคนเดียวเจียวจิตไม่คิดอยู่ |
ตายเสียรู้แล้วไปเถิดไข้จับ |
อย่างรักษาอย่ามาทำขยำยับ |
พากันกลับไปเสียหนาข้าจะนอน ฯ |
๏ ฝ่ายวัณฬามาลีศรีสวัสดิ์ |
เห็นกริ้วตรัสกราบยุคลบนบรรจถรณ์ |
อย่าปลดเปลื้องเคืองขัดถึงตัดรอน |
มีโทษกรณ์เป็นไฉนตรัสให้ฟัง |
ธรรมดาข้ากับเจ้าเหมือนเขาว่า |
เมื่อเต็มขาแล้วจะได้รับใส่หลัง |
ฉันโฉดเฉาเบาจิตแม้ผิดพลั้ง |
โปรดสักครั้งหนึ่งก่อนพอสอนใจ |
พระชุบเลี้ยงเพียงนี้เป็นที่สุด |
พระคุณดุจดินฟ้าชลาไหล |
ถึงจะลงโทษทัณฑ์ทำฉันใด |
ก็มิได้ตอบโกรธจงโปรดปราน |
เชิญเสด็จเมตตาอุส่าห์เสวย |
อย่าละเลยโภชนากระยาหาร |
ทั้งพวกหมอขอเข้ามาพยาบาล |
จะอยู่งานให้ค่อยฟื้นทุกคืนวัน ฯ |
๏ พระอภัยใจหวิวหวิวให้หิวโหย |
ทั้งแรงโรยร้อนโรคเศร้าโศกศัลย์ |
จึงว่าน้อยหรือคำช่างรำพัน |
พูดกระนั้นกระนี้พิรี้พิไร |
ลืมแล้วหรือถือตัวให้ผัวง้อ |
ช่างถูกคอคืนคำทำไถล |
สารพัดขัดขวางจืดจางใจ |
เดี๋ยวนี้เล่าเจ้าก็ไม่ได้เป็นเมีย |
จริงนะจะตรวจน้ำคว่ำกะโหลก |
แม้หายโรคเจ็บปวดจะบวชเสีย |
อย่าย้อนยอกหลอกล้อเฝ้าคลอเคลีย |
มิใช่เบี้ยพอปากจะมากความ ฯ |
๏ นางฟังคำร่ำตรัสที่ขัดขวาง |
ทั้งสองนางต่างสะเทิ้นคิดเขินขาม |
จึงว่าพระจะผนวชจะบวชตาม |
อย่าห้ามปรามโปรดข้าฝ่าละออง |
ขอฟูมฟักรักษากว่าจะฟื้น |
ทุกค่ำคืนคอยระวังอยู่ทั้งสอง |
แล้วหลีกมาหน้าสิงหาสน์ปราสาททอง |
จัดแจงของเอมโอชโภชนา |
ให้สาวใช้ไปเชิญสินสมุทร |
พระราชบุตรทรงศักดิ์มารักษา |
นางสาวใช้ไปแถลงแจ้งกิจจา |
พระรีบมาหมอบเฝ้าสองเยาวมาลย์ |
สุมาลีชี้แจงแถลงเล่า |
พระโศกเศร้าซูบทรงน่าสงสาร |
แม่ทั้งสองต้องโทษไม่โปรดปราน |
พระอาการดาลเดือดไม่เหือดเลย |
พ่อมาอยู่ดูบ้างอย่าห่างเหิน |
จะได้เชิญให้พระองค์ทรงเสวย |
แล้วจัดแจงแต่งขนมเครื่องนมเนย |
อย่าช้าเลยพ่อเข้าไปอยู่ในปรางค์ |
เชิญโอสถบดไว้เข้าไปด้วย |
จะได้ช่วยปรนนิบัติไม่ขัดขวาง |
หน่อนราว่าขอรับคำนับนาง |
เข้าไปข้างแท่นทองประคองพาน ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระอภัยตื่นไสยาสน์ |
เห็นหน่อนาถราชบุตรสุดสงสาร |
ตรัสบอกโรคโศกศัลย์สั่นสะท้าน |
เบื่ออาหารหิวโหยให้โรยรา ฯ |
๏ สินสมุทรทรุดหมอบทูลตอบถ้อย |
หมอมาคอยพร้อมพรักจะรักษา |
แล้วตั้งเครื่องเอมโอชโภชนา |
ถวายยาหอมรื่นชื่นอารมณ์ |
พระอภัยได้รสโอสถสว่าง |
ค่อยเสื่อมสร่างพลางเสวยเนยขนม |
พระทรวงเส้นเป็นเหน็บเจ็บระบม |
หมอบังคมก้มกรานอยู่งานพลาง |
แต่นั้นหน่อวรนาถไม่คลาดเคลื่อน |
คอยทูลเตือนปรนนิบัติไม่ขัดขวาง |
ที่ร้อนโรคโศกเศร้าค่อยเบาบาง |
คิดระคางเคืองวัณฬาสุมาลี |
ทั้งลูกเมียเสียหมดมันปลดปละ |
จะสละไปถือเป็นฤๅษี |
พอสามเดือนเคลื่อนคลายค่อยหายดี |
พระยิ่งมีศรัทธาตรึกตราตรอง |
ทั้งสองนางต่างพากันมาเฝ้า |
พระโศกเศร้าตรัสสั่งนางทั้งสอง |
นี่แน่เจ้าเล่าก็มีบุรีครอง |
ทั้งเงินทองมองมูลประยูรยศ |
อยู่ถิ่นฐานบ้านเมืองไปเบื้องหน้า |
จะปรารถนาหาอะไรก็ได้หมด |
เราจะไปในอรัญอยู่บรรพต |
รักษาพรตพรหมจรรย์บรรพชา |
ด้วยชาตินี้วิบัติให้พลัดพราก |
เหลือวิบากยากแค้นนั้นแสนสา |
จะสืบสร้างทางกุศลผลผลา |
เมื่อชาติหน้าอย่าให้เป็นเหมือนเช่นนี้ ฯ |
๏ ทั้งสองนางต่างแคลงว่าแกล้งตรัส |
ไม่ทานทัดทูลสนองทั้งสองศรี |
ขอตามติดคิดคุณพระมุนี |
เป็นหลวงชีปรนนิบัติด้วยศรัทธา |
ยิ่งไปอยู่เกาะแก้วแล้วขยัน |
อยากพบพี่ศรีสุพรรณมัจฉา |
สุมาลีว่านี่แน่แม่วัณฬา |
แม่ช่วยหาหนังเสือเผื่อสักไตร ฯ |
๏ พระฟังนางพลางว่าแน่แม่ปลาช่อน |
งอนจริงจริงยิ่งกว่าช้อนกว่างอนไถ |
พาหนังเสือเหลือยากลำบากใจ |
แล้วก็ไม่สู้ดีเหมือนชีเปลือย |
พูดด้วยยากปากกล้าสมาบาป |
เป็นกิ่งกาบหลาบเข็ดเหลือเหน็ดเหนื่อย |
ดูเลี้ยวลดคดคู้เหมือนงูเลื้อย |
พูดไม่เมื่อยลูกคางต้องกางกัน |
ไม่รักของ้อผู้หญิงจริงจริงนะ |
สิ้นธุระก็จะสร้างทางสวรรค์ |
แล้วให้หาข้าเฝ้าเผ่าพงศ์พันธุ์ |
มาพร้อมกันสินสมุทรสุดสาคร ฯ |
๏ พระขึ้นบนมนเทียรวิเชียรรัตน์ |
จึงปลดเปลื้องเครื่องกษัตริย์ประภัสสร |
ทรงเครื่องขาวดาวบสประณตกร |
อุทุมพรทับเฉียงเฉวียงองค์ |
แล้วจัดจีบกลีบชฎารักษาพรต |
เป็นดาบสบุตรพรหมสมประสงค์ |
สอดสวมด้ายสายธุรำประจำทรง |
ตั้งดำรงศิลห้าสมาทาน |
ถือพัดวาลวิชนีแล้วลีลาศ |
ขึ้นนั่งอาสน์อิศรามุกดาหาร |
พร้อมโอรสยศยงพระวงศ์วาน |
โปรดประทานเทศนาตามบาลี |
ทรงแก้ไขในข้อพระบรมัตถ์ |
วิสัยสัตว์สิ้นพิภพล้วนศพผี |
ย่อมสะสมถมจังหวัดปัถพี |
ไพร่ผู้ดีที่เป็นคนไม่พ้นตาย |
พระนิพพานเป็นสุขสิ้นทุกข์ร้อน |
เปรียบเหมือนนอนหลับไม่ฝันท่านทั้งหลาย |
สิ้นถวิลสิ้นทุกข์เป็นสุขสบาย |
มีร่างกายอยู่ก็เหมือนเรือนโรคา |
ทั้งแก่เฒ่าสาวหนุ่มย่อมลุ่มหลง |
ด้วยรูปทรงลมเล่ห์เสน่หา |
เป็นผัวเมียเคลียคลอครั้นมรณา |
ก็กลับว่าผีสางเหินห่างกัน |
จงหวังพระปรมาศิวาโมกข์ |
เป็นสิ้นโศกสิ้นสุดมนุษย์สวรรค์ |
เสวยสุขทุกเวลาทิวาวัน |
เหลือจะนับกัปกัลป์พุทธันดร |
แต่บรรดามาฟังอยู่ทั้งสิ้น |
จงถือศิลภิญโญสโมสร |
สินสมุทรเจ้าจงพาพลากร |
ไปถิ่นฐานนันดรเหมือนก่อนมา ฯ |
๏ ฝ่ายนงลักษณ์อัคเรศครั้นเทศน์จบ |
เจียนสลบด้วยเห็นขาดวาสนา |
พระทรงศิลสิ้นเสร็จมิเมตตา |
ต่างโศกากอดบาทไม่คลาดคลาย |
ต่างทูลว่าข้าขอรับบรรพชิต |
พอเป็นศิษย์สาพิภักดิ์สมัครหมาย |
แม้เลยละจะขอเชือดคอตาย |
สู้ถวายชีวาไม่อาลัย |
ทั้งโอรสยศยงพวกพงศ์เผ่า |
ต่างโศกเศร้าโศกาน้ำไหล |
ทั้งข้าเฝ้าสาวสนมกรมใน |
ร่ำร้องไห้แซ่เสียงทั้งเวียงวัง ฯ |
๏ พระฤๅษีมีจิตคิดสงสาร |
พวกวงศ์วานหลานลูกได้ปลูกฝัง |
จึงหยุดยั้งยังสุวรรณบัลลังก์ |
ตรัสถามทั้งวัณฬาสุมาลี |
เราตัดขาดญาติมิตรเปลื้องปลิดปลด |
ไม่รักยศรักกายคิดหน่ายหนี |
เจ้าจะสร้างทางพรตดาบสนี |
อย่ายินดีที่ผัวคิดพัวพัน |
ไปเที่ยวอยู่ภูเขาลำเนาถ้ำ |
ถือศีลธรรมบำเพ็ญเบญจขันธ์ |
สมมติเหมือนเพื่อนจงกรมพรหมจรรย์ |
ให้แม่นมั่นสัญญาจะพาไป ฯ |
๏ ทั้งสองนางน้อมคำนับตามรับสั่ง |
เป็นสัจจังยังไม่เสื่อมที่เลื่อมใส |
พระประโยชน์โพธิญาณประการใด |
จะตามใต้บาทาสารพัน |
กว่าจะถึงซึ่งมหาศิวาโมกข์ |
สิ้นฟ้าดินสิ้นโอฆสิ้นโศกศัลย์ |
แม้พลั้งพลาดขาดพรตทศธรรม์ |
จึงห้ำหั่นบั่นศีรษะเสียบประจาน ฯ |
๏ พระฟังคำร่ำว่าสาพิภักดิ์ |
เห็นพร้อมพรักรักพระองค์ก็สงสาร |
สิ้นแสนงอนอ่อนพยศจึงพจมาน |
โปรดประทานโทษให้เหมือนใจจง ฯ |
๏ ฝ่ายสองนางต่างบังคมด้วยสมนึก |
ลามาตึกเตียงทองเข้าห้องสรง |
ต่างชำระสระสนานสำราญองค์ |
แล้วก็ทรงเครื่องพรตดาบสนี |
ชฎากลีบจีบจัดฉวัดเฉวียน |
ล้วนขาวเขียนลายทองผุดผ่องศรี |
ประคำพลอยห้อยพระศอจรลี |
ไปนั่งที่แท่นสุวรรณริมบัลลังก์ |
ดาบสพระอภัยให้ศีลห้า |
ว่านำหน้านางชีว่าทีหลัง |
จนจบปัญจสีลาสิกขาปทัง |
สองนางนั่งกราบงามลงสามที |
แล้วนั่งเคียงเรียงกันเป็นหลั่นลด |
รักษาพรตงดงามสามฤๅษี |
จอมกษัตริย์ยถาถามตามบาลี |
นางก็รับสัพพีด้วยปรีดา ฯ |
๏ ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์วิมลสมร |
สินสมุทรสุดสาครโอรสา |
ดูบิตุรงค์สงสารทั้งมารดา |
จะกลับไกลไปป่าเหลืออาลัย |
ต่างกราบกรานมารดรทั้งบิตุเรศ |
ชลเนตรนองตกซกซกไหล |
ระทวยทอดกอดบาทเพียงขาดใจ |
ต่างพิไรร่ำว่าสารพัน ฯ |
๏ สินสมุทรสุดเศร้าว่าเปล่าจิต |
เคยตามติดบิตุเรศทุกเขตขัณฑ์ |
กำพร้าแม่เห็นแต่องค์พระทรงธรรม์ |
ทุกคืนวันเวลาไม่อาวรณ์ |
พระกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกช่วยปลูกฝัง |
ถึงเบาจิตผิดพลั้งช่วยสั่งสอน |
พระบิตุรงค์ทรงพรตจะบทจร |
พระมารดรก็ไม่สั่งลูกมั่งเลย |
ทั้งสามองค์ทรงผนวชบวชเสียสิ้น |
ให้ลูกกินแต่น้ำตานิจจาเอ๋ย |
ไปเฝ้าพระจะไม่เห็นเหมือนเช่นเคย |
จะแลเลยลิบลับไปนับปี |
สุดสาครอ่อนแรงกันแสงสะอื้น |
สู้กล้ำกลืนกราบประณตบทศรี |
ทูลกระหม่อมจอมจังหวัดปัถพี |
เคยเป็นที่พึ่งลูกคิดผูกพัน |
พระบิตุราชมาตุรงค์รีบทรงพรต |
สละหมดเหมือนจะเลยเสวยสวรรค์ |
จะรำพึงถึงพระบาทไม่ขาดวัน |
ด้วยไม่ทันรู้รหัสพระศรัทธา |
ทูลกระหม่อมจอมทวีปประทีปแก้ว |
จะลับแล้วเหลือแลชะแง้หา |
ยิ่งคิดให้ใจหายฟายน้ำตา |
ซบโศกากำสรดสลดใจ |
ทั้งนงเยาว์เสาวคนธ์ให้อ้นอั้น |
พลอยโศกศัลย์เศร้าหมองไม่ผ่องใส |
สะอื้นร่ำพร่ำว่าด้วยอาลัย |
พระจะไปป่าหนามทั้งสามองค์ |
จะลำบากยากจนนั้นล้นเหลือ |
บรรทมเหนือปถพีธุลีผง |
ลูกพลัดพรากจากตระกูลประยูรวงศ์ |
หวังพระองค์อุ่นจิตเหมือนบิดา |
ทั้งสองพระชนนีเป็นที่พึ่ง |
ก็เหมือนหนึ่งพระกำเนิดเกิดเกศา |
เคยอุ้มวางกลางพระเพลาแต่เยาว์มา |
เหมือนธิดาโอรสให้งดงาม |
ถ้าแม้พระจะเสด็จไปทางอื่น |
จะฝ่าฝืนตามเสด็จไม่เข็ดขาม |
นี่ทางพรตอตส่าห์พยายาม |
สุดจะคิดติดตามจะห้ามบุญ |
พระทรงศักดิ์รักลูกช่วยปลูกฝัง |
ถึงผิดพลั้งดังหนึ่งบุตรช่วยอุดหนุน |
ในชาตินี้มิได้ละลืมพระคุณ |
ที่การุญรักใคร่แต่ไรมา |
แล้วกราบลงตรงบาทพระบิตุเรศ |
ชลเนตรพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา |
ฝ่ายฝูงนางข้างฝรั่งเมืองลังกา |
นางรำภายุพาสุลาลี |
เคยพึ่งพาอาศัยใจจะขาด |
เข้ากอดบาทนางวัณฬามารศรี |
เจ้าประคุณบุญญาบารมี |
เคยเป็นที่พึ่งฝรั่งทั้งลังกา |
แต่ปางก่อนรอนราญทำการศึก |
ที่การอื่นตื้นลึกเคยปรึกษา |
ครั้งนี้พระเป็นชีมีศรัทธา |
มิให้ข้าทั้งสามทราบความเลย |
พระชุบเลี้ยงเพียงบุตรสุดถนอม |
เจ้าพระคุณทูลกระหม่อมของลูกเอ๋ย |
จะอยู่ดงพงไพรพระไม่เคย |
เคยเสวยโต๊ะทองของโอชา |
จะไปฉันมันเผือกผลาผล |
จะร้อนรนทนลำบากยากหนักหนา |
จะเผือดผิวหิวโหยร่วงโรยรา |
จะไสยาอยู่กับพระธรณี |
ข้าทั้งสามจะขอตามเสด็จด้วย |
จนมอดม้วยเหมือนหมายไม่หน่ายหนี |
ขอบวชบ้างอย่างเช่นพระเป็นชี |
อยู่ข้างที่รับใช้เหมือนได้เคย |
จะเก็บเลือกเผือกมันพรรณลูกไม้ |
มาปอกให้สามพระองค์ทรงเสวย |
อย่าขัดเคืองเปลื้องปละสละเลย |
ลูกไม่เคยเริศร้างเหินห่างไกล |
นางละเวงเกรงผัวกลัวจะกริ้ว |
จึงนบนิ้วทุลแจ้งแถลงไข |
นางฝรั่งทั้งสามจะตามไป |
จงโปรดให้บวชบ้างเป็นนางชี |
จึงตรัสว่านารีที่มีผัว |
จะบวชตัวก็ต้องลาเหมือนทาสี |
แม้ผัวยอมพร้อมใจเป็นไรมี |
บวชเป็นชีก็จะได้ดังใจจง ฯ |
๏ ยุพาฟังบังคมสมถวิล |
ทูลลาสินสมุทรตามความประสงค์ |
จะบวชตามสามกษัตริย์ขัตติย์วงศ์ |
ขอพระองค์อนุกูลอย่าสูญใจ |
หน่อกษัตริย์ตรัสว่าจะลาบวช |
ข้ามิชวดแล้วหรือถือไฉน |
อยู่ดีดีนี่จะมาขอลาไป |
ข้ามิให้บวชดอกบอกจริงจริง |
นางผกาฝรั่งคิดคั่งแค้น |
จึงว่าแสนยากเย็นเพราะเป็นหญิง |
สิบแปดปีนี้แล้วพระสละทิ้ง |
มาท้วงติงตัดเด็ดไม่เมตตา |
ถึงกฎหมายชายทิ้งหญิงอย่างนั้น |
ก็ขาดกันอย่าให้ต้องถึงฟ้องหา |
เหมือนปล่อยเต่าเอาบุญกรุณา |
อย่าข้องขัดศรัทธาจงปรานี |
พระว่าบทกฎหมายชายทิ้งหญิง |
ก็ขาดจริงเพราะห่างระคางหนี |
ข้ากับเจ้าเล่าก็คืนวานซืนนี้ |
ไม่คืนดีกันหรือเจ้าหรือเปล่าใจ ฯ |
๏ ฝ่ายลีวันนั้นทูลลาสุดสาคร |
ชลีกรวอนว่าอัชฌาสัย |
อย่าข้องขัดทัดทานประการใด |
จงโปรดให้บวชตามสามพระองค์ |
ฝ่ายว่าสุดสาครพูดอ่อนหวาน |
ราชการเกี่ยวข้องต้องประสงค์ |
เจ้าก็รู้อยู่ว่าพระมาตุรงค์ |
ได้โปรดปลงให้บำรุงกรุงลังกา |
ด้วยศึกเสือเหนือใต้ยังไม่ราบ |
จะต้องปราบปรามศึกได้ปรึกษา |
เจ้าเคยได้ใช้ฝรั่งแต่หลังมา |
ช่วยตรวจตราอย่าเพ่อบวชให้ชวดเลย |
สุลาลีมีฝีปากพูดถากถาง |
มาขัดขวางทางบุญพ่อคุณเอ๋ย |
แต่ก่อนนั้นได้มาอยู่เป็นคู่เชย |
แล้วปล่อยปละละเลยเฉยเมยไป |
ถ้าหากว่าลาลีจะมีผัว |
ก็ไม่กลัวที่จะจับมาปรับไหม |
มาห้ามหวงหน่วงเหนี่ยวเกี่ยวเกาะไว้ |
ดูเหมือนไม่ได้ทราบที่บาปกรรม |
เดี๋ยวนี้ก็รู้อยู่ว่าเป็นข้าบาท |
แม้ไม่ขาดคงจะชุบอุปถัมภ์ |
เหมือนลูกชั่วผัวช่วยปราบให้หลาบจำ |
นี่พลอยซ้ำทำให้ร้อนไม่ผ่อนปรน |
ตัวคนเดียวเปลี่ยวใจจะใคร่บวช |
กลับให้ชวดสืบสร้างทางกุศล |
เขาทำบุญสุนทานมารประจญ |
ช่างเหลือทนลูกผัวล้วนตัวดี |
สุดสาครวอนว่าลาลีเอ๋ย |
อย่างเพ่อเลยหลีกผัวเอาตัวหนี |
ถ้าลูกมีทีหลังเป็นอย่างนี้ |
จึงเป็นชีเถิดไม่ห้ามตามใจนาง ฯ |
๏ ฝ่ายรำภาสะหรีชลีสนอง |
ซึ่งพี่น้องสองกษัตริย์ยังขัดขวาง |
ข้าน้อยนี้มีแต่ตัวลูกผัวร้าง |
ขอบวชบ้างสร้างกุศลผลผลา |
พระอภัยได้ฟังว่ายังขัด |
ด้วยผัวเจ้าเขาไม่ตัดเสนหา |
ยังหวงแหนแม้นจะรับบรรพชา |
ไม่เป็นดาบสจะซ้ำเป็นกรรมไป ฯ |
๏ แล้วเอื้อนโอษฐ์โปรดปรานว่าหลานลูก |
จงพันผูกพี่น้องให้ผ่องใส |
พอรุ่งเช้าเราจะพากันไคลคลา |
ไปอยู่ไพรพฤกษาตามบาลี |
ฝ่ายฝรั่งทั้งหลายทั้งชายหญิง |
จงพึ่งพิงผู้บำรุงซึ่งกรุงศรี |
ผู้เป็นใหญ่ได้เมตตาคิดปรานี |
ให้เปรมปรีดิ์ปราโมทย์ยกโทษกรณ์ ฯ |
๏ ฝ่ายเผ่าพงศ์วงศาพวกฝรั่ง |
พร้อมสะพรั่งฟังคำที่พร่ำสอน |
หน่อนรินทร์สินสมุทรสุดสาคร |
กราบบิดรวอนว่าด้วยอาลัย |
ซึ่งสามพระจะเสด็จไปเดินป่า |
ไม่ทราบว่าจะไปหนตำบลไหน |
พระชนนีมิเคยเดินดำเนินไพร |
จะเจ็บไข้ได้ยากลำบากองค์ |
ลูกจะขอปวรณาฝ่าพระบาท |
มิให้ขาดที่ธุระพระประสงค์ |
นิมนต์พักจักไปสร้างที่กลางดง |
เป็นที่ทรงจงกรมพรหมจรรย์ |
จะให้มีศาลาพระอาศรม |
แต่พอร่มฝนฟ้าหน้าวสันต์ |
ตามประโยชน์โปรดเกล้าแต่เท่านั้น |
อย่าด้นดั้นไปให้สูญประยูรวงศ์ ฯ |
๏ พระฟังว่ากล้าหาญการกุศล |
รับนิมนต์จึงว่าตามความประสงค์ |
เหมือนอินทรามานิมิตด้วยฤทธิรงค์ |
ที่เขาวงกตถวายก็คล้ายกัน |
หน่อนรินทร์ยินดีทั้งพี่น้อง |
ต่างยิ้มย่องชื่นชวนกันสรวลสันต์ |
นิมนต์ไว้วังลังกาสิบห้าวัน |
กว่าจะได้ถวายบรรณศาลา |
แล้วเกณฑ์ไพร่ไปลำเนาเขาสิงคุตร์ |
ที่สูงสุดกว้างใหญ่ไพรพฤกษา |
มีโตรกตรวยห้วยละหานธารธารา |
เงื้อมศิลาเลื่อมลายพรอยพรายแพรว |
พฤกษาสูงยูงยางขึ้นข้างเขา |
ชะลูดเสลาแลลิ่วเป็นทิวแถว |
มะม่วงโมกโศกสุกรมต้นนมแมว |
พิกุลแก้วกาหลงประยงค์พะยอม |
ทุเรียนลำไยไม้ออกช่อดอกผล |
บ้างร่วงหล่นลูกขนุนกลิ่นกรุ่นหอม |
ต้นโศกไทรใหญ่ยิ่งยื่นกิ่งค้อม |
จะให้คล่อมอาศรมร่มสำราญ |
จึงปลูกบรรณศาลาก่ออาศรม |
ที่รื่นร่มรุกโขรโหฐาน |
โรงฉันที่สรงน้ำริมลำธาร |
เป็นชั้นชานชะวากเหมือนฉากบัง |
ด้วยหน่อไทไปกำกับกำชับช่าง |
อาศรมสร้างสุดงามทั้งสามหลัง |
ดูครึ้มครื้นรื่นรมย์ที่ร่มรัง |
มีเขื่อนกั้นบัลลังก์น่านั่งนอน |
ริมกุฎีมีสระปทุมชาติ |
ระดะดาษดอกดวงบัวหลวงสลอน |
สมถวิลสินสมุทรสุดสาคร |
สิ้นทุกข์ร้อนรีบมาถึงธานี |
ให้ตระเตรียมเทียมรถรับเสด็จ |
ครั้นสรรพเสร็จไปประณตบทศรี |
ทูลพระองค์ทรงพรตดาบสนี |
เหมือนทำที่ไว้ถวายท้ายบรรพต ฯ |
๏ พอเดือนยี่สี่ค่ำนำพระบาท |
ทรงรถราชญาติวงศ์ตามส่งหมด |
เป็นสิ้นความสามพระองค์อยู่ทรงพรต |
ที่บรรพตสิงคุตร์ดุจนิมนต์ |
ยอดคิรีมีต้นโรทันใหญ่ |
น้ำปลายใบหยดย้อยเหมือนฝอยฝน |
ครั้นแสงแดดแผดส่องต้องมณฑล |
เป็นหมอกมนมีอยู่แต่บูราณ |
ด้วยคิรีนี้เป็นหลักลังกาทวีป |
ยอดเหมือนกลีบจงกลมณฑลสถาน |
ครั้นถึงสิบห้าวันก็บันดาล |
เป็นฝนซ่านโซมสาดไม่ขาดคราว |
โซ่เหล็กล่ามสามสายฝ่ายเหนือใต้ |
ต่างกระไดปีนป่ายเหนี่ยวสายสาว |
จึงนับถือลือเลื่องเป็นเรื่องราว |
มีรูปเจ้าสิงคุตร์สุดคิริน |
เมื่อแรกตั้งลังกาลงมาเกิด |
กล่าวกำเนิดน่าฟังหวังถวิล |
ว่ารูปทรงองค์สิงคุตร์บุตรพระอินทร์ |
ดำเหมือนนิลกินถั่วงากินสาคู |
ครั้นสิ้นเหล่าชาวลังกาจึงฝรั่ง |
ยกมาตั้งทั้งเจ๊กจีนจึงกินหมู |
แต่ก่อนเขาเล่ามาถึงเราจึงรู้ |
เท็จจริงอยู่กับผู้เฒ่าที่เล่ามา ฯ |
๏ พระอภัยไปตั้งหลังบรรพต |
รักษาพรตพรหมจรรย์ด้วยหรรษา |
รำภาสะหรีลีวันยุพาผกา |
คุมโยธาฝรั่งอยู่ทั้งพัน |
เก็บส้มสูกลูกไม้เผือกมันมั่ง |
ถวายทั้งสามองค์ให้ทรงฉัน |
เป็นป่ากว้างทางเดินเนินอรัญ |
ไปสามวันจึงถึงวังเมืองลังกา |
สินสมุทรไปบำรุงกรุงผลึก |
ได้ปราบศึกสืบวงศ์เผ่าพงศา |
สุดสาครเสาวคนธ์สุมณฑา |
ครองลังกาผาสุกสนุกสบาย |
พวกทมิฬกินปักษาชื่อวาโหม |
ไปพาราวาหุโลมส่งโสมถวาย |
ทหารใหญ่อ้ายย่องตอดนั้นวอดวาย |
นางสุนีหนีกายสูญหายไป ฯ |