ตอนที่ ๓ ศรีสุวรรณเข้าเมืองรมจักร

๏ จะกล่าวถึงอนุชานิทราสนิท พระอาทิตย์ยอแสงแฝงพฤกษา
น้ำค้างพรมลมพัดกระพือมา เสนาะเสียงสกุณาสนั่นไพร
ทะเลลึกเลื่อนลั่นสนั่นคลื่น ผวาตื่นหวาดหวั่นฤทัยไหว
ไม่เห็นพี่ที่พุ่มพฤกษาไทร ประหลาดใจปลุกพราหมณ์ทั้งสามนาย
พระเชษฐาข้าไปข้างไหนเล่า เมื่อกี้เป่าปี่เล่นไม่เห็นหาย
ที่ก็เตียนเลี่ยนลาดล้วนหาดทราย จะแฝงกายที่ไหนก็ไม่มี
สามมาณพนิ่งคิดผิดประหลาด หรือภูวนาถนึกอางขนางหนี
จะทอดทิ้งน้องไว้ก็ใช่ที เหตุจะมีสักสิ่งนึกกริ่งใจ
แล้วพากันย่างย่องมองเขม้น ก็พอเห็นรอยเท้าที่ยาวใหญ่
มายั้งหยุดสุดสิ้นเพียงต้นไทร แล้วกลับไปหายลงในคงคา
อันรอยนี้มิใช่รอยมนุษย์ ต่างวิมุติหมางจิตคิดกังขา
หรือยักษีผีเสื้อแกล้งมารยา มาลักพาภูวไนยเอาไปกิน
ศรีสุวรรณเห็นจริงก็ใจหาย ระทวยกายลงกับท่าชลาสินธุ์
พระเนตรนองนัยนาดั่งวาริน กันแสงสิ้นเสือกซบสลบไป ฯ
๏ ทั้งสามพราหมณ์เข้าประคองพระน้องนาถ เห็นอนาถนิ่งแน่เข้าแก้ไข
ร้องเรียกพลางทางแสนสงสารใจ ก็ร่ำไรเรียกหน่อกษัตรา ฯ
๏ ศรีสุวรรณฟื้นองค์ดำรงนั่ง สุชลหลั่งคลอเนตรถึงเชษฐา
โอ้สงสารป่านฉะนี้พระพี่ยา ไปลับตาตายเป็นไม่เห็นกัน
เป็นเพื่อนสุขทุกข์โศกวิโยคยาก ตั้งแต่จากกรุงไกรไอศวรรย์
ระหกระเหินเดินป่าพนาวัน กินเผือกมันต่างข้าวทุกเช้าเย็น
อยู่ด้วยกันหลัดหลัดมาพลัดพราก แต่แสนยากแล้วมิหนำมาซ้ำเข็ญ
นึกนึกแล้วก็น่าน้ำตากระเด็น จะอยู่เป็นคนไปทำไมมี
สะอื้นอ้อนข้อนทรวงเข้าฮักฮัก วรพักตร์ผุดผ่องก็หมองศรี
กันแสงทรงโศกศัลย์พันทวี อยู่กับที่หาดทรายชายคงคา ฯ
๏ ทั้งสามพราหมณ์เข้าประคองแล้วร้องไห้ น้ำตาไหลพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา
ต่างนบนอบปลอบหน่อกษัตรา อย่าโศกาตรอมนักจงหักใจ
อันกำเนิดเกิดมาในหล้าโลก สุขกับโศกมิได้สิ้นอย่าสงสัย
ซึ่งเกิดเหตุเชษฐาเธอหายไป ก็ยังไม่รู้เห็นว่าเป็นตาย
ควรจะคิดติดตามแสวงหา แล่นนาวาไปในวนชลสาย
แม้นพระพี่มิม้วยชีวาวาย ก็ดีร้ายจะได้พบประสบกัน
ข้าทั้งสามก็จะตามเสด็จด้วย ผิดชอบช่วยไปกว่าจะอาสัญ
จงดับทรงโศกาอย่าจาบัลย์ จะเนิ่นวันเสียเปล่าไม่เข้ายา ฯ
๏ พระฟังสามพราหมณ์ปลอบก็ชอบจิต แสนสนิทยิ่งกว่าญาติวงศา
ค่อยมีแรงแข็งขืนกลืนน้ำตา จึงบัญชาชมพราหมณ์ทั้งสามคน
ถึงมาตรแม้นเป็นเพื่อนก็เหมือนพี่ ด้วยน้องนี้ก็ยังเยาว์เฉาฉงน
พี่ช่วยคิดติดตามเมื่อยามจน พระคุณล้นล้ำลบภพไตร
แต่ทะเลลึกกว้างถึงอย่างนี้ ไม่รู้ที่จะตามติดไปทิศไหน
จะผ่อนปรนบนบานประการใด จึงจะได้แจ้งจิตในกิจจา ฯ
๏ เจ้าสานนคนฉลาดเฉลยตอบ พ่อคิดชอบอย่างนี้ดีหนักหนา
พี่ได้ครูรู้เรียนตำรามา จะจับยามสามตาให้แน่นอน
แล้วนับนิ้วนิ่งนั่งตั้งสติ ตามลัทธิเรียนรู้ที่ครูสอน
ทั้งลมจันทกาลาพยากรณ์ เห็นแน่นอนแม่นยำแล้วทำนาย
อย่าครวญคร่ำรำพึงถึงพระพี่ มีสตรีพาไปดังใจหมาย
เขาอุปถัมภ์ค้ำชูอยู่สบาย พอเคราะห์คลายเห็นจะพบประสบกัน
อยู่ข้างทิศอาคเนย์ทะเลลึก พระอย่านึกแหนงว่าจะอาสัญ
เรารีบเร่งออกเรือเผื่อจะทัน แล้วพากันลงมาเภตรากล
ถอนสมอช่อใบขึ้นใส่เสา จัดให้เจ้าโมราเป็นต้นหน
หน่อกษัตริย์สองพราหมณ์เป็นสามคน ขึ้นนั่งบนบาหลีด้วยปรีดา
พอสิ้นแสงสุริยันจันทร์กระจ่าง ส่องสว่างกลางทะเลพระเวหา
ต้องพระพายชายพัดกระพือพา สำเภาหญ้าฝ่าคลื่นมากลางชล
พระเล็งแลตามกระแสชลาสินธุ์ สิขรินเกาะแก่งทุกแห่งหน
ละลิบลิ่วทิวเมฆเป็นหมอกมน เห็นแต่ชลกับมัจฉาดาราพราย
เวลาค่ำน้ำเค็มก็พร่างพร่าง แวมสว่างวาบวับระยับฉาย
เสมอเม็ดเพชรรัตน์โมราราย แจ่มกระจายพรายพร่างกลางชลา
พระเอนองค์ลงบนแท่นท้ายบาหลี แสนทวีพูนเทวษถึงเชษฐา
จนเดือนดับลับลงในคงคา สุริยาพุ่งพ้นชลธาร ฯ
๏ สำเภาน้อยลอยลำครรไลล่อง ขึ้นฟูฟ่องระลอกกระฉอกฉาน
พระชมหมู่มัจฉากุมภาพาล ขึ้นผุดพล่านตามหลังมาพรั่งพรู
ฉนากฉลามตามคลื่นอยู่คลาคล่ำ ทั้งช้างน้ำโลมาแลราหู
มังกรเกี่ยวเลี้ยวล่องท้องสินธู เป็นคู่คู่เคียงมาในวารี
คิดคะนึงถึงองค์พระเชษฐา ถ้าแม้นมาด้วยน้องเป็นสองศรี
จะชวนชมฝูงสัตว์ในนัทที โอ้ยามนี้น้องมาดูแต่ผู้เดียว
จะเหลียวซ้ายแลขวาก็ว้าเหว่ ท้องทะเลลึกล้ำล้วนน้ำเขียว
คลื่นระลอกกลอกกลิ้งเป็นเกลียวเกลียว ทางก็เปลี่ยวใจก็เปล่าเศร้าฤทัย
ยิ่งโศกแสนอาดรูพูนเทวษ ชลเนตรหล่อหลั่งละลุมไหล
เจ้าพราหมณ์น้อยคอยปลอบประโลมใจ แล้วชวนให้ชมละเมาะทุกเกาะเกียน
แลสลับซับซ้อนสิงขรเขา เป็นเหล่าเหล่าหลายหลากดังฉากเขียน
ที่เชิงชั้นรุกขชาติสะอาดเตียน พิศเพี้ยนสีเคลือบเมื่อเหลือบแล
พระชม้อยค่อยเพลินเจริญจิต นิ่งพินิจเขาไม้ในกระแส
เห็นเงือกงามพราหมณ์ชี้ว่านี่แน พ่อจงแลดูนางกลางชลา
มีเผ้าผมนมเนื้อเนตรขนง ทั้งรูปทรงน่ารักเป็นนักหนา
เสียแต่เพียงพื้นล่างเป็นหางปลา กับพูดจานั้นไม่เป็นเหมือนเช่นเรา
พระแย้มยิ้มพริ้มพรายภิปรายซัก ใจพี่รักจะใครได้หรือไม่เล่า
เจ้าพราหมณ์แกล้งตอบความเป็นสำเนา แม้นได้เปล่าจะคำนับรับประทาน
พลางสำรวลชวนชื่นด้วยเชิงฉลาด พระหน่อนาถปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
กำหนดนับวันมาก็ช้านาน ไม่พานพบเชษฐาเหมือนอารมณ์ ฯ
๏ เป็นบุพเพสันนิวาสพาสนา กษัตราจะได้คู่ที่สู่สม
สำเภาน้อยลอยแล่นมาตามลม ลุอุดมรมจักรนครา
ที่ตรงหน้าธานีนั้นมีเกาะ เรือจำเพาะเข้าออกตามซอกผา
เห็นหอคอยลอยลิ่วตรงทิวตา ก็รู้ว่าปากน้ำเป็นสำคัญ
พระปรึกษาว่ากับพราหมณ์ทั้งสามพี่ นครนี้น้องเห็นจะคับขัน
จึงระวังตั้งกองอยู่ป้องกัน จะเป็นจันตประเทศหรือท้าวไท ฯ
๏ ได้ฟังถามพราหมณ์ทูลสนองตอบ อันเขตขอบเห็นเป็นทีบุรีใหญ่
เราแวะเข้าดูเล่นก็เป็นไร เผื่อจะได้ข่าวที่พระพี่ยา
แต่เรือเราเผาเสียจึงจะได้ อย่าให้ใครเห็นอย่างว่าฟางหญ้า
พ่อแต่งองค์มาตามพราหมณ์พฤฒา จะได้พากันเที่ยวดูพระบูรี
เห็นพร้อมกันหันลำสำเภาล่อง เข้าตามช่องหว่างเชิงคิรีศรี
ชาวด่านเห็นนาวาเข้าธานี ก็ขึ้นตีกลองดังให้รั้งรอ
เจ้าพราหมณ์ปลดลดใบทั้งท้ายหน้า เข้าถึงท่าเรือจอดทอดสมอ
พระแต่งองค์เป็นพราหมณ์งามลออ เอาเพลิงจ่อจุดเผาสำเภายนต์
เพลิงสว่างกลางวันเป็นควันกลุ้ม ชาวด่านรุมกันมาดับอยู่สับสน
ก็ขึ้นฝั่งวารีทั้งสี่คน สำเภายนต์โทรมลงในคงคา ฯ
๏ ฝ่ายนายหมวดตรวจตรารักษาด่าน แสนสงสารพราหมณ์น้อยเป็นนักหนา
จึงร้องเรียกมานั่งยังศาลา แล้วพูดจาปราศรัยเป็นไมตรี
เจ้าเชื้อพราหมณ์พรหเมศประเทศไหน จึงใช้ใบนาวามาถึงนี่
พอเรือจอดมอดม้วยด้วยอัคคี สินค้ามีในสำเภาสักเท่าไร
น่าประหลาดหลากจิตคิดฉงน แต่สี่คนก็ช่างมาเภตราได้
ขอถามเจ้าเผ่าพราหมณ์นี้นามใด ดูรูปร่างช่างกระไรล้วนงามงาม ฯ
๏ เจ้าสานนคนฉลาดเฉลยถ้อย ให้เรียบร้อยตอบคำที่ร่ำถาม
อันพวกเราเผ่าปราณสังวาลนาม อยู่บ้านคามวาสีล้วนพี่น้อง
เราชื่อว่าสานนเป็นคนใหญ่ ถัดนั้นไปเจ้าวิเชียรเป็นที่สอง
คนนั้นชื่อโมรานุชารอง ที่สุดท้องคนนี้ศรีสุวรรณ
เรียนเป็นแพทย์วิทยารักษาโรค จะดับโศกสังเวชทุกเขตขัณฑ์
ประสงค์สิ่งสรรพยาจึงพากัน มาเลือกสรรสืบเสาะตามเกาะเกียน
ได้สำเร็จเสร็จสรรพจะกลับบ้าน พอลมพานพาพัดฉวัดเฉวียน
ทั้งต้นหนคนท้ายก็ตายเตียน สำเภาเจียนอับปางลงกลางชล
จะไปทางทิศไหนก็ไม่รู้ เที่ยวแล่นอยู่กลางทะเลระเหระหน
มาถึงบ้านท่านนี้เห็นมีคน ต้องไฟไหม้ไต้ลนเหลือแต่กาย
เคราะห์ข้าเจ้าคราวนี้ใครจะเห็น เผอิญเป็นคิดไปแล้วใจหาย
อันเมืองนี้นามใดไฉนนาย จงขยายเรื่องเล่าให้เข้าใจ ฯ
๏ นายด่านนั่งฟังคำที่ร่ำว่า เสน่หาลุ่มหลงไม่สงสัย
จึงบอกความตามจริงทุกสิ่งไป นี่กรุงไกรรมจักรนครา
อันพระองค์ผู้ดำรงอาณาราษฎร์ นามพระบาทท้าวทศวงศา
มีโฉมยงองค์ราชธิดา ชื่อนางแก้วเกษราวิลาวัณย์
ด้วยเนื้อนางอย่างกลิ่นสุคนธ์รื่น เป็นที่ชื่นชมโฉมประโลมขวัญ
เมื่อเดือนสี่ปีก่อนนั้นโสกันต์ เดี๋ยวนี้นั้นชันษาสิบห้าปี
พระรูปโฉมก็ประโลมลานสวาท ดูผุดผาดพึ่งรุ่นเจริญศรี
กรุงกษัตริย์ขัตติยาทุกธานี มาขอสู่ภูมีไม่ให้ใคร
เมื่อปีกลายฝ่ายท้าวอุเทนราช เป็นเชื้อชาติชาวชวาภาษาไสย
อานุภาพปราบทั่วทุกกรุงไกร เป็นเมืองใหญ่กว่ากษัตริย์ขัตติย์วงศ์
ให้ทูตามาสนองละอองบาท จะขอราชธิดาโดยประสงค์
แม้นไม่ให้จะประจญรณรงค์ กับผู้พงศ์จักรพรรดิขัตติยา
ข้างเจ้านายฝ่ายเรามิได้ให้ ว่าท้าวไทเป็นนอกพระศาสนา
แล้วกริ่งเกรงไพรีจะบีฑา จึงเกณฑ์มาตั้งกองอยู่ป้องกัน
ไปปีหน้าถ้าย่างเข้าเดือนยี่ เห็นจะมีการทัพถึงคับขัน
แสนสงสารเจ้าพราหมณ์นี้ครามครัน จะผายผันไปบ้านประการใด
จงประทับยับยั้งอยู่ที่นี่ ถ้าแม้นมีเภตรามาแต่ไหน
ข้าจะช่วยออกปากฝากเขาไป คงมิให้อดอยากลำบากกาย ฯ
๏ เจ้าพราหมณ์ตอบชอบคำเป็นที่ยิ่ง ไม่มีสิ่งใดให้เหมือนใจหมาย
แม้นเอ็นดูก็จะอยู่สำนักนาย ตัวไม่ตายก็ไม่ลืมพระคุณเลย
แต่มาถึงกรุงไกรจะใคร่เห็น พาไปเล่นสักเวลาเถิดน้าเอ๋ย
สนุกสนานปานใดฉันไม่เคย พอชมเชยเสียสักหน่อยจึงค่อยมา ฯ
๏ ส่วนนายด่านได้ฟังนั่งหัวเราะ ช่างพูดเพราะน่ารักเป็นนักหนา
จะพาไปให้เห็นพระพารา แล้วหยิบย่ามใส่บ่าละล้าละลัง
ออกนำหน้าพาพราหมณ์ไปตามถนน ถึงตำบลกรุงไกรดังใจหวัง
เที่ยวเลียบรอบขอบเขตนิเวศน์วัง แล้วสอนสั่งห้ามปรามเจ้าพราหมณ์พลัน
เห็นผู้หญิงริงเรือที่เนื้อเหลือง อย่ายักเยื้องเกี้ยวพานนะหลานขวัญ
ล้วนนางในไม่ชั่วตัวสำคัญ จะเสียสันเสียเปล่าไม่เข้าการ ฯ
๏ พราหมณ์หัวเราะรับคำที่ร่ำสั่ง พลางชมวังนิเวศน์ประเทศสถาน
งามปราสาทผาดเยี่ยมโพยมมาน ชัชวาลแก้วเก้าวะวาวตา
มีบ้านช่องสองแถวแนวถนน ทั้งผู้คนคึกคักกันนักหนา
มีโรงรถคชไกรไอยรา สนามหน้าจักรวรรดิที่หัดพล
ที่ท้ายวังตั้งล้วนแต่ตึกกว้าน บ้างนั่งร้านสองแถวแนวถนน
นายด่านพาผ่าตลาดต้องหลีกคน ประชาชนซื้อหาพูดจากัน
พวกสาวแก่แลเห็นเจ้าพราหมณ์น้อย ดูแช่มช้อยน่าชมทั้งคมสัน
งามจริตกิริยาสารพัน ต่างชิงกันร้องเรียกออกเพรียกไป
เจ้าพราหมณ์ขามานั่งที่นี่ก่อน แดดยังร้อนจะรีบไปข้างไหน
พระแย้มยิ้มพริ้มพรายละอายใจ นางแม่ค้าอาลัยประโลมลาน
ส่วนนายกองปากน้ำที่นำหน้า ฟังแม่ค้าร้องทักเห็นรักหลาน
มีหมากพลูบุหรี่อยู่ที่ร้าน ตานายด่านแวะขอห่อเอาไป
แล้วเหลียวหน้ามาถามเจ้าพราหมณ์น้อย กินกล้วยอ้อยบ้างหรือพ่อจะขอให้
พระขวยเขินเมินเลยทำเฉยไป เจ้าพราหมณ์ใหญ่เคียงคลอจรลี ฯ
๏ จะกล่าวถึงสาวใช้ในนิเวศน์ เป็นวิเสทพระธิดามารศรี
ชื่อกระจงพงศ์ไพร่กระฎุมพี ยังไม่มีลูกผัวตัวคนเดียว
ออกตลาดนาดกรายเที่ยวจ่ายของ ทำยิ้มย่องยักเยื้องชำเลืองเหลียว
เห็นคนดูเจ้าพราหมณ์ตามกันเกรียว ทำลดเลี้ยวเล็งแลอยู่แต่ไกล
เห็นโฉมงามพราหมณ์น้อยกลอยสวาท ใจจะขาดลงด้วยคิดพิสมัย
ทิ้งกระบุงตะกร้าไม่อาลัย ได้ดอกไม้วิ่งตามเจ้าพราหมณ์มา
สู้แทรกเสียดเบียดคนเข้าจนชิด ดัดจริตนั่งไหว้ให้บุปผา
พระขวยเขินเมินพักตร์ไม่พูดจา คนเขาฮาโห่ลั่นสนั่นไป
อีกระจงหลงลืมละอายเหนียม ทำและเลียมรอเรียงเข้าเคียงไหล่
เห็นพราหมณ์ไม่เกี้ยวพานรำคาญใจ ใครเฮฮาด่าให้ด้วยโกรธา ฯ
๏ จะกล่าวถึงท่านยายนายวิเสท ครั้นสุริเยศบ่ายคล้อยก็คอยหา
อีกระจงเป็นกระไรมิใคร่มา จึงสั่งข้าคนใช้ให้ไปตาม
นางทาสามาถึงท้องตลาด เห็นกระจาดทิ้งไว้เที่ยวไต่ถาม
เขาบอกว่าข้าเห็นไปตามพราหมณ์ ก็รีบตามติดพันไปทันตัว
เห็นเดินตามพราหมณ์น้อยทำลอยหน้า นายทาสาเข้าขยิกจิกเอาหัว
พาเข้าไปให้ท่านยายเป็นนายครัว แกเห็นตัวจับไม้เข้าไล่ตี
แล้วว่าเอาข้าวของไปไหนเสีย กระบุงเบี้ยหมดมาน่าบัดสี
หรือเที่ยวสู่ชู้ผัวของมึงมี หรือเจ้าหนี้ยื้อแย่งจงแจ้งความ ฯ
๏ อีกระจงหลงใหลไม่ได้สิบ ทำอุบอิบกล่าวเท็จไม่เข็ดขาม
ข้านี้ได้เสียตัวมีผัวพราหมณ์ รูปเธองามตะละหุ่นเจียวคุณยาย
ให้คำมั่นสัญญามาเมื่อกี้ ว่าจะตีจานทองของถวาย
พรุ่งนี้นัดให้ฉันพามาหานาย พอคุณยายใช้ให้เขาไปเอาตัว ฯ
๏ นายวิเสทซ้ำด่าอีหน้าด้าน ยังให้การชมงามเจ้าพราหมณ์ผัว
ทรลักษณ์รักเขาจนเมามัว จะคิดกลัวเกรงใครก็ไม่มี
กูจะไปแจ้งคดีพระพี่เลี้ยง ให้ไล่เลียงเฆี่ยนส่งไปโรงสี
ยิ่งโกรธาด่าทอแล้วจรลี มาถึงสี่พี่เลี้ยงพระธิดา
จึงแจ้งความตามอีกระจงเล่า มันชมเจ้าชู้พราหมณ์งามนักหนา
เห็นผูกพันฟั่นเฝือเหลือตำรา จะด่าว่าสักเท่าไรก็ไม่กลัว ฯ
๏ พระพี่เลี้ยงได้ฟังนั่งหัวร่อ มันยกยอกันว่าเหมาะเพราะเป็นผัว
จะให้พวกขอเฝ้าไปเอาตัว ดีหรือชั่วก็คงเห็นว่าเช่นไร
ปรึกษาพลางทางลงจากตำหนัก มาถามซักอีกระจงเห็นหลงใหล
จึงสั่งให้พวกข้างหน้าพาออกไป มันว่าชู้อยู่ที่ไหนเอาตัวมา
พวกขอเฝ้าเข้าจูงอีทาสี มาถึงที่ท้องตลาดเที่ยวแลหา
เห็นเจ้าพราหมณ์ตามกันจรัลคลา อีทาสาจึงเข้าชี้ว่านี่แน
พวกขอเฝ้าเข้าล้อมเจ้าพราหมณ์น้อย แล้วกล่าวถ้อยไต่ถามตามกระแส
นี่หรือเหล่าเจ้าชู้ไม่ดูแล ทำกอแกก่นแต่เที่ยวเกี้ยวชาววัง
ถึงกระไรได้ชมก็สมหน้า นี่คบค้าเป็นเมียจะเสียหลัง
ท่านให้หาเร็วเถิดพ่ออย่ารอรั้ง คุณในวังออกมาอยู่ประตูกลาง ฯ
๏ ฝ่ายตาเฒ่าชาวด่านได้ยินว่า แกโกรธาฮึดฮัดเข้าขัดขวาง
เมื่อหลานข้ามาเที่ยวเล่นตามทาง ได้เกี้ยวนางชาววังเมื่อครั้งไร
อีคนนี้ฝีปากมันจัดจ้าน มาเกี้ยวพานหลานข้าหาว่าไม่
มิใช่ชาวบ้านนอกมาหลอกใคร ผิดก็ใส่กันกับเจ้าจนเย็บตา ฯ
๏ ขอเฝ้าว่าตานี่โมโหร้าย จะเอาหวายลงหลังกระมังหนา
ท่านทั้งสี่พี่เลี้ยงพระธิดา จะให้หาเข้าไปถามตามทำนอง
แล้วปลอบว่ามาไปเถิดเจ้าพราหมณ์ อย่าพูดตามตาคนนั้นมันจองหอง
แล้วพาเข้าวังในดังใจปอง ส่วนนายกองปากน้ำก็ตามมา
ถึงประตูหูช้างข้างฉนวน เห็นแต่ล้วนหม่อมหม่อมอยู่พร้อมหน้า
จึงเข้าไปเล่าแถลงแจ้งกิจจา ได้ตัวมาแล้วจะโปรดประการใด ฯ
๏ ฝ่ายทั้งสี่พี่เลี้ยงเมียงชม้อย เห็นพราหมณ์น้อยโสภาจะหาไหน
ดูผิวเหลืองเรืองรองทองอุไร งามวิไลแลเล่ห์เทวดา
ขนงเนตรเกศกรรณแลกรแก้ม แลแฉล้มน่ารักเป็นนักหนา
พิศวงหลงลืมกะพริบตา เสน่หาปั่นป่วนรัญจวนใจ
ต่างว่างามเหลืองามพ่อพราหมณ์น้อย ช่างเลื่อนลอยล่องฟ้ามาแต่ไหน
หรือหน่อจักรพัตราพาราไกล ธุระอะไรหนอจึงมาถึงธานี
อีคนใช้ใส่ความว่าเป็นชู้ ไม่ควรคู่คบหากับทาสี
เว้นแต่องค์นงนุชพระบุตรี เห็นเต็มดีดุจแก้วแกมสุวรรณ
จำจะลวงหน่วงหนักไว้สักหน่อย ให้พราหมณ์น้อยไปสำนักอยู่สวนขวัญ
ดำริพลางทางสั่งขอเฝ้าพลัน เห็นไม่ทันจะปรึกษาเวลาจวน
จะให้อยู่ที่นี่ก็มิได้ ไปส่งให้สองเฒ่าที่เฝ้าสวน
แล้วจะถามความข้อต่อสำนวน สั่งแล้วชวนกันเข้าไปเสียในวัง
ขอเฝ้าว่ามาไปเถิดพ่อเอ๋ย ถ้าละเลยแล้วเห็นจะเล่นหลัง
ฝ่ายเจ้าพราหมณ์ตามใจมิให้ชัง พลางร่ำสั่งนายด่านด้วยมารยา
จงไปบ้านท่านเถิดให้ผาสุก ฉันพ้นทุกข์แล้วเมื่อไรจะไปหา
นายด่านฟังคลั่งคลอหล่อน้ำตา แล้วว่าน้านี้ไม่ทิ้งอย่ากริ่งใจ
จะไปจัดข้าวปลากระยาหาร มาส่งหลานสี่คนให้จนได้
แล้วเดินพลางบ่นพลางตามทางไป คนอะไรอย่างนี้ไม่มีอาย
ทำปล่อยม้าอุปการเที่ยวพาลเขา เห็นโง่เง่าแล้วจะจับไปปรับหมาย
ถ้าทุบตีหลานกูจะสู้ตาย วิ่งถวายฎีกาได้ว่ากัน ฯ
๏ ฝ่ายขอเฝ้าพาพราหมณ์มาตามถนน ถึงตำบลสองเฒ่าเฝ้าสวนขวัญ
จึงบอกแจ้งกิจจาสารพัน เอาพราหมณ์นั้นมอบให้แล้วไคลคลา
ฝ่ายสองเฒ่าทรพลก็บ่นพร่ำ เราจะทำกระไรดีกระนี้หนา
เขาหนุ่มหนุ่มเราผู้คุมคนชรา คงหนีหน้าแล้วจะไล่ที่ไหนทัน
เจ้าพราหมณ์ยิ้มพริ้มพรายธิบายบอก ไม่หนีดอกยายตาอย่าโศกศัลย์
ข้อคดีมีอยู่จะสู้กัน อันโทษทัณฑ์สิ่งใดก็ไม่มี
ยายกับตาว่าเชื่ออย่างไรได้ ที่ไหนใครจะรับว่าข้าจะหนี
ยังมิได้จองจำค่ำวันนี้ เข้าอยู่ที่ในกระท่อมให้พร้อมเพรียง
เจ้าพราหมณ์เดินดีใจเข้าในห้อง ทั้งพี่น้องนั่งหัวร่อไม่ต่อเถียง
เฒ่าชรามานอนที่ระเบียง คอยฟังเสียงเกรียบกรุกลุกขึ้นมอง ฯ
๏ สงสารหน่อสุริย์วงศ์พงศ์กษัตริย์ โทมนัสหม่นไหม้ฤทัยหมอง
ด้วยไม่เคยเชยชู้รู้ทำนอง เฝ้าตรึกตรองตรมจิตคิดรำคาญ
จึงปรึกษาว่าแก่พราหมณ์ทั้งสามพี่ ไม่พอที่น้อยหน้าเขาว่าขาน
พวกขอเฝ้าชาววังมันจังฑาล จะใคร่ผลาญชีวันให้บรรลัย
แต่พี่นิ่งเสียแล้วน้องก็ต้องนิ่ง แค้นผู้หญิงมันยังกลับบังคับได้
ทั้งสามพี่นี้เห็นเป็นอย่างไร จึงนิ่งให้มันว่าเป็นน่าชัง ฯ
๏ พราหมณ์หัวร่อพ่อลืมเสียแล้วหรือ เขาบอกชื่อเสียงให้เหมือนใจหวัง
อันองค์ราชบุตรีที่ในวัง ทุกวันยังมิได้มีราคีพาน
พ่อโฉมงามยามนี้ก็แรกรุ่น ผลบุญช่วยชักสมัครสมาน
ถึงขอเฝ้าเขาไปจับให้อัประมาณ พี่ก็เห็นเป็นตะพานมาชอบกล
เมื่อพบกันวันนี้นางพี่เลี้ยง เห็นมองเมียงตามาสี่ห้าหน
ซึ่งให้คุมไว้ที่นี่ทั้งสี่คน พี่นี้เห็นเป็นกลมารยา
ถ้าแม้นเหมือนหมายมุ่งก็พรุ่งนี้ ร้ายหรือดีจะได้ฟังไม่กังขา
พ่อจงดับโทโสอย่าโกรธา รู้ถึงแก้วเกษราจะน้อยใจ
ทำนองเขาชาววังมักตั้งปึ่ง แต่ไม่ถึงเดือนดอกจะบอกให้
ซึ่งพี่เลี้ยงพระธิดาจะว่าไร พี่จะใคร่รับรองลองคารม ฯ
๏ พระฟังพราหมณ์สามนายยิ่งอายนัก ไม่รู้จักรักร่วมภิรมย์สม
จึงว่าถึงนางฟ้ามาให้ชม ไม่นิยมเลยพี่เป็นความจริง
ใจน้องหวังฟังเหตุพระเชษฐา ใช่จะมาท่องเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง
พี่รักเขาชาววังยังประวิง ก็อ้อยอิ่งไปเถิดน้องไม่ต้องการ ฯ
๏ พราหมณ์หัวร่อพ่ออย่าประมาทหมิ่น อันรูปกลิ่นรสเสียงสำเนียงหวาน
กับสัมผัสสตรีฤดีดาล เห็นวิมานลิบลิบไม่พริบตา
พลางหัวเราะเยาะหยอกหน่อกษัตริย์ โสมนัสสรวลสันต์ด้วยหรรษา
เสียงซุบซิบกันไปไม่ไสยา ยายกับตาผัวเมียคอยเงี่ยฟัง
เสียงหัวร่อต่อระริกดังคิกคัก คิดว่าลักนินทาว่าลับหลัง
หุนพิโรธโกรธขึ้งเสียงตึงตัง น้อยหรือยังพึมพำอยู่ทำไม
หรือจะคิดคัดฝาพากันหนี จนป่านนี้แล้วยังไม่หลับใหล
จะให้จำขื่อคาก็ว่าไป คนอะไรชาติชั่วไม่กลัวนาย
หน่อกษัตริย์กับสามเจ้าพราหมณ์น้อย ไม่ตอบถ้อยทุ่มเถียงทำเสียงหาย
นอนอยู่เหนือเสื่อลาดขาดระคาย จนเคลิ้มกายหลับไปในไสยา ฯ
๏ ฝ่ายนารีพี่เลี้ยงในวังราช แสนสวาทพราหมณ์น้อยละห้อยหา
ครั้นสิ้นแสงสุริยนสนธยา มาเฝ้าแก้วเกษราอยู่พร้อมกัน
แล้วทูลเชิญโฉมยงสรงเสวย เหมือนอย่างเคยขับกล่อมถนอมขวัญ
ต่างเพ่งพิศพระธิดาวิลาวัณย์ สารพันไม่มีราคีพาน
คิดถึงงามพราหมณ์น้อยก็น่ารัก ประไพพักตร์เคียงคู่ด้วยสุริย์ฉาน
ทั้งสี่นางต่างคะนึงตะลึงลาน ที่อยู่งานถือพัดก็พลัดมือ
บ้างพลั้งว่าถ้าได้กับเจ้าพราหมณ์ งามต่องามชมเล่นเห็นแล้วหรือ
ทั้งสามนางต่างสดับรับว่าอือ แล้วกลับรื้อได้คิดสะกิดกัน ฯ
๏ ฝ่ายโฉมแก้วเกษราธิดาราช ฟังประหลาดหลากจิตคิดกระสัน
จึงว่าพี่นี้ผิดกว่าทุกวัน อะไรนั่นน่าชมสมกับพราหมณ์
ประภาวดีพี่เลี้ยงฉลาดแก้ ไม่ดอกแม่มิใช่การวานอย่าถาม
เมื่อคืนนี้พี่ฝันสักสามยาม ว่าเจ้าพราหมณ์หนุ่มน้อยคนหนึ่งมา
ดูรูปร่างรุ่นราวคราวพระน้อง ผิวผุดผ่องน่ารักเป็นนักหนา
บุรุษใดในภพโลกา ที่จะหาเปรียบได้นั้นไม่มี
พอเสียงฆ้องย่ำรุ่งสะดุ้งตื่น กับคนอื่นไม่กล้าบอกออกบัดสี
จึงแก้ฝันแม่อุบลจงกลนี เขาว่าดีอยู่แล้วก็แล้วกัน ฯ
๏ พระธิดาว่าฉันมิอยากเชื่อ นี่และเนื้อใส่ไคล้ว่าใฝ่ฝัน
เมื่อตะกี้พี่พูดไม่เช่นนั้น หรือสำคัญข้อผิดจึงปิดบัง ฯ
๏ จงกลนีพี่เลี้ยงฉลาดเฉลย ไม่ลวงเลยพี่จะเล่าเนื้อความหวัง
แม่ประภาแก้ฝันให้ฉันฟัง ว่าเจ้าพราหมณ์งามดังเทวดา
เมื่อตะกี้พี่ชมโฉมพระน้อง นวลละอองน่ารักนั้นนักหนา
คิดถึงพราหมณ์ความฝันแม่ประภา จึงแกล้งว่าเย้ยเยาะหัวเราะกัน
ว่าได้พราหมณ์ความฝันนั้นหนอเจ้า เป็นขอเฝ้าน้องแก้วแล้วขยัน
เมื่อตะกี้พี่พูดก็เช่นนั้น ไม่เสกสรรป้องปิดสักนิดเดียว ฯ
๏ พระเทพินยินคำเห็นล้ำลึก ฤทัยนึกเคืองขุ่นให้ฉุนเฉียว
จึงว่าน้อยไปหรือพี่เช่นนี้เจียว มาแก้เกี้ยวซักซ้อมสมยอมกัน
ถึงจีนจามพราหมณ์แขกที่แปลกชาติ พี่สวาทแล้วมาเปรียบประเทียบฉัน
แกล้งลวงเล่นเห็นรู้ไม่เท่าทัน แต่เช่นนั้นแล้วอย่านึกคะนึงปอง
อันชาตินี้นี่แน่ะพี่อย่าพักหมาย ไม่เคยชายเชยชมประสมสอง
ถึงมาตรแม้นมังสาจะทาทอง ก็ไม่ปองปรารถนาอย่าพาที ฯ
๏ ทั้งสี่นางต่างคนเห็นเคืองขัด ชุลีหัตถ์ปลอบประโลมนางโฉมศรี
แม่เหมือนจันทร์แจ่มฟ้าไม่ราคี จรลีอยู่พื้นโพยมมาน
อันชาติชายเหมือนกระต่ายที่ต่ำชาติ สุดจะมาดที่จะมุ่งหมายสมาน
พี่พูดเล่นเป็นแต่คำให้สำราญ ขอประทานโทษเถิดพระเทพี
แล้วสี่นางต่างคนเข้าขับกล่อม เคียงถนอมนุชนางอยู่ข้างที่
บ้างร้องรับขับไม้มโหรี บ้างดีดสีส่งเสียงสำเนียงครวญ ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ