- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๔๔)
- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๒๙)
- คำนำเมื่อพิมพ์ครั้งแรก
- ประวัติสุนทรภู่
- บันทึกเรื่องผู้แต่งนิราศพระแท่นดงรัง
- อธิบาย ว่าด้วยเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่
- ปกิรณะกะประวัติของสุนทรภู่
- ตอนที่ ๑ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา
- ตอนที่ ๒ นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๓ ศรีสุวรรณเข้าเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๔ ศรีสุวรรณพบนางเกษรา
- ตอนที่ ๕ ศรีสุวรรณเกี้ยวนางเกษรา
- ตอนที่ ๖ ศรีสุวรรณรบท้าวอุเทน
- ตอนที่ ๗ ศรีสุวรรณพยาบาลนางเกษรา
- ตอนที่ ๘ อภิเษกศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๙ พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อ
- ตอนที่ ๑๐ พระอภัยได้นางเงือก
- ตอนที่ ๑๑ นางสุวรรณมาลีไปเที่ยวทะเล
- ตอนที่ ๑๒ พระอภัยมณีพบนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๓ พระอภัยมณีโดยสารเรือนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๔ พระอภัยมณีเรือแตก
- ตอนที่ ๑๕ สินสมุทรโดยสารเรือโจรสุหรั่ง
- ตอนที่ ๑๖ สินสมุทรพบศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๑๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๑๘ พระอภัยมณีโดยสารเรืออุศเรน
- ตอนที่ ๑๙ พระอภัยมณีพบศรีสุวรรณกับสินสมุทร
- ตอนที่ ๒๐ สินสมุทรรบกับอุศเรน
- ตอนที่ ๒๑ พระอภัยมณีเกี้ยวนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๒ พระอภัยมณีครองเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๓ พระอภัยมณีอภิเษกกับนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๔ กำเนิดสุดสาคร
- ตอนที่ ๒๕ สุดสาครเข้าเมืองการะเวก
- ตอนที่ ๒๖ อุศเรนตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๗ เจ้าละมานตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๘ สุดสาครตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๒๙ ศึกเก้าทัพตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๓๐ พระอภัยมณีตีเมืองใหม่
- ตอนที่ ๓๑ พระอภัยมณีพบนางละเวง
- ตอนที่ ๓๒ ศรีสุวรรณอาสาตีด่านดงตาล
- ตอนที่ ๓๓ ย่องตอดสะกดทัพ
- ตอนที่ ๓๔ นางละเวงคิดหย่าทัพ
- ตอนที่ ๓๕ พระอภัยติดท้ายรถ
- ตอนที่ ๓๖ พระอภัยมณีทำผูกคอตายได้นางละเวง
- ตอนที่ ๓๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๓๘ นางสุวรรณมาลีข้ามไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๓๙ นางสุวรรณมาลีมีสารตัดพ้อ
- ตอนที่ ๔๐ สุดสาครถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๔๑ นางสุวรรณมาลีหึงหน้าป้อม
- ตอนที่ ๔๒ หัสไชยแก้เสน่ห์
- ตอนที่ ๔๓ นางเสาวคนธ์ยิงแก้ม
- ตอนที่ ๔๔ กษัตริย์สามัคคี
- ตอนที่ ๔๕ นางเสาวคนธ์ขุดโคตรเพชร
- ตอนที่ ๔๖ พระอภัยมณีกลับเมือง
- ตอนที่ ๔๗ อภิเษกสินสมุทร
- ตอนที่ ๔๘ นางเสาวคนธ์หนี
- ตอนที่ ๔๙ นางเสาวคนธ์แปลงเป็นฤๅษี
- ตอนที่ ๕๐ นางเสาวคนธ์ได้เมืองวาหุโลม
- ตอนที่ ๕๑ สุดสาครตามนางเสาวคนธ์
- ตอนที่ ๕๒ พระอภัยมณีทำศพท้าวสุทัศน์
- ตอนที่ ๕๓ มังคลาครองเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๔ มังคลาชิงโคตรเพชร
- ตอนที่ ๕๕ มังคลาจับนางสุวรรณมาลีและท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๖ หัสไชยตีด่านเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๗ สุดสาครรบมังคลา
- ตอนที่ ๕๘ นางละเวงวัณฬาช่วยนางสุวรรณมาลีแลท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๙ พระอภัยมณีศรีสุวรรณไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๐ พระอภัยมณีรบกับมังคลา
- ตอนที่ ๖๑ สังฆราชบาทหลวงเผาเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๒ พระอภัยเข้าเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๓ อภิเษกหัสไชย
- ตอนที่ ๖๔ พระอภัยมณีออกบวช
- ตอนที่ ๖๕ พระบาทหลวงพาพระมังคลาหนีทัพไปเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๖๖ วลายุดาครองเมืองสินชัย
- ตอนที่ ๖๗ วายุพัฒน์เป็นอุปราชเมืองเซ็น
- ตอนที่ ๖๘ หัสกันครองเมืองสุลาลัย
- ตอนที่ ๖๙ พระอภัยมณีเยี่ยมศพนางมณฑา
- ตอนที่ ๗๐ พระมังคลายกทัพเรือมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๗๑ นางรำภา นางยุพาผกาและนางสุลาลีวันออกรบ
- ตอนที่ ๗๒ สุดสาคร สินสมุทรรบกับพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๓ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันเข้าเฝ้าศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๗๔ ทัพพันธมิตรเมืองกำพลเพชรยกมาช่วยพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๕ พระมังคลาล่าทัพไปถึงเกาะกาหวี
- ตอนที่ ๗๖ ทหารเมืองกำพลเพชรตามนางกฤษณาพบพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๗ พระมังคลาได้นางดวงแขลูกสาวเจ้าเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๗๘ อภิเษกพระกฤษณากับนางเทพินไปครองเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๗๙ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันลามารดากลับไปเมือง
- ตอนที่ ๘๐ พระมังคลายกทัพเมืองสำปันหนาไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๑ ศรีสุวรรณออกรับศึกพระมังคลา
- ตอนที่ ๘๒ โจรสลัดคุมกำปั่นปล้นเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๘๓ ศรีสุวรรณมาช่วยเมืองรมจักรรบโจรสลัด แล้วอภิเษกตรีพลำกับอัมพวันและเทวัญกับนิลกัณฐี
- ตอนที่ ๘๔ พระมังคลากับพระบาทหลวงแตกทัพไปเกลี้ยกล่อมเมืองต่าง ๆ
- ตอนที่ ๘๕ พระมังคลาไปถึงเมืองโรมพัฒน์ได้นางบุษบง
- ตอนที่ ๘๖ พระบาทหลวงกับพระมังคลายกทัพเรือเมืองโรมพัฒน์ไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๗ สุดสาครทราบข่าวศึก
- ตอนที่ ๘๘ พระมังคลากับพระบาทหลวงตีได้เมืองด่านลังกา
- ตอนที่ ๘๙ ทัพสุดสาครตีทัพพระมังคลาพ่าย จนเทวสินธุ์ตามไปถึงเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๙๐ ท้าวรายากับพระเทวสินธุ์ไปถึงเมืองกำพลเพชร แล้วยกทัพไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๙๑ หกกษัตริย์ยกทัพมาช่วยเมืองลังกาทำศึก
- ตอนที่ ๙๒ พระบาทหลวงรบศึกหกกษัตริย์จนลมแดงซัดเรือรบพลัดกัน
- ตอนที่ ๙๓ สุดสาครตีเมืองด่านแตก
- ตอนที่ ๙๔ พระเทวสินธุ์พบพระมังคลาจนเจ็ดกษัตริย์เตรียมรบ
- ตอนที่ ๙๕ พระมังคลากับพระบาทหลวงยกทัพเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๙๖ ทัพเจ็ดกษัตริย์ตีทัพพระบาทหลวงแตก
- ตอนที่ ๙๗ พระบาทหลวงเตรียมตีเมืองปากน้ำคืน
- ตอนที่ ๙๘ พระบาทหลวงขับท้าวรายากับนางบุษบงไปจากกองทัพ จนพระมังคลาหนี
- ตอนที่ ๙๙ พระบาทหลวงยกเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๑๐๐ สินสมุทรตีทัพพระบาทหลวงจนถูกยาเบื่อ
- ตอนที่ ๑๐๑ พระอภัยมณีเยือนลังกา
- ตอนที่ ๑๐๒ พระบาทหลวงปล่อยโคมไฟไปตกเมืองลังกา จนถึงพระอภัยมณีห้ามทัพ
- ตอนที่ ๑๐๓ หกกษัตริย์ตีโต้ทัพพระบาทหลวงล่าไปเมืองปตาหวี
- ตอนที่ ๑๐๔ พระอภัยมณีกลับไปเขาสิงคุตร
- ตอนที่ ๑๐๕ อภิเษกหัสกันกับนางวันชายา
- ตอนที่ ๑๐๖ พระอภัยมณีไปเยี่ยมนางเงือกที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๐๗ พระบาทหลวงเข้าเมืองปตาหวีแล้วตามไปพบพระมังคลาที่เมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๐๘ พระมังคลาและนางบุษบงออกมารับพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๐๙ ท้าวโกสัยบอกพระมังคลาให้รู้อุบายพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๐ พระบาทหลวงตีด่านเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๑๑ พระมังคลามีสารง้อศรีสุวรรณสุดสาครและสินสมุทร ให้มาช่วยรบพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๒ ทัพพระมังคลารบกับทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๓ ทัพศรีสุวรรณกับสี่กษัตริย์ตีกระหนาบทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๔ ทัพเรือพระบาทหลวงเข้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๕ ศรีสุวรรณกับพวกพาพระมังคลากลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๑๖ ท้าวกุลามาลีได้นางดวงประไพลูกสาวท้าวสินชัยเจ้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๗ พระมังคลาไปงานโสกันต์ระเด่นกินเรศ
- ตอนที่ ๑๑๘ เจ้าเมืองปตาหวีพานางดวงประไพกลับเมือง
- ตอนที่ ๑๑๙ สุดสาครไปเยี่ยมนางเงือกและพระฤๅษีที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๒๐ สุดสาครกลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๒๑ ศรีสุวรรณให้นรินทร์รัตน์ไปครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๒ อภิเษกนรินทร์รัตน์ครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๓ เจ็ดกษัตริย์ยกทัพมาตีเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๔ นรินทร์รัตน์ขอราเมศมาเป็นอุปราชกรุงรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๕ นรินทร์รัตน์กับราเมศมาช่วยเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๖ เจ็ดกษัตริย์ตายสี่หนีสาม
- ตอนที่ ๑๒๗ นรินทร์รัตน์หลงนางเกศพัฒน์เมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๘ อภิเษกพระราเมศกับนางดวงประภา
- ตอนที่ ๑๒๙ ภัทวงศ์ไปไหว้เทวรูปจนพบนางเกสรสุมาลัย
- ตอนที่ ๑๓๐ เจ้าเมืองวายุภักษ์ขอนางเกสรสุมาลัยให้ภัทวงศ์
- ตอนที่ ๑๓๑ พระสังฆราชบาทหลวงยกทัพมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๓๒ ตัดหางสุพรรณมัจฉาแล้วสถาปนาเป็นจันทวดีพันปีหลวง
ตอนที่ ๔๕ นางเสาวคนธ์ขุดโคตรเพชร
๏ ฝ่ายองค์พระอภัยวิไลลักษณ์ | ไม่สิ้นรักวัณฬามารศรี |
คิดจะพาไปอยู่ร่วมบูรี | เกรงสุวรรณมาลีจะมิยอม |
ดูผิวพรรณวัณฬาผิดกว่าเก่า | พระพักตร์เศร้าโศกรูปก็ซูบผอม |
ยิ่งทอดทิ้งยิ่งจะตรมอารมณ์ตรอม | จะหายหอมดินถนันเพราะรัญจวน |
จะปราศรัยไม่ถนัดให้ขัดข้อง | พระยิ้มย่องตอบความทรามสงวน |
เวลารุ่งพรุ่งนี้พี่จะชวน | ไปชมสวนเพชรนิลดังจินดา |
แล้วแลดูสุมาลีทำทีหึง | เกรงใจจึงตรองตรึกเป็นปรึกษา |
จะหยุดพักสักสองสามเวลา | ให้โยธาชื่นทั่วทุกตัวคน |
แล้วเลิกทัพกลับไปเมืองรมจักร | เสกหลานรักร่วมชีวาสถาผล |
เหมือนตัดห่วงบ่วงหลังสิ้นกังวล | จะได้พ้นทุกข์ร้อนนอนสำราญ |
แล้วจะได้ไปพาราการะเวก | คิดจะเสกฝังปลูกทั้งลูกหลาน |
คิดจะใคร่ให้วัณฬายุพาพาล | ไปช่วยงานอภิเษกเอกโอรส |
แต่คนอยู่บูรีหามีไม่ | หนทางไกลเกลือกว่าจะเกิดกบฏ |
จงครองวังลังการักษายศ | เลี้ยงโอรสที่ในครรภ์ของกัลยา |
พี่จากไปใจจริงไม่ทิ้งขว้าง | พอว่างว่างวายธุระจะมาหา |
ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงเกรงบัญชา | กลั้นน้ำตาตอบรสพจมาน |
ได้พึงบุญทูลกระหม่อมจอมกษัตริย์ | ดังชั้นฉัตรกั้นเกศประเทศสถาน |
ฤกษ์ใดดีวิวาห์ปรึกษาการ | โปรดให้ฉานทราบความจะตามไป |
เป็นสัจจังหวังจิตสนิทสนอง | ตามทำนองน้ำเนื้อในเชื้อไข |
แม้ลังกาธานีไม่มีภัย | จะตามไปธานีกับพี่นาง |
ขอเป็นน้องรองบาทเหมือนมาดมุ่ง | โปรดบำรุงรับสัตย์อย่าขัดขวาง |
แม้ทุกข์โศกโรคภัยถึงไกลทาง | ให้ทราบบ้างน้องจะได้เวียนไปเยือน ฯ |
๏ ฝ่ายสุวรรณมาลีปรานีสนอง | สงสารน้องหาไหนจะได้เหมือน |
จะรักใคร่ให้สนิทไม่บิดเบือน | ประสาเพื่อนผู้หญิงไม่ทิ้งกัน |
จริงจริงนะจะใคร่ได้แม่ไปด้วย | จะได้ช่วยว่ากล่าวฝูงสาวสรรค์ |
สาพิภักดิ์รักองค์พระทรงธรรม์ | ไม่เดียดฉันท์โฉมยงอย่าสงกา |
แม่ทรงครรภ์รัญจวนประชวรไฉน | พี่จะได้ฟูมฟักเฝ้ารักษา |
ด้วยลูกเจ้าเล่าก็น้องของธิดา | ไม่ฉันทาทิ้งขว้างให้ห่างไกล |
ไม่โกรธขึ้งหึงหวงล่อลวงน้อง | อย่าเศร้าหมองหมางจิตคิดไฉน |
จะร่วมรู้คู่ชีวิตร่วมจิตใจ | เชิญแม่ไปบูรีกับพี่ยา ฯ |
๏ นางละเวงเกรงตอบให้ชอบโสต | ซึ่งทรงโปรดน้องรักคุณหนักหนา |
แม้มิกีดรีตฝรั่งในลังกา | จะอุส่าห์ตามปองสนองคุณ |
ด้วยบรรดาฝรั่งสิ้นทั้งหลาย | ทั้งหญิงชายมีบุตรได้อุดหนุน |
เฝ้ากล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรักษาด้วยการุญ | ครั้นสิ้นบุญแม่พ่อมรณา |
ฝ่ายลูกเต้าเอาศพไปกลบฝัง | คอยระวังเวียนพิทักษ์อยู่รักษา |
ถ้าทิ้งไว้ไปบุรีกับพี่ยา | จะนินทาทั่วจังหวัดปัถพี |
ว่าทิ้งญาติศาสนาพวกฝรั่ง | จะรุมชังรบพุ่งเอากรุงศรี |
นิคมคามพราหมณ์มหุ่มกระฎุมพี | ไม่มีที่พึ่งพาจะอาดูร |
ซึ่งออกโอษฐ์โปรดน้องจะครองเลี้ยง | พระคุณเพียงฟ้าดินไม่สิ้นสูญ |
เห็นมั่นคงทรงพระอนุกูล | จะเพิ่มพูนผาสุกทุกเวลา |
ขอยั้งอยู่บูรีสักปีหนึ่ง | เป็นที่พึ่งพวกญาติศาสนา |
รำลึกถึงจึงจะได้เวียนไปมา | ขอพึ่งพาพี่นางจนวางวาย ฯ |
๏ ทั้งสองข้างต่างคิดสนิทสนอง | เหมือนพี่น้องน้ำเนื้อในเชื้อสาย |
ทั้งองค์พระอภัยพระทัยสบาย | พลอยอภิปรายปรองดองทั้งสองนาง |
แต่โฉมยงองค์ละเวงกริ่งเกรงตรึก | จะอยู่ดึกนึกก็คิดเหมือนกีดขวาง |
ชลีลาสามีทั้งพี่นาง | ค่อยเยื้องย่างเข้าในห้องทองประทม |
แต่องค์พระมเหสีอยู่ที่เฝ้า | คิดอายเหล่าห้ามแหนแสนสนม |
จะว่าเราเฝ้าจนดึกนึกนิยม | น้อมบังคมคืนไปห้องไสยา ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงโฉมประโลมสวาท | เชิงฉลาดในเล่ห์เสนหา |
รู้ทำนองสองนางต่างอัชฌา | แกล้งหลีกลาไปเสียห้องจะลองเรา |
ดูท่าทางนางละเวงเห็นเกรงมาก | หมายจะฝากพวกพ้องพี่น้องเขา |
นางมาลีนี่ก็ใจดีไม่เบา | จะเล่นเราท่าไรก็ไม่รู้ |
อันถ่านเก่าเถ้าคงจะต่อติด | แต่ให้คิดเขินขวยด้วยอดสู |
แล้วหวนฮึกนึกว่าเราก็เจ้าชู้ | ถึงจะขู่ก็คงปลอบให้ชอบใจ |
แต่นั่งยิ้มกริ่มตรึกจนดึกดื่น | จนเที่ยงคืนกาลศัพท์คนหลับใหล |
คลุมประทมห่มองค์แล้วตรงไป | เข้าห้องในทัศนาสุมาลี |
เห็นนางยังนั่งสอนสาวน้อยน้อย | ให้ตะบอยเจียนหมากดิบจีบพระศรี |
เข้าแอบหลังนั่งเฉยเหมือนเคยดี | นางสาวน้อยถอยหนีไปที่นอน |
นางเห็นองค์ทรงธรรม์แล้วกลั้นยิ้ม | ลดลงริมแท่นสุวรรณบรรจถรณ์ |
ตั้งเครื่องอานพานพระศรีชลีกร | เขนยอ่อนแอบอิงให้พิงองค์ |
ทำผินผันหันคว้าหาพระแส้ | เที่ยวดูแลเป่าปัดสลัดผง |
ช่วยพัดวีมิได้ถือทำซื่อตรง | คอยฟังองค์ภัสดาจะพาที |
พระอภัยใจพรั่นหวั่นหวิวหวิว | ทำนับนิ้วพลางว่ากับมารศรี |
พี่พลัดพรากจากน้องมาสองปี | บัดเดี๋ยวนี้ได้คิดที่ผิดพลั้ง |
อันความเก่าเรายกเสียเถิดหนอ | คิดแต่ต่อไปข้างหน้าดีกว่าหลัง |
จวนจะกลับหลับนอนผ่อนกำลัง | อย่านิ่งนั่งทนหนาวจะหาวนอน |
พี่จะมาหารืออย่าถือผิด | เชิญสถิตแท่นสุวรรณบรรจถรณ์ |
เมื่อเคราะห์ร้ายพรายพลัดกำจัดจร | ไม่ม้วยมรณ์ก็ได้มาเห็นหน้ากัน ฯ |
๏ นางยิ้มเยื้อนเหมือนจะเย้ยเฉลยฉลอง | อันใจน้องไม่รังเกียจคิดเดียดฉันท์ |
แต่อายเหล่าสาวสุรางค์นางกำนัล | จึงป้องกันผ่อนปรนให้พ้นภัย |
เขาจะว่ามาถึงก็หึงผัว | เฝ้าคุมตัวมิได้ห่างไปข้างไหน |
ทำรังแกแม่ละเวงไม่เกรงใจ | เชิญพระไปห้องนางเหมือนอย่างเคย |
จะมาพลอยน้อยจิตว่าปิดป้อง | อย่าขัดข้องบิดเบือนทำเชือนเฉย |
ได้คลาดแคล้วแล้วก็พระสละเลย | ใช่ไม่เคยนอนเดียวต้องเปลี่ยวทรวง |
ซึ่งอุส่าห์มาตามด้วยความยาก | หมายจะฝากชีวาเป็นข้าหลวง |
อันห้ามแหนแสนสุรางค์นางทั้งปวง | ไม่หึงหวงห้ามปรามตามพระทัย ฯ |
๏ พระฟังเปรียบเฉียบแหลมยิ้มแย้มหยอก | จะออกนอกราชการคิดอ่านไฉน |
ที่โทษผิดติดพันมาฉันใด | พี่จะให้ดอกเบี้ยไม่เสียดาย |
หรือจะมาลาบวชให้ชวดอีก | จึงเลี่ยงหลีกลดเลื่อนซ่อนเงื่อนสาย |
แต่ฝ่ายพี่นี้เห็นเมียยังเสียดาย | จะเป็นม่ายอยู่เปล่าเปล่าจึงเฝ้าง้อ |
เจ้าปล่อยปละละเลยทำเฉยได้ | ไม่อะไรกันกับพี่แล้วสิหนอ |
แต่หากว่าถ้าปลอบเห็นชอบพอ | จะปลูกหอขึ้นให้งามเพราะความรัก |
จะอ่อนน้อมยอมดีกับพี่อีก | หรือจะหลีกไปไฉนให้ประจักษ์ |
ถึงเริศร้างนางวัณฬาไม่ช้านัก | ด้วยเคียงพักตร์พบเห็นทุกเย็นเช้า |
แต่จากน้องสองปีเข้านี่แล้ว | ต้องคลาดแคล้วมิได้เห็นเหมือนเช่นเขา |
ครั้นมาหาว่าให้นอนก็ค่อนเอา | จะให้เปล่าไปแล้วหรือทำดื้อดึง ฯ |
๏ นางว่าเบื่อเหลืออดสูกระทู้หลวง | ครั้นห้ามหวงแล้วว่าตามมาหึง |
ครั้นไม่ห้ามความเห็นเป็นมึนตึง | ว่าดื้อดึงจึงให้อายในใจคอ |
เพราะปีเถาะเคราะห์กรรมเกิดน้ำมาก | ขึ้นท่วมปากท่วมลิ้นเสียสิ้นหนอ |
ตามแต่ว่าสารพัดจะตัดพ้อ | จะปลูกหอให้หม่อมฉันไม่ทันรู้ |
จะอุส่าห์ทาขมิ้นใส่กลิ่นด้วย | ไว้ผมมวยปักพุ่มใส่ตุ้มหู |
ด้วยเข้าหอพอให้เห็นน่าเอ็นดู | จะได้อยู่ห้องน้องสักสองปี |
จึงจะไม่ได้เปล่าทุกเช้าค่ำ | ไม่ต้องจำใจรักสมศักดิ์ศรี |
เหมือนเช่นน้องของเก่าลูกเต้ามี | มันสิ้นดีไปเสียหมดไม่งดงาม |
แต่อยู่ใกล้ในห้องก็ต้องกริ้ว | ว่าบิดพลิ้วห่างเหินไม่เขินขาม |
คงขัดเคืองเรื่องที่พากันมาตาม | จะปราบปรามให้เหมือนไก่อยู่ในมือ |
หรือพระมีที่รักไม่พักเรียก | เคยสำเหนียกนึกได้ทันใจหรือ |
น้องจนใจไม่สันทัดได้หัดปรือ | ต้องดึงดื้อด้วยวิบากกระดากกระเด็น ฯ |
๏ น้อยหรือเจ้าเฝ้าแต่แกะแคะแผลเจ็บ | ทั้งเขี้ยวเล็บซ่อนไว้มิให้เห็น |
เจ้าแหละหรือซื่อราวกับลาวเป็น | เคยรู้เช่นชาวผลึกที่ลึกซึ้ง |
ถึงเฒ่าแก่แม่ลูกอ่อนยังงอนช้อย | สาวน้อยน้อยก็ไม่เปรียบประเทียบถึง |
สังเกตดูรู้ดอกเจ้ายังเพราพรึง | ไม่รู้หึงหวงห้ามช่างตามใจ |
จริงจริงนะจะขอถามทรามสงวน | จะกระบวนให้ตะบึงไปถึงไหน |
ฝีปากพี่นี้ยอมแพ้มาแต่ไร | เคยลวงได้หลายหนแต่ต้นมือ |
บวชเมื่อสาวคราวหนึ่งครั้นถึงแก่ | จะปรวนแปรเลี่ยงหลีกไปอีกหรือ |
ใช่คนอื่นตื้นลึกเคยฝึกปรือ | มิควรถือโทษทัณฑ์รำพันพ้อ |
ยิ่งเชื้อเชิญก็เหมือนกับจะจับผิด | สำแดงฤทธิ์ราวกับงูจะสู้หมอ |
นี่แน่นางอย่างไรในใจคอ | ให้เจ้าของต้องง้อต่อความคิด |
ก็ตามทีพี่จะของ้ออีกเล่า | ขอเชิญเจ้าสาวน้อยมากลอยจิต |
ความรักนางดังจะดิ้นสิ้นชีวิต | อย่าตะบิดตะบอยอยู่หน่อยเลย ฯ |
๏ นางยิ้มเยือนเอื้อนอายธิบายแก้ | เหมือนสาวแส้สมจะเรียงเคียงเขนย |
นี่ก็รู้อยู่ว่าเบื่อด้วยเหลือเคย | จึงเฉยเมยมิได้เหมือนเพื่อนทั้งปวง |
เป็นเจ้าของน้องก็รู้อยู่แล้วละ | เมื่อพบปะพระองค์คงเสียขวง |
ไปพบอื่นชื่นชุ่มเหมือนพุ่มพวง | ไม่หลอกลวงดอกเจ้าข้าว่าให้ควร |
มาประเดี๋ยวเฉียวฉุนให้ขุ่นขิ่น | เหมือนเงี่ยนฝิ่นใฝ่ฝันหุนหันหวน |
ว่าชักช้าทารกรรมทำกระบวน | พระจะด่วนไปข้างไหนหรือใครคอย ฯ |
๏ พระแกล้งว่าข้านี้แพ้แก้ไม่หลุด | เจ้ามันสุดแสนงอนเหมือนช้อนหอย |
กลับถามไต่ใครเล่าเฝ้าตะบอย | ให้ข้าคอยข้างเดียวต้องเที่ยวเชือน |
จะหาไหนได้เหมือนเจ้าถึงเฒ่าแก่ | นางสาวแส้เหล่านี้ไม่มีเหมือน |
เมื่อกระนั้นนั่นสิน้องไม่ต้องเตือน | เดี๋ยวนี้เบือนบิดตะกูดช่างพูดเพราะ |
เกือบจะเป็นเช่นเขาร่ำร้องจ้ำจี้ | แม่ม่ายขี่คอนเรือมะเขือเปราะ |
อยากจะใคร่ได้ลูกมาปลูกเพาะ | กลับกะเทาะหน้าแว่นเพราะแสนงอน |
พี่ก็รู้อยู่ว่ายากกระดากกระเดื่อง | ด้วยเต็มเคืองสุขุมเหมือนสุมขอน |
ถึงรักใคร่ใจจริงจะวิงวอน | ก็เคืองค้อนร่ำไรพูดไค้แคะ |
ถือว่าเราเจ้าของไม่ต้องห้าม | ถึงถ้อยความสู้กันกระนั้นแหละ |
พลางอิงแอบแนบหลังนั่งกระแซะ | ปะเหลาะปะแหละลูบต้องทำนองใน |
ประคองนางวางแท่นแสนสวาท | สัมผัสพาดเพิ่มจิตพิสมัย |
อัศจรรย์ลั่นเลื่อนสะเทื้อนไป | ที่ถ่านไฟเก่าดับก็กลับโพลง |
เหมือนเมื่อปีมีวันจันทร์อังฆาต | โลกธาตุเลื่อนลั่นควันโขมง |
เขาเนมินท์อิสินธรเคลื่อนคลอนโคลง | ทะเลโล่งลมคลื่นเสียงครื้นครึก |
พวกสำเภาเหล่าที่รอค้างมรสุม | ออกแล่นกลุ้มกลางคืนจนดื่นดึก |
สู้กรำฝนทนหนาวออกอ่าวลึก | ต่างสมนึกเลยหลับระงับไป ฯ |
๏ แต่ตึกที่ศรีสุวรรณนั้นยังตื่น | คิดจะคืนกองทัพกลับไม่หลับใหล |
แว่วยามสองฆ้องเร้าเข้าห้องใน | พระปราศรัยอัคเรศเกษรา |
เสียแรงพี่นี้ชำนาญในการยุทธ | มาโทรมซุดเสียด้วยเล่ห์เสนหา |
ให้ฟั่นเฟือนเหมือนไม่มีนัยนา | นึกก็น่าอดสูพึ่งรู้ฤทธิ์ |
จนถึงน้องสองกษัตริย์ต้องจัดทัพ | มาตามรับครั้งนี้โทษพี่ผิด |
โฉมเฉลาเจ้าก็เหมือนเพื่อนชีวิต | อย่าควรคิดขุ่นข้องจะหมองนวล |
แม้ขัดเคืองเรื่องไรอย่าได้นิ่ง | แม่แจ้งจริงเจ้าจงห้ามเถิดทรามสงวน |
ด้วยครั้งนี้พี่ก็ผิดคิดก็ควร | เจ้าจงข่วนเสียให้สมที่ตรมตรอม |
จะหาไหนได้เหมือนเจ้าเพื่อนยาก | สู้ลำบากตามผัวจนตัวผอม |
จะกลับไปไตรจักรให้พรักพร้อม | งามละม่อมแม่อย่าหมางระคางความ |
ได้พบกันวันนี้ยินดีสุด | ไฉนนุชห่างเหินเหมือนเขินขาม |
เมื่อตะกี้ตีฆ้องย่ำสองยาม | เชิญโฉมงามขึ้นบนเตียงเคียงพี่ยา ฯ |
๏ นางฟังตรัสมธุรสพจนารถ | แสนสวาทหวั่นจิตกนิษฐา |
สู้กลืนกลั้นน้ำเนตรเวทนา | ขอสมาหมอบเมียงค่อยเคียงคลาน |
ขึ้นแท่นรัตน์หัตถ์ประนมบังคมบาท | ภูวนาถแอบองค์น่าสงสาร |
สะอื้นร่ำกำสรดแล้วพจมาน | โปรดประทานโทษาฝ่าธุลี |
น้องก็รู้อยู่ว่าข้ามมาทำศึก | ใช่จะนึกเสนหารำภาสะหรี |
แต่ฤทธิ์เดชเวทมนตร์ดลเขาดี | จึงเสียทีถูกเสน่ห์หลงเล่ห์กล |
ได้ทราบความตามมาว่าจะช่วย | เจียนจะม้วยเสียวันละพันหน |
นี่หากมีพี่พราหมณ์ทั้งสามคน | จึงได้พ้นภัยตลอดไม่วอดวาย |
เดชะบุญทูลกระหม่อมอยู่พร้อมพรั่ง | คิดความหลังแล้วก็ให้จิตใจหาย |
ไม่หึงหวงจ้วงจาบให้หยาบคาย | ขอถวายความสัตย์ปฏิญาณ |
ซึ่งร้องไห้ใช่จะเคืองที่เรื่องร้าง | ด้วยเหินห่างพระองค์ก็สงสาร |
เคยผุดผ่องหมองคล้ำคิดรำคาญ | จะอยู่งานนวดฟั้นให้บรรทม |
ทั้งมดหมอเล่าก็มีพรุ่งนี้เช้า | จะให้เขาทำครบประคบผงม |
พระรับขวัญกัลยาอย่าปรารมภ์ | ให้เจ้ากรมหมอมาพยาบาล |
ตั้งแต่พี่มิได้พบประสบเจ้า | ดูโศกเศร้าซูบลงน่าสงสาร |
เพราะเริศร้างห่างชมมานมนาน | อย่าอยู่งานเลยขยับมาหลับนอน |
พี่ก็ซูบรูปเจ้าก็เศร้าผอม | แต่ยังหอมอยู่ไม่หายเลยสายสมร |
พลางอิงแอบแนบน้องประคองกร | ถนอมช้อนเชยพุ่มปทุมทอง |
กอดประทับกับกายสายสวาท | นุชนาฏถนอมจิตสนิทสนอง |
เสน่ห์แนบแอบเอียงเคียงประคอง | ตามทำนองสองสนิทไม่บิดพลิ้ว |
อัศจรรย์หวั่นไหวไม่เร่งรัด | เป็นลมพัดเรื่อยเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยฉิว |
ช่อใบไม้ไหวกระดิกริกริกริ้ว | ระหวยหิวหอบระเหยเลยหลับไป ฯ |
๏ ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์วิมลสมร | อนาถนอนนิ่งตรับไม่หลับใหล |
ฟังปรึกษาว่าจะกลับกองทัพไป | สองกรุงไกรเริ่มงานการวิวาห์ |
เห็นทีพระจะไปขอต่อบิตุเรศ | ให้สมสองครองนิเวศน์กับเชษฐา |
แค้นพระพี่ที่ไม่รักพระพักตรา | น้อยหรือมามีเมียจนเสียตัว |
จนลูกเต้าเล่าก็มีกับอีฝรั่ง | มันก็หวังว่าเราวิ่งมาชิงผัว |
ยิ่งนึกนึกตรึกตรองยิ่งหมองมัว | จะหลีกตัวออกได้ฉันใดดี |
แม้มิพ้นจนใจจะให้อยู่ | คงจะสู้ซอกซอนสัญจรหนี |
พรุ่งนี้เช้าเราจะลาไปธานี | อยู่ที่นี่อีทมิฬจะนินทา |
แต่นิ่งนึกตรึกไตรมิใคร่หลับ | ให้กระสับกระส่ายจิตกนิษฐา |
ทั้งโฉมยงองค์อรุณขุ่นวิญญาณ์ | ด้วยตรึกตราโกรธพระพี่ว่ามีเมีย |
จะเสกสองครองคู่ดูเป็นน้อย | ต้องต่ำต้อยเต็มอายสู้ตายเสีย |
คะนึงนอนร้อนฤทัยดังไฟเลีย | น้ำตาเรี่ยรดแขนแน่นอุรา |
แว่วสำเนียงเสียงเสาวคนธ์สะอื้น | รู้ว่าตื่นค่อยค่อยถามตามประสา |
แม่เป็นไรให้สะท้อนถอนวิญญาณ์ | หรือโรคาขัดขวางเป็นอย่างไร ฯ |
๏ ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์คิดอ้นอั้น | ข้อสำคัญสุดจะแจ้งแถลงไข |
พลางประเทียบเปรียบปราบเป็นภายใน | น้องตรอมใจตรองตรึกให้นึกกลัว |
เกิดเป็นหญิงสิ่งสำหรับอัปยศ | ต้องถอยยศศักดิ์ศรีเพราะมีผัว |
พิเคราะห์ดูบุรุษก็สุดมัว | น้องนี้กลัวจะเป็นน้อยถึงย่อยยับ |
จะตั้งสัตย์ตัดขาดเสียชาตินี้ | ไม่ขอมีคู่ครองร่วมห้องหับ |
ขอพี่นางต่างพยานที่การลับ | แม้กลายกลับก็มิใช่ใจสตรี ฯ |
๏ อรุณน้อยพลอยว่าถ้าเช่นนั้น | ก็เช่นกันกับวิตกในอกพี่ |
จะถือคำทำสัตย์สวัสดี | ไม่ขอมีคู่ครองเหมือนน้องนึก |
ต่างคาดคั้นสัญญาประสารุ่น | ให้เฉียวฉุนขุ่นข้องไม่ตรองตรึก |
ต่างหยิบมีดขีดหัตถาเหมือนจารึก | ลืมรำลึกจะได้เห็นเหมือนเช่นตรา |
ต่างตรึกไตรไม่หลับกระสับกระส่าย | ทั้งเสียดายทั้งรักก็หนักหนา |
พอรุ่งเช้าเสาวคนธ์สุมณฑา | ค่อยลอบมาแจ้งความยายพราหมณี |
จะลาออกนอกวังสั่งกำชับ | ฉันจะกลับข้ามคุ้งไปกรุงศรี |
ทั้งสาวสรรค์บรรดาฝูงนารี | ใครอยู่ที่ไหนให้ไปเรียกมา ฯ |
๏ ยายพราหมณ์ฟังนั่งคิดผิดสังเกต | ก็เห็นเหตุโกรธขึ้งด้วยหึงสา |
จึงทูลความห้ามให้ไว้อัชฌา | ด้วยได้มารบพุ่งถึงกรุงไกร |
เข้าเหยียบวังลังกาได้ปรากฏ | เกียรติยศยืนยงอสงไขย |
เข้าเตรียมกันวัณฬาจะพาไป | ชมดอกไม้แก้วเตร็จกับเพชรนิล |
แม่จะได้ไปด้วยจะช่วยแนะ | อย่าเก็บแกะเพชรออกอยู่นอกหิน |
อันเพชรดีมีอยู่คู่แผ่นดิน | เป็นมวกหินหุ้มพอกดังดอกบัว |
อยู่กลางโขดโคตรเตร็จเป็นเพชรเอก | สีเหมือนเมฆหมอกหมดสดสลัว |
แม้นเขาให้ได้มาแล้วอย่ากลัว | จะฦๅทั่วไทท้าวทุกด้าวแดน |
เอาไปใส่ในภูเขาเมืองเรานั้น | จะเกิดพลันเพชรสำหรับประดับแหวน |
เป็นเพชรงอกออกเหมือนดังว่ารังแตน | สำหรับแผ่นดินเมืองได้เลื่องฦๅ |
จงหยุดยั้งฟังยายอย่าอายเหนียม | ตามธรรมเนียมนิ่งเฉยไม่เคยถือ |
อย่าด่วนทำน้ำพระทัยดังไฟฮือ | ให้เลื่องฦๅซื่อตรงตามวงศ์วาน |
นางคำนับรับคำยายพราหมณ์เฒ่า | ลาไปเข้าที่ทรงสรงสนาน |
บรรดาเหล่าเยาวลักษณ์พนักงาน | เตรียมเครื่องอานไว้แต่เช้าคอยเจ้านาย ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์วัณฬามารศรี | สุลาลีนางผกาเวลาสาย |
ให้ระคางร้างคู่ไม่สู้สบาย | แต่ซังตายฝืนหน้าทุกนารี |
มาเฝ้าองค์พระอภัยเชิญไปสวน | ต่างชื่นชวนปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
ท้าวทศวงศ์นงนุชพระบุตรี | มาพร้อมที่พระอภัยทั้งใหญ่น้อย |
นางวัณฬาพาสิบห้ากษัตริย์เสด็จ | ไปเนินเพชรกับนางในพวกใช้สอย |
เที่ยวชมสวนล้วนบุปผาระย้าย้อย | ทั้งสนสร้อยสายหยุดพุดพะยอม |
อีกสุกกรมนมแมวแก้วกุหลาบ | เหล่าอังกาบโกฐกระถินส่งกลิ่นหอม |
นางสาวสาวเหล่าผู้หญิงเหนี่ยวกิ่งน้อม | บ้างพลอยปลอมเก็บปลิดที่ติดพวง |
ถึงสระศรีสี่เหลี่ยมต่างเยี่ยมหยุด | ชมปลาผุดเห็นตัวทั้งบัวหลวง |
บ้างแตกขาวง่าวงอกเป็นดอกดวง | เกสรร่วงโรยรายขจายจร |
ปลาเงินทองล่องลอยขึ้นคอยคาบ | กลีบอังกาบโกมินทร์กินเกสร |
ดอกบัวเผื่อนเหมือนจีบเป็นกลีบซ้อน | บานสลอนแลขาวดังดาวราย |
ที่ร่มรอบขอบสระรุกขชาติ | แปลกประหลาดหลากหลากดูมากหลาย |
มีที่แท่นแผ่นผาศิลาลาย | เก้าอี้รายสำหรับชมทุกร่มไม้ |
บ้างก็หยุดบ้างก็เดินเพลินประพาส | รุกขชาติช่อดอกออกไสว |
มะเดื่อดูกลูกเหลืองมะเฟืองมะไฟ | นางสาวใช้ชิงกันเก็บเสียเล็บเยิน ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระอภัยเดินไปหน้า | สองธิดาเคียงข้างไม่ห่างเหิน |
มเหสีลีลาศนาดดำเนิน | กำนัลเชิญเครื่องตามล้วนงามคม |
ท้าวทศวงศ์องค์อรุณอัคเรศ | ทั้งแก้วเกษราสุรางค์นางสนม |
เที่ยวเก็บลูกรุกขชาติประพาสชม | ระรื่นร่มรวยรินกลิ่นผกา |
เก็บยี่สุ่นให้อรุณรัศมี | กับบุตรีต่างคำนับรับบุปผา |
แล้วเก็บให้นางห้ามที่ตามมา | นางพระยายังไม่ได้ขัดใจจริง |
ว่าเก็บให้แต่เหล่านางสาวแส้ | สวนคนแก่เหมือนหนึ่งไม่ใช่ผู้หญิง |
เข้าหยิกทึ้งหึงหวงพลางช่วงชิง | เอามาทิ้งให้ข้าหลวงที่ช่วงใช้ |
ท้าวทศวงศ์ทรงพระสรวลสำรวลร่า | นี่ยายบ้าวิ่งแร่มาแต่ไหน |
แล้วนำนางย่างเยื้องชำเลืองไป | ชมดอกไม้ต่างต่างริมทางเดิน |
แต่นงเยาว์เสาวคนธ์วิมลมิ่ง | กับพวกหญิงสาวตามไม่ขามเขิน |
ทั้งองค์พระอนุชาพาดำเนิน | ซังตายเพลินหลีกเลี่ยงค่อยเมียงบัง |
ศรีสุวรรณนั้นนำสินสมุทร | กับทั้งสุดสาครจรตามหลัง |
เก็บดอกไม้ให้สาวสาวนางชาววัง | ประทานทั้งกนิษฐาสุดาดวง |
สุดสาครร้อนจิตค่อยพิศพักตร์ | เห็นน้องรักเดินหน้าพวกข้าหลวง |
พระลดเลี้ยวเที่ยวหาบุปผาพวง | ได้ดอกดวงแล้วปลิดให้ติดใบ |
ให้นงเยาว์เสาวคนธ์วิมลสมร | นางยอกรรับบุปผาอัชฌาสัย |
น่าหัวร่อหน่อกษัตริย์หัสไชย | คิดอาลัยสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา |
เก็บดอกไม้ได้ดีจำปีขาว | ซ่อนพี่สาวเสียมิให้ได้บุปผา |
ตามกระบวนพระอภัยรีบไคลคลา | ให้จำปาพระน้องทั้งสององค์ |
นางดีใจว่าพี่อยู่นี่เถิด | อย่าเตลิดไปเสียนะฉันจะหลง |
แล้วนงนุชยุดมือด้วยซื่อตรง | อยู่เคียงองค์เชษฐาทั้งขวาซ้าย |
พระหัสไชยไม่กล้าพูดจาเกี้ยว | แต่พาเที่ยวเดินชมนิยมหมาย |
นางเด็ดดอกมาลีให้พี่ชาย | ไม่รู้อายหยอกเอินคอยเดินตาม ฯ |
๏ นางวัณฬาพาเดินขึ้นเนินเพชร | ดูพรายเตร็จรัศมีสีอร่าม |
ตะวันส่องต้องแก้วดูแวววาม | เรืองอร่ามทั้งเนินน่าเพลินใจ |
นางวัณฬาว่าองค์พงศ์กษัตริย์ | จะเก็บจัดเอาไปเล่นเป็นไฉน |
ไม่ห้ามปรามตามประสงค์จำนงใน | แต่ต้องใส่ฉลองบาทจึงยาตรา |
ไม่ใส่เกือกเลือกเพชรแล้วเตร็จยอก | จะช้ำชอกเช่นกับมีดขีดมังสา |
แล้วจะได้ไปสรงพระคงคา | ที่เนินหน้าเขาใหญ่ไขวาริน ฯ |
๏ ฝ่ายเหล่าองค์พงศ์กษัตริย์ไม่ขัดข้อง | ทรงฉลองพระบาทเดินขึ้นเนินหิน |
ชำเลืองเลียบเหยียบเตร็จชมเพชรนิล | กระจ่างจินดาดวงดูร่วงรุ้ง |
เรืองจำรัสรัศมีสีต่างต่าง | บ้างเขียวด่างสีกุหร่าดังตากุ้ง |
บ้างเหลือบลายพรายแพรวแววนกยูง | อร่ามรุ่งเรืองงามอยู่วามแวม |
บ้างเขียวขาวพราวพร้อยทั้งน้อยใหญ่ | เหมือนเจียระไนเรียบเรียมเป็นเหลี่ยมแหลม |
สีเมฆหมอกดอกตะแบกขึ้นแซกแซม | บ้างเกิดแกมเตร็จแก้วดูแพรวพราว |
ท้าวทศวงศ์องค์มิ่งมเหสี | เลือกเพชรดีไปประทานให้หลานสาว |
สอนให้รู้ดูเพชรถึงเจ็ดคราว | แม้นแตกร้าวอย่าเอาไปจัญไรร้าย |
เออนั่นแม่แม่เอ๋ยเหมือนมรกต | ดูน้ำสดสังวาลประสานสาย |
นั่นทับทิมริมเตร็จเม็ดเพริศพราย | ราคาขายสามสิบหยิบเอาไว้ |
ริมก้อนหินนิลสีบริสุทธิ์ | นั่นก็บุษราคัมดูน้ำใส |
แต่ก้อนเหลี่ยมเรียมเรี่ยดังเจียระไน | คือเพชรไพฑูรย์ขาวดูวาววับ |
ที่แดงก่ำปัทมราชดังชาดเสน | แก้วโกเมนโมรามุกดาสลับ |
โน่นหมู่เม็ดเพชรหลีกปีกแมงทับ | ดูซ้อนซับใหญ่น้อยล้วนพลอยเพชร |
แก้วการีสีอินทนิลคล้ำ | นั่นเพชรน้ำตะกั่วตัดดูตรัจเตร็จ |
เหมือนหิ่งห้อยพรอยพรายกระจายเม็ด | เกิดกับเตร็จก้อนหินซอกศิลา |
นางสอนหลานวานเก็บให้มากมาก | เอาไปฝากเผ่าพงศ์พระวงศา |
ทั้งจัดแจงแต่งตัวให้ตุ๊กตา | พระนัดดาอายเอียงหลีกเลี่ยงเดิน ฯ |
๏ แต่นงเยาว์เสาวคนธ์ใส่กลเฉย | ไม่เก็บเลยเลียบทางทำห่างเหิน |
นางละเวงเกรงใจปราศรัยเชิญ | ไยแม่เมินไม่ดูเตร็จเก็บเพชรนิล |
นางนบนอบตอบว่าถ้าแม้โปรด | จะขอโคตรไข่เพชรก้อนเตร็จหิน |
นางวัณฬาว่าสิ่งไรในแผ่นดิน | ฉันให้สิ้นสารพัดไม่ขัดใจ |
นางเสาวคนธ์ค้นเพชรพบเตร็จงอก | ดูดังดอกบุษบงไม่สงสัย |
ค่อยสั่นคลอนถอนหลุดหลากสุดใจ | แผ่นดินไหวเลื่อนลั่นเสียงครั่นครื้น |
ทวีปวังลังกาสุธาหย่อน | เหมือนจะคลอนโคลงคว่ำน้ำเป็นคลื่น |
ทุกแถวทางหว่างถนนผู้คนยืน | ถลาลื่นล้มลุกสนุกจริง |
ชาวบ้านช่องท้องตลาดวิ่งกลาดเกลื่อน | บ้างโดนเพื่อนวุ่นวายทั้งชายหญิง |
ดูปั่นป่วนหวนเหียนอยู่เวียนวิง | ทั้งสัตว์สิงวิ่งตื่นอยู่ครื้นเครง |
สาวสนมล้มปะทะบ้างผละผลัก | กระชากชักผ้าห่มว่าข่มเหง |
เห็นครึกโครมโฉมยงองค์ละเวง | ให้กริ่งเกรงกราบกษัตริย์ภัสดา |
เหตุไฉนไหวหวั่นเป็นฉันนี้ | ไม่เคยมีมาแต่หลังให้กังขา |
พระอภัยไม่สู้รู้ตำรา | จึงตรัสว่าวันนี้ฤกษ์ดีนัก |
มาชมเตร็จเพชรนิลแผ่นดินไหว | เพราะจะได้ปรากฏเป็นยศศักดิ์ |
ไม่วุ่นวายร้ายรองดอกน้องรัก | ทั้งไตรจักรจะเป็นสุขสนุกสบาย |
นางคำนับรับพรถาวรสวัสดิ์ | เชิญกษัตริย์สิ้นทั้งนั้นให้ผันผาย |
ขึ้นสรงชลบนบัลลังก์ที่นั่งราย | เขาไขสายกลไกข้างใต้ดิน |
น้ำทะลุพุพุ่งขึ้นฟุ้งฟ้า | ดูดังห่าฝนกระจายเป็นสายสินธุ์ |
ลงโซมองค์สรงชลสิ้นมลทิน | ระรื่นกลิ่นกลั่นฟุ้งจรุงใจ |
เหมือนอาบฝนบนอากาศซึ่งสาดซัด | โสมนัสนั่งเล่นน้ำเย็นใส |
ทั้งห้ามแหนแสนสนมกรมใน | สำราญใจพอเวลาตีห้าโมง |
นางวัณฬาพาองค์พระทรงศักดิ์ | มาหยุดพักพุ่มพฤกษ์เป็นตึกโถง |
นั่งเก้าอี้ที่ห้องท้องพระโรง | ข้างนอกโล่งเลี่ยนรื่นพื้นสุธา |
ต้นไม้ร่มลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยพัด | โต๊ะเขาจัดแต่งไว้ทั้งซ้ายขวา |
พอพร้อมกันลั่นระฆังสั่งสัญญา | โต๊ะก็มาเกลื่อนกล่นด้วยกลไก |
ลูกล้อกลิ้งวิ่งเวียนเหมือนเกวียนขับ | พร้อมสำรับหวานคาวขวดเหล้าใส่ |
เสียงกริ่งกร่างต่างเขม้นไม่เห็นใคร | แต่โต๊ะใหญ่ไปถึงทั่วทุกตัวคน |
นางเชิญองค์พงศาบรรดากษัตริย์ | เสวยมัจฉะมังสาผลาผล |
นางหม่อมห้ามนั่งเรียงเคียงโต๊ะกล | ข้าหลวงคนใช้นั้นเป็นหลั่นไป |
บ้างลองลิ้มชิมเหล้าจนเมาหมด | เปรียบประชดเถียงกันเสียงหวั่นไหว |
ส่วนเผ่าพงศ์วงศ์กษัตริย์นั้นหัสไชย | สนุกใจชิมเหล้าอยากเมาลอง |
ฤทธิ์สุรากล้าหาญให้ร่านรัก | ชวนนงลักษณ์ร่วมบัลลังก์อยู่ทั้งสอง |
ส่งสุราว่าอร่อยแม่น้อยน้อง | เสวยลองเล่นสักนิดจะติดใจ |
สร้อยสุวรรณจันทร์สุดารับมาเสวย | ยังไม่เคยเมาเหลือจนเหื่อไหล |
ต่างองค์โทษโกรธกษัตริย์หัสไชย | ว่าลวงให้กินเหล้าจนเมามาย |
เข้าหยิกตีมิหนำยังซ้ำข่วน | ใครใช้ชวนฉันทำไมแก้ให้หาย |
หน่อกษัตริย์ปัดป้องประคองกาย | ได้กลิ่นอายแอบอิงเหมือนผิงไฟ |
พงศ์กษัตริย์ขัตติยาบรรดาเสวย | แกล้งเมินเฉยตามประสาอัชฌาสัย |
ด้วยยังเยาว์เมามายสบายใจ | พระหัสไชยชิงปล้ำถอดธำมรงค์ |
เพชรรังแตนแหวนมณฑปนพรัตน์ | มาใส่หัตถ์ชื่นชมสมประสงค์ |
แกล้งเลียนล้อขอน้องทั้งสององค์ | นางโฉมยงยกให้มิได้แคลง ฯ |
๏ ฝ่ายยุพาผการำภาสะหรี | ไขดนตรีที่ตั้งกำบังแฝง |
เหมือนคนตีปี่พาทย์ไม่พลาดแพลง | เสียงกระแสงซ้อนเพลงวังเวงใจ |
กระจับปี่สีซอเสียงกรอกรีด | บัณเฑาะว์ดีดดนตรีปี่ไฉน |
นางสำหรับขับร้องทำนองใน | บ้างขับไม้มโหรีให้ปรีดิ์เปรม |
เป็นภาษาฝรั่งว่าครั้งนี้ | จะเป็นที่เสน่ห์สนุกสุขเกษม |
จะชื่นแช่มแย้มยิ้มให้ปริ่มเปรม | เที่ยวชมเหมหงส์อื่นไม่ชื่นเลย |
บรรดานั่งฟังขับให้วับวาบ | ด้วยเสียวซาบโสตเสนาะเฉลาะเฉลย |
บ้างชมผลกลไกด้วยไม่เคย | กระไรเลยลั่นเองเป็นเพลงการ |
ครั้นอิ่มหนำสำเร็จสิ้นเสร็จสรรพ | โต๊ะก็กลับกลิ้งไปเข้าในม่าน |
ข้าหลวงเหล่าสาวสรรค์พนักงาน | แสนสำราญกับฝรั่งชาวลังกา ฯ |
๏ ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์วิมลพักตร์ | เห็นพร้อมพรักเผ่าพงศ์พระวงศา |
จึงทูลความทรามชมก้มวันทา | ลูกขอลาเลิกทัพกลับธานี |
พระบิตุราชมาตุรงค์พงศ์กษัตริย์ | อย่าเคืองขัดขุ่นข้องให้หมองศรี |
มาหยุดยั้งตั้งทัพอยู่นับปี | พระชนนีบิดาจะอาวรณ์ ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระอภัยวิไลลักษณ์ | ด้วยความรักเสาวคนธ์วิมลสมร |
จะห้ามปรามทรามวัยมิให้จร | จะอาวรณ์ด้วยยังกำลังเยาว์ |
จึงเรียกมาหน้าที่นั่งบัลลังก์รัตน์ | ยื่นพระหัตถ์ลูบประโลมโฉมเฉลา |
นิจจาเอ๋ยเคยเห็นทุกเย็นเช้า | พ่อรักเท่าเชษฐาสุดสาคร |
เป็นเพื่อนยากฝากชีวิตสนิทนัก | ยังอ่อนศักดิ์รู้ฟังคำสั่งสอน |
พ่อไม่ห้ามตามแต่แม่จะจร | ไปนครด้วยคิดถึงบิดา |
แม่ไปถึงจึงช่วยทูลมูลเหตุ | ว่าบิตุเรศฝากรักไว้หนักหนา |
จะรั้งรอพอกำหราบปราบประชา | แล้วบิดาจะตามไปในทางเรือ ฯ |
๏ ฝ่ายสุวรรณมาลีนารีราช | แสนสวาทเสาวคนธ์นั้นล้นเหลือ |
เคยอยู่ด้วยช่วยชีวิตได้ชิดเชื้อ | เหมือนหนึ่งเนื้อพี่น้องทั้งสององค์ |
แล้วสวมสอดกอดจูบแล้วลูบไล้ | แสนอาลัยทรามสงวนนวลหง |
มิเสียทีมีฝีมือทั้งซื่อตรง | แม่นี้สงสารเจ้ายังเยาว์นัก |
จะหาไหนได้เหมือนแม่เพื่อนยาก | จะจำจากใจหายเสียดายหนัก |
สะอื้นไห้ไม่หยุดด้วยสุดรัก | นางซบพักตร์ลงเช็ดพระชลนัยน์ |
ทั้งนงเยาว์เสาวคนธ์หล่อชลเนตร | พระบิตุเรศวงศาน้ำตาไหล |
เป็นทุกข์แท้แต่กษัตริย์หัสไชย | เหลืออาลัยสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา |
นั่งอยู่ใกล้ได้สั่งนางทั้งสอง | พี่จะต้องไปประเทศกับเชษฐา |
แค้นพี่นางช่างไม่ไว้อัชฌา | มาด่วนลาไปก่อนพระภูวไนย ฯ |
๏ ฝ่ายพระหน่อบพิตรอดิศร | สุดสาครขัตติยาอัชฌาสัย |
เห็นเสาวคนธ์มณฑาทูลลาไป | นึกตกใจเห็นจะเคืองด้วยเรื่องเรา |
ไม่ปรึกษาหารือยังถือแค้น | พระคิดแสนโศกทรวงให้ง่วงเหงา |
แล้วแข็งขืนกลืนกลั้นให้บรรเทา | มาก้มเกล้ากราบชิดพระบิดา |
ลูกขอลาฝ่าละอองด้วยน้องรัก | ไปพร้อมพรักกับพระกนิษฐา |
ด้วยจากทั้งสองกษัตริย์ขัตติยา | มานานช้าเหินห่างเพราะทางไกล ฯ |
๏ พระอภัยใจอาวรณ์ถอนสะอื้น | สุดจะขืนกลืนกล้ำน้ำตาไหล |
ต่างครวญคร่ำร่ำว่าด้วยอาลัย | พระหัสไชยโศกาด้วยอาวรณ์ |
สุมาลีมิได้วายเสียดายสุด | รักเหมือนบุตรเกิดกับกายสายสมร |
สาพิภักดิ์หักหาญช่วยราญรอน | จะจำจรจากแม่ไปแลลับ |
กอดกษัตริย์หัสไชยไห้สะอื้น | ไม่มีชื่นช้ำอารมณ์จนลมจับ |
ท่านเถ้าแก่แซ่ซ้องประคองรับ | แก้ไขกลับฟื้นอารมณ์สมประดี |
ต่างอำนวยอวยพรถาวรสวัสดิ์ | ให้กำจัดเหตุภัยในวิถี |
พอโพล้เพล้เวลาเข้าราตรี | กลับมาที่ปรางค์มาศปราสาททอง |
นางเสาวคนธ์ตรงมาพลับพลาค่าย | แต่น้องชายแวะสั่งนางทั้งสอง |
ฝ่ายเชษฐาอารมณ์ให้ตรมตรอง | คอยท่าน้องหน่อกษัตริย์หัสไชย |
สร้อยสุวรรณจันทร์สุดาว่ากับพี่ | ไปธานีน้องด้วยกันเถิดฉันไหว้ |
ต่างห้ามปรามตามประสาคิดอาลัย | พระหัสไชยก็มิอาจจะคลาดคลาย ฯ |
๏ ฝ่ายสุลาลีวันมีครรภ์อ่อน | สุดสาครเขาจะไปก็ใจหาย |
เห็นง่วงเหงาเศร้าหมองคอยน้องชาย | ทำเดินกรายเข้าไปใกล้ก็ไม่ทัก |
คิดถึงที่มีคุณทั้งบุญบาป | คลานมากราบผัวลงที่ตรงตัก |
สะอื้นไห้ใจหายเสียดายนัก | พระเคยรักร่วมห้องมาสองปี |
จะจำจากพรากไปน่าใจหาย | เหมือนพระแกล้งแหนงหน่ายเสน่ห์หนี |
โอ้พระมิ่งทูลกระหม่อมจอมโมลี | ในชาตินี้มิได้มาเห็นหน้าน้อง |
ไม่มีครรภ์ฉันหมายจะวายวอด | ไม่ขอรอดอยู่เป็นคนให้หม่นหมอง |
นี่เวทนาอาลัยลูกในท้อง | จึงจะต้องอยู่เป็นคนทนทรมาน |
แต่ปางหลังหวังใจจะได้พึ่ง | ก็ไม่ถึงยืดยาวมาร้าวฉาน |
อย่าเคืองขัดตัดประโยชน์จงโปรดปราน | ขอประทานโทษาฝ่าธุลี ฯ |
๏ สุดสาครร้อนใจอาลัยรัก | แต่เกรงนักด้วยพระน้องทั้งสองศรี |
สู้กลืนกลั้นชลนาแล้วพาที | อยู่จงดีเถิดข้าจะลาแล้ว |
แม้คลอดลูกปลูกเลี้ยงไว้เคียงพักตร์ | ให้สืบศักดิ์ว่านเครือเป็นเชื้อแถว |
แม้มิตายหมายมาดไม่คลาดแคล้ว | เมื่อเคราะห์แล้วก็ให้เป็นไปเช่นนี้ |
แล้วถอดแหวนแทนองค์ออกส่งให้ | จงใส่ไว้แหวนยันต์ได้กันผี |
แม้นคลอดลูกผูกหัตถ์สวัสดี | กลับไปที่เถิดเจ้าอย่าเศร้าใจ ฯ |
๏ ฝ่ายสุลาลีวันกลั้นสะอื้น | น้ำตาขืนก็กลับตกซกซกไหล |
เฝ้าอวยพรวอนวิงทุกสิ่งไป | ประเดี๋ยวใจพระจะกลับไปลับองค์ |
ขอนั่งอยู่ดูให้เต็มนัยน์เนตร | พระปิ่นเกศกษัตริย์ชาติราชหงส์ |
ถึงหมื่นปีมิได้พบประสบองค์ | ธำมรงค์ลูกรักต่างพักตรา ฯ |
๏ ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์เตรียมพลพร้อม | ให้คนด้อมดูเหตุพระเชษฐา |
เห็นเขายังสั่งกันจำนรรจา | กับสุลาลีวันที่บัลลังก์ |
ทั้งให้แหวนแทนองค์ไว้วงหนึ่ง | ยิ่งตรึกถึงความต้นแต่หนหลัง |
ด้วยรุ่นรักหักใจเห็นไม่ฟัง | จึงตรัสสั่งเสนาบรรดานาย |
ให้ยกพวกพลรบจุดคบส่อง | ตามแถวท้องทางเถื่อนดังเดือนหงาย |
รถที่นั่งลังกาให้ตายาย | ขึ้นนั่งท้ายรถาไม่พาที |
รถพี่เลี้ยงเคียงตามอร่ามคบ | พลรบรู้แนวแถววิถี |
ออกตามทุ่งกรุงลังกาในราตรี | แสงอัคคีโคมสว่างหนทางเดิน |
พอเดือนขึ้นชื่นฉ่ำด้วยน้ำค้าง | เข้าป่ากว้างหว่างลำเนาภูเขาเขิน |
ทั้งข้าไทใหญ่น้อยก็พลอยเพลิน | ต่างหยอกเอินกันไปพลางในกลางไพร ฯ |
๏ ฝ่ายสุดสาครนั่งสั่งผู้หญิง | ข้าหลวงวิ่งมาแจ้งแถลงไข |
ว่าองค์พระกนิษฐายกคลาไคล | พระตกใจเรียกพระอนุชา |
ออกจากวังสั่งสี่พระพี่เลี้ยง | ให้พร้อมเพรียงไพร่นายทั้งซ้ายขวา |
ให้ดูฤกษ์เลิกทัพจากพลับพลา | พลางสั่งพระอนุชาด้วยอาวรณ์ |
พระน้องจงทรงรถได้ร่มฝน | พาไพร่พลเดินทางหว่างสิงขร |
แล้วพระองค์ทรงพระยาม้ามังกร | อัสดรโดดร้องก้องโกลา |
ขับม้าลัดตัดทุ่งกรุงสิงหล | บัดเดี๋ยวดลทางเดินขึ้นเนินผา |
อุส่าห์ตามยามสองทันน้องยา | เทียบขึ้นหน้ารถนางเหมือนอย่างเคย |
อายทิศาปาโมกข์โลกเชษฐ์ | แกล้งสังเกตกัลยาทำหน้าเฉย |
แล้วว่าแม่แร่มาไม่ช้าเลย | หรือทรามเชยขัดเคืองด้วยเรื่องไร ฯ |
๏ นางฟังคำทำเป็นว่าน่าหัวร่อ | จะมีข้อขัดเคืองที่เรื่องไหน |
แต่พวกพ้องน้องนี้ไม่มีใคร | เป็นห่วงใยยกมาประสาสบาย |
เหมือนพระพี่มีห่วงต้องหน่วงหนัก | จะตัดรักหักสวาทไม่ขาดหาย |
ถึงตัวไปให้แหวนไว้แทนกาย | น้องนึกหมายว่าจะมาเวลาเช้า ฯ |
๏ สุดสาครถอนใจไฉนหนอ | มาเสียดส่อร้อนใจดังไฟเผา |
ปลอบประโลมโฉมยงว่านงเยาว์ | เนื้อความเก่าเหมือนดังกายพี่วายชนม์ |
ประเดี๋ยวนี้เกิดใหม่ด้วยได้คิด | ใช่จะติดใจหญิงชาวสิงหล |
เมื่อได้ฤกษ์เลิกทัพจะกลับพล | ก็กังวลอยู่ด้วยพระอนุชา |
ลาทั้งสองน้องนุชนางยุดไว้ | ต่างร่ำไรสั่งความตามประสา |
ลีวันนั้นเพียงมาขอสมา | ที่ต้องช้าอยู่ถนัดเพราะหัสไชย |
ประเดี๋ยวนี้พี่ให้น้องป้องกองทัพ | พี่รีบขับม้าเดินตามเนินไศล |
มาตามน้องป้องกันให้ครรไล | พี่จะได้เคียงข้างไม่ห่างกัน ฯ |
๏ นางยิ้มพลางทางว่าเป็นขากลับ | ต่างเดินทัพจะสมทบไม่ขบขัน |
ทั้งคราวนี้มิใช่ว่ามาด้วยกัน | เชิญไปบรรทมตามความสบาย |
ด้วยน้องได้ท่านครูเป็นผู้ใหญ่ | มาคุ้มภัยไม่วิตกกลัวหกหาย |
สุดสาครร้อนจิตให้คิดอาย | แกล้งกลับกลายเกลี่ยไกล่เสียให้ดี |
เมื่อครูเฒ่าท่านมารักษาน้อง | พี่ไม่ต้องรักษามารศรี |
จงบรรทมโสมนัสสวัสดี | แต่ตัวพี่จะคอยท่านุชาชาญ |
กลับลงนั่งหลังม้าเวลาดึก | อนาถนึกเอ้องค์น่าสงสาร |
สะอื้นอั้นตันใจอาลัยลาน | เหลือประมาณเหมือนครั้งเมื่อยังเยาว์ |
แต่หยุดม้าปรารมภ์ให้ตรมจิต | จะแก้ผิดพูดประโลมโฉมเฉลา |
หวั่นฤทัยในอารมณ์ให้ซมเซา | กำสรดเศร้าเสียใจกระไรเลย |
สงสารน้องหมองเศร้าเพราะเราผิด | สุดจะคิดคืนดีเจ้าพี่เอ๋ย |
คะนึงนึกตรึกความถึงทรามเชย | จนหลับเลยอยู่บนหลังม้ามังกร ฯ |
๏ หน่อกษัตริย์หัสไชยอยู่ในรถ | ทุกข์ระทดถึงพี่น้องสองสมร |
เคยพูดเล่นเจรจาให้อาวรณ์ | มาจำจรจากน้องทั้งสององค์ |
โอ้จนจิตคิดไฉนจะได้นุช | เห็นยากสุดที่จะสมอารมณ์ประสงค์ |
เฝ้ากอดจูบลูบคลำธำมรงค์ | คิดถึงองค์อาลัยด้วยไกลกัน |
เคยพูดพลอดกอดพี่เป็นที่รัก | ไม่รู้จักรังเกียจคิดเดียดฉันท์ |
นึกจะเกี้ยวเจียวเมื่อไปอยู่ใกล้กัน | กลับหวนหันไปเสียได้เจียวใจคอ |
นึกคะนึงถึงที่เขาเป็นเจ้าชู้ | จะเรียนรู้ไว้อย่างไรที่ไหนหนอ |
ผู้หญิงรักลักลอบมาชอบพอ | แม้พบหมอเหมือนเช่นนั้นขยันจริง |
จะเรียนร่ำทำอะไรไม่ลำบาก | มันยอดยากอย่างเดียวเกี้ยวผู้หญิง |
ถึงยามดึกนึกนอนแนบหมอนอิง | เรไรหริ่งเรื่อยริมหิมวา |
เสียงจังหรีดแว่ววับตรับสำเหนียก | ว่าร้องเรียกนึกสงสารร้องขานจ๋า |
จนรู้สึกนึกสะอื้นกลืนน้ำตา | ตามประสามิตรจิตมิตรใจ ฯ |
๏ สุดสาครนอนหลับพอทัพถึง | ตื่นตะลึงลืมองค์นึกสงสัย |
พอเห็นคนพลรบถือคบไฟ | จึงจำได้เดินมาหากองทัพ |
ขึ้นรถทองน้องนอนค่อยอ่อนแอบ | ถนอมแนบอนุชานิทราหลับ |
ดำริพลางทางสั่งให้ตั้งทัพ | ลงเรือกลับข้ามคุ้งไปกรุงไกร ฯ |
๏ ฝ่ายลูกสาวเจ้าลังกาตรึกตราเหตุ | ซึ่งอาเพศเพชรนิลแผ่นดินไหว |
จะร้ายดีมิได้แจ้งยังแคลงใจ | จึงตรัสใช้นางรำภาอย่าช้าการ |
ไปแจ้งความถามพระสังฆราช | ซึ่งหวั่นหวาดไหวสิ้นทุกถิ่นฐาน |
จะดีร้ายภายหน้าให้อาจารย์ | ท่านแจ้งการแล้วมาเล่าให้เราฟัง ฯ |
๏ นางรำภาลาออกนอกตำหนัก | มีพร้อมพรักคนหามมาตามหลัง |
ครั้นถึงครูผู้เฒ่าเล่าให้ฟัง | ฝ่ายพระสังฆราชเล่าก็เข้าใจ |
กูจับยามตามตำราไตรดายุค | ยังเป็นทุกข์ที่ว่าสุธาไหว |
โศลกว่านารีจะหนีไป | เอาหัวใจเมืองออกนอกบุรินทร์ |
นางรำภาว่าเห็นแน่แล้วแต่ต้น | เมื่อเสาวคนธ์ขอเพชรก้อนเตร็จหิน |
กระชากฉุดหลุดก็ไหวในแผ่นดิน | ฉันได้ยินเที่ยงแท้เห็นแน่ความ |
พระสังฆราชตวาดก้องร้องขู่คุ | แกเดือดดุด่าละเวงไม่เกรงขาม |
มันรักผัวชั่วช้าอีบ้ากาม | ช่างบอกความเพชรนิลจนสิ้นตัว |
เสียแผ่นดินถิ่นที่แล้วมิหนำ | ยังกลับซ้ำปั้นเจ๋อบำเรอผัว |
เอาเพชรดีสีออกเหมือนหมอกมัว | เท่าดอกบัวอยู่บนโขดเป็นโคตรเพชร |
มันให้เขาเอาไปเสียได้แล้ว | ที่เนินแก้วก็จะเริศไม่เกิดเตร็จ |
มันมีครูรู้ตำรากาลเม็ด | เอาโคตรเพชรไปสำหรับประดับเมือง |
แม้ใส่ไว้ในศิลาข้าจะบอก | เป็นเพชรงอกแวววาวเขียวขาวเหลือง |
จะบริบูรณ์สมบัติไม่ขัดเคือง | แต่พวกเมืองลังกาจะอาดูร |
แต่ลูกมันนั้นประเสริฐเกิดมาเล่า | จะกลับเอามาได้ยังไม่สูญ |
จะต้องขาดญาติวงศ์พงศ์ประยูร | เพราะเค้ามูลแม่เพชรเตร็จมณี |
ไปบอกเล่าเจ้ามึงหมายพึ่งผัว | ไม่รอดตัวเช่นบำรุงซึ่งกรุงศรี |
เร่งรำลึกตรึกตรองคืนของดี | มาไว้ที่ลังกาให้ถาวร ฯ |
๏ นางรำภานารีชลีฉลอง | จะตรึกตรองตามพระคุณการุญสอน |
แล้วกราบลามาวังทูลบังอร | นางทุกข์ร้อนรู้ว่าคิดนั้นผิดพลั้ง |
เป็นคราวเคราะห์เพราะว่ากรรมจะทำเข็ญ | เผอิญเป็นผิดอย่างแต่ปางหลัง |
ไม่บอกกล่าวเล่าให้ผู้ใดฟัง | ที่ผิดพลั้งตื้นลึกไม่ตรึกตรอง |
แล้วเปิดหีบหยิบชิ้นดินถนัน | ดูสีสันนั้นยังดีไม่มีหมอง |
นางเชือดใส่ในจานรองพานทอง | เป็นส่วนของสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา |
แต่ส่วนพระมเหสีนั้นที่หนึ่ง | มิให้หึงจะให้รักนั้นหนักหนา |
ให้บุตรีพี่น้องสองสุดา | ถือตามมาหาสุวรรณมาลี |
ให้พี่น้องสององค์วางตรงหน้า | นางวันทาถวายพระมเหสี |
แล้วเล่าความตามที่หลงในพงพี | ไปถึงที่เขาอังกาศเพียงขาดใจ |
เป็นบุญช่วยด้วยว่ากินดินถนัน | จึงผิวพรรณพักตร์หมองก็ผ่องใส |
ฝ่ายองค์พระมเหสีดีพระทัย | ว่าขอบใจแม่วัณฬาหนักหนานัก |
ความรักพี่ดีจริงทุกสิ่งสิ้น | สมเป็นปิ่นปถพีที่มีศักดิ์ |
ทั้งชาตินี้พี่กับน้องจะครองรัก | สาพิภักดิ์พึ่งพาพระบารมี |
แล้วหยิบชิ้นดินถนันนั้นเสวย | พลางชวนเชยสองรามารศรี |
สร้อยสุวรรณจันทร์สุดากุมารี | อัญชลีแล้วเสวยชื่นเชยชม |
ต่างโอภาปราศรัยด้วยใจซื่อ | มิได้ถือชอบชิดสนิทสนม |
เดชะฌานท่านโยคีให้นิยม | ปลงอารมณ์รักกันไม่ฉันทา ฯ |