๏ จะกล่าวถึงนางอสุรีผีเสื้อน้ำ |
อยู่ท้องถ้ำวังวนชลสาย |
ได้เป็นใหญ่ในพวกปีศาจพราย |
สกนธ์กายโตใหญ่เท่าไอยรา |
ตะวันเย็นขึ้นมาเล่นทะเลกว้าง |
เที่ยวอยู่กลางวารินกินมัจฉา |
ฉวยฉนากลากฟัดกัดกุมภา |
เป็นภักษานางมารสำราญใจ |
แล้วเล่นน้ำดำโดดโลดทะลึ่ง |
เสียงโผงผึงเผ่นโผนโจนไถล |
เข้าใกล้ฝั่งวังวนข้างต้นไทร |
พอนางได้ยินเสียงสำเนียงดัง |
วิเวกแว่ววังเวงด้วยเพลงปี่ |
ป่วนฤดีดาลดิ้นถวิลหวัง |
เสน่หาอาวรณ์อ่อนกำลัง |
เข้าเกยฝั่งหาดทรายสบายใจ |
แล้วลุกขึ้นเท้าแขนแหงนชะแง้ |
ชำเลืองแลหลากจิตคิดสงสัย |
เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมใจ |
นั่งเป่าปี่อยู่ใต้พระไทรทอง |
ทั้งทรวดทรงองค์เอวก็อ้อนแอ้น |
เป็นหนุ่มแน่นน่าชมประสมสอง |
ถ้าแม้นได้กันกับกูเป็นคู่ครอง |
จะประคองกอดแอบไว้แนบเนื้อ |
น้อยหรือแก้มซ้ายขวาก็น่าจูบ |
ช่างสมรูปนี่กระไรวิไลเหลือ |
ทั้งลมปากเป่าปี่ไม่มีเครือ |
นางผีเสื้อตาดูทั้งหูฟัง |
ยิ่งปั่นป่วนรวนเรเสน่ห์รัก |
สุดจะหักวิญญาณ์เหมือนบ้าหลัง |
อุตลุดผุดทะลึ่งขึ้นตึงตัง |
โดยกำลังโลดโผนโจนกระโจม |
ชุลุมนหมุนกลมดังลมพัด |
กอดกระหวัดอุ้มองค์พระทรงโฉม |
กลับกระโดดลงน้ำเสียงต้ำโครม |
กระทุ่มโถมถีบดำไปถ้ำทอง |
ครั้งถึงแท่นแผ่นผาศิลาลาด |
แสนสวาทเปรมปรีดิ์ไม่มีสอง |
ค่อยวางองค์ลงบนเตียงเคียงประคอง |
ทำกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยยินดี ฯ |
๏ แสนสงสารพระอภัยใจจะขาด |
กลัวอำนาจนางยักขินีศรี |
สลบล้มมิได้สมประฤๅดี |
อยู่บนที่แผ่นผาศิลาลาย ฯ |
๏ อสุรีผีเสื้อแสนสวาท |
เห็นภูวนาถนิ่งไปก็ใจหาย |
เออพ่อคุณทูนหัวผัวข้าตาย |
ราพณ์ร้ายลูบต้องประคององค์ |
เห็นอุ่นอยู่รู้ว่าสลบหลับ |
ยังไม่ดับชนม์ชีพเป็นผุยผง |
พ่อทูนหัวกลัวน้องนี้มั่นคง |
ด้วยรูปทรงอัปลักษณ์เป็นยักษ์มาร |
จำจะแสร้งแปลงร่างเป็นนางมนุษย์ |
ให้ผาดผุดทรวดทรงส่งสัณฐาน |
เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมลาน |
จะเกี้ยวพานรักใคร่ดังใจจง |
แล้วอ่านเวทเพศยักษ์ก็สูญหาย |
สกนธ์กายดังกินนรนวลหง |
เอาธารามาชโลมพระโฉมยง |
เข้าแอบองค์นวดฟั้นคั้นประคอง ฯ |
๏ พระพลิกฟื้นตื่นสมประดีได้ |
ในฤทัยหมกมุ่นให้ขุ่นหมอง |
แลเขม้นเห็นนางนวลละออง |
เคียงประคองอยู่บนแท่นแผ่นศิลา |
นิ่งพินิจพิศดูรู้ว่ายักษ์ |
ด้วยแววจักษุหายทั้งซ้ายขวา |
ยิ่งชิงชังคั่งแค้นแน่นอุรา |
จะใคร่ด่าให้ระยำด้วยคำพาล |
แล้วคิดกลับดับเดือดให้เหือดหาย |
จึงอุบายวิงวอนด้วยอ่อนหวาน |
นี่แน่นางอสุรีขินีมาร |
ไม่ต้องการที่จะแกล้งมาแปลงกาย |
จะขอถามตามตรงจงประจักษ์ |
เจ้าเป็นยักษ์อยู่ในวนชลสาย |
อันตัวเราเป็นมนุษย์บุรุษชาย |
เจ้าคิดร้ายลักพาเอามาไย |
เข้าอิงแอบแนบข้างอยู่อย่างนี้ |
หรือว่ามีข้อประสงค์ที่ตรงไหน |
มนุษย์ยักษ์รักกันด้วยอันใด |
ผิดวิสัยที่จะอยู่เป็นคู่ควร ฯ |
๏ อสุรีผีเสื้อสดับเสียง |
เพราะสำเนียงเสนาะในฤทัยหวน |
ทำเสแสร้งใส่จริตกระบิดกระบวน |
ละมุนม้วนเมียงหมอบแล้วยอบตัว |
อันน้องนี้ไร้คู่ที่สู่สม |
เป็นสาวพรหมจารีไม่มีผัว |
ถึงเป็นยักษ์ยังไม่มีราคีมัว |
พระมากลัวผู้หญิงด้วยสิ่งใด |
แม่เจ้าเอ๋ยคิดมาน่าหัวร่อ |
เห็นเขาง้อแล้วยิ่งว่าไม่ปราศรัย |
พลางแกล้งทำสะบัดสะบิ้งทิ้งสไบ |
ร้อนเหมือนใจจะขาดประหลาดนัก |
แล้วแกล้งทำสำออยพูดอ้อยอิ่ง |
เข้าแอบอิงเอนทับลงกับตัก |
ยิ่งถอยหนีก็ยิ่งตามด้วยความรัก |
ยิ่งพลิกผลักก็ยิ่งแอบแนบอุรา ฯ |
๏ พระสุดแสนแค้นเคืองรำคาญจิต |
มิได้คิดอินังชังน้ำหน้า |
ถีบจนพลัดจากแท่นแผ่นศิลา |
แล้วเดือดด่าว่าอีกาลีลาม |
เขาเบือนเบื่อเหลือเกลียดขี้เกียจตอบ |
ยังขืนปลอบปลุกปล้ำอีส่ำสาม |
ทำแสนแง่แสนงอนฉะอ้อนความ |
แพศยาบ้ากามกวนอารมณ์ |
ถึงมาตรแม้นม้วยมุดสุดชีวาตม์ |
อย่าหมายมาดว่ากูจะสู่สม |
สัญชาติยักษ์ไม่สมัครสมาคม |
แล้วทุดถ่มน้ำลายไม่ไยดี ฯ |
๏ อีนางยักษ์กลับปลอบไม่ตอบโกรธ |
พระจงโปรดเกล้าน้องอย่าหมองศรี |
ข้าหมายเหมือนภัสดาถึงด่าตี |
ก็ตามทีเถิดเมียไม่เสียใจ |
จนผู้หญิงอิงแอบแนบถนอม |
กระไรหม่อมจะตั้งปึ่งไปถึงไหน |
ช่างไม่คิดขวยเก้อเอออะไร |
ทำบ้าใบ้เบือนหนีไปทีเดียว |
มาร่วมเรียงเคียงข้างอยู่อย่างนี้ |
ยังว่ามีน้ำใจจะไม่เกี่ยว |
น่าอดสูผู้หญิงเสียจริงเจียว |
พลางกลมเกลียวกอดรัดกษัตรา ฯ |
๏ พระเหวี่ยงวัดขัดใจมิให้ต้อง |
จนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยสองพระหัตถา |
มันดื้อด้านทานทนพ้นปัญญา |
จึงแกล้งว่าวิงวอนให้อ่อนใจ |
อะไรเจ้าเฝ้ากวนกันจู้จี้ |
ข้าจะหนีหน่ายนางไปข้างไหน |
ขอพักนอนเสียสักหน่อยถอยออกไป |
สบายใจจึงค่อยมาพูดจากัน |
แล้วเอนองค์ลงบนแท่นแสนระทด |
โศกกำสรดซบทรงกันแสงศัลย์ |
โอ้สงสารป่านฉะนี้ศรีสุวรรณ |
อยู่ด้วยกันหลัดหลัดมาพลัดพราย |
พอตื่นขึ้นยามเย็นไม่เห็นพี่ |
จะโศกีโหยหาน่าใจหาย |
ได้เห็นแต่เจ้าพราหมณ์ทั้งสามนาย |
เขาผันผายลับตาจะอาวรณ์ |
นิจจาเอ๋ยเคยเห็นกันพี่น้อง |
มาเที่ยวท่องบุกเดินเนินสิงขร |
อียักษ์ลักพี่ลงมาในสาคร |
จะทุกข์ร้อนว้าเหว่อยู่เอกา |
พระนึกนึกแล้วสะอึกสะอื้นไห้ |
ชลเนตรหลั่งไหลทั้งซ้ายขวา |
ซบพระพักตร์อยู่บนแท่นแผ่นศิลา |
ทรงโศกากำสรดระทดใจ ฯ |
๏ อีนางยักษ์ฟังสะอื้นค่อยชื่นจิต |
สำคัญคิดแว่วว่าพระปราศรัย |
เข้าอิงแอบแนบองค์พระทรงชัย |
เห็นเธอไม่ผินผันจำนรรจา |
คิดว่าหลับกลับปลุกขึ้นโลมลูบ |
ประจงจูบปรางซ้ายแล้วย้ายขวา |
ค่อยยกหัตถ์ภูวนาถพาดอุรา |
ในกามาปั่นป่วนให้ยวนยี |
เห็นทรงศักดิ์ผลักพลิกทำหยิกเย้า |
มาลูบคลำทำเขาแล้วเบือนหนี |
จะกอดไว้ไม่วางเหมือนอย่างนี้ |
แค้นหนักหนาฟ้าผี่เถอะดื้อดึง ฯ |
๏ พระแค้นคำซ้ำด่าอีหน้าด้าน |
ใครจะร่านเหมือนเช่นนี้ไม่มีถึง |
น่าอดสูกูได้ทำไมมึง |
มาเคล้าคลึงโลมลูบจูบผู้ชาย |
ทั้งเหม็นสาบเหม็นสางเหมือนอย่างศพ |
ไม่น่าคบน่ารักยักษ์ฉิบหาย |
มายั่วเย้าเฝ้าเบียดเกลียดจะตาย |
ไม่มีอายมีเจ็บเท่าเล็บมือ ฯ |
๏ อีนางยักษ์ควักค้อนแล้วย้อนว่า |
ส่วนร่ำด่ากระนั้นได้เขาไม่ถือ |
ทีขอจูบแต่พอถูกจมูกเครือ |
ยิ่งอึงอื้อบ่นว่าเป็นน่าชัง |
เมื่ออยู่สองต่อสองในห้องหับ |
จะบังคับมิให้ใครกลุ้มใจมั่ง |
ถึงโกรธขึ้งอย่างไรก็ไม่ฟัง |
พลางเข้านั่งแอบข้างไม่ห่างกาย ฯ |
๏ พระสุดแสนแค้นเคืองรำคาญจิต |
เป็นสุดคิดสุดที่จะหนีหาย |
ให้อักอ่วนป่วนใจไม่สบาย |
มันกอดก่ายเซ้าซี้พิรี้พิไร |
จะยั่งยืนขืนขัดตัดสวาท |
ไม่สังวาสเชยชิดพิสมัย |
ก็จะสะบักสะบอมตรอมฤทัย |
ต้องแข็งใจกินเกลือด้วยเหลือทน |
จึงบัญชาว่านี่แน่นางยักษ์ |
จะร่วมรักกันก็เห็นไม่เป็นผล |
อันเชื้อชาติอสุรินทร์ย่อมกินคน |
มาแปดปนเป็นมิตรเราคิดกลัว |
ไปข้างหน้าถ้าเคืองน้ำใจเจ้า |
จะกินเราเสียไม่คิดว่าเป็นผัว |
แม้นให้สัตย์ปฏิญาณสาบานตัว |
ให้หายกลัวแล้วจะอยู่เป็นคู่ครอง ฯ |
๏ อียักษ์ฟังดังผ่านวิมานสวรรค์ |
เกษมสันต์นบนอบตอบสนอง |
แม้นเคลือบแคลงแหนงในพระทัยปอง |
จงฟังน้องจะให้สัตย์ปฏิญาณ |
แม้นโว้เว้เนรคุณพระทูนหัว |
อันเป็นผัวเพื่อนรักสมัครสมาน |
ขอทุกเทพเทวัญจงบันดาล |
ประหารผลาญชีวาตม์ให้ขาดรอน |
จนสุดสิ้นดินฟ้าสุธาทวีป |
ไม่สิ้นชีพก็ไม่เสื่อมสโมสร |
พอให้สัตย์เสร็จคำทำฉะอ้อน |
ระทวยอ่อนเอนทับลงกับเพลา ฯ |
๏ พระฟังคำจำจิตพิศวาส |
ฝืนอารมณ์สมพาสทั้งโศกเศร้า |
การโลกีย์ดีชั่วย่อมมัวเมา |
เหมือนอดข้าวกินมันกันเสบียง |
เกิดกุลาคว้าว่าวปักเป้าติด |
กระแซะชิดขากบกระทบเหนียง |
กุลาส่ายย้ายหนีตีแก้เอียง |
ปักเป้าเหวี่ยงยักแผละกระแซะชิด |
กุลาโคลงไม่สู้คล่องกะพล่องกะแพล่ง |
ปักเป้าแทงตะละทีไม่มีผิด |
จะแก้ไขก็ไม่หลุดสุดความคิด |
ประกบติดตกผางลงกลางดิน |
สมพาสยักษ์รักร่วมภิรมย์สม |
เหมือนเด็ดดอกหญ้าดมพอได้กลิ่น |
เป็นวิสัยในภพธรณินทร์ |
ไม่สุดสิ้นสิ่งเสน่ห์ประเวณี ฯ |
๏ นางผีเสื้อเมื่อได้ประสมสอง |
ดังจะล่องลอยฟ้าในราศี |
ประคองคอยปรนนิบัติเข้าพัดวี |
อยู่ข้างที่แผ่นผาศิลาลาย |
ครั้นรุ่งรางนางไปในไพรสณฑ์ |
เที่ยวเก็บผลพฤกษามาถวาย |
จะนั่งนอนผ่อนตามความสบาย |
นิมิตกายรูปร่างสำอางตา ฯ |