๏ ฝ่ายฝรั่งบังอลูผู้รับสั่ง |
บอกกรมวังสั่งเวรเกณฑ์ทหาร |
รีบเร่งรัดจัดกันให้ทันการ |
อำเภอบ้านหัวเมืองส่งเนื่องมา |
พวกไปทัพสับสนหาบขนของ |
เดินเนืองนองนับหมื่นแบกปืนผา |
รู้เข้าไปในวังนางรำภา |
ทั้งยุพาผกาสุลาลี |
ให้สืบดูรู้ว่าปัจจามิตร |
มาตั้งติดรบพุ่งถึงกรุงศรี |
ต่างตกใจไปเฝ้าพระเสาวนีย์ |
ทูลคดีที่ได้แจ้งยังแคลงใจ ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์วัณฬาพระยาหญิง |
ตะลึงนิ่งนึกพรั่นประหวั่นไหว |
ให้ซักเหล่าสาวสุรางค์พวกข้างใน |
ศึกถึงไหนไปเที่ยวถามเนื้อความดู |
ได้รู้แน่แต่ว่าเวรเกณฑ์ทหาร |
ราชการเร็วร้อนไพร่อ่อนหู |
จึงให้หาฝรั่งบังอลู |
มาถามดูรู้ว่าสุดสาคร |
กับหัสไชยได้ด่านชานสมุทร |
พระราชบุตรอยู่ดงตาลด่านสิงขร |
จึงถามเหตุเภทพาลแรกราญรอน |
มันยอกย้อนผ่อนแก้พูดแต่ดี |
ครั้นซักไซ้ให้สบถปดไม่ได้ |
ทราบว่าไปรบพุ่งสามกรุงศรี |
ท้าวทศวงศ์พงศาสุมาลี |
ทั้งบุตรีกวาดมาไว้ป่าตาล |
นางตีอกตกใจด้วยไม่ทราบ |
ช่างหยามหยาบยิ่งนักทำหักหาญ |
ข่มเหงเหล่าเผ่าพงศ์พวกวงศ์วาน |
แสนสงสารสองธิดาสุมาลี |
นางวัณฬาปรารมภ์จนลมจับ |
ระทวยทับธิดารำภาสะหรี |
นวดอังสายาดมค่อยสมประดี |
นางโศกีตีอุราร่ำจาบัลย์ |
แสนสงสารบ้านเมืองจะเคืองแค้น |
ทุกเขตแคว้นไพร่ฟ้าจะอาสัญ |
แล้วตรัสถามสามนางเป็นอย่างนั้น |
จะผ่อนผันคิดอ่านประการใด ฯ |
๏ ทั้งสามนางต่างคิดเห็นผิดนัก |
เหลือที่จักผันแปรคิดแก้ไข |
ต่างอัดอั้นตันตึงตะลึงตะไล |
ถอนใจใหญ่ให้สะอื้นกลืนน้ำตา ฯ |
๏ แต่ลีวันนั้นว่าเพราะพระสังฆราช |
สอนให้ขาดญาติวงศ์เผ่าพงศา |
ถ้าไปห้ามปรามพระมังคลา |
ให้งอนข้อขอสมาสุมาลี |
ทั้งทรงยศทศวงศ์เห็นคงรับ |
ให้สององค์คงกลับไปกรุงศรี |
ถึงลูกผิดคิดถึงพระชนนี |
กลัวแต่ที่เธอไม่วอนไม่อ่อนตาม ฯ |
๏ นางวัณฬาว่าไม่ฟังพระสังฆราช |
คงวิวาทขาดเด็ดไม่เข็ดขาม |
จะให้เจ้าเหล่านี้ไปไม่ได้ความ |
ข้าต้องตามไปให้ปะจึงจะดี |
นางรำภามาไปด้วยกันเจ้า |
ช่วยโลมเล้าพี่น้องทั้งสองศรี |
แล้วสั่งกรมวังว่าอย่าช้าที |
เทียมรถที่มีฝาหลังคาบัง |
อีสาวใช้ไปข้างนอกบอกขอเฝ้า |
เร็วเร็วเข้าเราจะไปเหมือนใจหวัง |
พวกท้าวนางต่างประหม่าละล้าละลัง |
กรมวังวิ่งพัลวันไป |
เทียมรถรัตน์จัดเร่งกันเซงแซ่ |
ทั้งเกณฑ์แห่กลองชนะปี่ไฉน |
รถสำหรับรับรำภาเสนาใน |
มาเทียบไว้เกยลาหน้าพระลาน ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์วัณฬารำภานาฏ |
สำอางอาตม์อ่าองค์สรงสนาน |
ประดับเครื่องเรืองจำรัสชัชวาล |
พนักงานพัชนีพัดวีลม |
ทรงเกือกทองรองบาทต่างยาตรเยื้อง |
นางเชิญเครื่องเนื่องตามล้วนงามสม |
ขุนหมื่นหมอขอเฝ้าทั้งเจ้ากรม |
กราบบังคมคอยตามกันหลามไป |
ทั้งสององค์ทรงรถพระกลดกั้น |
รถกำนัลนั่งเคียงเรียงไสว |
สารถีตีม้าเคลื่อนคลาไคล |
ปี่ไฉนกลองชนะตีประโคม |
ขนัดนอกหอกดาบกำซาบสะพรั่ง |
ทั้งหน้าหลังสังข์แตรเป่าแห่โหม |
อภิรุมชุมสายพรายโพยม |
ครั้นค่ำโคมคบสว่างตามทางไป |
ต่อย่ำฆ้องสองยามหยุดประทับ |
ครั้นรุ่งขับคนเดินเนินไศล |
กำลังทุกข์ยุคเข็ญเห็นสิ่งใด |
นางมิได้ชื่นชมด้วยตรมทรวง |
แต่ขอเฝ้าเจ้าชู้ไม่รู้ทุกข์ |
แสนสนุกเสนหานางข้าหลวง |
เก็บดอกไม้ในป่าบุปผาพวง |
ทั้งมะม่วงมะปรางให้นางใน |
นางสาวสาวน้าวกิ่งชิงกันเก็บ |
จนเสียเล็บแลหาน้ำตาไหล |
บ้างท้าวแขนแหงนชมพนมไพร |
ดูนกไม้ต่างต่างตามทางมา ฯ |
๏ ฝ่ายพวกพ้องกองร้อยรายคอยข่าว |
รู้เรื่องราวรีบเดินตามเนินผา |
ถึงด่านเข้าเฝ้าพระมังคลา |
ทูลว่าพระมารดามาในไพร ฯ |
๏ ฝ่ายเอกองค์ทรงยศโอรสราช |
ฟังประหลาดหลากจิตคิดสงสัย |
ปรึกษาน้องสองหลานรำคาญใจ |
หรือใครไปเพ็ดทูลจึงวุ่นวาย |
พระอนุชาว่าเห็นจะเป็นแน่ |
จะคิดแก้อย่างไรเห็นไม่หาย |
อย่าให้พบหลบลี้ดูดีร้าย |
ให้แต่ฝ่ายผู้เฒ่าอยู่เฝ้าฟัง |
พระมังคลาว่าจริงพี่กริ่งตรึก |
ที่พวกผลึกรมจักรซึ่งกักขัง |
แม้พบปะจะปล่อยคอยระวัง |
แล้วตรัสสั่งนายทหารเป็นการลับ |
อาญาสิทธิ์ผิดชอบจงลอบบอก |
กองในนอกนายประตูดูกำกับ |
ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังสั่งกำชับ |
ครั้นเสร็จสรรพชวนพระน้องสองนัดดา |
ขึ้นอยู่ป้อมพร้อมพรั่งกันทั้งสี่ |
คิดแต่ที่ทำศึกต่างปรึกษา |
ฝ่ายนายหมวดตรวจกำกับกำชับกำชา |
บอกกิจจาแจ้งทั่วทุกตัวคน ฯ |
๏ ฝ่ายนางนาถมาตุรงค์ทรงพระยศ |
เร่งรีบรถแรมทางมากลางหน |
ถึงดงตาลด่านใหญ่ดูไพร่พล |
ไม่เห็นหนผู้ใดเดินไปมา |
นอกประตูอยู่แต่คนแก่เฒ่า |
จึงเรียกเข้ามาประณตริมรถา |
แล้วตรัสถามตามระแวงแคลงวิญญาณ์ |
พระมังคลาไปอยู่หนตำบลใด ฯ |
๏ พวกผู้เฒ่าเฝ้าฟังรับสั่งถาม |
จึงทูลความเคลือบแฝงแถลงไข |
พระหน่อนาถราชโอรสยศไกร |
เสด็จไปลังกาได้ห้าวัน |
ปิดประตูผู้ใดเข้าในด่าน |
จะประหารชีวาให้อาสัญ |
ข้าพเจ้าเข้ามาแต่อารัญ |
ต้องพากันขัดค้างอยู่อย่างนี้ ฯ |
๏ นางดำริตริตรึกนิ่งนึกแหนง |
เห็นจะแกล้งไม่ให้พบคิดหลบหนี |
จึงซักไซ้ใครเล่าเฝ้าบุรี |
หรือไม่มีตัวทหารประการใด |
พวกคนแก่แก้ว่าข้าพเจ้า |
มิได้เข้าไปเห็นว่าเป็นไฉน |
นางทรงฟังสั่งบรรดาพวกข้าไท |
จงเรียกให้เปิดบานทวารบัง |
นายประตูผู้ใดมิได้ขาน |
เป็นช้านานนางให้ซ้ำร้องคำหลัง |
มิให้เราเข้าไปก็ไม่ฟัง |
จะฟันพังประตูเข้าบูรี |
สักครู่หนึ่งจึงเห็นคนบนหอรบ |
นั่งนอบนบนางวัณฬามารศรี |
ร้องถามชายนายขอเฝ้าพระเสาวนีย์ |
ออกมานี้ราชการสถานใด ฯ |
๏ ขอเฝ้าว่ามาช่วยหน่อวรนาถ |
ดำริราชสงครามตามวิสัย |
ทั้งเยี่ยมเยือนเหล่าพลสกลไกร |
ตามพระทัยกรุณาทั้งธานี |
เร็วเร็วเถิดเปิดบานทวารรับ |
รถจะได้ไปประทับพลับพลาศรี |
จะขัดขวางค้างอยู่นอกบูรี |
โทษจะมีเหมือนขบถประทษร้าย ฯ |
๏ พวกหอรบหลบหน้าโยธาหาญ |
จึงเปิดบานประตูได้ดังใจหมาย |
เข้าในเมืองเนื่องมาประดานาย |
กราบถวายวันทาพร้อมหน้ากัน |
เชิญประทับพลับพลาตรงหน้าป้อม |
ทหารล้อมวงรอบเป็นขอบขัณฑ์ |
นางกษัตริย์ตรัสสั่งคนทั้งนั้น |
เองพากันไปบอกพระมังคลา |
ให้พาน้องสองหลานทหารเก่า |
มาหาเราเราธุระจะมาหา |
ฝ่ายขุนนางพรางความตามสัญญา |
พระไปวังลังกาได้ห้าวัน |
วางพระทัยให้ข้ารักษาด่าน |
ราชการเตรียมตรวจกันกวดขัน |
นี่หากพระเสด็จมาจึงพากัน |
มาคอยรับอภิวันท์ฟังบัญชา ฯ |
๏ นางตรัสถามความเรื่องเมืองผลึก |
มาขังตึกไว้ที่ไหนจะไปหา |
ทั้งพระยศทศวงศ์ซึ่งส่งมา |
มึงช่วยพาไปให้พบประสบกัน |
ฝ่ายฝรั่งฟังตรัสให้ขัดข้อง |
กลัวจะต้องโทษกรณ์พูดผ่อนผัน |
ไม่ทราบความตามจริงทุกสิ่งอัน |
กระหม่อมฉันข้าทหารใช้ราญรอน |
นางเคืองขัดตรัสด่าพวกข้าเฝ้า |
มึงโฉดเฉาช่างไม่บอกพูดหลอกหลอน |
จะทำให้ไพร่ฟ้าประชากร |
ได้เดือดร้อนรบราต้องฆ่าฟัน |
กูเคยพบรบสู้เคยรู้เห็น |
ที่ยุคเข็ญเย็นร้อนคิดผ่อนผัน |
มึงสอพลอยอเจ้าทิ้งเผ่าพันธุ์ |
จะพากันฉิบหายล้มตายไป |
กูเลี้ยงลูกปลูกฝังเห็นพลั้งผิด |
จึงตามติดคิดแต่จะแก้ไข |
มึงขัดขวางอย่างนี้จะมีภัย |
ไสหัวไปให้พ้นอ้ายคนพาล ฯ |
๏ ฝ่ายรำภาสะหรีเห็นที่ขัด |
เข้าห้องผลัดเครื่องประดับสำหรับทหาร |
ใส่เกราะเพชรเตร็จตรัจชัชวาล |
แล้วถือขวานออกหน้าพลับพลาพลัน |
ประกาศว่าข้าเฝ้าเหล่าอำมาตย์ |
เป็นข้าบาทบทเรศทั้งเขตขัณฑ์ |
ใครเสียสัตย์ขัดข้องคิดป้องกัน |
กูจะฟันเสียให้ตายทำลายลง ฯ |
๏ ฝ่ายพวกพลคนผู้เฒ่าชาวผลึก |
ต้องเฝ้าตึกปัดเป่ากวาดเผ้าผง |
ได้ยินความถามไต่ดังใจจง |
จึงเดินตรงเข้าไปทูลซึ่งมูลความ |
อันองค์พระมเหสีบุตรีผลึก |
ต้องใส่ตึกกักขังอยู่ทั้งสาม |
ทหารล้อมพร้อมคุมทุกทุ่มยาม |
จงทราบความตามจะโปรดที่โทษทัณฑ์ ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์วัณฬารำภาสะหรี |
ต่างยินดีด้วยได้จริงทุกสิ่งสรรพ์ |
จากพลับพลาพาขอเฝ้าเหล่ากำนัล |
ผู้เฒ่านั้นนำไปเหมือนใจจง |
ถึงตึกขังบังห้องทั้งสองตึก |
พวกผลึกทูลความตามประสงค์ |
ฝ่ายฝรั่งพรั่งพร้อมพวกล้อมวง |
เห็นโฉมยงองค์ละเวงกลัวเกรงครัน |
ต้องหลีกเหล่าชาววังไปทั้งพวก |
แล้วถอดหมวกเหมือนไหว้เจ้าไอศวรรย์ |
กุญแจใส่ใบบานเอาขวานฟัน |
แล้วตามกันเข้าในห้องทั้งสองนาง ฯ |
๏ เห็นองค์พระมเหสีบุตรีน้อย |
ซูบเศร้าสร้อยมิได้หวีเกศีสาง |
เข้ากราบลงตรงที่เพลาพี่นาง |
สะอื้นพลางนางวัณฬาโศกาลัย |
โอ้พระพี่วิบากมายากแค้น |
ต้องโศกแสนเศร้าหมองไม่ผ่องใส |
มิควรเป็นเวรสร้างแต่ปางใด |
จึงทำให้ขัดขวางถึงอย่างนี้ |
เพราะลูกชั่วตัวน้องก็ต้องผิด |
อย่าเพ่อคิดถือโกรธโปรดเกศี |
เสียแรงน้องครองสัตย์สวัสดี |
นึกเหมือนพี่ร่วมครรภ์ไม่ฉันทา |
เพราะเจ้ากรรมทำเข็ญให้เป็นโทษ |
เสียประโยชน์ญาติวงศ์เผ่าพงศา |
แต่ทราบข่าวเช้าค่ำกลืนน้ำตา |
เหมือนน้องฆ่าพี่นางให้วางวาย ฯ |
๏ ส่วนสุวรรณมาลีเห็นดีนัก |
กอดน้องรักร้องไห้จิตใจหาย |
สะอื้นอ้อนอ่อนระหวยระทวยกาย |
พระหัตถ์ฟายชลนาร่ำจาบัลย์ |
เป็นบุญแท้แม่ละเวงวัณฬาน้อง |
เหมือนร่วมท้องดีจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
สาพิภักดิ์รักพี่เหมือนชีวัน |
จะสู้ม้วยด้วยกันไม่ฉันทา |
ถึงลูกเต้าเขาชังก็ช่างเขา |
แต่ใจเราเรายังรักกันหนักหนา |
ลูกกำเนิดเกิดครรภ์แม่วัณฬา |
เหมือนลูกพี่มิได้ว่าแม่อาธรรม์ |
ทั้งสองนางต่างสลดกำสรดสะอื้น |
สุดจะขืนฝืนแรงกันแสงศัลย์ |
สิ้นกำลังทั้งสองตระกองกัน |
สะอื้นอั้นอ่อนซบสลบลง |
ทั้งรำภาสะหรีโศกีร่ำ |
เรียกเอาน้ำหอมชโลมโสรจโซมสรง |
เกสรสดรสรื่นค่อยฟื้นองค์ |
ต่างดำรงหฤทัยให้ประทัง |
นางวัณฬาว่าน้องจะเชิญพระพี่ |
ไปส่งที่เมืองใหม่เหมือนใจหวัง |
ทั้งทรงยศทศวงศ์ดำรงวัง |
คืนไปยังรมจักรนครา |
สุมาลีดีใจปราศรัยสนอง |
ขอบคุณของน้องรักนั้นหนักหนา |
อันทรงยศทศวงศ์ซึ่งส่งมา |
เขามิให้ไปหาพูดจากัน |
แม่ควรช่วยด้วยเป็นวงศ์ของทรงเดช |
คืนนิเวศน์เวียงชัยไอศวรรย์ |
นางคำนับรับคำชวนกำนัล |
เชิญสุวรรณมาลีบุตรีมา |
เข้าตึกท้าวทศวงศ์เห็นทรงยศ |
ต่างประณตน้อมประนมก้มเกศา |
ส่วนสององค์ทรงศักดิ์เพ่งพักตรา |
เห็นแม่นมั่นวัณฬาสุมาลี |
ลดพระองค์ลงใกล้ไห้สะอื้น |
ต้องแตกตื่นตายเป็นไม่เห็นผี |
เพราะลูกเจ้าเอามาขังไว้ดังนี้ |
มิรู้ที่ทำกระไรที่ไหนเลย |
หรือทดแทนแค้นเคืองแต่เรื่องหลัง |
ต้องพลาดพลั้งพลอยทุกข์เพราะลูกเขย |
ก็คิดว่าการุญได้คุ้นเคย |
มิควรเลยจริงจริงนะแม่ละเวง ฯ |
๏ นางวัณฬาสารภาพพึ่งทราบเกล้า |
ว่าลูกเต้าเจ้ากรรมทำข่มเหง |
ไม่บอกแม่แต่มันคิดกันเอง |
ไม่ยำเยงเกรงพระราชอาชญา |
แต่ลูกนี้มิได้เป็นใจด้วย |
จะคิดช่วยกำจัดตัดเกศา |
ทั้งสององค์ทรงธรรม์จงกรุณา |
แต่ตัวข้านี้ได้โปรดยกโทษทัณฑ์ |
ที่ลูกหลานพาลผิดคิดขบถ |
มันคนคดควรฆ่าให้อาสัญ |
จะเชิญองค์ทรงเดชคืนเขตคัน |
ทั้งกำนัลเสนาชาวธานี ฯ |
๏ ท้าวทศวงศ์ว่าอ่อพ่อขอโทษ |
มาหลงโกรธแม่วัณฬารำภาสะหรี |
เออลูกเต้าเล่าก็เป็นไปเช่นนี้ |
ไม่พอที่ทำข่มเหงกันเองเลย |
นางพระยามานั่งลูบหลังไหล่ |
แม่ขอบใจแม่วัณฬานิจจาเอ๋ย |
ได้พบเห็นเป็นบุญได้คุ้นเคย |
อย่าโกรธเลยลูกเต้าเหมือนเผ่าพันธุ์ |
ถึงเด็กผิดคิดอาลัยผู้ใหญ่ซื่อ |
มิควรถือโทษกรณ์พอผ่อนผัน |
แม่วัณฬามาลีนี้ดีครัน |
รู้รักกันนี่กระไรขอบใจจริง |
จะรุ่งเรืองเลื่องลือมีชื่อเสียง |
ได้สืบเยี่ยงอย่างเลิศประเสริฐหญิง |
รักกันไปให้ตลอดอย่าทอดทิ้ง |
มีแต่สิ่งสรรเสริญเจริญใจ ฯ |
๏ ทั้งสองนางต่างคำนับน้อมรับสั่ง |
อยู่พร้อมพรั่งทั้งรำภาอัชฌาสัย |
เชิญสองท้าวสาวสรรค์กำนัลใน |
เสด็จไปรถประทับที่พลับพลา |
ท้าวทศวงศ์องค์พระมเหสี |
รำภาสะหรีมียศร่วมรถา |
สุมาลีพี่น้องสองธิดา |
ทั้งวัณฬาร่วมรถบทจร |
พวกไพร่พลคนผลึกรมจักร |
มาพร้อมพรักพรูตามหลามสลอน |
ฝ่ายฝรั่งลังกาพลากร |
ต่างใส่กลอนปิดบานทวารบัง |
นายทหารด้านเหนือใส่เสื้อหมวก |
เป็นพวกพวกขี่ม้าล้อมหน้าหลัง |
แล้วร้องว่าอย่าทำแต่ลำพัง |
พระเจ้าลังกากษัตริย์ตรัสกำชับ |
ให้ขุนนางต่างพระทัยนัยน์เนตร |
รักษาเขตคอยเสด็จจนเสร็จกลับ |
แม้ผู้ใดไม่ฟังบทบังคับ |
ก็จะจับฆ่าฟันให้บรรลัย |
เมืองผลึกรมจักรเป็นนักโทษ |
ยังไม่โปรดพระจะมาพาไปไหน |
คืนส่งมาข้าพเจ้าจะเอาไป |
ใส่ไว้ในตึกขังจึงบังควร ฯ |
๏ ขณะนั้นวัณฬารำภาสะหรี |
ฟังเสนีเนรคุณคิดหุนหวน |
ออกยืนด่าข้าเฝ้าเจ้าสำนวน |
มึงไม่ควรขัดข้องจองหองนัก |
กูบำรุงกรุงไกรยกให้ลูก |
ช่วยฝังปลูกแปลกกูไม่รู้จัก |
พลอยสอพลอก่อศึกทำฮึกฮัก |
พวกอ้ายอกตัญญูเหมือนงูพิษ |
มึงคิดร้ายหมายสู้กูหรือนี่ |
ว่าไม่มีวาสนาอาชญาสิทธิ์ |
ขืนขัดขวางทางไว้มึงไม่คิด |
ประเดี๋ยวนี้ชีวิตจะวายวาง ฯ |
๏ ฝ่ายเสนาว่าพระองค์ดำรงราชย์ |
ก็สิทธิ์ขาดสารพัดไม่ขัดขวาง |
ครั้นตรัสมอบขอบคันสวรรยางค์ |
ให้ขุนนางเชื่อฟังพระมังคลา |
ต้องถือน้ำทำสัตย์เพราะตรัสสั่ง |
จึงเชื่อฟังทรงยศโอรสา |
เดี๋ยวนี้พระจะกลับบังคับบัญชา |
เจ้าลังกาก็จะต้องเป็นสององค์ |
แม้ออกโอษฐ์โปรดขอต่อหน่อนาถ |
อนุญาตยอมตามความประสงค์ |
ไม่ขัดเคืองเบื้องบาทมาตุรงค์ |
ซึ่งพระองค์จะมาทำแต่ลำพัง |
เหมือนถอดหน่อวรนาถราชโอรส |
ให้เสียยศเยี่ยงอย่างแต่ปางหลัง |
ข้าทูลห้ามปรามไว้พระไม่ฟัง |
โทษข้าทั้งปวงนี้ถึงที่ตาย |
แต่พวกพ้องสองเมืองที่เคืองขัด |
จะต้องตัดเอาศีรษะไว้ถวาย |
ไม่รบสู้อยู่เกล้าเป็นเจ้านาย |
คนอื่นหมายมิให้ออกนอกกำแพง ฯ |
๏ นางรำภาว่าอุเหม่อ้ายเดรฉาน |
ยังต้านทานทุ่มเถียงขึ้นเสียงแข็ง |
มากั้นกางขวางขัดสกัดสแกง |
มึงจะแกล้งกลบพระเสาวนีย์ |
ธรรมเนียมนาถมาตุรงค์มิ่งมงกุฎ |
ควรช่วยบุตรบำรุงซึ่งกรุงศรี |
ถึงหน่อไทไม่อยู่ในบูรี |
พระชนนีชี้ขาดราชการ |
ก็ควรฟังทั้งหมดช่วยปลดเปลื้อง |
ให้บ้านเมืองเรืองสมบัติพัสถาน |
ถ้าทำผิดกิจกษัตริย์ไม่ทัดทาน |
จะเกิดการยุคเข็ญไม่เว้นวาย |
ทุกวันวุ่นขุ่นเคืองด้วยเรื่องรบ |
จะเกลื่อนกลบเกลี่ยไกล่เสียให้หาย |
มึงขืนขวางทางไว้ทั้งไพร่นาย |
จะต้องตายโหงทั่วทุกตัวคน |
แล้วแต่งองค์ทรงม้ามือคว้าขวาน |
ไล่ทหารมิให้ขวางทางถนน |
ทั้งนายไพร่ไม่รบหลีกหลบวน |
นางเร่งพลขับรถบทจร ฯ |
๏ ฝ่ายโยธาฝรั่งออกตั้งรับ |
ล้อมหน้าหลังคั่งคับสลับสลอน |
นางรำภากล้าหาญไล่ราญรอน |
มันกลับย้อนแยกวิ่งจับหญิงชาย |
ฉุดลากเหล่าชาวผลึกรมจักร |
เสียงคึกคักร้องกรีดหวาดหวีดหวาย |
นางไล่ฟันโยธาข้างหน้าตาย |
มันเข้าท้ายรถไล่ฆ่าไพร่พล |
พวกขอเฝ้าเจ้ากรมออกสมทบ |
ช่วยเจ้ารบรอนรับกันสับสน |
นางรำภาฆ่านายตายหลายคน |
มันฆ่าพลพวกตามตายครามครัน ฯ |
๏ ท้าวทศวงศ์นงลักษณ์อัคเรศ |
คิดสมเพชพวกโยธาที่อาสัญ |
จึงตรัสห้ามรำภาสะหรีนั้น |
อย่าฆ่าฟันให้ตายวายชีวา |
จะกลับไปให้เขาขังไว้ดังเก่า |
ด้วยพวกเรายับย่อยน้อยหนักหนา |
นางละเวงเกรงว่าพระมังคลา |
จะให้ฆ่าห้ากษัตริย์ด้วยขัดใจ |
จึงร้องว่าฝรั่งสิ้นทั้งหลาย |
บอกเจ้านายมึงให้แจ้งแถลงไข |
อันพวกพ้องสองพารากูพาไป |
รักษาไว้ในวังเมืองลังกา |
ถ้าลูกกูรู้จักรักพ่อแม่ |
อย่าถือแต่ยศศักดิ์ให้หนักหนา |
แล้วให้กลับขับรถเลี้ยวลดมา |
นางรำภาอยู่หลังระวังระไว |
เปิดทวารบานบังออกหลังด่าน |
เหล่าทหารมิได้ห้ามปรามไฉน |
รีบแรมทางกลางป่าพนาลัย |
ถึงกรุงไกรพร้อมเพรียงเข้าเวียงวัง |
ให้สองท้าวสาวสนมรมจักร |
สำนักพักตึกทองทั้งสองหลัง |
ทอดยี่ภู่ปูสุวรรณบัลลังก์ |
แท่นที่ตั้งอย่างกษัตริย์ขัตติยา |
ส่วนสุวรรณมาลีศรีสวัสดิ์ |
อยู่ตึกจัตุรมุขเป็นสุขา |
ทั้งลูกน้อยสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา |
พร้อมทั้งข้าหลวงเหล่าพวกสาวใช้ |
นางวัณฬาอารีปรนนิบัติ |
มิได้ขัดเคืองวิญญาณ์อัชฌาสัย |
เลี้ยงทั้งเหล่าชาวพลสกลไกร |
ทั้งนายไพร่ได้เป็นสุขทั่วทุกคน ฯ |
๏ แต่ฝ่ายข้างนางละเวงวัณฬาราช |
แค้นหน่อนาถนึกเห็นไม่เป็นผล |
แกล้งแอบแฝงแต่งให้พวกไพร่พล |
ไล่ฆ่าคนข่มเหงไม่เกรงใจ |
ข้างพวกพ่อก็ทำระยำยับ |
ทั้งไม่นับถือแม่พูดแก้ไข |
พลางตรัสถามสามนางคิดอย่างไร |
ลูกกลับไปเป็นศัตรูมาดูแคลน |
ทั้งสามนางต่างว่าหนักหนาหนัก |
เหมือนเลี้ยงรักลูกเสือร้ายเหลือแสน |
จะช่วยชุบอุปถัมภ์กลับทำแค้น |
เหมือนเหยียบแผ่นดินผิดจนจิตใจ |
นางวัณฬาว่าเพราะพระสังฆราช |
สอนให้ขาดญาติวงศ์จึงหลงใหล |
น่าแค้นเหลือเชื่อพระจำจะไป |
ต่อว่าให้ขาดกันเสียวันนี้ |
จึงแต่งองค์ทรงเครื่องแล้วเยื้องย่าง |
พร้อมสามนางกับเหล่านางสาวศรี |
ทั้งสี่องค์ทรงวอจรลี |
ถึงกุฎีขึ้นบันไดเข้าในประตู ฯ |
๏ พอผันแปรแลเห็นพระสังฆราช |
นั่งบนอาสน์อิงหมอนมือยอนหู |
ไม่ก้มเกล้าเข้าไปนั่งตั้งกระทู้ |
ท่านขรัวครูสอนสั่งเจ้ามังคลา |
เหมือนลูกเสือเหลือเอกลอยเมฆแท้ |
ขาดพ่อแม่เผ่าพงศ์พวกวงศา |
คิดว่าช่วยแม่บำรุงกรุงลังกา |
มิรู้มากลับเป็นไปเช่นนี้ |
ช่างยุยงส่งเสริมให้เหิมฮึก |
จนเกิดศึกรบพุ่งถึงกรุงศรี |
เพราะสั่งสอนบอนบอกนอกบาลี |
จนเกิดดีดีแตกแหลกระยำ |
เสียแรงเชื่อถือว่าเหมือนตาปู่ |
จะค้ำชูช่วยชุบอุปถัมภ์ |
มาหลงเชื่อเสือเฒ่าตัวเจ้ากรรม |
ช่างแนะนำทำให้ขาดญาติกา ฯ |
๏ บาทหลวงฟังนั่งตะลึงแล้วจึงถาม |
มันเกิดความอย่างไรมึงอึงหนักหนา |
ว่าปากบอนสอนสั่งมังคลา |
กูพูดจาว่ากระไรบอกให้รู้ |
ไม่ไต่ถามหยามหยาบบาปนะวะ |
กูเป็นพระจะทะเลาะไม่เพราะหู |
ถึงลูกเต้าเอามาไว้ที่ในกู |
สอนให้รู้สารพัดกลับขัดใจ ฯ |
๏ นางวัณฬาว่าเพชรก้อนเก็จแก้ว |
เขาขอให้ไปเสียแล้วเป็นไหนไหน |
ใครบอนบอกออกให้รู้ครูหรือใคร |
สอนให้ไปชิงเขาเผาพารา |
เที่ยวรบพุ่งกรุงผลึกรมจักร |
ให้เสียศักดิ์สุริย์วงศ์เผ่าพงศา |
จับสองท้าวสาวสรรค์กัลยา |
กับสร้อยสุวรรณจันทร์สุดาสุมาลี |
มาขังไว้ในด่านดงตาลตึก |
จนเกิดศึกรบพุ่งถึงกรุงศรี |
เสียเมืองใหม่ไพร่นายวายชีวี |
ตัวต้องหนีเข้าไปอยู่หมู่ดงตาล |
ครั้นรู้ความตามไปจะไกล่เกลี่ย |
ก็หลบเสียให้แม่พบแต่ทหาร |
ให้รบแม่แต่ล้วนอ้ายน้ำใจพาล |
เพราะอาจารย์ฝึกหัดจึงตัดรอน |
จนรบราฆ่าฟันกันออกวุ่น |
เพราะเจ้าคุณหรือมิใช่หรือใครสอน |
อยู่กุฎีมีสุขไม่ทุกข์ร้อน |
เหมือนเสือนอนกินควายสบายครัน ฯ |
๏ บาทหลวงว่ามาพาโลอีโกหก |
สัตว์นรกเนรคุณทำหุนหัน |
ไม่ไต่ถามความหลังสิ้นทั้งนั้น |
กูบอกมันตามจริงผิดสิ่งใด |
บวชเป็นพระจะให้ว่ามุสาวาท |
จะมิขาดศิลถือหรือไฉน |
ข้าตัดรอนสอนสั่งเมื่อครั้งไร |
มาแกล้งใส่โทษว่าสารพัด |
อันลูกเต้าเหล่ากอกับพ่อแม่ |
ก็สุดแท้แต่น้ำใจวิสัยสัตว์ |
เหมือนอย่างผัวตัวบ้างกูง้างคัด |
มึงจะตัดหรือวะอีละเวง |
อ้ายมังคลาบ้าลำโพงโกงเหมือนแม่ |
มันเอาแต่ตามอารมณ์ทำข่มเหง |
ลูกในท้องของตัวไม่กลัวเกรง |
มาครื้นเครงโกรธกูเป็นครูบา |
โทษเอาผัวตัวมึงจึงจะถูก |
ที่ทำลูกล้างวงศ์เผ่าพงศา |
มาลบหลู่กูแก่ชแรชรา |
มึงฟันฆ่าเสียเถิดวะเป็นพระบอน |
เมื่อผัวอยู่กูก็ผิดกูคิดสู้ |
ถึงลูกเต้าเล่าก็กูเป็นครูสอน |
ต้องอับอายหลายทีทีนี้นอน |
ให้มึงถอนเถือเนื้อใส่เกลือกิน |
ใครหายใจไม่ออกถึงนอกฟ้า |
ผิดก็มาอยู่กับกูไม่รู้สิ้น |
กูอาศัยในแดนรักแผ่นดิน |
มึงกลับนินทาว่าสารพัน ฯ |
๏ นางวัณฬาว่าเป็นครูรู้ว่าผิด |
ไม่ห้ามศิษย์สั่งสอนช่วยผ่อนผัน |
จนเกิดศึกครึกครื้นทุกคืนวัน |
ไม่ช่วยห้ามปรามมันคิดฉันใด ฯ |
๏ บาทหลวงว่าวิสัยในมนุษย์ |
ฟันจะหลุดแล้วก็ห้ามปรามไม่ไหว |
ห้ามเกศาว่าอย่าหงอกยังนอกใจ |
มันขืนหงอกออกจนได้มันไม่ฟัง |
กูทำดีมีแต่ผิดไม่คิดหลาบ |
มึงมาหยาบหยามว่าเหมือนบ้าหลัง |
สาพิภักดิ์จักตายเสียหลายครั้ง |
เหลือกำลังช่างใครไม่ใช่การ ฯ |
๏ นางละเวงเกรงบาปไม่หยาบหยาม |
คิดถึงความซื่อตรงก็สงสาร |
ชลีลาพาหญิงพวกศฤงคาร |
ไปปราสาทราชฐานรำคาญใจ ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งมังคลามหาราช |
ได้แบบบาทหลวงแจ้งแถลงไข |
รู้ตำรับทัพศึกต้องตรึกไตร |
แล้วฝึกไพร่พลรบรู้ครบครัน |
ให้ตั้งค่ายใหญ่น้อยร้อยแปดค่าย |
เป็นหลั่นรายเรียบไปในไพรสัณฑ์ |
แบ่งคนไว้ไพร่นายค่ายละพัน |
ธงสำคัญสัญญารบราวี |
มีปืนลากขวากล้อมไว้พร้อมหมด |
ชื่อค่ายทศเทวาเป็นราศี |
ร้อยแปดค่ายหมายได้แม้ไพรี |
มาโจมตีมิได้รอดตลอดไป |
ริมธานีมีลำแม่น้ำกว้าง |
เหมือนลำรางลงเชี่ยวเป็นเกลียวไหล |
จัดเรือน้อยร้อยลำประจำไว้ |
จะได้ใช้สอยสำหรับจับไพรี ฯ |