๏ พอข้าเฝ้าเจ้าพราหมณ์ทั้งสามทัพ |
มาคอยรับอภิวันท์ด้วยหรรษา |
ทูลเชิญพระมเหสีให้ลีลา |
ขึ้นพลับพลาที่องค์พระทรงยศ |
แท่นสุวรรณบรรจงที่ทรงเสวย |
เหมือนอย่างเคยพร้อมพรั่งอยู่ทั้งหมด |
พระบุตรีพี่น้องสองโอรส |
อยู่ชั้นลดใกล้พระชนนี ฯ |
๏ นางออกนั่งยังหน้าพลับพลาโถง |
ท้องพระโรงทิวทุ่งริมกรุงศรี |
แสนรำลึกตรึกตราถึงสามี |
จะอยู่ที่ห้องไหนหนอในวัง |
เขม่นจิตคิดหึงคำนึงนึก |
หรืออยู่ตึกแต้มทองที่สองหลัง |
เฝ้าคลึงเคล้าเช้าค่ำแต่ลำพัง |
ยิ่งแค้นคั่งเคืองขืนกลืนน้ำตา |
จึงเอื้อนอรรถตรัสถามความพี่เลี้ยง |
อยู่พร้อมเพรียงไพร่นายทั้งซ้ายขวา |
พวกฝรั่งยังไม่แจ้งแห่งเรามา |
จะพูดจาคิดอ่านประการใด ฯ |
๏ เจ้าพราหมณ์พร้อมน้อมนอบตอบสนอง |
แล้วแต่ต้องพระปัญญาอัชฌาสัย |
ด้วยเผ่าพงศ์วงศ์วานการข้างใน |
อันพวกไพร่พรั่นพระราชอาชญา |
นางเห็นจริงนิ่งตรึกจารึกสาร |
คิดว่าขานเขียนความตามประสา |
ฉบับหนึ่งถึงกษัตริย์ภัสดา |
แล้วตีตราพับปิดผนิดดี |
ฉบับสองถึงละเวงวัณฬาราช |
เนื้อความพาดถึงผการำภาสะหรี |
ฉบับสามถามนุชาด้วยปรานี |
ฉบับสี่ให้โอรสยศไกร |
เลือกแต่งนางช่างพูดเป็นทูตถือ |
นำหนังสือศุภสารไปขานไข |
มีเครื่องยศงดงามตามข้างใน |
พวกสาวใช้เชิญตามให้งามยศ ฯ |
๏ เจ้าพราหมณ์จัดรถาแห่หน้าหลัง |
ทั้งแตรสังข์ตามธรรมเนียมตระเตรียมหมด |
แล้วเชิญพานสารตั้งบัลลังก์รถ |
มีกลิ้งกลดชุมสายถือรายเรียง ฯ |
๏ ฝ่ายนารีที่เป็นทูตช่างพูดเพราะ |
จะทะเลาะชาวลังกากินยาเสียง |
มาแต่เมืองเครื่องหอมมีพร้อมเพรียง |
ขึ้นนั่งเตียงแต่งตัวให้ยั่วยวน |
ตั้งคันฉ่องส่องหวีเกศีเส้น |
มีขนเม่นน้อยน้อยสอยสงวน |
ไรจุกดิบกริบผมพอสมควร |
เอาแป้งนวลผัดหน้าด้วยมาไกล |
นุ่งลายอย่างช่างจีบกลีบสลับ |
ห่มสีทับทิมทองดูผ่องใส |
แล้วทูลลาพาเหล่านางสาวใช้ |
เดินออกไปที่รถาขึ้นหน้ารถ |
พวกเกณฑ์แห่แตรสังข์ประดังเสียง |
เครื่องสูงเคียงกรรชิงทั้งกลิ้งกลด |
สาวใช้นางย่างเยื้องเชิญเครื่องยศ |
พลางแห่รถข้ามทุ่งเข้ากรุงไกร |
ถึงประตูบูรีที่ประทับ |
จึงหยุดยับยั้งแจ้งแถลงไข |
แล้วบอกกล่าวข่าวสารท่านข้างใน |
เร่งทูลให้ทราบความตามสำเนา ฯ |
๏ นายประตูรู้จำเอาคำสั่ง |
ไปในวังเล่าตามเนื้อความเขา |
พวกท้าวนางต่างว่าฉาวแล้วชาวเรา |
รีบเข้าเฝ้าทูลแถลงแจ้งกิจจา |
บัดนี้พระมเหสีผู้มียศ |
กับโอรสบุตรีมียศถา |
เสด็จตามข้ามฝั่งมาลังกา |
อยู่พลับพลาพลพร้อมล้อมพระองค์ |
แต่งสตรีมีชื่อมาสื่อสาร |
จะว่าขานข้อความตามประสงค์ |
แม้รับเฝ้าก็จะเข้ามาเฝ้าองค์ |
มิรับคงจะเข้ามาไม่ช้าที ฯ |
๏ พระอภัยให้หาน้องกับโอรส |
มาพร้อมหมดทั้งวัณฬามารศรี |
พลางปรึกษาว่าคงฉาวแล้วคราวนี้ |
นางมาลีหล่อนช่างพาลูกมาตาม |
จะหวงหึงดึงดื้อถือทิฐิ |
เขาแล้วสิใจเพชรไม่เข็ดขาม |
เชิญพระน้องลองออกไปบอกความ |
ช่วยห้ามปรามให้เขากลับกองทัพไป ฯ |
๏ ศรีสุวรรณนั้นอายทูลบ่ายเบี่ยง |
แต่มาเพียงนี้นั่งยังไม่ไหว |
ให้เมื่อยเหน็บเจ็บกายทุกหายใจ |
จงโปรดให้สินสมุทรไปพูดจา ฯ |
๏ สินสมุทรทรุดหมอบตอบสนอง |
ฉันยังย่องไม่ถนัดให้ขัดขา |
แต่ทาไพลไม่หายหลายเวลา |
พลางนิ่วหน้านวดเพลาเข้ากระบวน ฯ |
๏ พระอภัยได้ยินสินสมุทร |
กับหน่อนุชน้องนั้นแกล้งผันผวน |
พลางเอนองค์ลงเสียบ้างอย่างประชวร |
ทำปวดมวนไม่สร่างครางฮือฮือ ฯ |
๏ นางวัณฬาว่าคราวนี้สิ้นที่พึ่ง |
เขามาถึงทูนหัวกลัวเขาหรือ |
เมื่อเกี้ยวพานทานบนแต่ต้นมือ |
ว่าจะถือเพศฝรั่งอยู่ลังกา |
เป็นขาดญาติขาดมิตรเหมือนปลิดปลด |
ไม่ร่วมรสร่วมชาติศาสนา |
เดี๋ยวนี้เขาเอาหนังสือให้ถือมา |
ไม่บัญชาทำประชวรแกล้งครวญคราง |
หรือจะใคร่ให้หม่อมฉันไปกรานกราบ |
โปรดให้ทราบสารพัดไม่ขัดขวาง |
จะให้เขาเข้ามาหึงจนถึงปรางค์ |
ก็ผิดอย่างยิ่งจะช้ำระกำกรม |
เป็นอันขาดชาตินี้แล้วชีวิต |
ไม่ขอคิดสักเท่าซีกกระผีกผม |
แต่เจ็บใจได้ทะนงเพราะหลงลม |
นางซบก้มพักตราโศกาลัย ฯ |
๏ พระดูนางรางควานให้ลานรัก |
ประคองพักตร์ผูกจิตพิสมัย |
ปลอบประโลมโฉมละเวงด้วยเกรงใจ |
นี่คือใครทิ้งสัตย์เฝ้าขัดเคือง |
ทุกวันนี้พี่ก็ว่าเป็นฝรั่ง |
ให้ชิงชังชาวชมพูเบื่อหูเหือง |
แต่เขารื้อดื้อดึงมาถึงเมือง |
ให้มีเรื่องสารามาพาที |
จึงสู้นิ่งชิงชังไม่ฟังสาร |
เพราะขี้คร้านพบปะสละหนี |
ยังโกรธเกรี้ยวเขี้ยวเข็ญไม่เห็นดี |
จะให้พี่คิดอ่านประการใด |
ดวงสมรสอนสั่งมั่งสิเจ้า |
จะขับเขาหรือจิตจะคิดไฉน |
อันตัวพี่นี้ไม่ห้ามจะตามใจ |
ว่าอย่างไรคงจะช่วยว่าด้วยกัน ฯ |
๏ นางว่าชะพระองค์ช่างทรงสัตย์ |
ไม่อาจขัดแต่งแก้ให้แปรผัน |
ถ้ามิเลี้ยงเที่ยงแท้แน่กระนั้น |
ให้สาวสรรค์ไปเอาสารมาอ่านฟัง |
จึงตัดรอนค่อนว่าให้สาหัส |
แม้ขืนขัดขู่ขับให้กลับหลัง |
เมื่อหวงหึงถึงหม่อมฉันดันทุรัง |
ก็ไม่ฟังจะขอฝากฝีปากไป ฯ |
๏ พระพลอยว่าถ้าสู้สองต่อสอง |
คงแพ้น้องมั่นคงไม่สงสัย |
จะฟังคำทำตามน้องทรามวัย |
ให้ใครไปรับสารมาอ่านดู ฯ |
๏ นางรับรสพจมานพระผ่านเกล้า |
จึงสั่งเถ้าแก่ว่าน่าอดสู |
ช่วยพาเหล่าสาวใช้ไปประตู |
พูดกับผู้ที่ถือหนังสือมา |
ว่ารับสั่งบังคับให้รับสาร |
เข้ามาอ่านที่ในวังด้วยกังขา |
เถ้าแก่รับเสาวนีย์ชลีลา |
แล้วเรียกข้าหลวงออกไปนอกวัง |
เห็นรถทรงราชสารทหารแห่ |
อยู่เซ็งแซ่ซ้ายขวาทั้งหน้าหลัง |
จึงบอกทูตพูดเสียงสำเนียงดัง |
มีรับสั่งให้มาถามตามโบราณ |
ว่าสารามาเดี๋ยวนี้กี่ฉบับ |
โปรดให้รับไปปราสาทราชฐาน |
ท่านอยู่ทิมริมวังคอยฟังการ |
ส่งแต่สารมาให้เราจะเอาไป ฯ |
๏ ฝ่ายนารีที่เป็นทูตเห็นพูดผิด |
จึงแกล้งคิดเอาให้เก้อเออไฉน |
ส่วนสารเจ้าเราแห่มาแต่ไกล |
ตามวิสัยกษัตราทุกธานี |
ควรหรือใช้ให้ขี้ข้าออกมารับ |
ไม่มีเครื่องสำหรับรับสารศรี |
ไม่ยำเยงเกรงอาญาฝ่าธุลี |
หรือเชื่อดีที่ว่าได้ไว้ในมือ |
เจ้าของกูเป็นคู่ราชาภิเษก |
ไม่เป็นเอกยิ่งกว่าลังกาหรือ |
ชาติฝรั่งฟังเขาพูดเล่าลือ |
ว่าด้านดื้อได้มาเห็นเหมือนเช่นมึง |
ทั้งเจ้านายหมายสมอารมณ์คิด |
จะแกล้งปิดปักกะตูเขารู้ถึง |
ไม่ต่ำต้อยน้อยหรือทำดื้อดึง |
หรือพวกมึงหมายว่าไม่ใช่เชลย |
ไม่แห่รับนับถือหนังสือสาร |
ราชการกูเป็นสูญจะทูลเฉลย |
หยิบหนังสือถือเอาไปกูไม่เคย |
อย่าช้าเลยไปแถลงให้แจ้งความ ฯ |
๏ นางฝรั่งคั่งแค้นแสนสาหัส |
จะตอบตัดตามติดก็คิดขาม |
จึงว่าทูตพูดอะไรฟังไม่งาม |
ลิ้นลมลามเหลือตัวไม่กลัวเกรง |
อย่าพูดมากปากจะอมส้มไม่ได้ |
กูมิใช่ชาติเชลยเคยข่มเหง |
อย่าประมาทชาติฝรั่งใส่กังเกง |
จะเท้งเต้งตัวเปล่าตามเจ้านาย |
แล้วหน้าเง้าเข้าในวังกำลังโกรธ |
ต่างกล่าวโทษทูลตามความทั้งหลาย |
นางโฉมยงทรงทราบที่หยาบคาย |
สั่งขรัวนายช่วยประกอบให้ชอบที |
จัดพานทองรองสารใส่คานหาม |
ให้สมตามยศพระมเหสี |
ไม่เคยแห่แต่โบราณสารสตรี |
แม้นมันมิให้รับขับมันไป |
อีพวกเราเจ้าคารมมีถมอยู่ |
ออกไปสู้เขาสิวะเป็นไฉน |
เจ้าขรัวนายหมายสั่งพวกข้างใน |
จัดวอใหม่ผูกม่านตั้งพานทอง |
แล้วเลือกเหล่าสาวสำอางที่คางเพชร |
ไปแก้เผ็ดนางพวกทูตพูดจองหอง |
ให้โขลนหามตามแห่มาแซ่ซ้อง |
ครั้นถึงร้องเรียกทูตพูดสำทับ |
นี่แน่เจ้าชาวผลึกเป็นปึกแผ่น |
เครื่องแห่แหนสารศรีมีสำหรับ |
ส่งสารามาเถิดเจ้าเรามารับ |
หรือไม่ให้จะได้ขับเจ้ากลับไป ฯ |
๏ ทูตผลึกฮึกเหิมว่าเริ่มแรก |
เจ้าเจ้าแปลกเมืองผลึกแล้วนึกได้ |
ให้วอทองรองพานเชิญสารไป |
พอจะให้ตามอย่างทางโบราณ |
แต่พวกเจ้าเหล่านี้อีขี้ข้า |
มิเข้ามาอภิวาทราชสาร |
ใส่ด้วยบทกฎหมายถึงวายปราณ |
เร่งกราบกรานรับพระเสาวนีย์ |
ฝรั่งรุมทุ่มเถียงขึ้นเสียงแซ่ |
ตัวถือแต่สารพระมเหสี |
เราถือรับสั่งลังกาพระสามี |
ไม่ต้องที่คำนับรับสารา |
นางทูตเถียงเยี่ยงอย่างแต่ปางก่อน |
เจ้านครมีกำหนดด้วยยศถา |
นี่ตัวเป็นเช่นแต่ไพร่เจ้าใช้มา |
ไม่วันทาโทษมีตีให้ยับ ฯ |
๏ นางฝรั่งบ้างก็แพ้บ้างแก้คล้อย |
ถึงผู้น้อยก็ต้องทำตามตำรับ |
แม้ส่งสารมาเมื่อไรเราได้รับ |
จะคำนับหนังสือไม่ถือตัว |
นี่ท่านทูตพูดจาชักหน้าเง้า |
ดูมัวเมามึนตึงเหมือนหึงผัว |
หรือผู้ชายรายเรือเขาเบื่อตัว |
ต้องยกครัวข้ามฝั่งมาลังกา |
เร็วเร็วเข้าเราจะรับราชสาร |
พูดป่วยการเก่งกาจไม่ปรารถนา |
บ้างก็ว่าแต่ชั้นสารก็มารยา |
ยังมีหน้าอภิเษกเป็นเอกองค์ ฯ |
๏ ทูตผลึกฮึกเหิมซ้ำเติมตอบ |
จนหิวหอบเสียงแห้งเป็นแป้งผง |
คะข้าเจ้าเปล่าทรวงให้ง่วงงง |
ชายไม่ปลงจิตหมายเพราะร้ายแรง |
จึงอุส่าห์หาหมอขอเสน่ห์ |
อุปเท่ห์ร้อยแปดยาแฝดแฝง |
จนหลงใหลไม่คลาดไม่ขาดแคลง |
ถึงปลอมแปลงเปลี่ยนหน้าสารยำ |
เป็นผู้หญิงชิงผัวเขายั่วเย้า |
เหมือนแกงข้าวขอชิมไม่อิ่มหนำ |
ต้องเจ็บอกยกครัวตัวเจ้ากรรม |
ต้องระยำยุ่งเก๋เหมือนเทครัว |
เราโกรธขึ้งหึงคู่เพราะผู้หญิง |
ไม่เหมือนชิงผัวเขาเถียงเจ้าผัว |
ไม่อดสูรู้สึกสำนึกตัว |
เขาลือชั่วชาติทมิฬลิ้นลังกา |
แล้วเชิญสารใส่พานทองประคองตั้ง |
พวกฝรั่งบังคมก้มเกศา |
รับขึ้นวางกลางวอแล้วรอรา |
ต่างตอบว่าฝรั่งนี้ยังมีอาย |
เขาขอสู่อยู่กับที่จึงมีผัว |
มิใช่ตัวดิ้นรนเที่ยวขวนขวาย |
ก็ชายทิ้งหญิงตะกลามเที่ยวตามชาย |
ไม่มีอายดอกหรือไรจะใคร่รู้ |
อันฝรั่งลังกาใครมาเกี้ยว |
ก็ผัวเดียวเมียเดียวเจียวทุกคู่ |
มิฟั่นเฟือนเหมือนเหล่าชาวชมพู |
ประเดี๋ยวชู้ประเดี๋ยวผัวดูพัวพัน ฯ |
๏ นางทูตตอบชอบอยู่ชมพูภพ |
เป็นคู่คบร่วมชีวาจนอาสัญ |
ด้วยเมียชู้คู่ความย่อมตามกัน |
จึงผูกพันภัสดาด้วยอาลัย |
ใครชิงคู่สู้ตามไม่ขามเข็ด |
คงแก้เผ็ดมันให้สาเลือดตาไหล |
ถึงเสียทองเท่าตัวเสียหัวไป |
แต่มิให้เสียผัวสู้ตัวตาย |
ดูเยี่ยงเขาชาวลังกาไม่หาผัว |
เพราะล้อมรั้วรักเพื่อนซ่อนเงื่อนสาย |
แต่เขารู้อยู่ว่าตับเจ้ากลับกลาย |
ไม่ง้อชายเชื่อเพื่อนก็เหมือนกัน |
จนเมืองอื่นตื่นมาอาสารบ |
เจ้าเคยคบทุกทิศไม่บิดผัน |
พอพบเห็นเป็นจำนำแล้วกำนัล |
นั่นแล้วนั่นนั่นแลเจ้าข้าเข้าใจ |
ประเดี๋ยวนี้ที่มาอยู่ชู้หรือผัว |
จะออกตัวหรือจะปิดคิดไฉน |
หรือผูกขาดมาดหมายไม่ขายใคร |
ไม่อายใจเจ้าของบ้างหรือนางงาม ฯ |
๏ พวกฝรั่งสั่งลำว่าน้ำหน้า |
มันจะมาแก้เผ็ดไม่เข็ดขาม |
เที่ยวหึงหวงล่วงว่าเป็นบ้ากาม |
ไยมิล่ามเชือกผัวของตัวไว้ |
ทั้งผู้ดีขี้ข้าก็หน้าแห้ง |
ออกเต้นแร้งเต้นกาเลือดตาไหล |
ทะเลาะพลางนางฝรั่งเข้าวังใน |
ตามกันไปปรางค์มาศปราสาททอง |
จึงเชิญพานสารศรีทั้งสี่ฉบับ |
ขึ้นคำนับบาทมูลทูลฉลอง |
แล้วเล่าความตามพูดทูตเป็นรอง |
นางยิ้มย่องหยิบสารบนพานมา |
มีตรานอกบอกตรงขององค์นั้น |
สารสำคัญจะใคร่ฟังที่กังขา |
จึงแจกไปให้โอรสอนุชา |
แล้ววัณฬาถวายองค์พระทรงธรรม์ |
แต่ของนางวางไว้ยังไม่อ่าน |
เห็นจะพานเผ็ดร้อนค่อยผ่อนผัน |
พระอภัยได้สารทรงอ่านพลัน |
ว่าหม่อมฉันอภิวาทบาทมูล |
คอยเสด็จเจ็ดปีเข้านี่แล้ว |
จะกวาดแผ้วไพรินให้สิ้นสูญ |
ชาวชมพูสุริย์วงศ์พงศ์ประยูร |
ได้เพิ่มพูนพึ่งพาพระบารมี |
เหตุไฉนไม่กลับทัพทหาร |
คืนไปผ่านพิภพอยู่ชมพูศรี |
พระศาสนาสามัญทุกวันนี้ |
ก็ไม่มีใครบำรุงให้รุ่งเรือง |
พฤฒามาตย์ราษฎรเดือดร้อนสิ้น |
อกแผ่นดินจะเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง |
ทั้งประเทศเขตแดนให้แค้นเคือง |
ก็เพราะเรื่องรบพุ่งกรุงลังกา |
เดี๋ยวนี้พระจะมาอยู่กับชู้ชื่น |
เหมือนกับฟื้นโลกธาตุศาสนา |
อันลูกน้อยสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา |
กับสุดสาครเศร้าทุกเช้าเย็น |
ทูลกระหม่อมจอมทวีปประทีปแก้ว |
มาลับแล้วก็ไม่มีที่จะเห็น |
แม้ตัดชาติขาดเสร็จเด็ดกระเด็น |
ใครจะเป็นปิ่นกษัตริย์ในปัถพี |
จึงออกแขกแบกหน้าตามมาเฝ้า |
แม้โปรดเกล้ากลับไปอยู่ชมพูศรี |
โอรสาข้าพระบาทราชบุตรี |
จะได้มีผาสุกสิ้นทุกคน |
อันครั้งนี้มิกลับไม่นับเนื้อ |
จะถือเชื้อชาติหญิงในสิงหล |
โปรดประทานผลาญชีวิตให้วายชนม์ |
จึงจะพ้นเคืองขัดพระหัทยา |
แม้ชีวีมีอยู่เป็นผู้หญิง |
สุดจะทิ้งทูลเกศพระเชษฐา |
ถ้าตัวตายหมายจะฝังไว้ลังกา |
แม้เมตตาแล้วจงกลับกองทัพไป ฯ |
๏ พระทรงอ่านสารสิ้นถวิลหวัง |
จะกลับหลังแล้วพะวงให้หลงใหล |
เห็นโฉมยงองค์ละเวงยิ่งเกรงใจ |
ถอนฤทัยเศร้าทรวงให้ง่วงงง ฯ |
๏ ศรีสุวรรณนั้นก็อ่านสารอักษร |
ว่าอวยพรภูวนาถดังราชหงส์ |
ควรสิงสู่คูหารักษาองค์ |
หรือมาหลงแกมกาที่สาธารณ์ |
นางห้ามแหนแสนสนมในรมจักร |
ล้วนอุดมสมศักดิ์อัครฐาน |
มาคบหาทาสีสตรีพาล |
ไม่สงสารอัคเรศเกษรา |
แรกพระองค์ลงเรือมารบด้วย |
หมายจะช่วยชูเดชพระเชษฐา |
ยังมิหนำซ้ำมาจัดให้นัดดา |
เสวยฝาหรั่งพลอยอร่อยใจ |
จะอยู่จริงทิ้งเพศประเทศถิ่น |
ไม่ถือศิลเสียแล้วหรือมาถือไสย |
ขอทราบความตามประสงค์จำนงใน |
จะบอกไปรมจักรนัครา ฯ |
๏ พอจบคำรำลึกนึกขึ้นได้ |
ตกพระทัยกลัวจะขาดพระศาสนา |
นึกประเดี๋ยวเฉียวฉุนด้วยคุณยา |
รักรำภาพูดแก้ที่แผลเป็น |
พี่สุวรรณมาลีนี้ขี้หึง |
สักหน่อยหนึ่งก็จะนำมาทำเข็ญ |
แต่พวกเรานี้วิสัยเขาใจเย็น |
หึงไม่เป็นปากก็หง่อยดังหอยปู ฯ |
๏ นางรำภาว่าแต่ศรีพี่สะใภ้ |
ยังเสียวไส้เหลือแล้วถึงแก้วหู |
แม้นงลักษณ์อัคเรศสังเกตดู |
จะข่มขู่ให้ช้ำระกำตรม |
คงออกฉาวคราวนี้ไม่ลี้ลับ |
จะสมกับตรัสไว้หรือไม่สม |
พระตอบคำร่ำว่าอย่าปรารมภ์ |
มิให้ข่มเหงเราชาวลังกา ฯ |
๏ สินสมุทรคลี่สารออกอ่านมั่ง |
ว่าแม่ตั้งแต่จะคอยละห้อยหา |
จึ่งพาน้องสองพระอนุชา |
ติดตามมาหมายจะพบประสบกัน |
เห็นแต่พ่อหน่อนาถแล้วชาตินี้ |
จะเผาผีมารดาเมื่ออาสัญ |
จะปลูกฝังตั้งจิตคิดทุกวัน |
ให้สืบพันธุ์พงศ์กษัตริย์สวัสดี |
ที่ควรคู่สุริย์วงศ์พงศ์กษัตริย์ |
แม่หมายจัดไว้เป็นเอกภิเษกศรี |
อย่าปนแปดแพศยาหญิงกาลี |
จะราคีขัดข้องไม่ต้องการ |
เอ็นดูแม่แต่ให้สมอารมณ์หวัง |
ได้ปลูกฝังฟักฟูมเป็นภูมิฐาน |
เข้าอยู่วังลังกาก็ช้านาน |
มาหามารดามั่งจะนั่งคอย ฯ |
๏ พออ่านสิ้นสินสมุทรสุดสังเวช |
น้ำพระเนตรหยดเหยาะลงเผาะผอย |
สงสารน้องสองสุดานุชาน้อย |
พากันพลอยเหนื่อยยากลำบากมา |
กลับรู้สึกนึกคิดผิดทุกสิ่ง |
มารักหญิงยาแฝดแพศยา |
ลุกขยับกลับใจจะไคลคลา |
นางผกากุมพระหัตถ์สะบัดมือ |
ครั้นเห็นหน้ายามนต์เข้าดลจิต |
ให้กลับคิดรักใคร่ทำไขสือ |
จะไปห้องน้องนุชเฝ้าฉุดมือ |
แล้วก็รื้อหมอบกรานแอบม่านบัง ฯ |
๏ นางยุพาว่าหม่อมฉันเห็นกันแสง |
นึกว่าแปลงเปลี่ยนสัตย์พลัดเป็นถัง |
พระราชสารมารดาฉันน่าฟัง |
จะปลูกฝังฝากผีพิรี้พิไร |
จะหาคู่สุริย์วงศ์พระองค์เอก |
อภิเษกปีนี้หรือปีไหน |
เมื่อไรจ๊ะพระเจ้าพี่ฉันดีใจ |
ที่ตรัสไว้เห็นจะกลายเมื่อปลายมือ ฯ |
๏ สินสมุทรยุดหยอกบอกว่านี่ |
มิใช่พระมเหสีของพี่หรือ |
คนเขารู้อยู่ทั้งเมืองออกเลื่องลือ |
คือหล่อนชื่อแม่ยุพาพะงางอน |
รูปก็งามนามก็เพราะฉอเลาะเหลือ |
แก้มก็เจือจันทน์จรุงปรุงเกสร |
แต่ว่าเขาชาวฝรั่งนะบังอร |
นางคมค้อนขวยเขินสะเทินที ฯ |
๏ นางละเวงเกรงความจะหยามหยาบ |
แต่อยากทราบทรงอ่านดูสารศรี |
ว่าโฉมยงองค์สุวรรณมาลี |
เจริญราชไมตรีนีฤมล |
ถึงโฉมยงองค์ละเวงวัณฬาราช |
กษัตริย์ชาติเชื้อหญิงในสิงหล |
เหมือนจามรีที่รู้จักรักษ์สกนธ์ |
ไม่แปดปนต่างภาษาเป็นราคี |
ไปรบพุ่งกรุงผลึกเป็นศึกสู้ |
คนเขารู้เฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี |
ได้ภิเษกเอกฉัตรสวัสดี |
หรือไม่มีการเมืองให้เลื่องลือ |
ทั้งลูกสาวบ่าวไพร่ได้ภิเษก |
ร่วมเสวกฉัตรเดียวกันเจียวหรือ |
ล้วนรุ่นราวสาวทึนทึกได้ฝึกปรือ |
เป็นชักสื่อสายสนล้วนคนเคย |
ร้อยภาษามาประชุมล้วนหนุ่มแน่น |
ไม่เป็นแก่นสารปละสละเฉย |
เดี๋ยวนี้ปะพระอภัยกระไรเลย |
เธอช่างเชยชอบเชิงละเลิงลืม |
สมคะเนเทครัวเข้ามั่วสุม |
เป็นรักรุมรวมรักเฝ้าปลักปลื้ม |
เที่ยวชิงรักหักดิบไม่หยิบยืม |
จะทำลืมเสียแล้วหรือด้วยถือตัว |
ธรรมดานารีผู้ดีไพร่ |
เมียน้อยไหว้กราบเขาเจ้าของผัว |
นี่เห็นถูกหยูกยาหูตามัว |
จึงตั้งตัวสูงเสริมเห็นเหิมฮึก |
อันเป็นหญิงชิงคู่เขาชูชื่น |
เหมือนกล้ำกลืนของสำลักมักสะอึก |
ช่วยเตือนใจให้จำรู้สำนึก |
จงตรองตรึกรับพระเสาวนีย์ |
แม้คิดทราบบาปบุญที่คุณโทษ |
อย่าตอบโกรธกราบประณตบทศรี |
จะไว้หน้าตามประสาเป็นนารี |
ถ้าเกินดีก็จะได้ผิดใจกัน ฯ |
๏ นางฟังเรื่องเคืองคำชุบน้ำฉีก |
ช่างตีปีกค่อนขอดยอดขยัน |
แล้วทูลองค์ทรงยศประชดประชัน |
เขาว่าฉันชิงผัวไม่กลัวเกรง |
พระผ่านเกล้าเล่าก็ตรัสให้สัตย์ไว้ |
ว่ามิให้ชาวผลึกฮึกข่มเหง |
เดี๋ยวนี้เล่าเขาก็ขืนมาครื้นเครง |
แม้มิเกรงภูวไนยก็ไม่ลด |
จะตอบต่อข้อความให้งามหน้า |
ให้เลือดตาตกเผาะเหยาะเหยาะหยด |
น้อยหรือชะจะให้ไปไหว้ประณต |
มาไว้ยศยังกะว่าเป็นข้าไท |
นี่เนื้อเคราะห์เพราะพระองค์จึงหลงถ้อย |
ต้องเป็นน้อยนึกน่าน้ำตาไหล |
จะออกโอษฐโปรดปรานประการใด |
จะกลับไปหรือจะอยู่พระภูธร ฯ |
๏ พระว่าพี่นี้ไม่เข้ากับเขาดอก |
เขามันนอกรีตฝรั่งไม่ฟังสอน |
เฝ้ารบกวนจวนจะแก่ยิ่งแง่งอน |
เจ้าคิดค่อนขอดว่าให้สาใจ |
พี่จะทำคำตัดสลัดสละ |
ไม่ปนปะเป็นมิตรพิสมัย |
แล้วสั่งพระอนุชาพากันไป |
คิดแก้ไขคำตอบให้ชอบเชิง ฯ |
๏ พระรับรสพจนาทั้งอาหลาน |
ตาลีตาลานลืมองค์ด้วยหลงเหลิง |
ต่างเข้าห้องทองบรรทมภิรมย์เริง |
นางรู้เชิงชวนชิดสนิทใน ฯ |
๏ ฝ่ายนางพวกช่างพูดทูตผลึก |
ต่างเหิมฮึกมาพลับพลาที่อาศัย |
ทูลแถลงแจ้งความนางทรามวัย |
เหมือนดังได้ด่าฝรั่งแล้วบังคม ฯ |
๏ ฝ่ายสุวรรณมาลียินดีด้วย |
ข้าหลวงช่วยด่าว่าให้สาสม |
โปรดประทานส่านสุหรัดแล้วตรัสชม |
เจ้าคารมรู้หึงให้ถึงใจ |
จะคอยฟังครั้งนี้อีฝรั่ง |
มันจะตั้งปึ่งชาว่าไฉน |
นางนึกแค้นแสนขัดหัดสาวใช้ |
ให้เข้าใจหึงผัวทุกตัวคน ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงวัณฬาสมร |
ปิ่นนิกรเกศหญิงในสิงหล |
ไม่เคยทราบหยาบคายซังตายทน |
ยิ่งอั้นอ้นโอ้ว่ากรรมช่างจำเป็น |
ประดาเสียเมียน้อยนี่ร้อยชาติ |
เป็นอันขาดไม่ขอคบก็พบเห็น |
ความเจ็บแสบแทบพาเลือดตากระเด็น |
ถ้าใครเป็นเช่นข้าจะว่าจริง |
เมื่อคราวชื่นกลืนฉ่ำดังน้ำวุ้น |
คราวเฉียวฉุนเช่นกับยามหาหิงคุ์ |
เจ็บคารมคมปากเหมือนทากปลิง |
เขาว่าชิงผัวเขาให้เราอาย |
แต่ความในใจจริงก็ชิงเขา |
เนื้อความเรามันจึงเสียเขาเบี้ยหงาย |
จะเกลื่อนกลบทบทับให้กลับกลาย |
พอแก้อายหมู่อำมาตย์ราษฎร |
จึงคิดทำคำตอบประกอบแก้ |
ให้เป็นแต่ไฟสุขุมเหมือนสุมขอน |
แล้วแอบองค์ทรงฤทธิ์คิดชะอ้อน |
ทรงอักษรตอบประทานหม่อมฉานชม ฯ |
๏ พระอภัยใจปลื้มไม่ลืมอิ่ม |
แต่เฝ้าชิมเชยชิดสนิทสนม |
เสนหาพาเหิมเคลิ้มอารมณ์ |
รู้สึกสมประดีกลับจับกระดาน |
ประดิษฐ์คำทำร่างให้นางชอบ |
เป็นความตอบตัดรักหักประหาร |
นางแต่งแต้มแซมซ้ำคำประจาน |
พระโปรดปรานเขียนความให้ตามใจ |
จนเสร็จสรรพพับส่งให้นงลักษณ์ |
ประคองพักตร์เชยชิดพิสมัย |
พูดภาษาฝรั่งช่างพิไร |
เฝ้าลูบไล้เลียมรักสะพักพิง ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระอนุชาเวลาค่ำ |
ยิ่งรักรำภาสะหรีด้วยผีสิง |
นางนั่งแนบแอบชะอ้อนเฝ้าวอนวิง |
แม่โปรดจริงพระจงทำคำสารา |
ให้สมตรัสตัดให้ขาดทั้งญาติมิตร |
จะสนิทถนอมรักให้หนักหนา |
พระเขียนความตามคำให้รำภา |
แล้วตรัสว่าพี่ก็ปละสละทิ้ง |
แต่รู้จักรักรู้มีชู้สาว |
ที่รุ่นราวคราวกันสักพันหญิง |
พี่รักเขาเล่าก็มีอยู่ที่จริง |
แต่ไม่ยิ่งยอดอย่างนางรำภา |
ถึงสมบัติพัสถานการอื่นอื่น |
ก็ไม่ชื่นเหมือนปรางนางซ้ายขวา |
พลางยิ้มยวนชวนชิดแนบนิทรา |
จนเบื่อว่าอัศจรรย์ทุกวันคืน ฯ |
๏ หน่อนรินทร์สินสมุทรก็สุดหลง |
เขายุยงสารพัดไม่ขัดขืน |
รักยุพาฝรั่งดังจะกลืน |
ในกลางคืนคิดทำคำสารา |
ชอบใจนางอย่างไรก็ไม่ขัด |
เป็นความตัดเผ่าพงศ์พระวงศา |
แล้วเขียนอ่านทานสอบชอบอัชฌา |
ให้ยุพาพับปิดผนิดเนียน ฯ |
๏ ครั้นรุ่งรางนางผการำภาสะหรี |
เอาสารศรีสองพระองค์ที่ทรงเขียน |
มาถวายนางวัณฬาหน้ามนเทียร |
ไม่ติเตียนคำตอบชอบพระทัย |
จึงสั่งนางเถ้าแก่อย่าแห่แหน |
เป็นตอบแทนทางความตามวิสัย |
บอกขุนนางข้างหน้าให้ม้าใช้ |
เอาไปให้กองทัพแล้วกลับมา ฯ |
๏ เถ้าแก่น้อมพร้อมคำนับแล้วรับสาร |
ประคองพานเยื้องย่างไปข้างหน้า |
บอกสนมกรมวังสั่งกิจจา |
เร่งจัดม้าใช้ไปให้กองทัพ ฯ |
๏ ฝ่ายม้าใช้ได้หนังสือถือรับสั่ง |
เผ่นขึ้นหลังพาชีเตือนตีขวับ |
ม้าก็เต้นเผ่นน้อยซอยยับยับ |
มาถึงทัพเล่าแถลงแจ้งกิจจา |
ให้สารศรีสี่ฉบับแล้วกลับหลัง |
มาเวียงวังแจ้งความตามประสา |
ฝ่ายพวกพ้องกองทัพรับสารา |
มาวันทาทูลองค์นางนงคราญ ฯ |
๏ ส่วนสุวรรณมาลีศรีสวัสดิ์ |
ให้เคืองขัดในวิญญาณ์ไม่ว่าขาน |
สั่งเสนาอาลักษณ์พนักงาน |
จงอ่านสารสินสมุทรสุดอาลัย ฯ |
๏ อาลักษณ์รับอภิวาทราชสาร |
พลางคลี่อ่านจะแจ้งแถลงไข |
ว่าสารทรงองค์โอรสยศไกร |
ให้ทราบใต้ฝ่าพระบาทมาตุรงค์ |
มาอยู่วังลังกาอาณาจักร |
ได้คู่รักร่วมอารมณ์สมประสงค์ |
พระบุตรีศรีสวัสดิ์ขัตติยวงศ์ |
พอสมพงศ์สมพักตร์ศักดิ์ตระกูล |
อันพงศ์เผ่าที่อยู่ชมพูทวีป |
จนสิ้นชีพสิ้นชาติเป็นขาดสูญ |
ไม่นับเนื้อเชื้อวงศ์พงศ์ประยูร |
จึงจำทูลเสียให้เสร็จสำเร็จการ |
ขอเชิญกลับเสียเถิดประเสริฐกว่า |
แม้อยู่ช้าเห็นจะฉาวจนร้าวฉาน |
ถ้ารักองค์จงเหือดที่เดือดดาล |
อย่าก่อการเกินไปจะได้อาย ฯ |
๏ พอจบคำช้ำจิตผิดสังเกต |
น้ำพระเนตรหลั่งไหลพระทัยหาย |
สินสมุทรสุดสุภาพไม่หยาบคาย |
นี่ดีร้ายอีฝรั่งสิ้นทั้งนั้น |
โอ้ลูกเอ๋ยเลยหลงลืมวงศ์ญาติ |
เหมือนตัดขาดเกศาแม่อาสัญ |
สะอื้นร่ำพร่ำว่าแล้วจาบัลย์ |
อุสาห์กลั้นกลัวจะขาดราชการ ฯ |
๏ จึงให้อ่านสารศรีสุวรรณราช |
ว่าอุปราชลังกามหาสถาน |
แจ้งพี่นางต่างมีรสพจมาน |
ด้วยหม่อมฉานฉุนคิดอนิจจัง |
ชาวชมพูทั้งบูรีไม่มีสัตย์ |
สบถสะบัดเสียประเดี๋ยวไม่เหลียวหลัง |
ทั้งถือผิดคิดรังเกียจให้เกลียดชัง |
ฝ่ายฝรั่งถือศิลสิ้นทุกคน |
มีผัวเดียวเมียเดียวไม่เลี้ยวลด |
ไม่โป้ปดลวงล่อคิดฉ้อฉล |
จึงมาอยู่สู่สุขสิ้นทุกคน |
ไม่กังวลวงศ์ญาติเป็นขาดกัน |
เขาจะตรงลงนรกที่หมกไหม้ |
ฉันจะไปสู่สถานพิมานสวรรค์ |
จึงตัดเสียเมียลูกไม่ผูกพัน |
เป็นขาดกันแล้วอย่าอ้างเหมือนอย่างเคย ฯ |
๏ พอจบเรื่องเคืองขัดจึงตรัสว่า |
แม่เกษราแม่อรุณแม่คุณเอ๋ย |
อยู่หาไหนไม่มาฟังเธอมั่งเลย |
ลูกไม่เคยสุดขืนกลืนน้ำตา |
จะเก็บไว้ให้ฟังสิ้นทั้งสอง |
จะได้ร้องไห้รักให้หนักหนา |
แล้วอ่านสารสำคัญของวัณฬา |
เจ้าลังกาปิ่นเกศนิเวศน์วัง |
มาถึงพระมเหสีบุรีผลึก |
อย่าเหิมฮึกหึงสาเป็นบ้าหลัง |
ก็ย่อมรู้อยู่ทุกสิ่งที่จริงจัง |
เพราะเพลี่ยงพลั้งลึกซึ้งต้องถึงตัว |
มิใช่ข้าหาสัดจองไปท่องเที่ยว |
ถึงน้ำเขียวขึ้นบนเกาะเที่ยวเสาะผัว |
คิดความหลังมั่งเถิดเจ้าอย่าเมามัว |
ตัวของตัวเมื่อเป็นสาวก็ฉาวลือ |
อุศเรนพี่ของเราขอเจ้าได้ |
เจ้ามิใช่มเหสีพระพี่หรือ |
กลับมีชู้สู่ผัวไม่กลัวมือ |
ยังจะถือตัวดีหรือพี่สะใภ้ |
ว่าชิงผัวชั่วช้าส่วนฆ่าผัว |
มันไม่ชั่วมั่งดอกหรือถือไฉน |
จนเกิดยุครุกรบทั้งภพไตร |
ก็เพราะใครเล่าขานางมาลี |
แพศยาฆ่าคู่เขารู้ทั่ว |
ไปลักผัวนางผีเสื้อลงเรือหนี |
ส่วนตัวแสนแค้นว่าข้าชิงสามี |
ส่วนฆ่าพี่เขาสิไม่ให้เขาแค้น |
พระทรงยศอดสูมิอยู่ด้วย |
ยังแร่รวยลามล่วงมาหวงแหน |
แต่ผัวนางข้างหนึ่งก็หึงแทน |
เจ้ามันแสนสันทัดได้หัดปรือ |
มาตามเก้อเธอก็ไม่ออกไปหา |
จะให้ข้าอุ้มพระองค์ไปส่งหรือ |
มาโกรธาหน้ามืดทำฮืดฮือ |
ยังด้านดื้อว่าเป็นผัวไม่กลัวอาย |
จงมาขุดอุศเรนไปเป็นคู่ |
พระนี้ชู้มิใช่ผัวอย่ามัวหมาย |
สงสารเจ้าเปล่าเปลี่ยวอยู่เดียวดาย |
แม้เป็นชายจะช่วยโลมนางโฉมงาม |
ให้หายเหือดเดือดดิ้นถวิลสวาท |
เป็นพระราชสามีอยู่ที่สาม |
มิใช่เช่นเป็นเชลยไม่เคยลาม |
ยิ่งหยาบหยามยิ่งจะซ้ำระยำยับ |
เหมือนหยั่งน้ำเห็นปลิงจริงนะเจ้า |
นัยน์ตาเขาลืมได้มิใช่หลับ |
พี่มาลีศรีผลึกกินลึกลับ |
อย่าให้น้องต้องขับจงกลับไป ฯ |
๏ พอสารจบสบเจ็บให้เหน็บแน่น |
ยิ่งแสนแค้นดังเขาเชือดเอาเลือดไหล |
มันเติมแต้มแนมเหน็บน่าเจ็บใจ |
ชะกระไรหนอกระนี้อีละเวง |
เห็นผัวรักซักถามเอาความหลัง |
กระทบกระทั่งทับถมจะข่มเหง |
ทะเลาะเราเจ้าผัวไม่กลัวเกรง |
มันชั่วเองว่าเขาเป็นเหมือนเช่นตัว |
ชะได้เชือดเลือดเนื้อเถือเป็นชิ้น |
กูจะกินเสียจริงจริงอีชิงผัว |
มาอ้างความสามสองให้หมองมัว |
เขารู้ทั่วตัวของมันสักพันชาย |
แล้วให้อ่านสารองค์พระทรงเดช |
จะโปรดเกศอนุกูลหรือสูญหาย |
แต่เพียงนี้นี่ก็เบื่อเหลือละอาย |
จะได้ตายเสียให้แล้วได้แคล้วกัน |
พนักงานอ่านเนื้อความออกตามเรื่อง |
พระมิ่งเมืองจอมลังกามหาสวรรย์ |
ด้วยทราบตามความขำที่สำคัญ |
นางสุวรรณมาลีที่มีคาว |
เหมือนเต่าใหญ่ไข่ปิดให้มิดหลุม |
จะคุ้ยขุมขุดรื้อออกอื้อฉาว |
ยังมิหนำซ้ำแล่นข้ามแดนดาว |
มาว่ากล่าวนางละเวงไม่กรงกลัว |
จะกรวดน้ำคว่ำขันไม่พลันคบ |
มิขอพบขอเห็นไม่เป็นผัว |
มีลูกเต้าเฒ่าแก่ก็แต่ตัว |
ใจยังมัวเหมือนหนึ่งว่าสิบห้าปี |
ข้ารับแพ้แต่เมื่ออยู่ชมพูภพ |
ยังตามรบกวนอีกต้องหลีกหนี |
เป็นขาดเด็ดเสร็จสั่งเสียครั้งนี้ |
เดือนแปดปีวอกวันจันทร์ข้างแรม |
เรื่องสารศรีนี้แหละคือหนังสือหย่า |
อย่ามาว่าปรายเปรียบดูเฉียบแหลม |
ถ้ารักตัวกลัวเจ็บอย่าเหน็บแนม |
ขืนลอมแลมแล้วจะอายเมื่อปลายมือ |
เจ้าครองกรุงรุ่งเรืองเป็นเมืองเอก |
อภิเษกตัวใหม่ไม่ได้หรือ |
พอจบคำช้ำใจดังไฟฮือ |
เห็นสุดมือไม่มีใครอาลัยแล |
ไหนจะช้ำคำนางละเวงเล่า |
ทั้งผ่านเกล้าเล่าก็หย่าไม่แยแส |
จะพึ่งที่ศรีสุวรรณก็ผันแปร |
เคยเห็นแต่สินสมุทรก็หลุดลอย |
ยิ่งแลเหลียวเปลี่ยวเปล่าเศร้าสังเวช |
น้ำพระเนตรหยดเหยาะลงเผาะผอย |
สุดจะทรงองค์นั่งกำลังน้อย |
กำสรดสร้อยซวนซบสลบไป ฯ |
๏ ฝ่ายบุตรีพี่น้องสองโอรส |
พลอยกำสรดเซ็งแซ่เข้าแก้ไข |
ทั้งแสนสาวท้าวนางพวกข้างใน |
ร้องเรียกให้หมอบดโอสถเร็ว |
หมอผู้หญิงวิ่งออกมานอกม่าน |
หลงนวดท่านตาหมอหลอจนคอเหลว |
หมอเพชรคงหลงคั้นตามบั้นเอว |
ข้าหลวงเลวร้องหวีดกราดกรีดเกรียว ฯ |
๏ ครั้นฟื้นองค์นงลักษณ์อัคเรศ |
พูนเทวษหวั่นไหวอาลัยเหลียว |
เหมือนสิ้นเหล่าเผ่าพงศ์อยู่องค์เดียว |
ยิ่งเปล่าเปลี่ยวในใจให้วังเวง |
ดูเวียงวังลังกายิ่งพาแค้น |
จะทดแทนเสียให้สมที่ข่มเหง |
ถึงชีวันบรรลัยก็ไม่เกรง |
อีละเวงจะให้ยับลงกับมือ |
ถึงแม้ว่าสามีจะมิเลี้ยง |
ให้แท้เที่ยงเถิดไม่ฟังแต่หนังสือ |
จะสู้ตายวายชนม์ให้คนลือ |
คงจะดื้อเข้าไปถึงในวัง |
ขอประสบพบองค์พระทรงยศ |
สองโอรสช่วยกำกับเป็นทัพหลัง |
มิให้เราเข้าไปก็ไม่ฟัง |
จะรบพังปากประตูเข้าบูรี |
อีสาวใช้ไปช่วยด้วยให้หมด |
ให้ลือยศหญิงผลึกไม่นึกหนี |
ได้เห็นหน้าข้ากับเจ้ากันคราวนี้ |
แม้ใครมีชัยชนะกูจะเลี้ยง |
นางสาวใช้ใหญ่น้อยพลอยประจบ |
จะตีตบอีฝรั่งมันชั่งเถียง |
ต่างจีบปากอยากทะเลาะให้เพราะเพรียง |
มาหมอบเมียงพร้อมหน้าทุกข้าไท ฯ |
๏ ฝ่ายพระหน่อบพิตรอดิสร |
สุดสาครขัตติยาอัชฌาสัย |
ทูลทัดทานมารดาด้วยอาลัย |
พระอย่าไปปนกับกาที่สาธารณ์ |
เหมือนทองคำชัมพูรู่กระเบื้อง |
จะลือเลื่องชั่วกัลปาวสาน |
จงรอรั้งฟังกิจค่อยคิดการ |
พรุ่งนี้ฉานจะขอเข้าไปเฝ้าฟัง |
แม้เกี่ยวข้องต้องเสน่ห์ลมเพลมพัด |
จะเป่าปัดแก้กลด้วยมนต์ขลัง |
รู้สึกองค์คงจะออกมานอกวัง |
เดี๋ยวนี้คลั่งเคลิ้มองค์เหมือนหลงเดิม |
หนังสือนี้ดีร้ายฝ่ายฝรั่ง |
มันจะนั่งยุยงคอยส่งเสริม |
เห็นสร่างมนต์ดลทำเฝ้าซ้ำเติม |
จึงพูนเพิ่มพิศวาสไม่คลาดคลา |
มิควรฟังหนังสืออย่าถือโกรธ |
ประทานโทษบิตุเรศกับเชษฐา |
วันนี้จวนสุริยนสนธยา |
พระมารดาจงระงับดับพระทัย ฯ |
๏ นางฟังสุดสาครค่อยอ่อนจิต |
พ่อช่วยคิดผันแปรเคยแก้ไข |
แต่แม่นี้วิตกในอกใจ |
กลัวจะไปเข้าที่เป็นสี่องค์ ฯ |
๏ พระโอรสอดสูว่าผู้หญิง |
ถึงงามยิ่งอย่างไรก็ไม่หลง |
หนังเสือเหลืองเครื่องไตรยังใส่องค์ |
ไม่เปลื้องปลงเปรมปรีดิ์กับสีกา ฯ |
๏ นางทรงฟังยังพรั่นให้หวั่นจิต |
ด้วยเคยติดตังรักมันหนักหนา |
จึงว่าพ่อก็วิเศษเวทวิชา |
คิดรักษาพระองค์ให้จงดี |
ถ้าแม้เจ้าเข้าไปติดชีวิตแม่ |
เห็นตายแท้แล้วขอฝากแต่ซากผี |
นางสอนบุตรสุดสวาทราชบุตรี |
จงพึ่งพี่ทั้งสององค์เป็นพงศ์พันธุ์ |
ด้วยแสนแค้นแน่นเหน็บให้เจ็บจิต |
เหมือนชีวิตมารดาจะอาสัญ |
พลางแนบชิดธิดายิ่งจาบัลย์ |
สะอื้นอั้นตรอมอารมณ์ไม่สมประดี |
จนพลบค่ำย่ำฆ้องยิ่งหมองเศร้า |
เสด็จเข้าในพลับพลาหลังคาสี |
แสนรำลึกตรึกตราถึงสามี |
ทรงโศกีกำสรดสลดใจ ฯ |
๏ ฝ่ายบุตรีพี่น้องสองโอรส |
อยู่ชั้นลดตามประสาอัชฌาสัย |
สร้อยสุวรรณจันทร์สุดาร้อยมาลัย |
พระหัสไชยช่วยปลิดนั่งชิดกัน |
พูดพุคะจ๊ะจ๋าประสารุ่น |
ด้วยเคยคุ้นเคียงใกล้ไม่ใฝ่ฝัน |
วิชาธรจรมาเวลานั้น |
ให้ไหวหวั่นจิตกษัตริย์หัสไชย |
นึกฉุนรักลักชม้ายชายชม้อย |
ดูโฉมสร้อยสุวรรณน้องอันผ่องใส |
ลอออิ่มพริ้มพร้อมละม่อมละไม |
งามวิไลแลเหมือนจะเยื้อนยิ้ม |
ยิ่งพิศเพ่งเปล่งปลั่งกำลังรุ่น |
เนื้อละมุนน่าอุ้มดูนุ่มนิ่ม |
อันน้องนางอย่างพี่ดังตีพิมพ์ |
นึกอะลิ้มเอลี่ยนั่งเคลียคลอ |
คิดใคร่รู้ว่าผู้ใหญ่เขาได้เสีย |
เป็นผัวเมียกันอย่างไรที่ไหนหนอ |
ไม่เข้าใจในทีต้องรีรอ |
แต่เฝ้าคลอคิดกริ่มใคร่ชิมเชย ฯ |
๏ ส่วนสองนางต่างองค์ยังหลงเล่น |
ด้วยว่าเป็นเด็กอยู่ไม่รู้เฉย |
แต่หัสไชยจะใคร่พลอดใคร่กอดเกย |
ยังไม่เคยขามเขินสะเทินใจ |
ยิ่งแลเล็งเพ่งพิศยิ่งคิดรัก |
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน |
ต้องถอยถดอดอั้นกลั้นฤทัย |
ไปนอนใกล้เชษฐาสุดสาคร ฯ |
๏ ฝ่ายสองนางต่างร้อยดอกไม้เสร็จ |
ตามเสด็จขึ้นสุวรรณบรรจถรณ์ |
ถวายทรงองค์ละพวงช่วยสวมกร |
แล้วนางนอนริมพระพี่ไม่มีแคลง |
ดึกสงัดหัสไชยยังไม่หลับ |
เห็นอัจกลับข้างที่ริบหรี่แสง |
นางนอนใกล้ได้กลิ่นผินตะแคง |
ค่อยค่อยแพลงพลิกเบียดพอเฉียดเชย |
ยิ่งหอมชื่นรื่นรินกลิ่นกุหลาบ |
ยิ่งเสียวซาบทรวงริกนาสิกเสย |
แต่เดิมทีนั้นมิใช่จะไม่เคย |
เลยก่ายเกยจูบกอดพูดพลอดกัน |
แต่น้ำจิตมิได้คิดพิศวาส |
เหมือนอย่างญาติเย้ายอมถนอมขวัญ |
ครั้นรู้รักจักเป็นดังเช่นนั้น |
กลับขยั้นพรั่นตัวคิดกลัวเกรง |
พินิจน้องสองนางกระจ่างแจ่ม |
งามแฉล้มอะเหลาะเฉาะล้วนเหมาะเหมง |
อันโลกีย์มิต้องสอนเหมือนกลอนเพลง |
มันเป็นเองในอารมณ์ใคร่ชมชิม |
ถ้าเชยชื่นฟื้นตัวกลัวจะร้อง |
ว่าพี่น้องเล้ารุมทำหยุมหยิม |
แต่มุ่งมองสองแก้มดูแย้มยิ้ม |
ค่อยจ่อจิ้มจุมพิตยิ่งติดใจ |
ด้วยมาแขกแรกเริ่มประเดิมรัก |
ไม่รู้จักจืดเปรี้ยวฉุนเฉียวไฉน |
สวาทซาบปลาบปลื้มแล้วลืมไป |
หลับอยู่ในแท่นที่ทั้งสี่องค์ ฯ |