๏ จะกล่าวเรื่องเมืองลังกาวัณฬาราช |
ครั้นหน่อนาถกับนัดดาใหญ่กล้าหาญ |
อันองค์พระมังคลาปรีชาชาญ |
หนุ่มประมาณชันษาสิบห้าปี |
รู้วิสัยไตรเพทประเทศถิ่น |
ภูมิแผ่นดินทั้งทวาทศราศี |
ทั้งพระน้องสองนัดดาปัญญาดี |
เกิดร่วมปีเป็นแต่แก่เดือนตรา ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงวัณฬาราช |
ไปหาบาทหลวงที่ตึกแล้วปรึกษา |
จะเสกหน่อวรนาถราชนัดดา |
ครองลังกานคเรศคุ้มเขตคัน |
เจ้าวลายุดาปรีชาฉลาด |
เป็นอุปราชราชวังณรังสรรค์ |
ฝ่ายซ้ายขวาวายุพัฒน์เจ้าหัสกัน |
ได้ฤกษ์วันใดพระคุณกรุณา ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งสังฆราชพระบาทหลวง |
ลงเลขดวงลัคน์จันทร์ดูชันษา |
จึงว่าเดือนสี่ฤกษ์เบิกราชา |
ขึ้นสิบห้าค่ำนั้นเป็นวันดี |
เออนี่แน่แม่เพชรอันเตร็จตรัจ |
สำหรับกษัตริย์ซึ่งบำรุงชาวกรุงศรี |
จงจัดแจงแต่งสารการไมตรี |
ให้เสนีที่เป็นทูตรู้พูดจา |
ไปว่ากล่าวเจ้าพาราการะเวก |
จะภิเษกทรงยศโอรสา |
ขอแม่เพชรเตร็จตรัจให้นัดดา |
กูเห็นว่าจะได้สมอารมณ์ปอง ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงเกรงวิวาท |
มิเหมือนมาดขัดขวางจะหมางหมอง |
จึงนบนอบตอบความตามทำนอง |
อันสิ่งของให้เขาจะเอามา |
เหมือนย้อนยอกกลอกกลับอัปยศ |
ต้องเสียยศด้วยเขาจะครหา |
ในเดือนสี่นี้จะสั่งตั้งราชา |
แล้วกราบลาเข้าในเขตนิเวศน์วัง ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระมังคลาปรีชาฉลาด |
ก้มกราบบาทหลวงถามถึงความหลัง |
ท่านขรัวครูผู้เฒ่าเล่าให้ฟัง |
แต่คราวครั้งเจ้าลังกาครองธานี |
ขอลูกสาวเจ้าผลึกให้ลุงเจ้า |
ถึงเดือนเก้าไปวิวาห์มารศรี |
เขากลับให้เสียกับพระอภัยมณี |
ลุงไปตีเมืองกับตาเขาฆ่าตาย |
แม่จึงต้องครองวังแต่ยังสาว |
พึ่งรุ่นราวรบพุ่งยุ่งใจหาย |
พ่อเจ้ามาราวีทั้งพี่ชาย |
ฆ่ากันตายดาษดื่นนับหมื่นพัน |
นางวัณฬาพากูไปสู้รบ |
หลายตลบเหลือการเจียวหลานขวัญ |
เขาลอบลักรักใคร่จนได้กัน |
กูไม่ทันรู้ด้วยแทบม้วยมรณ์ |
มาอยู่วังทั้งอาเชษฐาเจ้า |
แต่ว่าเขาไม่ฟังกูสั่งสอน |
อันเนินเพชรเจ็ดสีที่นคร |
เกิดด้วยก้อนเก็จแก้วดูแววไว |
เมื่อลูกสาวเจ้าพาราการะเวก |
เอาเพชรเอกออกจากหินแผ่นดินไหว |
จึงเมืองเราเศร้าหมองเสียของไป |
เขาเอาไว้เมืองเขาเกิดเนาวรัตน์ |
ถ้าแม้นหลานผ่านพาราลังกาแล้ว |
คิดคืนแก้วโคตรเพชรอันเตร็จตรัจ |
กลับมาไว้ได้อุดมโสมนัส |
ให้สมบัติมั่งคั่งในลังกา |
จงสัตย์ซื่อถือพระเยวาโห |
เหมือนกับโมเซสังวาสพระศาสนา |
อย่าไปคิดกิจการกับมารดา |
มันจะว่ากูสอนคอยผ่อนปรน |
คิดเกลี้ยกล่อมซ้อมหัดจัดทหาร |
ให้ชำนาญการศึกค่อยฝึกฝน |
หาผู้รู้ผู้วิเศษทรงเวทมนตร์ |
ทั้งคงทนปรนปรือให้ลือชา |
อันเมืองน้อยร้อยประเทศทุกเขตขอบ |
จะนบนอบสาพิภักดิ์ด้วยหนักหนา |
ทั้งแว่นแคว้นแดนฝรั่งเกาะลังกา |
ไม่สิ้นผู้รู้ตำราวิชาการ |
เมื่อรบพุ่งกรุงผลึกเป็นศึกใหญ่ |
ได้ใช้อ้ายย่องตอดยอดทหาร |
เจ้าครองวังลังกาไปช้านาน |
จงคิดอ่านเอามาเลี้ยงไว้เวียงชัย |
แม้คนดีมีมากไม่ยากจิต |
จึงค่อยคิดปราบปรามตามวิสัย |
ไปขอเพชรเตร็จตรัจถ้าขัดไว้ |
จึงยกไปคืนเอาของเรามา |
แม้ตามติดคิดรับให้ยับย่อย |
จะเลิศลอยลืออำนาจวาสนา |
อย่านึกขลาดชาติกษัตริย์นะนัดดา |
พระมังคลารับคำจะทำตาม |
แล้วว่าหลานผ่านพาราลังกาแล้ว |
จะกวาดแผ้วเสียให้เตียนที่เสี้ยนหนาม |
พอจวนค่ำอำลาจากอาราม |
ขี่คานหามแห่ไปเข้าในวัง ฯ |
๏ ครั้นสว่างนางพระยาวัณฬาราช |
ออกนั่งอาสน์อำไพด้วยใจหวัง |
พวกขุนนางต่างเข้ามาหน้าบัลลังก์ |
ยืนสะพรั่งฟังรสพจมาน |
นางเอื้อนอรรถตรัสสั่งเสนาใหญ่ |
มหาดไทยกับทั้งนายฝ่ายทหาร |
เราครองวังลังกามาช้านาน |
จะแต่งงานอภิเษกเอกโอรส |
ให้ทรงตราราหูคู่ทวีป |
รักษาชีพชาติฝรั่งสิ้นทั้งหมด |
เจ้าวลายุดาน้องให้รองลด |
เป็นฝ่ายหน้าปรากฏยศไกร |
เจ้าหัสกันนั้นเป็นฝ่ายซ้ายกษัตริย์ |
วายุพัฒน์ฝ่ายขวาอัชฌาสัย |
จงสั่งความตามธรรมเนียมตระเตรียมไว้ |
วันเพ็ญให้พร้อมกันทันเวลา ฯ |
๏ ขุนนางพร้อมน้อมคำนับอภิวาท |
เขียนประกาศบาดหมายแจกซ้ายขวา |
ให้เมืองน้อยร้อยเอ็ดเขตลังกา |
มาเปลี่ยนตราถือน้ำตามธรรมเนียม |
แล้วแต่งตั้งบัลลังก์ราชาภิเษก |
ที่องค์เอกอุปราชสะอาดเอี่ยม |
ทั้งขวาซ้ายฝ่ายเป็นกรมลาดพรมเจียม |
บ้างตระเตรียมแตรสังข์กังสดาล |
บ้างเทียบรถกลดกั้นสุวรรณรัตน์ |
เกณฑ์แห่หัดเดินกระบวนล้วนทหาร |
ทำแถวทางพ่างพื้นรื่นสำราญ |
ที่โปรยทานเรียบรอบขอบบุรี |
ถึงวันฤกษ์เบิกอรุณพูนสวัสดิ์ |
อโณทัยไตรตรัจจำรัสศรี |
พวกเสนาพฤฒามาตย์ราชกวี |
มาพร้อมที่พระโรงรัตน์ชัชวาล ฯ |
๏ นางละเวงวัณฬาบัญชาตรัส |
ให้หน่อกษัตริย์สี่พระองค์สรงสนาน |
ประดับเครื่องเรืององค์อลงการ |
แก้วประพาฬเพชรพลอยแพรวพรอยพราย |
แล้วต่างองค์ทรงมหามาลาแฉล้ม |
มณีแนมเนาวรัตน์จำรัสฉาย |
สวมฉลองพระบาทแล้วนาดกราย |
มาถวายบังคมพระชนนี |
นางวัณฬาพาพระหน่อวรนาถ |
ขึ้นนั่งอาสน์อดิเรกภิเษกศรี |
ให้วลายุดานั้นอัญชลี |
ขึ้นนั่งที่อุปราชอาสน์โอฬาร์ |
เจ้าหัสกันนั้นให้นั่งบัลลังก์ซ้าย |
เจ้าวายุพัฒน์พี่ชายนั่งฝ่ายขวา |
นางมอบตราราหูคู่พารา |
ให้องค์พระมังคลาปรีชาชาญ |
ทั้งพระแสงแต่งตั้งสั่งประกาศ |
ให้ครองราชนิเวศน์ประเทศสถาน |
ฝ่ายเสนาข้าบาทในราชการ |
ต่างก้มกรานกราบช่วยอำนวยชัย |
ชาวประโคมก็ประโคมเสียงโครมครึก |
มโหระทึกทั้งดนตรีปี่ไฉน |
เป่าสังข์แตรแซ่ซ้องลั่นฆ้องชัย |
ตามวิสัยเสกกษัตริย์ขัตติยา ฯ |
๏ ฝ่ายพวกพระเยวาโหปุโรหิต |
ยืนแปดทิศถือบวชสวดคาถา |
แล้วขุนนางต่างจับจอกสุรา |
ถวายพระมังคลาเจ้าธานี |
พระทรงรับกลับประทานพวกข้าเฝ้า |
ต่างกินเหล้าลูบหน้าเป็นราศี |
แล้วตรัสสั่งตั้งอำมาตย์ราชกวี |
ให้เลื่อนที่ถือน้ำตามอัตรา |
ครั้นเสร็จสรรพจับพระแสงสำหรับยศ |
ไปทรงรถพรรณรายแห่ซ้ายขวา |
โปรยเงินทองสองข้างตามทางมา |
ชาวพาราคั่งคับคอยรับทาน |
ต่างชื่นช่วยอวยพรถาวรสวัสดิ์ |
ให้สืบวงศ์ทรงสมบัติพัสถาน |
เลียบกรุงไกรไปจนรอบขอบปราการ |
แสนสำราญรัถยาพอสายัณห์ |
เข้าสู่วังนั่งกลางปรางค์ปราสาท |
พร้อมพระญาติวงศ์เฝ้าทั้งสาวสรรค์ |
วลายุดาวายุพัฒน์เจ้าหัสกัน |
สามองค์นั้นต่างไปเขตนิเวศน์วัง |
อันไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินสิ้นทั้งหลาย |
ทั้งหญิงชายชื่นชมด้วยสมหวัง |
ทุกถิ่นฐานบ้านช่องฆ้องกลองดัง |
พวกฝรั่งเริงรื่นทุกคืนวัน ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระมังคลาปรีชาฉลาด |
บำรุงราษฎร์ราชัยมไหศวรรย์ |
จะทำศึกตรึกตรองคิดป้องกัน |
ที่ขอบขัณฑ์เขตแคว้นแดนลังกา |
ถึงฤกษ์ดีปีใหม่ชัยโชค |
ต้องโฉลกเฉลิมวันชันษา |
ให้ชุมนุมอำมาตย์มาตยา |
ตั้งโต๊ะเรียงเลี้ยงสุราปรึกษาการ |
แต่ก่อนมาธานีเรามีศึก |
เมืองผลึกรมจักรมาหักหาญ |
เผาเมืองใหม่ไล่บุกเที่ยวรุกราน |
เสียดงตาลด่านเขาเจ้าประจัญ |
จะก่อป้อมซ่อมแปลงกำแพงใหม่ |
ให้สูงใหญ่ไว้เหมือนเป็นเขื่อนขัณฑ์ |
ให้พระน้องครองด่านชั้นในกัน |
ดงตาลนั้นนัดดาวายุพัฒน์ |
ที่เมืองใหม่ให้หัสกันอยู่ |
ทำค่ายคูจัดแจงแขวงจังหวัด |
ฝึกพหลพลขันธ์ให้สันทัด |
คอยปราบศัตรูให้บรรลัยลาญ |
อนึ่งเล่าเราจะทำคำหนังสือ |
ให้คนถือไปทุกเขตประเทศสถาน |
เกลี้ยกล่อมผู้รู้ตำราวิชาการ |
ที่เชี่ยวชาญช่วยบำรุงกรุงลังกา |
ผู้ใดมาสาพิภักดิ์ก็จักเลี้ยง |
ให้ชื่อเสียงสมขนาดวาสนา |
เราคิดเห็นเช่นแถลงแจ้งกิจจา |
แต่บรรดาขุนนางเห็นอย่างไร ฯ |
๏ พวกข้าเฝ้าเคารพอภิวาท |
ชมฉลาดเหลือดีจะมีไหน |
จะลือชาปรากฏพระยศไกร |
เหมือนร่มไทรซึ่งจะผ่อนให้หย่อนเย็น |
ด้วยเดชะพระปัญญาอานุภาพ |
จะเรียบราบบ้านเมืองไม่เคืองเข็ญ |
ทั้งศึกเสือเหนือใต้จะวายเว้น |
ควรจะเป็นปิ่นจังหวัดปถพี ฯ |
๏ พระทรงฟังสั่งให้ทำคำประกาศ |
พวกนักปราชญ์เปรียบเหมือนเพชรทั้งเจ็ดสี |
ไม่มีทองรองรับเป็นเรือนมณี |
รัศมีไม่สว่างกระจ่างตา |
เหมือนคนดีมีครูซึ่งรู้รอบ |
ไม่ทำชอบช่วยกษัตริย์ขัดยศถา |
ต้องตกอับลับชื่อไม่ลือชา |
ดังจินดาไร้เรือนก็เหมือนกัน |
อันตัวเราเจ้าลังกาอาณาจักร |
บำรุงรักษ์นัคเรศขอบเขตขัณฑ์ |
จะเลี้ยงผู้รู้วิชาสารพัน |
ให้ควรกันกับความชอบประกอบการ |
ประการหนึ่งซึ่งผู้รู้ตำรับ |
เป็นแม่ทัพทำศึกฝึกทหาร |
รู้กลแก้แพ้ชนะรู้ประมาณ |
รู้รอนราญราวีให้มีชัย |
อนึ่งเรียนกลอุบายให้ตายจิต |
ปัจจามิตรลุ่มหลงไม่สงสัย |
รู้แอบอ้อมปลอมพลสกลไกร |
เข้าเป็นไส้ศึกสังหารผลาญไพรี |
รู้ย่องเบาเป่ามนต์ให้คนหลับ |
ลอบฆ่าแต่แม่ทัพแล้วกลับหนี |
รู้ทายลางทั้งหลายจะร้ายดี |
รู้แผนที่ทิศทางต่างตำบล |
อนึ่งรู้ดูชาตาโหราศาสตร์ |
รู้จักคาดเวลาลมฟ้าฝน |
หนึ่งเรียนรู้สู้ณรงค์อยู่คงทน |
รู้แต่งพลโรมรันไม่อันตราย |
หนึ่งเรียนรู้ดูดาวสำแดงเหตุ |
รู้มนต์เวทปลุกเสกเมฆฉาย |
รู้ดูดินถิ่นที่จะดีร้าย |
รู้อุบายเกลี้ยกล่อมให้พร้อมใจ |
รู้สืบข่าวราวเรื่องบ้านเมืองอื่น |
หนึ่งคนตื่นเซ็งแซ่รู้แก้ไข |
หนึ่งรู้ดำน้ำทนห้ามฝนไฟ |
ทำกลไกอาวุธยุทธนา |
หนึ่งผู้รู้ดูลักษณะแน่ |
เป็นหมอแก้เจ็บป่วยช่วยรักษา |
รู้อุบายหลายอย่างฝึกช้างม้า |
มีวิชาเป็นช่างต่างต่างกัน |
รู้จัดการบ้านเมืองเครื่องประดับ |
รู้ตำรับดีร้ายทำนายฝัน |
รู้สังเกตเท็จจริงทุกสิ่งอัน |
รู้แก้กันผีสางขับรางควาน |
หนึ่งรู้เรียนเขียนหนังสือลายมือเอก |
ลูกคิดเลขนับประมูลคิดคูณหาร |
รู้วิสัยไตรภูมิพงศาวดาร |
รู้จักว่านยาสิ้นระบิลไม้ |
หนึ่งผู้รู้อักษรกาพย์กลอนกล่าว |
เรียบเรียงรายเรื่องความตามวิสัย |
รู้กฎหมายฝ่ายขุนนางฝ่ายข้างใน |
รู้พิชัยสงครามตามกระทรวง |
รู้ตั้งค่ายหลายชั้นป้องกันศึก |
รู้ตื้นลึกแลคะเนทะเลหลวง |
รู้แปลความตามภาษาทั้งปวง |
รู้ล่อลวงราวีให้มีชัย |
หนึ่งชำนาญปืนใหญ่ยิงไวแน่ |
แก้อาถรรพณ์ผันแปรแก้คุณไสย |
รู้เล็ดลอดสอดแนมสืบความใน |
ทำนาได้ผลดีรู้ที่ทำ |
อันวิชาห้าสิบประการนี้ |
ผู้ใดมีเราจะชุบอุปถัมภ์ |
แต่อย่างเดียวเจียวถ้าแม้นรู้แม่นยำ |
ดังคัดคำเขียนหมึกจารึกไว้ |
จะรางวัลนั้นให้ควรแก่ความชอบ |
แม้รู้รอบหลายประการชำนาญไฉน |
จะให้เจียดเกียรติยศปรากฏไป |
แล้วสั่งให้เขียนลงที่แผ่นศิลา |
ไว้ประตูบูรีทั้งสี่ด้าน |
ให้คนอ่านแจ้งจิตทุกทิศา |
แจกเมืองน้อยร้อยเอ็ดเขตลังกา |
ปิดไว้หน้าเมืองรอบทั้งขอบคัน |
แล้วแต่งผู้รู้เกลี้ยกล่อมปลอมพาณิช |
ไปทุกทิศทุกประเทศทุกทุกเขตขัณฑ์ |
ใครได้ผู้รู้วิชาสารพัน |
จะรางวัลความชอบให้ตอบแทน |
แล้วเกณฑ์ไพร่ให้พระน้องกับสองหลาน |
ไปสร้างด่านสามตำบลคนละแสน |
ต่อกำปั่นพันลำประจำแดน |
สำหรับแล่นลาดตระเวนที่เกณฑ์การ ฯ |
๏ แล้วพระองค์ทรงยศก็อตส่าห์ |
ออกนั่งหน้าจักรวรรดิ์หัดทหาร |
ฝึกพหลพลนิกรให้รอนราญ |
ชำนิชำนาญหนีไล่ทั้งไพร่นาย ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งลังกาประชาราษฎร์ |
ต่างรู้ความตามประกาศเหมือนมาดหมาย |
ที่มีผู้รู้วิชาบรรดาชาย |
มาถวายตัวกับพระมังคลา |
ให้ทดลองต้องตามมีความรู้ |
ให้ที่อยู่ยศศักดิ์รวยหนักหนา |
ฝ่ายองค์พระวลายุดานุชา |
คุมโยธาทำที่ด่านปราการใน |
ให้ก่อป้อมคร่อมทางปิดหว่างเขา |
จำเพาะเข้าออกเดินเนินไศล |
ปีกกานั้นชั้นบนล้วนกลไก |
ที่ล่อไล่ล้วนสังหาญผลาญไพรี |
ถึงโยธามาสักยี่สิบแสน |
จะตอบแทนทำศึกไม่นึกหนี |
ทั้งฝึกไพร่ให้ชำนาญการราวี |
รู้ไล่หนีตีประชุมตะลุมบอน ฯ |
๏ ฝ่ายวายุพัฒน์นัดดาปรีชาหาญ |
อยู่ดงตาลด่านกลางหว่างสิงขร |
ป้อมกำแพงแต่งการไว้ราญรอน |
เป็นมังกรกินปลาตำราเรียน |
แล้วฝึกไพร่ให้ชำนาญในการรบ |
รู้หลีกหลบเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน |
ล่อศึกให้ไล่หลงเลี้ยววงเวียน |
คอยผลัดเปลี่ยนแทรกแซงโถมแทงฟัน ฯ |
๏ เจ้าหัสกันนั้นตั้งอยู่เมืองใหม่ |
ก่อป้อมใหญ่แปดป้อมล้อมเขื่อนขัณฑ์ |
กำแพงหินศิลาปีกกากัน |
ชื่อกลจั่นจับพยัคฆ์ดักกุญชร |
ที่เนินทรายชายฝั่งให้ตั้งค่าย |
หอรบรายเรียงรับสลับสลอน |
กำปั่นรบครบพันกันนคร |
ตั้งฝึกสอนสงครามตามทำนอง |
กระบวนครุฑยุดนาคมีปากปีก |
ทั้งหางหลีกเลี้ยวหันผันผยอง |
แล้วย้ายตั้งดังพระยาเหราคะนอง |
ขึ้นลอยล่องลัดเลี้ยวแล่นเกี้ยวกัน |
แล้วยักอย่างหางปากเป็นนาคราช |
เลื้อยลีลาศเลี้ยวกระหวัดสะพัดผัน |
แล้วตั้งรายค่ายเพชรเป็นเจ็ดชั้น |
กองกำปั่นพันลำล้วนชำนาญ |
ได้ลัทธิบาลีปีโปฝึก |
รู้กลศึกสารพัดหัดทหาร |
แต่งเรือใช้ไปไม่ขาดสืบราชการ |
ตระเวนด่านฟังเหตุทุกเขตคัน ฯ |
๏ ฝ่ายข้าเฝ้าเจ้าลังกาปลอมพาณิช |
ไปทุกทิศจนถึงยักษ์มักกะสัน |
เที่ยวหาผู้รู้วิชาสารพัน |
เมืองสุตันเมืองชลามะดาวิล |
เมืองฉ่ามะหรุ่มอุ่มไบ่ไสมโข |
ไอคุปโตโกสัมพีระดีระดิ่น |
กะนาอันบันดระเมืองกะริน |
เมืองกบิลพัสดุ์เมืองมัดชนะ |
เมืองมะหุดกุสสราตวิลาศละหม่าน |
กริบสว่านเหมือนสังกัสหัสสละ |
เมืองโกบิลสินธุ์ทะเลเมืองเอละ |
เมืองกุเหร่ามะเกามะกะเมืองละวน |
ได้จีนจามพราหมณ์ฝรั่งแขกอังกฤษ |
ล้วนหาญจิตเจนศึกได้ฝึกฝน |
ทั้งผู้รู้ผู้วิเศษทรงเวทมนตร์ |
รู้ทำกลต่างต่างช่างชำนาญ |
พาไปเฝ้าเจ้าลังกาสาพิภักดิ์ |
ให้ยศศักดิ์พร้อมสิ้นทั้งถิ่นฐาน |
ตั้งฝึกฝนพลนิกรรู้รอนราญ |
ล้วนเชี่ยวชาญชั้นเชิงละเลิงใจ ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระหัสกันด่านชั้นสุด |
ตระเวนสมุทรกลับมาแจ้งแถลงไข |
ว่าธิดาการะเวกหนีเสกไป |
ทั้งโอรสยศไกรไปด้วยกัน |
ทั้งได้ข่าวเจ้าผลึกรมจักร |
สองทรงศักดิ์ยกพหลพลขันธ์ |
ไปจังหวัดรัตนาพารานั้น |
อยู่ดูแลแต่สุวรรณมาลี |
จึงบอกความสามเมืองตามเรื่องหลัง |
ขึ้นไปลังกาประณตบทศรี |
ฝ่ายองค์พระมังคลาเจ้าธานี |
เห็นได้ทีทำศึกที่ตรึกตรา |
ไปปราสาทมาตุรงค์ทรงพระยศ |
น้อมประณตบังคมก้มเกศา |
พรุ่งนี้เช้าเกล้ากระหม่อมจะทูลลา |
ไปตรวจตราแดนด่านชานนคร ฯ |
๏ ขณะนั้นวัณฬามารดานาถ |
อนุญาตหน่อกษัตริย์แล้วตรัสสอน |
พ่อเอาใจไพร่พหลพลนิกร |
ให้ถาวรพูนสวัสดิ์กำจัดภัย |
พระรับสั่งบังคมก้มศิโรตม์ |
สมประโยชน์ยินดีจะมีไหน |
ออกที่นั่งสั่งมหาเสนาใน |
จงเตรียมพลสกลไกรจะไคลคลา |
ประเทียบเหล่าสาวสรรค์กำนัลนาฏ |
จะประพาสเข้าในไพรพฤกษา |
ครั้นสั่งเสร็จเสด็จไปห้องไสยา |
พวกเสนารีบรัดไปจัดแจง |
เกณฑ์กระบวนล้วนฝรั่งกำลังหนุ่ม |
ใส่เสื้อหุ้มเกราะกระสันล้วนขันแข็ง |
ทั้งหน้าหลังดั้งดาบกำซาบแซง |
ตามตำแหน่งแต่งถ้วนกระบวนทัพ |
รถที่นั่งหลังคาฝากระจก |
เกริ่นกระหนกกระหนาบเตร็จเพชรประดับ |
ใส่สามงอนอ่อนแอกแปรกรับ |
เทียบอาชามาประทับกับเกยลา |
รถสุรางค์ข้างใสล้วนใส่ม่าน |
กระจกบานพับประกอบตรึงกรอบฝา |
ทุกหมู่หมายนายหมวดวิ่งตรวจตรา |
พอแสงทองส่องฟ้าพร้อมหน้ากัน ฯ |
๏ ฝ่ายห้ามแหนแสนสุรางค์นางฝรั่ง |
ที่ในวังวิ่งไขว่แต่ไก่ขัน |
รีบแต่งตัวกลัวว่าไปจะไม่ทัน |
อาบน้ำกลั่นกลิ่นฟุ้งจรุงรวย |
กระจกใหญ่ไฟส่องมองเขม้น |
กระจายเส้นผมนางหวีสางสวย |
แล้วกวดเกล้ายาวเฟื้อยเลื้อยละลวย |
กระหมวดมวยแซมดอกไม้ไหวระยับ |
แป้งปรัดผัดนวลล้วนแฉล้ม |
ยาฟันแต้มติดฟันเป็นมันขลับ |
นุ่งล้วนแต่แพรจีบจัดกลีบพับ |
เสื้อสลับสีกระจ่างสำอางตา |
ใส่สร้อยนวมสวมสะอิ้งดังหิ่งห้อย |
ตุ้มหูพลอยเพชรพรายทั้งซ้ายขวา |
ทองปลายแขนแหวนสำหรับประดับประดา |
ล้วนอย่างดีมีราคาทุกนารี |
ครั้นรุ่งรางนางห้ามตามทำเนียบ |
ขึ้นประเทียบรถาหลังคาสี |
บรรดาเหล่าสาวสรรค์พวกขันที |
มาพร้อมที่คอยเสด็จสำเร็จการ ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระมังคลาอยู่ปราสาท |
ตื่นไสยาสน์อ่าองค์สรงสนาน |
น้ำกุหลาบซาบสกนธ์สุคนธาร |
พนักงานงามงอนกรายกรพัด |
พระแต่งองค์ทรงสำอางอย่างฝรั่ง |
สอดสวมกังเกงประพาสคาดเข็มขัด |
แล้วใส่เสื้อเครือสุวรรณกระสันรัด |
ขัดดุมเพชรเตร็จตรัจจำรัสเรือง |
คาดผ้าทิพย์ขลิบทองกรองศอทับ |
เพชรประดับดังดาวเขียวขาวเหลือง |
ทรงมหามาลาค่าควรเมือง |
มณีเนื่องเนาวรัตน์ชัชวาล |
เหน็บพระแสงแฝงองค์ประจงจัด |
กระทัดรัดพรรณรายสายประสาน |
หุ้มพระชงฆ์ทรงเกือกแก้วประพาฬ |
แล้วห่มส่านสีทับทิมดูพริ้มพราย ฯ |
๏ ครั้นสรรพเสร็จจึงเสด็จยุรยาตร |
ออกทรงราชรถาฝาพระฉาย |
โห่สนั่นลั่นเลื่อนให้เคลื่อนคลาย |
พลนิกายเกณฑ์แห่เสียงแซ่ซ้อง |
ทหารม้าพาชีขับขี่แข่ง |
เป็นคู่แซงซอยเต้นเผ่นผยอง |
เป่าสังข์แตรแห่โหมประโคมกลอง |
เสียงกึกก้องโกลาจากธานี |
เข้าป่าสูงฝูงมฤคถึกเถลิง |
ตื่นกระเจิงกระจัดกระจายพลัดพรายหนี |
สะเทื้อนสะท้านดานดงเป็นผงคลี |
เดินโยธีตามทางหว่างบรรพต |
เป็นเดือนสามยามหนาวคราวน้ำค้าง |
พฤกษาสล้างแลชอุ่มชื้นชุ่มสด |
ทรงดอกดวงพวงห้อยดูช้อยชด |
เสาวรสรวยรื่นชื่นอารมณ์ |
นางสาวสาวน้าวกิ่งชิงดอกไม้ |
ต่างเด็ดได้ยิ้มแย้มสอดแซมผม |
พระมังคลาเยี่ยมหน้าบัญชรชม |
เพิงพนมเนินผาโอฬารึก |
แลสลับซับซ้อนชะง่อนเงื้อม |
บ้างลายเลื่อมตละแววแก้วผลึก |
บ้างเหมือนก่อต่อติดพินิจนึก |
เหมือนเตียงตึกแต่งตั้งน่านั่งนอน |
ที่เนินสูงวุ้งเวิ้งเป็นเพิงชะโงก |
ชะงุ้มโกรกกรวยกรอกซอกสิงขร |
พฤกษาออกดอกช่ออรชร |
ภู่ผึ้งร่อนคลึงเคล้าเสาวคนธ์ |
ดูน่ารักปักษาคณานก |
บ้างเกาะกกกิ่งไม้บ้างไซ้ขน |
บ้างเคล้าคู่ชูชื่นบ้างตื่นคน |
เห็นพวกพลโผผินขึ้นบินโบย |
ตะวันบ่ายฝ่ายชะนีผีโขมด |
เสียงอุโฆษร่ายไม้ร้องไห้โหย |
เรียกคู่ครองของตัวผัวผัวโวย |
วิเวกโหวยโหยเสียงแอบเมียงมอง |
ฝูงมฤคถึกกระทิงสิงหนัท |
ต่างตื่นตัดหน้าฉานผ่านผยอง |
กิเลนโลโตเต้นเผ่นลำพอง |
ทหารจ้องปืนยิงเสือสิงห์ตาย |
พลธนูคู่แห่แลเห็นนก |
ต่างยิงตกลงทั้งฝูงเหมือนมุ่งหมาย |
ล้วนแคล่วคล่องว่องไวทั้งไพร่นาย |
ลองถวายมือพลางตามทางจร ฯ |
๏ จนเวลาสายัณห์หยุดประทับ |
พระขึ้นพลับพลาสำราญชานสิงขร |
ฝ่ายฝรั่งลังกาพลากร |
ต่างหลับนอนนั่งยามตามตะเกียง |
บ้างไขกลดนตรีทำปี่พาทย์ |
ประโคมฆาตฆ้องระฆังประดังเสียง |
พวกห้ามแหนแสนสุรางค์นางจำเรียง |
ประคองเคียงข้างที่พัดวีลม |
นางอยู่งานคลานเข้าเฝ้านวดฟั้น |
รู้เชิงชั้นใช้ชิดสนิทสนม |
พอดาวเดือนเลื่อนสว่างน้ำค้างพรม |
เคลิ้มบรรทมหลับไปในไสยา ฯ |
๏ ครั้นล่วงสามยามสงัดกำดัดดึก |
เสียงคึกคึกกึกก้องท้องเวหา |
นภางค์พื้นครื้นครั่นลั่นโลกา |
เป็นสายฟ้าฝ่าเสียงเปรี้ยงเปรี้ยงดัง |
บรรดาคนพลนิกายทั้งนายไพร่ |
ตื่นตกใจจับศัสตราเหลียวหน้าหลัง |
ทุกหมู่หมวดตรวจไตรระไวระวัง |
พอเสียงดังผลุงลงตรงพลับพลา |
เหมือนสีรุ้งพลุ่งพรายเป็นสายแสง |
เขียวเหลืองแดงดูสว่างพร่างพฤกษา |
พวกไพร่พร้อมล้อมวงต่างสงกา |
พระมังคลาตื่นสะดุ้งพอรุ่งราง |
เสียงแซ่ซ้องก้องกึกให้นึกแหนง |
จับพระแสงเสด็จมาชาลาขวาง |
ที่รุ้งพรายหายหลบขึ้นนภางค์ |
เห็นแต่นางเนื้อเหลืองย่างเยื้องกราย |
เส้นเกศานารีเหมือนสีชาด |
แลประหลาดหลากยิ่งหญิงทั้งหลาย |
ใส่คราบงูดูดังเสื้อเรืองเรื่อลาย |
จักษุซ้ายขวาดำดังน้ำนิล |
ยังเยาว์อยู่ดูสักสิบขวบเศษ |
พอสบเนตรนางนั้นเดินผันผิน |
พระเดินตามถามว่ายุพาพิน |
อยู่ที่ถิ่นตำบลแห่งหนใด |
จงพรายแพร่งแจ้งความอย่าขามเขิน |
นางเมียงเมินมิได้แจ้งแถลงไข |
ฝ่ายฝรั่งพรั่งพร้อมช่วยล้อมไว้ |
ทั้งนายไพร่คั่งคับจะจับตัว |
เข้าใกล้นางกางนิ้วกลายเป็นนาค |
หลุดออกจากหัตถาทั้งห้าหัว |
ล้วนยาวเฟื้อยเลื้อยไล่นายไพร่กลัว |
ต่างหลบตัวล้มลุกลงคลุกคลาน |
แล้วนางนั่งหลังศิลาตรงหน้าถ้ำ |
ร้องลำนำฉ่ำเสียงสำเนียงหวาน |
แลละห้อยคอยหาอยู่ช้านาน |
เมื่อไรจะพานพบพระมังคลา |
จะได้อยู่ชูช่วงดวงประทีป |
ให้รอดชีพชีวันชันษา |
โอ้เจ้าดาวจระเข้เทวดา |
อยู่ที่ไหนไม่มาหาน้องเอย ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระมังคลาโยธาทัพ |
ได้ฟังขับคำเสนาะฉอเลาะเฉลย |
พิศวงสงสัยกระไรเลย |
ยังไม่เคยพบเห็นเหมือนเช่นนี้ |
พระนิ่งนึกปรึกษาพวกข้าเฝ้า |
จะเป็นชาวชั้นฟ้าในราศี |
หรือผีสางกลางป่าพนาลี |
ใครเห็นดีร้ายบ้างเป็นอย่างไร ฯ |
๏ ฝ่ายอำมาตย์ราชครูผู้ดำริ |
รู้ลัทธิทูลแจ้งแถลงไข |
อันสตรีนี้ประเสริฐเลิศไกร |
เห็นมิใช่ผีสางพวกรางควาน |
เมื่อตะกี้ชี้นิ้วเป็นนาคราช |
ชะรอยชาตินาคาปรีชาหาญ |
พระฝึกฝนพลนิกรจะรอนราญ |
บุญบันดาลให้คนดีสตรีมา |
จะได้อยู่ชูเฉลิมเพิ่มพระยศ |
ให้ปรากฏบุญฤทธิ์ทั่วทิศา |
เหมือนย่องตอดยอดทหารพระมารดา |
เสด็จไปได้ที่ป่ากาลวัน |
แล้วเล่าความสามเมืองตามเรื่องรบ |
ให้ฟังจบแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
อันนางนี้มีศักดาดีกว่านั้น |
คนสำคัญควรเลี้ยงไว้เวียงชัย |
ข้าฟังคำร่ำร้องต้องประสงค์ |
ใคร่พบองค์ออกพระนามตามสงสัย |
อย่าละเสียเกลี้ยกล่อมถนอมไว้ |
จะได้ใช้ชิดพระองค์ทำสงคราม ฯ |
๏ พระฟังคำอำมาตย์ฉลาดฉลอง |
นิ่งตรึกตรองกริ่งใจจึงไต่ถาม |
เราฟังคำร่ำร้องทำนองความ |
ซึ่งออกนามเราว่าพระมังคลา |
แล้วเจ้าดาวจระเข้นั้นใครเล่า |
อารมณ์เราคิดยังให้กังขา |
ฝ่ายผู้เฒ่าเล่าแถลงแจ้งกิจจา |
ได้แก่ฝ่าบาทบงสุ์พระทรงยศ |
เมื่อตั้งครรภ์ฝันว่ากลืนดาวจระเข้ |
พระเป็นเทวดามาให้ปรากฏ |
พระมาตุรงค์ทรงสวัสดิ์มธุรส |
ให้โหรจดหมายไว้ข้าได้ดู |
ประการหนึ่งถึงสตรีเป็นปีศาจ |
ก็ไม่อาจสู้ตราพระราหู |
จงตรัสความตามจริงให้หญิงรู้ |
เห็นจะอยู่เป็นข้าด้วยบารมี ฯ |
๏ พระทราบสิ้นยินดีเป็นที่ยิ่ง |
เข้าใกล้หญิงยืนตรงหน้ามารศรี |
แล้วว่าเราเจ้าจังหวัดปถพี |
พระชนนีให้ชื่อพระมังคลา |
เจ้าออกนามความประสงค์จำนงไฉน |
เราชอบใจให้คิดรักเจ้าหนักหนา |
เชิญไปนั่งยั้งประทับที่พลับพลา |
ได้พูดเล่นเจรจาประสาสบาย ฯ |
๏ นางฟังรสพจนารทประภาษตรัส |
หวาดประวัติหวานหูไม่รู้หาย |
พิศพระพักตร์ลักษณาดาราราย |
ทั้งกรกายพรายศรีฉวีวรรณ |
รู้ว่าเจ้าดาวศีรษะจระเข้ |
แต่แสร้งแสใส่จริตเบือนบิดผัน |
แล้วว่าพระมังคลาเจ้าสามัญ |
มีสำคัญฉันใดจะใคร่รู้ ฯ |
๏ พระว่าเราเจ้าประเทศเขตจังหวัด |
ถือศีลสัตย์ทรงตราพระราหู |
แล้วหยิบตราอานุภาพปราบศัตรู |
ให้นางดูดวงแก้วพรอยแพรวพราย ฯ |
๏ นางเห็นตราราหูคู่ทวีป |
ดังประทีปเทียนสว่างกระจ่างฉาย |
คุกเคารพนบนอบนั่งยอบกาย |
ยอมถวายกายาเป็นข้าไท |
พระตรัสถามนามวงศ์นางหลงเคลิ้ม |
ลืมความเดิมมิได้แจ้งแถลงไข |
พระปรานีมิให้นางระคางใจ |
ชวนคลาไคลไปประทับที่พลับพลา |
เลี้ยงเป็นนางข้างที่ด้วยมีฤทธิ์ |
อยู่ใช้ชิดเชิญพระแสงตำแหน่งขวา |
เครื่องนากทองของสำหรับประดับประดา |
ทั้งเสื้อผ้าสารพัดจัดประทาน |
แล้วตั้งนามตามมาเมื่อฟ้าฟาด |
ให้ชื่อนางสุนีบาตด้วยอาจหาญ |
แล้วยกทัพนับหมื่นดื่นดงตาล |
มาถึงด่านแดนเขาเจ้าประจัญ ฯ |
๏ พระอนุชามารับคำนับน้อม |
เที่ยวตรวจป้อมปืนประตูคูเขื่อนขันธ์ |
หยุดพักพลมนตรีอยู่สี่วัน |
สมทบกันยกมาเมืองป่าตาล ฯ |
๏ เจ้าวายุพัฒน์นัดดาออกมารับ |
หยุดประทับตรวจตราโยธาหาญ |
ดูกำแพงแลงล้อมป้อมปราการ |
ที่ต่อต้านตีตลบมีครบครัน |
ชอบอารมณ์ชมหลานชำนาญศึก |
รู้ตรองตรึกฝึกพหลพลขันธ์ |
แล้วเกณฑ์คนพลรบสมทบกัน |
ล้วนรู้ชั้นเชิงชำนาญการศัสตรา |
แล้วยกทัพนับแสนจากแดนด่าน |
เดินทหารแห่แหนดูแน่นหนา |
ครั้นเย็นร้อนผ่อนประทับที่พลับพลา |
ตลอดมาเมืองใหม่พร้อมไพร่นาย ฯ |
๏ พระหัสกันนั้นมารับเข้ายับยั้ง |
อยู่ในวังทั้งสุรางค์นางทั้งหลาย |
พระอนุชาพาทหารกับหลานชาย |
อยู่ค่ายรายซ้ายขวาริมสาชล ฯ |