- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๔๔)
- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๒๙)
- คำนำเมื่อพิมพ์ครั้งแรก
- ประวัติสุนทรภู่
- บันทึกเรื่องผู้แต่งนิราศพระแท่นดงรัง
- อธิบาย ว่าด้วยเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่
- ปกิรณะกะประวัติของสุนทรภู่
- ตอนที่ ๑ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา
- ตอนที่ ๒ นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๓ ศรีสุวรรณเข้าเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๔ ศรีสุวรรณพบนางเกษรา
- ตอนที่ ๕ ศรีสุวรรณเกี้ยวนางเกษรา
- ตอนที่ ๖ ศรีสุวรรณรบท้าวอุเทน
- ตอนที่ ๗ ศรีสุวรรณพยาบาลนางเกษรา
- ตอนที่ ๘ อภิเษกศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๙ พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อ
- ตอนที่ ๑๐ พระอภัยได้นางเงือก
- ตอนที่ ๑๑ นางสุวรรณมาลีไปเที่ยวทะเล
- ตอนที่ ๑๒ พระอภัยมณีพบนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๓ พระอภัยมณีโดยสารเรือนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๔ พระอภัยมณีเรือแตก
- ตอนที่ ๑๕ สินสมุทรโดยสารเรือโจรสุหรั่ง
- ตอนที่ ๑๖ สินสมุทรพบศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๑๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๑๘ พระอภัยมณีโดยสารเรืออุศเรน
- ตอนที่ ๑๙ พระอภัยมณีพบศรีสุวรรณกับสินสมุทร
- ตอนที่ ๒๐ สินสมุทรรบกับอุศเรน
- ตอนที่ ๒๑ พระอภัยมณีเกี้ยวนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๒ พระอภัยมณีครองเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๓ พระอภัยมณีอภิเษกกับนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๔ กำเนิดสุดสาคร
- ตอนที่ ๒๕ สุดสาครเข้าเมืองการะเวก
- ตอนที่ ๒๖ อุศเรนตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๗ เจ้าละมานตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๘ สุดสาครตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๒๙ ศึกเก้าทัพตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๓๐ พระอภัยมณีตีเมืองใหม่
- ตอนที่ ๓๑ พระอภัยมณีพบนางละเวง
- ตอนที่ ๓๒ ศรีสุวรรณอาสาตีด่านดงตาล
- ตอนที่ ๓๓ ย่องตอดสะกดทัพ
- ตอนที่ ๓๔ นางละเวงคิดหย่าทัพ
- ตอนที่ ๓๕ พระอภัยติดท้ายรถ
- ตอนที่ ๓๖ พระอภัยมณีทำผูกคอตายได้นางละเวง
- ตอนที่ ๓๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๓๘ นางสุวรรณมาลีข้ามไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๓๙ นางสุวรรณมาลีมีสารตัดพ้อ
- ตอนที่ ๔๐ สุดสาครถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๔๑ นางสุวรรณมาลีหึงหน้าป้อม
- ตอนที่ ๔๒ หัสไชยแก้เสน่ห์
- ตอนที่ ๔๓ นางเสาวคนธ์ยิงแก้ม
- ตอนที่ ๔๔ กษัตริย์สามัคคี
- ตอนที่ ๔๕ นางเสาวคนธ์ขุดโคตรเพชร
- ตอนที่ ๔๖ พระอภัยมณีกลับเมือง
- ตอนที่ ๔๗ อภิเษกสินสมุทร
- ตอนที่ ๔๘ นางเสาวคนธ์หนี
- ตอนที่ ๔๙ นางเสาวคนธ์แปลงเป็นฤๅษี
- ตอนที่ ๕๐ นางเสาวคนธ์ได้เมืองวาหุโลม
- ตอนที่ ๕๑ สุดสาครตามนางเสาวคนธ์
- ตอนที่ ๕๒ พระอภัยมณีทำศพท้าวสุทัศน์
- ตอนที่ ๕๓ มังคลาครองเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๔ มังคลาชิงโคตรเพชร
- ตอนที่ ๕๕ มังคลาจับนางสุวรรณมาลีและท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๖ หัสไชยตีด่านเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๗ สุดสาครรบมังคลา
- ตอนที่ ๕๘ นางละเวงวัณฬาช่วยนางสุวรรณมาลีแลท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๙ พระอภัยมณีศรีสุวรรณไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๐ พระอภัยมณีรบกับมังคลา
- ตอนที่ ๖๑ สังฆราชบาทหลวงเผาเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๒ พระอภัยเข้าเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๓ อภิเษกหัสไชย
- ตอนที่ ๖๔ พระอภัยมณีออกบวช
- ตอนที่ ๖๕ พระบาทหลวงพาพระมังคลาหนีทัพไปเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๖๖ วลายุดาครองเมืองสินชัย
- ตอนที่ ๖๗ วายุพัฒน์เป็นอุปราชเมืองเซ็น
- ตอนที่ ๖๘ หัสกันครองเมืองสุลาลัย
- ตอนที่ ๖๙ พระอภัยมณีเยี่ยมศพนางมณฑา
- ตอนที่ ๗๐ พระมังคลายกทัพเรือมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๗๑ นางรำภา นางยุพาผกาและนางสุลาลีวันออกรบ
- ตอนที่ ๗๒ สุดสาคร สินสมุทรรบกับพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๓ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันเข้าเฝ้าศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๗๔ ทัพพันธมิตรเมืองกำพลเพชรยกมาช่วยพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๕ พระมังคลาล่าทัพไปถึงเกาะกาหวี
- ตอนที่ ๗๖ ทหารเมืองกำพลเพชรตามนางกฤษณาพบพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๗ พระมังคลาได้นางดวงแขลูกสาวเจ้าเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๗๘ อภิเษกพระกฤษณากับนางเทพินไปครองเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๗๙ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันลามารดากลับไปเมือง
- ตอนที่ ๘๐ พระมังคลายกทัพเมืองสำปันหนาไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๑ ศรีสุวรรณออกรับศึกพระมังคลา
- ตอนที่ ๘๒ โจรสลัดคุมกำปั่นปล้นเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๘๓ ศรีสุวรรณมาช่วยเมืองรมจักรรบโจรสลัด แล้วอภิเษกตรีพลำกับอัมพวันและเทวัญกับนิลกัณฐี
- ตอนที่ ๘๔ พระมังคลากับพระบาทหลวงแตกทัพไปเกลี้ยกล่อมเมืองต่าง ๆ
- ตอนที่ ๘๕ พระมังคลาไปถึงเมืองโรมพัฒน์ได้นางบุษบง
- ตอนที่ ๘๖ พระบาทหลวงกับพระมังคลายกทัพเรือเมืองโรมพัฒน์ไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๗ สุดสาครทราบข่าวศึก
- ตอนที่ ๘๘ พระมังคลากับพระบาทหลวงตีได้เมืองด่านลังกา
- ตอนที่ ๘๙ ทัพสุดสาครตีทัพพระมังคลาพ่าย จนเทวสินธุ์ตามไปถึงเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๙๐ ท้าวรายากับพระเทวสินธุ์ไปถึงเมืองกำพลเพชร แล้วยกทัพไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๙๑ หกกษัตริย์ยกทัพมาช่วยเมืองลังกาทำศึก
- ตอนที่ ๙๒ พระบาทหลวงรบศึกหกกษัตริย์จนลมแดงซัดเรือรบพลัดกัน
- ตอนที่ ๙๓ สุดสาครตีเมืองด่านแตก
- ตอนที่ ๙๔ พระเทวสินธุ์พบพระมังคลาจนเจ็ดกษัตริย์เตรียมรบ
- ตอนที่ ๙๕ พระมังคลากับพระบาทหลวงยกทัพเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๙๖ ทัพเจ็ดกษัตริย์ตีทัพพระบาทหลวงแตก
- ตอนที่ ๙๗ พระบาทหลวงเตรียมตีเมืองปากน้ำคืน
- ตอนที่ ๙๘ พระบาทหลวงขับท้าวรายากับนางบุษบงไปจากกองทัพ จนพระมังคลาหนี
- ตอนที่ ๙๙ พระบาทหลวงยกเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๑๐๐ สินสมุทรตีทัพพระบาทหลวงจนถูกยาเบื่อ
- ตอนที่ ๑๐๑ พระอภัยมณีเยือนลังกา
- ตอนที่ ๑๐๒ พระบาทหลวงปล่อยโคมไฟไปตกเมืองลังกา จนถึงพระอภัยมณีห้ามทัพ
- ตอนที่ ๑๐๓ หกกษัตริย์ตีโต้ทัพพระบาทหลวงล่าไปเมืองปตาหวี
- ตอนที่ ๑๐๔ พระอภัยมณีกลับไปเขาสิงคุตร
- ตอนที่ ๑๐๕ อภิเษกหัสกันกับนางวันชายา
- ตอนที่ ๑๐๖ พระอภัยมณีไปเยี่ยมนางเงือกที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๐๗ พระบาทหลวงเข้าเมืองปตาหวีแล้วตามไปพบพระมังคลาที่เมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๐๘ พระมังคลาและนางบุษบงออกมารับพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๐๙ ท้าวโกสัยบอกพระมังคลาให้รู้อุบายพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๐ พระบาทหลวงตีด่านเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๑๑ พระมังคลามีสารง้อศรีสุวรรณสุดสาครและสินสมุทร ให้มาช่วยรบพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๒ ทัพพระมังคลารบกับทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๓ ทัพศรีสุวรรณกับสี่กษัตริย์ตีกระหนาบทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๔ ทัพเรือพระบาทหลวงเข้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๕ ศรีสุวรรณกับพวกพาพระมังคลากลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๑๖ ท้าวกุลามาลีได้นางดวงประไพลูกสาวท้าวสินชัยเจ้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๗ พระมังคลาไปงานโสกันต์ระเด่นกินเรศ
- ตอนที่ ๑๑๘ เจ้าเมืองปตาหวีพานางดวงประไพกลับเมือง
- ตอนที่ ๑๑๙ สุดสาครไปเยี่ยมนางเงือกและพระฤๅษีที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๒๐ สุดสาครกลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๒๑ ศรีสุวรรณให้นรินทร์รัตน์ไปครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๒ อภิเษกนรินทร์รัตน์ครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๓ เจ็ดกษัตริย์ยกทัพมาตีเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๔ นรินทร์รัตน์ขอราเมศมาเป็นอุปราชกรุงรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๕ นรินทร์รัตน์กับราเมศมาช่วยเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๖ เจ็ดกษัตริย์ตายสี่หนีสาม
- ตอนที่ ๑๒๗ นรินทร์รัตน์หลงนางเกศพัฒน์เมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๘ อภิเษกพระราเมศกับนางดวงประภา
- ตอนที่ ๑๒๙ ภัทวงศ์ไปไหว้เทวรูปจนพบนางเกสรสุมาลัย
- ตอนที่ ๑๓๐ เจ้าเมืองวายุภักษ์ขอนางเกสรสุมาลัยให้ภัทวงศ์
- ตอนที่ ๑๓๑ พระสังฆราชบาทหลวงยกทัพมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๓๒ ตัดหางสุพรรณมัจฉาแล้วสถาปนาเป็นจันทวดีพันปีหลวง
บันทึกเรื่องผู้แต่งนิราศพระแท่นดงรัง
“นิราศรักหักใจอาลัยหวน | |
ไปพระแท่นดงรังตั้งแต่ครวญ | มิได้ชวนขวัญใจไปด้วยกัน |
ด้วยอยู่ห่างต่างบ้านนานนานปะ | เหมือนเลยละลืมนุชสุดกระสัน |
แต่น้ำจิตคิดถึงทุกคืนวัน | จะจากกันเสียทั้งรักพะวักพะวน |
ในปีวอกนักษัตรอัฐศก | ชาตาตกต้องไปถึงไพรสณฑ์ |
ลงนาวาหน้าวัดพระเชตุพน” |
นิราศพระแท่นดงรังสำนวนนี้ ดูเหมือนนักเลงอ่านหนังสือรุ่น “หน้าวัดเกาะ เพราะหนักหนา” จะรู้จักกันโดยมาก ที่จำกลอนกันได้เป็นท่อนเป็นตอน ถึงกับยกขึ้นว่าให้กันฟังได้ก็มีไม่น้อย เพราะนิยมกันว่า สำนวนกลอนไพเราะ และก็ดูเหมือนจะเข้าใจกันว่า ท่านมหากวีเอกสุนทรภู่ของเราเป็นผู้แต่งด้วย เป็นเหตุให้ท่านที่เป็นนักศึกษาค้นคว้าสันนิษฐานเรื่องที่พรรณาในนิราศนี้ ประกอบประวัติของท่านสุนทรภู่ไปต่าง ๆ แต่เมื่อไห้สอบสวนประวัติของท่านสุนทรภู่ดูใหม่ ได้ความว่า ท่านสุนทรภู่ได้หลบหลีกราชภัยหนีออกบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ตั้งแต่ปีวอก พ.ศ. ๒๓๖๗ ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยสวรรคต และสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงราชสมบัติ เพราะบอกไว้ในเรื่อง “รำพันพิลาป” ว่า “แต่ปีวอกออกขาดราชกิจ บรรพชิตพิศวาสพระศาสนา” และต่อมา “ในปีวอกนักษัตรอัฐศก” ที่กล่าวในพระแท่นดงรังนั้นก็ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๗๙ เป็นปีเริ่มสร้างวัดเทพธิดา ปรากฏตามจดหมายเหตุโหรฉบับพระยาประมูลธนรักษ์ (หน้า๕๑) ว่า “ปีวอก จ.ศ. ๑๑๙๘ (พ.ศ. ๒๓๗๙) เดือน ๗ พระองค์วิลาส (กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ) สร้างวัดบ้านพระยาไกรสวนหลวง (คือวัดเทพธิดา) “เข้าใจว่าการสร้างวัดเทพธิดาเสร็จลงเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๒ เพราะปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินผูกพัทธสีมาใน พ.ศ. นั้น สุนทรภู่ยังอยู่ในสมณเพศ และคงจะได้มาอยู่จำพรรษา ณ วัดเทพธิดาในปีผูกพัทธสีมา หรือถัดมาอีกปีหนึ่ง เพราะกล่าวไว้ในเรื่อง “รำพันพิลาป” ว่า โอ้ยามนี้ขาลสงสารวัด เคยโสมนัสในอารามสามวสา” ปีขาลที่ว่านี้ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๘๕ แสดงว่าสุนทรภู่บวชมาจนถึง พ.ศ. นี้ ถ้าลาเพศก่อน พ.ศ. ๒๓๗๙ ก็ต้องไม่ได้ไปอยู่วัดเทพธิดา แต่มีหลักฐานว่า ท่านสุนทรภู่ได้ไปอยู่วัดนี้ด้วย และอาจลาเพศหรือดำริจะลาเพศในปีขาลนี้เอง เพราะกล่าวต่อไปว่า “สิ้นกุศลผลบุญกรุณา จะจำลาเลยลับไปนับนาน” จึงรวมเวลาที่สุนทรภู่บวชอยู่ ๑๘- ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๓๖๙ - ๒๓๘๕) ในระยะนี้ สุนทรภู่ไปพระแท่นดงรังและแต่งนิราศในการไปคราวนั้นก็ต้องไม่ใช่สำนวนในปีวอก นักษัตรอัฐศก” เพราะสำนวนนี้ว่ากลอนผาดโผน ไม่รู้สึกว่าผู้แต่งประหยัดด้วยคำ สำนวนกลอนถ้าเปรียบเทียบกับนิราศภูเขาทองและนิราศวัดเจ้าฟ้า ซึ่งรู้แน่ชัดว่า สุนทรภู่แต่งเมื่อยังอยู่ในสมณเพศ ก็ต่างกันไกล พอจับอ่านก็จะรู้ได้ว่า สุนทรภู่แม้จะได้เคยแต่งกลอนนิราศและเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มาอย่างไพเราะเพราะพริ้งจนช่ำชองก็ตาม แต่เมื่อแต่งนิราศ ๒ เรื่องนั้น ก็ประหยัดถ้อยคำเป็นอันมาก ด้วยคงจะรู้สึกตัวว่าเป็นบรรพชิตจะแต่งให้ผาดโผนไปเสียสมณสารูป ซ้ำนิราศวัดเจ้าฟัาดัดแต่งเป็นสำนวน “เณรหนูพัดหัดประดิษฐ์คิดอักษร” ในทางสำนวนกลอนจึงยอมรับไม่ได้ว่า สุนทรภู่แต่งนิราศพระแท่นดงรังสำนวนนี้
แต่ก็ประหลาดที่นิราศพระแท่นดงรังจบลงด้วยคำว่า “ขอเชิญไทเทวราชประสาทพร ให้สุนทรลือทั่วธานีเอย” ดูว่าเป็น “สุนทร” ในวรรคท้ายนี้ หมายถึงสุนทรภู่ ถ้าสำนวนกลอนและระยะปีตามประวัติของสุนทรภู่ไม่ขัดกัน ก็ควรจะยอมรับเช่นนั้นได้ แต่เมื่อขัดกันดังข้างต้น คำว่า “สุนทร” ในที่นี้ ก็ต้องไม่หมายถึงสุนทรภู่ ความจริงก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะตกมาในชั้นหลัง ๆ ดูเหมือนคำว่า “สุนทร” ได้กลายเป็นคำสามัญไป นักแต่งกลอนของเราก็ชอบใช้ “สุนทร” ในบทกลอนของตนกันมาก ซึ่งมีความหมายไปในทางว่า ไพเราะดี หรีออาจแปลตามความหมายว่า “บทกลอน” ก็ได้ ไม่ใช่ชื่อเฉพาะอย่างสุนทรภู่เคยใช้ ทั้งนี้เข้าใจว่าเนื่องจากพากันนิยมสำนวนกลอนสุนทรภู่ แม้ในตอนจบนิราศพระแท่นดงรังนั่นเองถ้าเราอ่านย้อนหลังขึ้นไปอีกสักสองสามบรรทัด จะเห็นได้ว่า ผู้แต่งได้กล่าวถ่อมตัวไว้ว่า
“ใช่จะแกล้งแต่งประกวดอวดฉลาด | ทำนิราศรักมิตรพิศไมย |
ด้วยจิตรักกาพย์กลอนอักษรไทย | จึงตั้งใจแต่งคำแต่ลำพัง” |
อันผิดลักษณะของสุนทรภู่ ซึ่งรู้ตัวว่าแต่งกลอนดี ไม่ยอมถ่อมตัว มีแต่คุยอวด เช่นในเพลงยาวถวายโอวาทก็คุยไว้ว่า
“อย่างหม่อมฉันอันที่ดีและชั่ว | ถึงลับตัวก็แต่ชื่อเขาลือฉาว |
เป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว | เขมรลาวลือเลื่องถึงเมืองนคร” |
แม้ในกลอนเรื่องอื่น ๆ ก็มีคุยไว้มากบ้างน้อยบ้าง จึงไม่พอที่จะอ้างได้ว่าสุนทรภู่แต่งนิราศพระแท่นดงรัง ความนี้
แต่ใครเป็นผู้แต่งนิราศพระแท่นดงรังเราอาจตอบได้ทันที เมื่ออ่านนิราศสุพรรณคำกลอน (ไม่ใช่นิราศสุพรรณคำโคลงซึ่งเป็นของสุนทรภู่) ตรงที่กล่าวว่า
“ไปสุพรรณคราวนี้ไม่มีครวญ | ไม่เหมือนไปพระแท่นแสนทเวษ |
ทางประเทศร่วมกันคิดหันหวน | ไม่กล่าวซ้ำรํ่าไรอาลัยครวญ |
ก็รีบด่วนเรือมาในสาชล” |
ความจริง ถ้าเราอ่านนิราศพระแท่นดงรังเทียบกับนิราศสุพรรณดู ก็จะรู้สึกได้ว่า “ไปพระแท่น (ดงรัง) แสนทเวษ” มาก ส่วนในนิราศสุพรรณนั้น สังเกตดูผู้แต่งภาคภูมิ แต่ก็ผิดกันเพียงในทางความรู้สึกของผู้แต่ง ซึ่งอยู่ในสถานะและเวลาต่างกัน ถ้าพิจารณาในทางสำนวนกลอนนิราศทั้ง ๒ เรื่องนี้ ก็มีแต่งเหยียบกลอนเหยียบความกันหลายแห่ง และที่เหยียบกลอนเหยียบความกับนิราศเดือนก็มี จึงเข้าใจว่า ผู้แต่งนิราศพระแท่นดงรังนั้น ต้องเป็นคนเดียวกับผู้แต่งกลอนนิราศสุพรรณ
ผู้แต่งกลอน “นิราศสุพรรณ” มีกระผู้โคลงบอกไว้ตอนท้ายว่า “เสมียนมีแต่งถวาย” และว่า “ถวายพระน้องยาท้าว ถี่ถ้อยทางแถลง” ประกอบกับกลอนที่บอกไว้ข้างต้นว่า ปีมะโรงฉศกจึงได้ความว่า แต่งถวายพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์ใดพระองค์หนึ่งในรัชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๓ คือเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว ขณะเมื่อเสมียนมีแต่งนิราศสุพรรณ มีบรรดาศักดิ์เป็นหมื่นพรหมสมพักสร นายอากรเมืองสุพรรณบุรี ได้เดินทางไปเก็บอากรเมืองสุพรรณ จึงแต่งนิราศในคราวนั้น ข้อความที่พรรณนาในนิราศสุพรรณมีอยู่ตอนหนึ่ง แสดงว่าผู้แต่งรู้ศิลปในการวาดเขียน เช่นพรรณาไว้เมื่อผ่านหน้าวัดเพลง และบางตอนก็แสดงว่าผู้แต่งมีความรู้สึกทางโหราศาสตร์หรือเป็นหมอดูอยู่บ้าง เช่นกล่าวว่า “สังเกตดูฤกษ์ยามตามเวลา” และว่าตัว “เป็นหมอดูรู้แยบคายทายเฉยเฉย” ทำไห้สงสัยว่าจะเป็นนายมีคนเดียวกับที่แต่ง “กลอนเพลงยาวสรรเสริญพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว” ซึ่งบอกไว้ท้ายเพลงยาวนั้นว่า “นายมีบุตรพระโหราแต่ง” ด้วยเกิดความเบื่อหน่ายในวิชาข่างเขียน เห็นว่าตัวมีความชำนาญในทางบทกลอน จึงแต่งเพลงยาวสรรเสริญพระเกียรติทูลเกล้า ฯ ลวาย “ให้พระจอมโลกาทรงปรานี พอพ้นที่ช่างเขียนเปลี่ยนวิชา” เพื่อ “ขอฉลองพระคุณไปในอาลักษณ์ ด้วยจิตรักจงสมปรารถนา” ถ้าเป็นคนเดียวกับเสมียนมี - หมื่นพรหสมพักสรผู้แต่งนิราศสุพรรณแล้ว ก็เข้าใจได้ว่าไม่ได้ไปรับราชการทางกรมพระอาลักษณ์ตามที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าไว้ (ในคำนำกสอนเพลงยาวสรรเสริญพระเกียรติฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๗๔) ว่า “นายมีนี้เป็นช่างเขียนที่มีชื่อเสียงครั้งรัชกาลที่ ๓ คนหนึ่ง ได้เขียนชาดกเรื่องพระภูริทัตที่ผนังพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม แต่กะเทาะเสียเมื่อไฟไหม้หมดแล้ว”
อนึ่งในนิราศสุพรรณเล่าความว่า ผู้แต่งเคยบวชอยู่วัดพระเชตุพนฯ จึงสงสัยว่าจะเป็นคนเดียวกับนายมีที่แต่งนิราศเดือน ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอธิบายไว้ข้างต้นนิราศเดือน (ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๖๖) ว่า “กล่าวกันมาเป็นหลักฐานว่า นายมีศิษย์สุนทรภู่แต่ง (นิราศเดือน) เมื่อบวชเป็นพระอยู่วัดพระเชตุพนฯ นายมีคนนี้ว่าได้แต่งกลอนนิราศเมืองถลางไว้อีกเรื่องหนึ่ง ปรากฏสำนวนในหนังสือ ๒ เรื่องด้วยกัน ความทีกล่าวมานี้เห็นว่าพอจะเชื่อฟังได้ ด้วยกลอนนิราศเดือนและนิราศถลางทั้ง ๒ เรื่องนี้ แต่งตามแบบของสุนทรภู่เป็นเค้าเรื่อง ผู้แต่งเป็นศิษย์หรือเป็นผู้นับถือวิธีกลอนของสุนทรภู่ แต่พิเคราะห์ดูในทางความที่แต่ง ผิดกับสุนทรภู่” ในนิราศกลาง (ฉบับพิมพ์ของโรงพิมพ์พานิชศุภผล พ.ศ. ๒๔๖๘ เป็นนิราศถลาง) ก็บอกไว้ในตอนจบว่า “ฉันเป็นศิษย์สุนทรยังอ่อนศักดิ์ พิไรรักมิ่งมิตรกนิษฐา”และในนิราศถลางก็บอกไว้ตรงกับนิราศพระแท่นดงรังว่า ลงเรือที่หน้าวัดพระเชตุพนฯ เหมือนกัน ดูมีความสัมพันธ์อยู่แถวท่าหน้าวัดโพธิ์ จึงเข้าใจว่า ที่ถูกนั้นนายมีหรือเสมียนมี หมื่นพรหมสมพักสรผู้นี้เองเป็นผู้แต่งนิราศพระแท่นดงรัง “ในปีวอกนักษัตรอัฐศก ชาตาตกต้องไปถึงไพรสณฑ์”
สำนวนกลอนของนายมีดีเพียงไร ไม่จำเป็นต้องกล่าว ขอให้ลองนึกดูแต่เพียงว่า นายมีแต่งนิราศบางเรื่องดี จนทำให้คนเข้าใจหลงไปว่าสุนทรภู่แต่ง เช่น นิราศเดือน ก็เคยกล่าวเคยเชื่อกันว่าของสุนทรภู่ นิราศพระแท่นดงรังก็เชื่อกันมาว่าของสุนทรภู่เช่นกล่าวข้างต้น จึงพออนุมานได้ว่า สำนวนกลอนของนายมีดีเพียงไรยิ่งนิราศสุพรรณด้วย ดูเหมือนจะดียิ่งขึ้นเป็นพิเศษอีก มีผู้กล่าวชมกันว่า กลอนนิราศสุพรรณแต่งดี และแปลกกว่านิราศอื่น ๆ รวมทั้งนิราศของนายมีเอง เช่นนิราศเดือนและนิราศพระแท่นดงรังที่แต่งมาก่อนด้วย เพราะตามธรรมดาเรื่องนิราศที่แต่งกันมาส่วนมาก ย่อมพรรณนาเกี่ยวกับความรักเป็นที่ตั้ง เช่น เมื่อผู้แต่งไปเห็นหรือนึกไปถึงสถานที่ ตำบลบ้าน พรรณไม้ หรืออะไรอื่น ก็หยิบเอาเรื่องนั้นมาเป็นเหตุใช้สำนวนกลอนพรรณนาย้อนมากล่าวถึงคู่รัก ความรัก ยิ่งใช้ถ้อยคำสำนวนกลอนพรรณนาได้แนบเนียนเพียงไร ก็ยิ่งนิยมกันว่าแต่งดีมีรส คือความรักเป็นเครื่องจูงใจผู้อ่านผู้ฟัง หรือแม้ตัวผู้แต่งเองเป็นส่วนสำคัญ อย่างที่กล่าวกันในวรรณคดีอินเดียว่ามี “สิงคารรส” เช่น เรื่องสิงคารประกาศของกวีโภชะ และ สิงคารดิลก ของกวีรุทรภัตต์เป็นต้น แต่นิราศสุพรรณของนายมีแต่งหลีกเลี่ยงเรื่องรักไปได้อย่างประหลาดเมื่อพรรณนาถึงตำบลสถานที่หรืออันใดก็ตาม สามารถพรรณนาความจูงใจผู้อ่านคล้ายกับจะหวนมาถึงเรื่องรัก แต่ลงท้ายยักเยื้องไปในข้อรำพึงที่เป็น คติสอนใจ และหวนกลอนเข้ากันได้อย่างสนิท น่าฟัง เป็นเช่นนี้เกือบตลอด ทั้งนี้ก็เป็นความตั้งใจของผู้แต่งที่จะให้เป็นเช่นนั้น เพราะบอกไว้ว่า
“สุดจะคิดครวญคร่ำรำสวาท | ใช่นิราศร้างนุชสุดกระสัน |
ประดิษฐกลอนค่อนคำเป็นสำคัญ | ไปสุพรรณครั้งนี้ไม่มีครวญ” |
การที่วิธีแต่งนิราศสุพรรณของนายมีเป็นดังนี้ ก็คงเป็นเพราะเวลานี้ผู้แต่งมีวัยอยู่ในปูนผู้ใหญ่ ย่อมมองเห็นความเป็นโลกเป็นสุภาษิตไปได้ตามวิสัยของผู้ใหญ่ที่ช่างคิดทั้งหลาย จึงมีความดีเป็นพิเศษ แต่ถ้าอยากทราบว่าดีเป็นพิเศษอย่างไรก็โปรดหาอ่านเอง
ธนิต อยู่โพธิ์