๏ พระอภัยมณีศรีสุวรรณ |
เห็นกำปั่นโอบอ้อมเข้าล้อมหลัง |
ดูมากมายซ้ายขวาดาประดัง |
จึงตรัสสั่งสินสมุทรสุดศักดา |
จงคิดอ่านการสงครามตามแต่เจ้า |
ผู้ใดเขาเคยศึกจงปรึกษา |
เอ็นดูพ่อขอแต่ลูกเจ้าลังกา |
อย่าเข่นฆ่าชีวันให้บรรลัย ฯ |
๏ ฝ่ายพระหน่อบพิตรอดิศร |
ฟังบิดรยินดีจะมีไหน |
จึงทูลว่าอย่าประหวั่นพรั่นพระทัย |
ลูกมิให้พระบิดรร้อนรำคาญ |
แล้วทูลลามาสั่งอังกุหร่า |
จงตรวจตราเตรียมพหลพลทหาร |
เรือลังกามาหมายจะรอนราญ |
จะคิดอ่านรับรองทำนองไร ฯ |
๏ อังกุหร่าว่าเรือเรากว้างขวาง |
รบให้ห่างอย่าให้ถึงจึงจะได้ |
ฉวยรบรับสัประยุทธ์มันจุดไฟ |
จะแก้ไขขัดสนจนปัญญา |
ขอพระองค์จงออกรับกองทัพหลวง |
ข้าทั้งปวงจะได้รับทัพซ้ายขวา |
ข้างหลังไว้ให้ทหารพระเจ้าอา |
รายรักษาแซงกันให้ทันการ |
แล้วเร่งรัดหัศเกนลงเรือรบ |
บรรจุครบเครื่องศัสตราล้วนกล้าหาญ |
ใส่เสื้อหมวกพวกละพันประจัญบาน |
เคียงขนานหนุนรับทัพลังกา |
แต่คนน้อยคอยรบประจบรับ |
แทรกสลับเปลี่ยนซ้ายย้ายไปขวา |
ใส่ธงเทียวเขียวแดงดาษดา |
เป็นเรือห้าร้อยถ้วนกระบวนรบ |
พลประจำลำทรงสินสมุทร |
ถืออาวุธโล่เขนล้วนเจนจบ |
ทั้งหน้าหลังดั้งกันก็ครันครบ |
ทหารรบเรือใหญ่ให้ประจำ |
ปืนจังกาหน้าท้ายทั้งรายข้าง |
เกณฑ์ลูกจ้างจีนไทยพวกไหหลำ |
ให้ทำค่ายรายตั้งล้วนถังน้ำ |
ตลอดลำสำหรับไว้ดับเพลิง |
แล้วรีบร้อนถอนสมอกำปั่นใหญ่ |
แต่พอให้เคลื่อนคล้อยออกลอยเหลิง |
ทหารโห่โกลาดูร่าเริง |
ล้วนรู้เชิงชิงชัยทั้งไพร่นาย ฯ |
๏ ครั้นพร้อมสิ้นสินสมุทรให้หยุดยั้ง |
ฟังกำลังข้าศึกเหมือนนึกหมาย |
แล้วมาหาแม่เลี้ยงเข้าเคียงกาย |
น้อมถวายอภิวันท์จำนรรจา |
ฉันไปบอกออกว่าองค์พระแม่เจ้า |
ไม่รักเข้ารีตฝรั่งชังน้ำหน้า |
พระบิตุราชคาดโทษโกรธลูกยา |
แต่พระอาท่านช่วยเถียงไม่เพลี่ยงพลั้ง |
ประเดี๋ยวนี้อุศเรนมันเกณฑ์ทัพ |
มาคั่งคับลอยล้อมอยู่พร้อมพรั่ง |
อากับพ่อก็ไม่ช่วยเป็นกำลัง |
จะคอยนั่งดูเล่นเป็นพยาน |
ลูกจัดทัพกับฝรั่งอังกุหร่า |
จะทูลลายกไปไล่สังหาร |
นางตกใจให้เอ็นดูพระกุมาร |
แสนสงสารโศกาแล้วว่าพลาง |
น้อยหรือพระอภัยช่างใจชั่ว |
ลูกของตัวเจียวยังตัดว่าขัดขวาง |
ให้แสนแค้นแน่นในฤทัยนาง |
กันแสงพลางอุตส่าห์ฝืนกลืนน้ำตา |
แล้วว่าแม่นี้เป็นหญิงก็จริงอยู่ |
แต่ได้รู้กลศึกลึกนักหนา |
จะไปด้วยช่วยกันรบกับลูกยา |
จะน้อยหน้าพระอภัยทำไมมี |
กุมาราว่าจริงหรือพระแม่ |
เช่นนั้นแน่แล้วก็ลูกไม่หลีกหนี |
ถ้าได้เหมือนแม่ผีเสื้อแล้วเหลือดี |
ถึงไพรีสักเท่าไรก็ไม่กลัว |
นางดีใจไปจริงนะลูกแก้ว |
แม่อายแล้วชาตินี้ไม่มีผัว |
ไม่แต่งองค์สรงน้ำให้คล้ำมัว |
นางแต่งตัวให้โอรสยศยง |
สอดสนับเพลากระหนกนุ่งยกแย่ง |
ช่วยจัดแจงจีบวางไว้หางหงส์ |
ทั้งผ้าทิพย์ขลิบทองฉลององค์ |
กระสันทรงสายสอดพิรอดรัด |
ใส่ห้อยหน้าตาชุนชายกระหนก |
ชายแครงปกเพลาพรายปลายสะบัด |
คาดปั้นเหน่งเปล่งเม็ดเพชรรัตน์ |
ประจงจัดเจียระบาดตาดเงินงาม |
ใส่กรอบนวมสวมประดับสำหรับยุทธ์ |
สังวาลบุษราเรืองเหลืองอร่าม |
ทองกรเพชรเจ็ดคู่ล้วนดูงาม |
เครื่องสงครามครบอย่างสำอางตา |
แล้วกวดเกล้าเมาลีให้ลูกรัก |
เสียบปิ่นปักเกี้ยวกุดั่นกันเกศา |
ธำมรงค์คงกระพันกันศัสตรา |
ใส่กรอบหน้าเหน็บตรีกระบี่กราย |
แล้วโฉมยงทรงเครื่องพิชัยยุทธ์ |
อย่างบุรุษรัดกระสันให้ถันหาย |
ใส่เสื้อกลีบจีบเอวสำอางกาย |
สังวาลสายสร้อยสลับประดับเพชร |
คาดเข็มขัดรัดแน่นเหน็บกระบี่ |
โกร่งมณีเนาวรัตน์ดูตรัจเตร็จ |
เสียบพระแสงกริชสั้นกัลเม็ด |
ใส่เกราะเพชรโพกผ้าเหมือนมลายู |
พระลูกน้อยพลอยชมสมทหาร |
แล้วว่านานไปพระแม่จะเกลียดหมู |
นางสั่งลูกว่าอย่าให้ผู้ใดรู้ |
ถึงแลดูก็จะแปลกว่าแขกจริง |
กุมาราว่าพระกายเหมือนชายแท้ |
เว้นเสียแต่แก้มคางเหมือนอย่างหญิง |
ถ้าติดหนวดใส่เคราเห็นเพราพริ้ง |
เป็นชายจริงเจียวนะพระมารดา |
นางยิ้มพลางทางชวนโอรสราช |
พ่อเชื้อชาติชายเชิญออกเดินหน้า |
แล้วโฉมยงทรงกั้นหยั่นกันกายา |
ตามกันมาใครไม่ทันสำคัญแคลง |
เที่ยวเดินดูหมู่พหลพลรบ |
แซงสมทบหมู่ทหารชาญกำแหง |
กระบวนตั้งดังพระยาเหราแรง |
จะวัดแว้งไพรีไม่หนีทัน |
แล้วแลดูโยธาลังกาตั้ง |
เป็นกำลังนาคราชจะผาดผัน |
มีหัวหางวางเขี้ยวดูเกี่ยวกัน |
คอยรัดพันไพรินดังจินดา |
ด้วยโฉมตรูรู้พิชัยสงครามครบ |
กระบวนรบเห็นจะแพ้โอรสา |
ด้วยนาคีมีแต่กายฝ่ายเหรา |
มีบาทาราวีคงมีชัย |
พินิจพลางทางเดินตามโอรส |
เที่ยวเลี้ยวลดรอบลำกำปั่นใหญ่ |
พวกโยธีรี้พลสกลไกร |
ไม่มีใครสงกาว่านารี |
ด้วยผู้คนมากมายหลายภาษา |
สำคัญว่านายหมวดตรวจหน้าที่ |
ถึงเก๋งก่อต่อท้ายสบายดี |
นางเทวีหยุดนั่งทั้งโอรส |
แขกฝรั่งอังกฤษนายทหาร |
มากราบกรานนอบน้อมอยู่พร้อมหมด |
นางเมินเมียงเคียงกระซิบสอนโอรส |
เห็นเมฆหมดลมตั้งกำบังบน |
ยกออกรับทัพลังกาอย่าให้ชิด |
ฉวยเพลิงติดลมพัดจะขัดสน |
ให้รบสู้ดูกำลังลำพังตน |
ต่ออับจนเจ้าจึงโจมออกโรมรัน |
โอรสรับจับชุดจุดปืนไฟ |
เสียงฟับไฟฟูฟูมตูมสนั่น |
โยธาทัพรับโห่ขึ้นพร้อมกัน |
ออกกำปั่นเป็นกระบวนชวนชิงชัย ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งลังกาล้วนกล้าหาญ |
เห็นได้การเกิดลมพายุใหญ่ |
โห่สนั่นสัญญายิงปืนใหญ่ |
ต่างลดใบโบกธงเข้ายงยุทธ์ |
ยิงประดังตังตึงเสียงผึงผาง |
ทั้งสองข้างคั่งคับสัประยุทธ์ |
ปล่อยมณฑกนกสับปืนคาบชุด |
ชนวนฟุดไฟวุบเสียงฟุบตึง ฯ |
๏ พลทมิฬสินสมุทรจุดปืนหลัก |
บ้างเยื้องยักยิงบ้างเสียงผางผึง |
แต่คลื่นโยนโดนดังเสียงปังปึง |
โลดทะลึ่งล่มทลายลงหลายลำ |
บ้างแยะแยกแตกปรุทะลุโล่ง |
กระดานกระโดงหักผ่าเภตราคว่ำ |
ทั้งสองข้างต่างตายบ้างว่ายน้ำ |
บ้างกอดปล้ำกันจนปลาคร่าเอาไป |
พลลังกาหนาแน่นแล่นตลบ |
เข้ารุกรบรับกันเสียงหวั่นไหว |
พวกโจรน้อยถอยรบไม่หลบไกล |
ยิงปืนใหญ่แย้งกันสนั่นดัง ฯ |
๏ อุศเรนเห็นทหารข้างด้านเหนือ |
ไม่เผาเรือใหญ่ได้เหมือนใจหวัง |
ให้เกียกกายซ้ายขวาดาประดัง |
ลำที่นั่งหนุนรุกเข้าคลุกคลี ฯ |
๏ สินสมุทรนุชนางอยู่ข้างท้าย |
เห็นแพ้พ่ายพลน้อยจะถอยหนี |
ข้างเรืออุศเรนรุกมาทุกที |
พระบุตรีตรัสสั่งกุมารา |
พระลูกรีบไปด้วยได้ช่วยรบ |
ให้สมทบหน้าท้ายทั้งซ้ายขวา |
ในเรือใหญ่ไว้ธุระของมารดา |
จะรักษาไว้ให้มั่นไม่อันตราย ฯ |
๏ สินสมุทรสุดสนุกลุกขึ้นโลด |
แกว่งดาบโดดลงกำปั่นแล้วผันผาย |
ให้โบกธงลงข้างขวามาข้างซ้าย |
สัญญานายเรือรบสมทบทัพ |
พอลมกล้าฝรั่งข้างอุศเรน |
ล้วนจัดเจนจ้องชุดจุดปืนตับ |
สินสมุทรสุดคะนองร้องว่ารับ |
ปะทะทัพอุศเรนเจนประจญ ฯ |
๏ ฝ่ายพระนุชบุตรีเห็นทีรบ |
กลับตลบเข้ามาใกล้ไล่พหล |
ให้รักษาหน้าที่ต้อนรี้พล |
คอยประจญจ้องอาวุธยุทธนา |
แล้วให้ยิงปืนใหญ่ออกไปช่วย |
ทหารฉวยชุดจ้องมองซ้ายขวา |
เห็นมั่นคงตรงเรือชาวลังกา |
ยิงประดาโด่งดังเสียงตังตึง |
แต่ละลูกถูกเรือลังกาแตก |
บ้างแยะแยกคลื่นโยนโจนทะลึ่ง |
พระหน่อไทได้ทีตีตะบึง |
จนเรือถึงกันหมดไม่ลดละ |
ทหารโจรโยนโซ่เอาขอสับ |
ขึ้นไล่จับฟันฝรั่งดังฉัวะฉะ |
บ้างรับรบล้มกลิ้งวิ่งปะทะ |
ข้างเรือพระหน่อไทไล่เลี้ยวลด |
ฝรั่งรับจับแหลนหลาวทวนพุ่ง |
ถูกข้างพุงสินสมุทรหลุดไปหมด |
ไม่เจ็บช้ำรำเย้ยเหวยอ้ายมด |
พอเรือจดลำทรงองค์อุศเรน |
โจนขึ้นได้ไล่ฟาดเสียงฉาดฉับ |
ฝรั่งรับรอบข้างทั้งดั้งเขน |
พระฟันตายก่ายกองนองระเนน |
อุศเรนรำทวนเข้าสวนแทง |
สินสมุทรชำนาญการกระบี่ |
ปะทะทีโถมฟันด้วยขันแข็ง |
อุศเรนเผ่นฟาดก็พลาดแพลง |
แล้วพลิ้วแทงถูกกุมารจนซานองค์ ฯ |
๏ สินสมุทรผุดลุกขึ้นไล่จับ |
ทหารรับป้องกันฟันผุยผง |
แผลงศักดากล้าหาญชาญณรงค์ |
รวบได้องค์ลูกท้าวเจ้าลังกา |
เอาเชือกมัดรัดมือแล้วถือไว้ |
พลไพร่พรั่นตัวกลัวหนักหนา |
ทิ้งอาวุธหยุดกราบทั้งเภตรา |
กุมาราเรียกไพร่ให้เข้ารับ |
เอาตัวอุศเรนลงลำทรงได้ |
แล้วสั่งให้ขานโห่โยธากลับ |
พลทมิฬยินดีได้ทีทัพ |
สกัดจับเรือฝรั่งชาวลังกา ฯ |
๏ อุศเรนเผ่นโผนโจนจะม้วย |
ทหารฉวยฉุดกายทั้งซ้ายขวา |
ถึงเรือใหญ่ให้พยุงจูงขึ้นมา |
ตรงไปหาชนนีด้วยดีใจ |
ค่อยค่อยว่าฆ่าเสียเถิดหรือคะ |
นางว่าพระบิดาจะว่าได้ |
แล้วโฉมยงสงสารรำคาญใจ |
จะดูไม่เต็มเนตรเวทนา ฯ |
๏ ฝ่ายพระอภัยมณีกับศรีสุวรรณ |
วิ่งมาทันขอโทษโอรสา |
เข้าสวมสอดกอดลูกเจ้าลังกา |
ชลนาไหลหลั่งลงพรั่งพราย |
แล้วแก้มัดตรัสเรียกขึ้นร่วมอาสน์ |
พจนารถมิให้ช้ำระส่ำระสาย |
ไม่พอที่วิวาทกันวุ่นวาย |
ให้คนตายเสียเปล่าเปล่าไม่เข้าการ |
อันใจพี่นี้ไม่หวงไม่ลวงหลอก |
แต่พี่บอกน้องรักขืนหักหาญ |
จึงให้น้องลองสู้กับกุมาร |
เดี๋ยวนี้ท่านเล่าก็แพ้แก่โอรส |
เราขอไว้ไม่เอาทั้งข้าวของ |
คืนสนองคุณให้ท่านไปหมด |
แล้วเหลียวหลังมาอ้อนวอนโอรส |
ขอแทนทดคุณท่านโดยสารมา ฯ |
๏ สินสมุทรนบนอบตอบสนอง |
ลูกจำต้องตีทัพรับอาสา |
ซึ่งชิงชัยได้ชนะพระเจ้าอา |
พระมารดาดอกสันทัดท่านจัดการ |
แล้วให้ยิงปืนใหญ่ออกไปช่วย |
จึงได้ด้วยพระปัญญาปรีชาหาญ |
แล้วหันหน้ามาประณตบทมาลย์ |
ยกให้ท่านเสียเถิดนะพระมารดา ฯ |
๏ นางเมียงเมินเขินอายซังตายตอบ |
ตามระบอบเปรียบประชดโอรสา |
เราคิดอ่านการศึกช่วยตรึกตรา |
เพราะเห็นว่ายังเด็กเล็กเหลือใจ |
ไม่มีผู้ชูช่วยจะม้วยมอด |
เมื่อเจ้ารอดแล้วก็ตามอัชฌาสัย |
แล้วเมินเมียงเลี่ยงหลีกลีลาไป |
เข้าเสียในห้องหับให้ลับตา ฯ |
๏ พระอภัยไม่ทันพิศคิดว่าแขก |
ด้วยแปลงแปลกรูปจริตขนิษฐา |
ครั้นรู้แน่แลยิ้มพริ้มพักตรา |
พอสุดาเดินกลับไปลับองค์ ฯ |
๏ อุศเรนเห็นวับไปลับพักตร์ |
กำเริบรักร้อนจิตพิศวง |
ให้แสนแค้นแสนอายซังตายตรง |
เดินไปลงเรือกลับไปลับลำ |
ทอดสมอรอท่าโยธาหาญ |
จะคิดอ่านรุกรบต่อพลบค่ำ |
ครั้นโยธามาพร้อมเข้าล้อมลำ |
ให้นับกำปั่นใหญ่ดังใจปอง |
ได้หกร้อยย่อยยับเสียเกือบกึ่ง |
ยิ่งโกรธขึ้งหมกมุ่นให้ขุ่นหมอง |
เรียกสุรามาเสวยสามขันทอง |
แล้วตรึกตรองเตรียมการจะราญรอน ฯ |
๏ สงสารองค์พระอภัยวิไลลักษณ์ |
แต่ยลพักตร์พุ่มพวงดวงสมร |
ถวิลหวังนั่งรำพึงถึงบังอร |
จะพาจรไปจังหวัดรัตนา |
จะได้เสกเอกองค์นางนงลักษณ์ |
ให้เป็นอัคเรศร่วมเสน่หา |
พลางกอดจูบลูบหลังพระลูกยา |
พ่อแกล้วกล้าการณรงค์ทรงกำลัง |
บัดนี้เล่าเจ้าก็พาอามาพบ |
ทั้งรุกรบมีชัยดังใจหวัง |
ไปพาราย่าปู่ขึ้นสู่วัง |
ให้พร้อมพรั่งวงศาเสนาใน ฯ |
๏ พระหน่อน้อยถามองค์พระทรงเดช |
จะโปรดเกศลูกยาพาไปไหน |
ข้าสงสารมารดาได้ว่าไว้ |
ถ้าแม้นไม่พบปะพระบิดา |
ให้ลูกยาพาไปเมืองผลึก |
ด้วยรำลึกถึงพระแม่แลวงศา |
แล้วจะมอบขอบขัณฑเสมา |
ให้ลูกยาอยู่สำราญผ่านบุรี |
พระบิดาว่าจะไปกรุงไกรก่อน |
ลูกจงวอนพระมารดามารศรี |
ไปพาราย่าปู่แม้นอยู่ดี |
แล้วลูกนี้จึงจะลามากับนาง ฯ |
๏ ศรีสุวรรณกลั้นยิ้มพระหลานรัก |
ไม่รู้จักใจกษัตริย์ทูลขัดขวาง |
กุมาราลาสองกษัตริย์พลาง |
มาหานางนอบนบอภิวันท์ |
แล้วเชยชมชนนีว่าดีแท้ |
เสียดายแต่ขาวขำไม่ล่ำสัน |
แม่ผีเสื้อเนื้อตัวนั้นโตครัน |
ดูมั่นตั้นตึงตังกำลังแรง |
แม่เดี๋ยวนี้มีแต่งามกับความคิด |
หรือมีฤทธิ์อยู่กระมังยังไม่แผลง |
หรือพระแม่แก่หัดแต่จัดแจง |
แล้วเสแสร้งสรวลสันต์จำนรรจา ฯ |
๏ นางกอดจูบลูบหลังสินสมุทร |
ช่างแสนสุดซื่อถามตามภาษา |
จึงว่าแม่แต่อยู่กับอัยกา |
อ่านตำราข้างที่มิได้เว้น |
ด้วยไม่มีพี่น้องเป็นชายชาติ |
จะหมายมาดช่วยทุกข์เมื่อขุกเข็ญ |
จึงเรียนเผื่อเมื่อธุระจะจำเป็น |
พอพบเห็นเข้าก็ได้แก้ไขกัน |
เออเมื่อแม่เดินมาอากับพ่อ |
พูดหัวร่อว่ากระไรที่ไหนนั่น |
จงแจ้งความตามจริงทุกสิ่งอัน |
เธอกล่าวขวัญว่ากระไรจะใคร่ฟัง ฯ |
๏ กุมาราว่าสมเด็จพระบิตุราช |
คิดถึงญาติย่าปู่ซึ่งอยู่หลัง |
จะพาอาพาลูกไปเวียงวัง |
ต้องไปทั้งชนนีฉันดีใจ |
ส่งท่านถึงจึงจะลามากับแม่ |
ว่ากันแน่แล้วพระองค์อย่าสงสัย |
นางฟังคำร่ำเล่าก็เข้าใจ |
ว่าชิชะพระอภัยกระไรเลย |
หมายจะชุบมือเปิบกำเริบจิต |
ช่างไม่คิดขายหน้านิจจาเอ๋ย |
ในชาตินี้ที่จะอยู่เป็นคู่เชย |
หาไม่เลยแล้วพ่อคุณพ่อบุญลือ |
แล้วตรัสกับสินสมุทรสุดสวาท |
เจ้าจะขาดรักแม่แน่แล้วหรือ |
แม้นบิดาพาไปอยู่ในมือ |
ก็จะรื้อเกี้ยวพานรำคาญใจ |
รักมิรักหักทำให้หนำจิต |
เป็นสุดคิดแล้วที่แม่จะแก้ไข |
อนึ่งเล่าชาวลังกาที่ล่าไป |
จะรบพุ่งกรุงไกรด้วยโกรธา |
แสนสงสารมารดรจะร้อนเร่า |
กำสรดเศร้าสิ้นญาติวาสนา |
แม้นรักแม่แน่นอนเหมือนก่อนมา |
เชิญลูกยายกทัพไปดับร้อน |
แม่จะมอบขอบเขตประเทศสถาน |
ให้พ่อผ่านภิญโญสโมสร |
สำเร็จแล้วแก้วตาพาบิดร |
ไปนครลูกน้อยจึงค่อยมา |
ซึ่งเดี๋ยวนี้ที่จะให้แม่ไปด้วย |
คงมอดม้วยแม่นแท้แน่นักหนา |
เสียแรงลูกสงสารเลี้ยงมารดา |
จะแกล้งฆ่าแม่แล้วก็ตามที ฯ |
๏ พระหน่อน้อยพลอยว่าจริงหนาแม่ |
มันจะแก้รบพุ่งเอากรุงศรี |
จำจะไปรักษาอยู่ธานี |
ถ้าหาไม่ไพรีจะบีฑา |
แล้วลานางวางวิ่งมาหาพ่อ |
เล่าคำข้อเคืองจิตขนิษฐา |
พระอภัยไม่รู้ที่จะเจรจา |
จะขืนพาไปก็เห็นไม่เป็นการ |
จำจะหย่อนผ่อนตามทรามสวาท |
ให้สมมาดผันผ่อนด้วยอ่อนหวาน |
ทำเพลงยาวน้าวโน้มประโลมลาน |
คงเป็นการกูสักวันหนึ่งมั่นคง |
ดำริพลางทางตอบปลอบลูกน้อย |
พ่อก็พลอยเห็นควรกับนวลหง |
อุศเรนเห็นจะเคืองนางโฉมยง |
เขาก็คงคุมแค้นไปแทนทด |
เจ้าบอกนางอย่างคำบิดาว่า |
จะพาอาเจ้าไปด้วยช่วยให้หมด |
อย่าหักหาญดาลเดือดจงเงือดงด |
มิให้อดสูเขาชาวลังกา |
พระตรัสพลางทางถามล่ามต้นหน |
ตามตำบลแผนที่ชี้ทิศา |
อันขอบคุ้งกรุงผลึกพระพารา |
อยู่แควขวาแขวงประจิมริมวารี |
พระรู้ชัดตรัสสั่งให้ตั้งเข็ม |
จะแล่นเล็มแหลมคุ้งไปกรุงศรี |
ให้นายหมวดตรวจระวังสั่งโยธี |
เมื่อราตรีเกรงศัตรูจะจู่มา |
ให้พร้อมพรั่งตั้งถ้วนกระบวนทัพ |
คอยรบรับอันตรายทั้งซ้ายขวา |
ครั้นเสร็จสั่งตั้งโห่เป็นโกลา |
พระก็ใช้ใบมาในสาคร ฯ |