ตอนที่ ๓๕ พระอภัยติดท้ายรถ

๏ นายประตูรู้ความตามสุภาพ วิ่งไปกราบทูลแจ้งแถลงไข
ทั้งสามพราหมณ์ความเดิมให้เคลิ้มใจ จึงสั่งให้รับมาพลับพลาพลัน
พอสตรีผีปอบเข้าขอบค่าย มนต์ก็คลายเสื่อมขลังทั้งอาถรรพณ์
นางยุพามาถึงองค์พระทรงธรรม์ บังคมคัลคอยสดับตรับคดี ฯ
๏ พระเพ่งพิศธิดายุพาพักตร์ ให้กลับรักนางวัณฬามารศรี
จึงปราศรัยไต่ถามความบุตรี พระชนนีใช้มาว่าอย่างไร ฯ
๏ นางทูลว่าข้าพเจ้าจะเล่าถวาย จะแพร่งพรายพระปัญญาอัชฌาสัย
จึงหยิบสารการลับกับสไบ ถวายในพระหัตถ์กษัตรา ฯ
๏ พระยินดีคลี่ผ้าย้อมยาแฝด เปรียบเหมือนแรดได้กลิ่นถวิลหา
ประจงจำสำคัญของวัณฬา พระเชยผ้าหอมหวนให้ยวนยี
แล้วทรงสารอ่านลิขิตพินิจนิ่ง ว่าน้องหญิงกราบประณตบทศรี
ซึ่งทรงศักดิ์รักใคร่เป็นไมตรี ไม่ต่อตีตามสัตย์ปฏิญาณ
น้องเห็นจริงสิ่งใดมิได้แหนง แต่กลั่นแกล้งกลัวอายฝ่ายทหาร
ให้ธิดามาประณตบทมาลย์ ขอประทานโทษาฝ่าธุลี
ด้วยไหนไหนได้ต้องตัวน้องแล้ว เหมือนฉัตรแก้วเก้าชั้นกั้นเกศี
ซึ่งสิ่งใดได้ว่าให้ราคี ขออย่ามีเวราข้างหน้าไป
ด้วยเป็นหญิงยิ่งยากมาฝากรัก สุดจะชักชายชิดพิสมัย
จนแสนโศกโรคช้ำระกำใจ จะกลับไปลังการักษากาย
สไบบางต่างน้องอยู่รองบาท อย่าคิดขาดความรักสมัครหมาย
หนึ่งสาราอย่าให้รู้ถึงหูชาย น้องต้องอายอนุกูลให้สูญความ
พระเชษฐาอาลัยฉันใดมั่ง จงตรัสสั่งถึงละเวงอย่าเกรงขาม
ไว้ความลับกับยุพาพะงางาม จะผ่อนตามสารพัดไม่ขัดเอย ฯ
๏ พระทราบสารหวานชื่นไม่ขืนขัด พอรู้ชัดชุบน้ำแล้วทำเฉย
เจ้าพราหมณ์คิดผิดใจกระไรเลย ไม่เหมือนเคยทูลถามตามสงกา
พระแกล้งตรัสตัดความอย่าถามซัก เป็นเรื่องรักมิใช่ศึกจะปรึกษา
พากันไปให้ลับที่พลับพลา จะพูดจาเล่นตามความสำราญ ฯ
๏ เจ้าพราหมณ์ดูรู้กลว่ามนต์เสื่อม พระเนตรเลื่อมลงอีกจึงฉีกสาร
เสียพิธีผีสางเข้ารางควาน จึงทัดทานข้อความตามทำนอง
เชิญผ่านเกล้าเข้ามณฑลบนแท่นที่ อย่าสูสีถูกกลจะหม่นหมอง
เวลาเย็นเช่นนี้ผีคะนอง จะถูกต้องตกไปแก่ไพรี
ยังสะเดาะเคราะห์ค้างอยู่กลางฆาต อย่าประมาทเทวดาในราศี
อดพระทัยไว้พอรุ่งขึ้นพรุ่งนี้ จึงพาทีเถิดไม่ขัดพระอัธยา ฯ
๏ พระฟังพราหมณ์ยามหลงทรงพระสรวล เออก็ควรหรือมาคิดริษยา
นี่ศึกเสือเหนือใต้ที่ไหนมา นางยุพาคนเดียวเปลี่ยวจริงจริง
จะพูดเล่นเห็นตัวว่ากลัวผี พูดไม่มีอดสูแก่ผู้หญิง
ยักออกไปใครจะล่วงมาท้วงติง ถ้าขืนนิ่งอยู่ไม่ได้ขัดใจกัน
จะสะเดาะมิสะเดาะที่เคราะห์ร้าย ถึงไม่หายก็ไม่กลัวดอกตัวฉัน
พอพรุ่งนี้ดีร้ายที่ทายนั้น จะเห็นกันมั่นคงไม่สงกา ฯ
๏ ฝ่ายสามพราหมณ์ห้ามไว้เห็นไม่หยุด ความกลัวสุดซึ่งว่าคิดริษยา
ต้องคลานคล้อยถอยไปพอไกลตา พวกเสนาใหญ่น้อยพลอยถอยตาม ฯ
๏ พระอภัยได้ช่องไม่ข้องขัด จึงเอื้อนอรรถอ้อนวอนสุนทรถาม
ประชวรนั้นฉันใดไม่ได้ความ จงเล่าตามจริงพ่อจะขอฟัง ฯ
๏ นางยุพานารีได้ทีพร้อม ทั้งหว่านล้อมเล่าตามเนื้อความหลัง
เมื่อเลิกทัพกลับไปถึงในวัง พวกฝรั่งรู้ประจักษ์ว่ารักกัน
ไปบอกพระจะให้เนรเทศเจ้า ลูกนี้เขาจะฆ่าให้อาสัญ
พระชนนีมีแต่ว่าจะจาบัลย์ เอาผ้าพันผูกพระศอจะมรณา
ฉันพี่น้องร้องไห้รีบไปแก้ ก็นิ่งแน่ไปเหมือนดังดับสังขาร์
จนเที่ยงคืนฟื้นองค์คงชีวา เฝ้าโศกากอดลูกผูกอาลัย
จะกลับวังครั้งนี้เพราะชีวิต จะม้วยมิดมั่นคงไม่สงสัย
จึงตรัสใช้ให้ข้าเอาผ้าสไบ ถวายไว้ต่างหน้าทูลลาตาย ฯ
๏ พระฟังคำยามรักพระพักตร์สลด เหมือนบัวสดสายฟ้าผ่าสลาย
พระชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย แสนเสียดายด้วยว่าใกล้จะได้การ
สะอื้นพลางทางว่ายุพาพ่อ พ่อจะขอตายตามทรามสงสาร
ถึงกระไรได้รักษาพยาบาล นี่เป็นการกีดขวางทุกอย่างไป
จะหักหาญราญรบให้พบน้อง กลัวจะต้องเคืองขัดถึงตัดษัย
จะโอนอ่อนผ่อนผันทำฉันใด จึงจะได้ช่วยรักษาพยาบาล ฯ
๏ นางนิ่งนั่งฟังคำพระร่ำว่า พลอยโศกาแกมกลบ่นสงสาร
แล้วเสแสร้งแกล้งว่าดูอาการ จะพบพานกันก็ได้ด้วยง่ายดาย
แต่ผ่านเกล้าเล่าไม่ลดพระยศศักดิ์ เป็นแต่รักรูปทรงจำนงหมาย
แม้จริงจังดังไม่คิดชีวิตวาย ก็ง่ายดายที่จะพบประสบกัน ฯ
๏ พระอภัยได้ทียินดีนัก จึงประจักษ์แจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์
อันยศศักดิ์อัครฐานการทั้งนั้น ไม่ผูกพันสารพัดเป็นสัจจา
แม้ได้แต่แม่ละเวงที่เปล่งปลั่ง มาเหมือนดังมุ่งมาดปรารถนา
ถึงยากเย็นเป็นไพร่จะไถนา สู้ปลูกงาปลูกถั่วกินผัวเมีย
เมื่อเห็นพักตร์จะได้ชื่นทุกคืนค่ำ ช่วยแนะนำอนุกูลอย่าสูญเสีย
พ่อร้อนอกหมกไหม้เหมือนไฟเลีย ถึงลูกเมียก็มิได้อาลัยมัน
แม้ยุพาการุญทำคุณพ่อ เหมือนชะลอขึ้นไปผ่านวิมานสวรรค์
ถึงยากง่ายตายเป็นพอเห็นกัน จะรักขวัญเนตรสนิทเหมือนธิดา ฯ
๏ นางยินดีที่ได้สมอารมณ์คิด ด้วยทรงฤทธิ์ร่านรักเป็นหนักหนา
เคารพรับอภิวันท์จำนรรจา พระสัญญาล้นเหลือลูกเชื่อฟัง
ขอผ่านเกล้าเป่าปี่ขึ้นที่ทัพ ให้คนหลับสิ้นสมอารมณ์หวัง
จะอาสาพาไปเข้าในวัง ตามไปลังกาอยู่เป็นคู่ครอง ฯ
๏ พระฟังคำรำลึกพอนึกได้ ดีพระทัยที่จะชมประสมสอง
หยิบขี้ผึ้งที่เธอทำขึ้นสำรอง โยนให้ย่องตอดบ้างทั้งธิดา
อันปรอทหยอดหูสู้ไม่ได้ มันเหลวไหลเข้าในหนังในมังสา
แล้วแลดูสุริยนพอสนธยา หยิบปี่มาเป่าเพลงวังเวงใจ
เสียงแจ้วแจ้วแว่วโหวยโหยละห้อย โอ้หอมสร้อยเสาวรสแป้งสดใส
เสาวคนธ์มณฑาสุมาลัย สักเมื่อไรสาวน้อยจะลอยมา
แล้วเป่าเห่เรไรจับใจแจ้ว ค่ำลงแล้วเจ้าจะคอยละห้อยหา
ระหวยหิวหวิววับจับวิญญาณ์ พวกลังกากองทัพต่างหลับไป
ถึงเคยรู้อยู่วันนั้นไม่ทันรู้ พอแว่วหูหวนวับก็หลับใหล
นางยุพานารีก็ดีใจ จึงเชิญให้แต่งองค์ทรงอาชา
พระทรงเครื่องเรืองจำรัสดูตรัจเตร็จ ล้วนพลอยเพชรแพรวพราววาวเวหา
ทรงมหามาลัยแล้วไคลคลา มาทรงม้าพระที่นั่งอลังการ ฯ
๏ นางยุพาผกาขี่ม้าผาย ร้องเรียกนายย่องตอดยอดทหาร
ให้นำหน้าพาข้ามตามสะพาน ตรงเข้าด่านฟังเงียบเซียบสำเนียง ฯ
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงฟังเพลงปี่ เห็นได้ทีกลัวจะหลับที่ตรับเสียง
รีบเรียกเหล่าสาวใช้อยู่ใกล้เคียง ค่อยหลีกเลี่ยงหลบองค์ไปทรงรถ
สุลาลีตีม้าให้พาวิ่ง พวกผู้หญิงรีบหนีปี่ไปหมด
ออกหลังเขาเจ้าประจัญพ้นบรรพต ค่อยรอรถไปตามทางหว่างศิลา ฯ
๏ ฝ่ายยุพาพาองค์พระทรงศักดิ์ เข้าตำหนักเห็นแต่ห้องเที่ยวมองหา
รู้ว่าไปไม่ทันเหมือนสัญญา จึงวันทาทูลพระอภัยมณี
ขอพระองค์จงเปลื้องพระเครื่องต้น ได้ปลอมปนไปกับเหล่านางสาวศรี
จะตามไปให้เขาเห็นเช่นสตรี ขึ้นนั่งที่ท้ายรถช่วยบดยา ฯ
๏ พระอภัยไม่ขัดสู้ผลัดเครื่อง ค่อยปลดเปลื้องแปลงองค์ทรงภูษา
ใส่เครื่องรองของลูกสาวเจ้าลังกา ขึ้นทรงม้าพระที่นั่งกำลังแรง ฯ
๏ นางผกาพาอ้อมออกป้อมหลัง พอมืดทั้งฟ้าดินสุดสิ้นแสง
ก้าวสกัดลัดทางมากลางแปลง ถึงตำแหน่งนัดกันพอทันรถ
แกล้งเรียกน้องร้องว่าอย่าช้าอยู่ แล้วเดินดูใครไม่สงสัยหมด
ถึงท้ายเกรินเชิญองค์พระทรงยศ ขึ้นทรงรถแล้วก็กลับกองทัพชัย ฯ
๏ ฝ่ายรำภาสะหรีมิได้หลับ อยู่ห้องหับตามสัญญาอัชฌาสัย
หยิบเครื่องทรงขององค์พระอภัย แล้วพาอ้ายย่องตอดดอดไปทัพ
พอเห็นชายคล้ายองค์พระทรงศักดิ์ ให้จับหักคอทั้งกำลังหลับ
เอาศพไปในด่านคิดการลับ เครื่องประดับดังกษัตริย์แล้วตัดคอ
ขึ้นกำแพงแกล้งร้องก้องประกาศ พระสังฆราชหนีไปข้างไหนหนอ
แต่ได้ทีตีระฆังยังรั้งรอ จะตัดคอเสียให้ขาดตามอาชญา ฯ
๏ บาทหลวงหลับวับแว่วถึงแก้วหู เสียงเขาขู่ตกใจไหวผวา
ทะลึ่งลุกกุกกักควักขี้ตา เห็นรำภาพูดสำทับให้อัประมาณ
จึงว่าศพพระอภัยอยู่ไหนเล่า ชี้ให้เราจะได้ออกคลอกทหาร
นางรำภาว่านั่นแน่แลที่ลาน พระอาจารย์ลงไปเห็นเขม้นมอง
มีเครื่องทรงมงกุฎอาวุธทิ้ง ประจักษ์จริงให้เปลื้องเอาเครื่องของ
แล้วกลับมาหน้าที่ขึ้นตีกลอง พวกนายกองนายทัพยังหลับกรน
คนหนึ่งตื่นยืนตะลึงคนหนึ่งหลับ ต้องวิ่งกลับฉวยเชือกเสลือกสลน
เที่ยวหวดนายรายปลุกขึ้นทุกคน พวกไพร่พลพลอยตื่นเสียงครื้นครึก
ฉวยฟางคบครบมือบ้างถือชุด ขับกันรุดรีบมาค่ายข้าศึก
ฝ่ายพวกทัพหลับกรนเสียงคนครึก พลผลึกรมจักรกึกกักกัน
พอเย็นย่ำค่ำพลบเห็นคบรอบ ทหารหอบฟางทิ้งวิ่งถลัน
บ้างตีฆ้องกลองทัพรับประจัญ ออกไล่ฟันพวกฝรั่งชาวลังกา ฯ
๏ พอเพลิงไหม้ไฟฟางสว่างแจ้ง ต่างทิ่มแทงฟืนทิ้งยิงปืนผา
เจ้าพราหมณ์ตื่นยืนขยับจับศัสตรา ขึ้นควบม้าฝ่าฟันประจัญบาน
ศรีสุวรรณนั้นคว้าคทาวุธ สินสมุทรพลิกผวามือคว้าขวาน
ต่างหนุนไพร่ไล่ต้อนเข้ารอนราญ พวกชาวด่านแตกพลัดกระจัดกัน
บ้างทิ้งฟืนปืนผาผ้าขี้ริ้ว ดินประสิวดินดำกำมะถัน
เข้าปราการด่านเขาเจ้าประจัญ ต่างต้อนกันขึ้นรักษาหน้าเชิงเทิน ฯ
๏ ฝ่ายยุพาผกามาถึงด่าน เห็นทหารรบรุกถึงฉุกเฉิน
ขึ้นตรวจคนบนป้อมแล้วอ้อมเดิน มาเชิงเทินหอรบพบรำภา
ต่างดีใจไต่ถามถึงความคิด ช่างมิดชิดเชิงศึกลึกหนักหนา
ทั้งพี่น้องสองนางวางวิญญาณ์ ขึ้นพลับพลาทั้งคู่นั่งดูดาว ฯ
๏ พระสังฆราชบาทหลวงลงง่วงโงก กำเริบโรครากเรอเผยอหาว
กูประมาทพลาดพลั้งเสียทั้งคราว อีสาวสาวมันจะว่าเป็นน่าอาย
ให้นึกทุกข์ลุกออกมานอกป้อม เที่ยวเดินด้อมดูทหารการทั้งหลาย
ให้ตีฆ้องกองไฟทั้งไพร่นาย เอาปืนรายเรียงรอบขอบเสมา ฯ
๏ ฝ่ายโยธีศรีสุวรรณกับสินสมุทร ได้ฟางชุดเชื้อฟืนทั้งปืนผา
ครั้นไพรีหนีกลับอัปรา ต่างตรวจตราพวกพลสกลไกร
ไม่เห็นองค์ทรงเดชเกศกษัตริย์ หรือรบพลัดพวกพลไปหนไหน
ให้ตีฆ้องส่องคบหาจบไป ไม่มีใครพบองค์พระทรงยศ
พระอนุชาหาสามพราหมณ์กับหลาน เหล่าทหารกลับมาพลับพลาหมด
ไม่เห็นองค์ทรงธรรม์ยิ่งรันทด ต่างกำสรดเสียใจทั้งไพร่พล
พระอนุชาอาดูรพูนเทวษ น้ำพระเนตรพรั่งพรอยดังฝอยฝน
สินสมุทรทรุดเสือกเกลือกสกนธ์ ฟายสุชลโศกาด้วยอาลัย
ศรีสุวรรณกลั้นกลืนสะอื้นอ้อน พลางสุนทรถามพราหมณ์ตามสงสัย
เป็นเหตุเพราะเคราะห์ร้ายจึงหายไป จะบรรลัยล่วงลับหรือกลับมา ฯ
๏ เจ้าพราหมณ์รับนับหนึ่งไปถึงสี่ ปถวีวาโยอาโปกล้า
แต่เพลิงธาตุฆาตในไส้ชะตา เสียเดชานุภาพพลางกราบทูล
ไม่ถึงที่ชีวิตไม่ปลิดปลด เสียแต่ยศหญิงยังช่วยไม่ม้วยสูญ
ข้างต้นร้ายปลายปีบริบูรณ์ จะเพิ่มพูนภิญโญเดโชชัย ฯ
๏ พระฟังทายหมายแน่เหมือนแลเห็น จึงว่าเป็นไปเพราะหลงอย่างสงสัย
อันพระพี่นี้แต่ก่อนร่อนชะไร จะพอใจจู้จี้ไม่มีเลย
แต่ห้ามแหนแม้นเห็นว่าเล่นเพื่อน ถึงรูปเหมือนนางฟ้ามาก็เฉย
ทั้งคู่เขาเล่าก็ไม่พอใจเชย พระไม่เคยคบหารักษาองค์
แต่ครั้งนี้อีฝรั่งมันช่างล่อ มีมดหมอทำให้พระทัยหลง
เหมือนนกเขาเข้าเพนียดไม่เกลียดกรง โอ้คิดสงสารนักพระจักรา
รักสตรีทีไรก็ได้ทุกข์ ไม่มีสุขแสนประหลาดวาสนา
เขาออกตัวกลัวสิ้นลิ้นลังกา เรานี้มาเลยหลงเข้าดงรัก
ถึงแสนรู้ผู้หญิงเข้าสิงสู่ ก็เสียรู้แสนร้อนดังศรปัก
จะรบศึกนึกไม่เห็นเป็นไรนัก แต่รบรักเรานี้คิดอึดอิดใจ
พระพี่มีปี่เพราะเสนาะเสียง สู้แต่เพียงฝีปากไม่อยากไหว
อียุพาผกาแหละพาไป ทำกระไรจึงจะเห็นว่าเป็นตาย ฯ
๏ สินสมุทรสุดแสนแค้นฝรั่ง จึงว่าครั้งนี้ทวีปจะฉิบหาย
เข้าหักด่านผลาญลังกาฆ่าหญิงชาย เท่าเม็ดฝ้ายมิให้เหลือเชื้อลังกา ฯ
๏ ศรีสุวรรณนั้นห้ามปรามพระหลาน ไม่แจ้งการทรงเดชพระเชษฐา
แม้จับไปให้ประหารผลาญชีวา เกาะลังกานี้จะคว่ำให้ทำลาย
แม้กักขังยังดำรงคงชีวิต จะได้คิดแก้ไขเหมือนใจหมาย
ใครจะอาสาได้ทั้งไพร่นาย ไปสืบร้ายดีดูให้รู้ความ ฯ
๏ ฝ่ายชาวพลคนทมิฬบ่าวสินสมุทร ชื่อกลบุดปันจุเร็จไม่เข็ดขาม
ที่บ้านเดิมเริ่มแรกเป็นแขกจาม มันติดตามมาแต่ครั้งสุหรั่งตาย
เข้าขันรับอาสาว่าข้าพเจ้า เคยย่องเบาบ้านเรือนได้เหมือนหมาย
ถึงเหล็กไหลใส่กุญแจแก้ทำลาย รู้อุบายบังเหลื่อมให้เลื่อมลับ
แม้เข้าได้ไล่ค้นเอาจนทั่ว มิได้กลัวผู้ใดจะไล่จับ
แม้พบองค์ทรงฤทธิ์จะคิดรับ ค่อยแฝงลับเล็ดลอดให้รอดมา ฯ
๏ อ้ายมงคลพลรบเมืองรมจักร รักยศศักดิ์พลอยคำนับรับอาสา
ข้าพเจ้าเล่าก็ดีมีวิชา เห่าเหมือนหมาไม่มีใครสงสัยแล้ว
จะไปด้วยช่วยเห่าให้เขาไล่ ได้เข้าไปวังในได้คล่องแคล่ว
แม้ไม่ไล่ย้ายทำนองร้องเหมือนแมว พอทูลแล้วร้องถวายให้หายแคลง
คนหนึ่งนั้นขันได้เหมือนไก่แก้ว เสียงแจ้วแจ้วเจื้อยเย็นเป็นกระแสง
จะล่อให้ไล่สกัดวิ่งพลัดแพลง พระฟังแจ้งจึงว่าเห็นจะเป็นการ
จึงให้พราหมณ์สามคนผูกกลว่าว สายรอกยาวโรยผ่อนหย่อนทหาร
ให้แปลงกายคล้ายฝรั่งขึ้นนั่งคาน เจ้าพราหมณ์อ่านอาคมเรียกลมมา
เชือกน้ำมันขันกว้านเป็นป่านรั้ง ต้องกำลังลงลิ่วปลิวเวหา
ให้หย่อนล่ามข้ามภูเขาเข้าพารา พอเวลาลั่นฆ้องได้สองยาม
โพยมบนฝนกลุ้มชอุ่มหมอก ก็โรยรอกลงในวังได้ทั้งสาม
อ้ายย่องเบาเข้าหน้าไก่หมาตาม เที่ยวฟังความพูดจาในราตรี ฯ
๏ ฝ่ายละเวงวัณฬามาบนรถ อลงกตแก้วกระจ่างสว่างศรี
ซุ้มหลังคาฝารอบกรอบเหล็กดี นางอยู่ที่แท่นสุวรรณบรรจง
ประสาหญิงอิงเขนยเผยสิงหาสน์ แลประพาสพุ่มไม้ไพรระหง
ด้วยมืดค่ำทำเป็นไม่เห็นองค์ แต่แสนสงสารพระอภัยมณี
น้อยไปหรือซื่อนักเพราะรักน้อง จนถึงต้องปลอมเหล่านางสาวศรี
เมื่อรู้แน่แลเห็นอยู่เช่นนี้ จะรู้ที่ฆ่าฟันเธอฉันใด
รูปก็ดีปี่เล่าก็เป่าเพราะ ช่างฉอเลาะเหลือดีจะมีไหน
พระงามนามงามจริตงามจิตใจ บุรุษในธรณีไม่มีเทียม
มาเออองค์ทรงนั่งเกรินหลังกระหนก ฝากระจกแจ่มกายไม่อายเหนียม
น่าสงสารผ่านเกล้าเธอเฝ้าเฟี้ยม ตามธรรมเนียมพนักงานพานสำอาง
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณทูลกระหม่อม น้องนอบน้อมไม่ถนัดยังขัดขวาง
มิอายเหล่าสาวสวรรค์กำนัลนาง น้องไม่ห่างเหินให้อาลัยเลย
จะเชิญองค์ทรงนั่งบัลลังก์รัตน์ ได้คอยจัดจุดบุหรี่พระศรีเสวย
จะหมอบเมียงเคียงบรรทมให้ชมเชย โอ้อกเอ๋ยเอกาน่าปรานี
นางนึกยิ้มอิ่มใจอยู่ในจิต ด้วยทรงฤทธิ์รักแรงไม่แหนงหนี
ทำเสแสร้งแกล้งถามความบุตรี มาถึงที่แห่งหนตำบลใด ฯ
๏ ธิดาน้อยค่อยสนองให้ต้องจิต ยังมืดมิดมิได้เห็นว่าเป็นไฉน
แต่พระจันทร์ดั้นเมฆมาไรไร ประเดี๋ยวใจจะสว่างกระจ่างตา ฯ
๏ แสนสงสารพระอภัยวิไลลักษณ์ ค่อยแฝงพักตร์เพ่งพิศกนิษฐา
เห็นไวไวไม่ถนัดอัธยา แค้นด้วยฝากั้นกีดอยู่นิดเดียว
นึกจะถามความโศกโรคที่เศร้า ก็กลัวเขาเคืองขุ่นจะฉุนเฉียว
เหลือลำบากยากยิ่งจริงจริงเจียว จะพูดเกี้ยวก็ประชวรจะกวนใจ
จนเดือนหงายฉายแสงแจ้งกระจ่าง ส่องสว่างเวหาพฤกษาไสว
กระจกแก้วแวววามเห็นทรามวัย บรรทมในรถที่นั่งดูปลั่งองค์
สำอางอ่อนกรเกยเขนยหนุน งามละมุนละม่อมล้วนนวลหง
แต่เสื้อหุ้มพุ่มพวงที่ทรวงทรง เห็นแต่องค์พระวิลาสเพียงบาดตา
พระปรางดังปรางทองดูผ่องพ่วง เปล่งดังดวงจันทร์เพ็งเปล่งเวหา
เป็นน้ำนวลชวนชื่นรื่นวิญญาณ์ สุดนาสาเสียวทรวงให้ง่วงงง
สุลาลีตีม้าให้คลาเคลื่อน เข้าลับเดือนเดินในไพรระหง
เห็นกรวดทรายพรายพร่างน้ำค้างลง บุปผาส่งกลิ่นเกลี้ยงเมื่อเที่ยงคืน
หอมคัดค้าวสาวหยุดพุทธชาด พระพายพาดพัดเฉื่อยระเรื่อยรื่น
น้ำค้างเผาะเหยาะกระเซ็นก็เย็นชื้น ยิ่งดึกดื่นดงรังเสียงวังเวง
กวางระเริงเปิงร้องในท้องถิ่น ว่าถึงดินแล้วก็ว่าถึงป่าระเหง
จักจั่นแจ้วแว่วหวานประสานเพลง เหมือนละเวงวัณฬาแม่จาบัลย์
พระเฟือนจิตคิดว่าแอบอยู่แนบน้อง พระหัตถ์จ้องจะขยับไปรับขวัญ
ก็กีดฝาอ้าค้างด้วยห่างกัน ให้อ้นอั้นอกดังจะพังโทรม
กระซิบถามทรามวัยเป็นไรแม่ อย่าท้อแท้นวลน้องจะหมองโฉม
ถามเท่าไรไม่ตอบปลอบประโลม พระเนตรโทรมชลนาด้วยปรานี
คิดว่านางครางครวญประชวรหนัก เห็นลูกรักนั่งหน้าเป็นสารถี
ค่อยย่องเหยียบเลียบริมรถรมมณี สุลาลีแลเห็นทำเป็นทัก
นางอะไรไต่มาข้างหน้ารถ มรกตแก้วเก้าเขาจะหัก
พระค่อยว่าอย่าอึงคะนึงนัก เจ้าแปลกพักตร์พ่อแล้วหรือแก้วตา
เมื่อตะกี้นี้หวีดกรีดกรีดเสียง เหมือนสำเนียงนงลักษณ์แน่หนักหนา
เจ้าเข้าไปไต่ถามความโรคา จะรักษาทรามวัยเสียให้คลาย
ทูลว่าพ่อขอประทานอยู่งานนวด ถึงเจ็บปวดเป็นไฉนจะให้หาย
เคยเรียนดูรู้เส้นที่เป็นตาย อย่าระคายเลยอุตส่าห์รักษาองค์ ฯ
๏ พระธิดาว่าหม่อมฉันไม่ทันทราบ ได้พูดหยาบคายหยามตามประสงค์
ก็คิดเห็นเป็นผิดต่อบิตุรงค์ ขอพระองค์อดโทษได้โปรดปราน
ซึ่งจะให้ไปถามความพระโรค เห็นเศร้าโศกไสยาสน์ไม่อาจหาญ
อนึ่งนั้นชั้นในก็ใส่ดาล เผยแต่บานแกลลมพอชมไพร ฯ
๏ พระทรงฟังยั้งยืนสะอื้นอั้น จึงผ่อนผันพจนาอัชฌาสัย
หรือลูกรักหากเห็นไม่เป็นไร จงบอกให้บิดารู้อาการ ฯ
๏ นางนบนอบตอบว่าข้าพเจ้า ไม่ทราบเกล้าเกศาจะว่าขาน
แม้เรียกใช้ได้ประณตบทมาลย์ ถามอาการก็จะทราบได้กราบทูล ฯ
๏ พระชื่นชอบตอบว่าบิดานี้ แม้เทวีล่วงลับจะดับสูญ
ไม่ขออยู่ดูพักตร์ศักดิ์ตระกูล พระลูกทูลด้วยเถิดหนาพ่อมาตาม
แล้วมานั่งยังเกรินกระหนกรถ แสนกำสรดเศร้าพระทัยจะใคร่ถาม
ฝ่ายละเวงวัณฬาพะงางาม ครั้นสามยามเย็นเยียบเงียบสำเนียง
เสนาะดังจังหรีดวะหวีดแว่ว เสียงแจ้วแจ้วไก่ขันสนั่นเสียง
ทุกก้านกิ่งมิ่งไม้เรไรเรียง ชม้ายเมียงดูพระอภัยมณี
เห็นเศร้าสร้อยพลอยทุกข์จะปลุกปลื้ม ให้หลงลืมละเสน่ห์มเหสี
จึงเสแสร้งแกล้งว่าสุลาลี เวลานี้หนาวใจกระไรเลย
เหลือรำคาญมารดรนอนไม่หลับ เจ้าคิดขับขึ้นสักมุขเถิดลูกเอ๋ย
ธิดารับขับถวายอภิปรายเปรย น้ำค้างเชยชื่นชุ่มพุ่มผกา
เกสรโรยโชยชายระบายโบก หอมดอกโศกเศร้าสร้อยละห้อยหา
เหมือนโศกทรวงง่วงเหงาเปล่าอุรา มาอาทวาอ้างว้างอยู่กลางไพร
โอ้พระพายชายเฉื่อยเรื่อยเรื่อยริ้ว หนาวดอกงิ้วงิ้วออกดอกไสว
เกสรงิ้วปลิวฟ้ามายาใจ ให้หนาวในทรวงช้ำสุดกล้ำกลืน
โอ้รื่นรินกลิ่นกลอยดอกสร้อยฟ้า ทรงแต่สาโรชรวยชวยชวยชื่น
หอมกระถินกลิ่นเกลี้ยงเมื่อเที่ยงคืน เหมือนเคยกลืนกลิ่นกลั่นสุคันธา
โอ้นางแย้มแย้มเหมือนจะเบือนยิ้ม ให้เชยชิมแช่มชื่นรื่นนาสา
ส่งแต่กลิ่นรินร่วงพวงผกา สร้อยสุมาลีแฝงอยู่แห่งไร
ภุมรินบินลองละอองอ่อน อาบเกสรเสาวรสซึ่งสดใส
เสาวคนธ์มณฑาพอยาใจ ไม่เหมือนได้ดอกฟ้าลงมาเชย
โอ้ยามหนาวดาวเดือนก็เคลื่อนคล้อย จะล่องลอยลับฟ้านิจจาเอ๋ย
มิลงมาหน้าบานบัญชรเลย จะได้เชยชมพระศศิธร ฯ
๏ พระอภัยได้สดับขับประเทียบ ค่อยค่อยเลียบรถมาตรงหน้าสมร
เห็นทรามเชยเผยสุวรรณบัญชร โฉมสมรอ่อนศรีฉวีวรรณ
พระพักตร์ผ่องต้องเดือนดังเยื้อนยิ้ม ดูนุ่มนิ่มนอนหลับน่ารับขวัญ
ยิ่งหอมหวนนวลเนื้อด้วยเจือจันทน์ สุดจะกลั้นสุดจะกลัวด้วยมัวเมา
จะเข้าไปในห้องก็ข้องขัด เอื้อมพระหัตถ์ลูบโลมโฉมเฉลา
พบเขนยเลยหาไล่คว้าเดา นางยิ่งเย้ายุดพระหัตถ์กษัตรา
แกล้งตรัสกริ้วว่าใครไฉนนี่ พระว่าพี่สาพิภักดิ์มารักษา
ขอทราบโรคโศกศัลย์แม่วัณฬา จะอุตส่าห์แก้ไขเสียให้คลาย
จึงจับต้องลองดูด้วยเป็นหมอ หม่อมฉันขอประทานอยู่งานถวาย
ให้เสื่อมสร่างทางลมบรรทมสบาย แม้นไม่หายเมื่อยขัดให้ตัดมือ ฯ
๏ นางกลั้นยิ้มพริ้มพักตร์ผลักพระหัตถ์ แล้วแกล้งตรัสว่าพระพี่ดอกนี่หรือ
จะรบพุ่งฟุ้งเฟื่องให้เลื่องลือ ไยไม่ถือศัสตรามาราวี
เดี๋ยวนี้แต่งแปลงปลอมทำถ่อมยศ ขึ้นปีนรถลอบมาน่าบัดสี
ไม่มอดม้วยด้วยว่าเพราะเป็นเคราะห์ดี เช่นพระพี่พวกหมอตัดคอคน ฯ
๏ พระวิงวอนอ่อนหวานประทานโทษ อย่ากริ้วโกรธตรองตรึกนึกฉงน
ไม่หมายมาฆ่าตีนีฤมล มาปลอมพลเพื่อจะให้เห็นใจรัก
ทั้งรู้ความทรามสงวนประชวรโรค ยิ่งเศร้าโศกแสนวิตกเพียงอกหัก
แม้ว่าพี่มิได้ยลวิมลพักตร์ ทรวงจะหักแตกตายวายชีวา
จงเห็นเถิดศรีสวัสดิ์ที่สัตย์ซื่อ ต้องดึงดื้อด้วยว่ารักเป็นหนักหนา
ไม่ยกโทษโปรดแล้วหรือแก้วตา ช่วยเข่นฆ่าเสียให้ลับที่อับอาย
แม้ละไว้ให้พี่อยู่เป็นบุรุษ เห็นแสนสุดที่จะหักให้รักหาย
ชีวิตพี่นี่ก็รักแต่หักคลาย ไม่เสียดายเหมือนไม่ได้ดังใจจง
จะขอติดพิศวาสไปชาติอื่น ให้ได้ชื่นเชยชมสมประสงค์
ถึงชาตินี้ชีวิตจะปลิดปลง ที่รถทรงนี่แหละเหมือนเป็นเรือนตาย ฯ
๏ นางฟังคำร่ำเพราะเสนาะโสต ชะอ้อนโอษฐ์อาลัยมิใคร่หาย
ขืนขู่เข็ญเห็นไม่รอดคงวอดวาย จึงภิปรายเปรียบความตามธรรมเนียม
ถึงรักใคร่ใจจริงไม่ทิ้งสัตย์ ขอผ่อนผัดพอให้หายที่อายเหนียม
ยังเจ็บไข้ใจเปรียบข้าวเกรียบเกรียม อย่าและเลียมลูบต้องให้หมองมัว
น้องหมายมาดชาตินี้ไม่มีชู้ แม้มีคู่ก็ให้เห็นว่าเป็นผัว
พระก็ได้ใกล้น้องถูกต้องตัว โดยชั้นชั่วก็ยังรักศักดิ์สตรี
ถึงอินทราหน้าเขียวมาเกี้ยวน้อง มิให้ต้องตัวอีกจะหลีกหนี
ยังรบสู้อยู่แต่พระอภัยมณี จะร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้
มเหสีขี้หึงเหมือนหนึ่งเสือ จะฉีกเนื้อน้องกินเหมือนชิ้นหมู
จะเจ็บช้ำคำคารมชาวชมพู เพราะชิงชู้ของเขาเอามาเชย
คนทั้งปวงล่วงรู้จะดูหมิ่น เหมือนแผ่นดินไร้หญ้านิจจาเอ๋ย
ทั้งต่างรีตกีดขวางยังไม่เคย มิรู้เลยจะคิดอ่านประการใด ฯ
๏ พระแช่มชื่นยืนยิ้มอยู่ริมรถ ดูช้อยชดชื่นจิตพิสมัย
จึงสัญญาว่าพี่แต่นี้ไป ไม่จากไกลทรามสงวนนวลละออง
จะตามเจ้าเข้ารีตฝรั่งด้วย จนมอดม้วยมิได้คิดเป็นจิตสอง
ลูกก็ดีเมียก็ดีทั้งพี่น้อง ไม่เกี่ยวข้องขาดรักจึงหักมา
แม่ประชวรส่วนพี่ไข้น้ำใจด้วย จะขอช่วยฟูมฟักอยู่รักษา
ด้วยความรักเหลือรักหนักอุรา ไม่เห็นหน้านึกวิตกเพียงอกพัง ฯ
๏ ยุพยงสงสารรำคาญจิต รู้ว่าฤทธิ์รสสุคนธ์คุณมนต์ขลัง
เธอผูกพันฟั่นเฝือเหลือกำลัง มิผ่อนมั่งเหมือนอย่างหมายเห็นวายวาง
จึงตรัสตอบขอบคุณการุญรัก ที่ถ่อมศักดิ์สารพัดไม่ขัดขวาง
แม้มั่นคงทรงฤทธิ์ไม่คิดร้าง น้องจะวางชีพถวายจนวายชนม์
แต่โบราณท่านว่าจะค้าขาย อย่ามักง่ายเงินก็ลองทองก็ฝน
เกิดเป็นคนอย่าไว้แก่ใจคน ค่อยผ่อนปรนปรองดองให้ต้องความ
ซึ่งทรงศักดิ์รักจะใคร่เข้าใกล้ชิด น้องนี้คิดเขินอายระคายขาม
แม้จริงใจไม่กวนทำลวนลาม ก็จะตามใจให้เข้าใกล้กราย
กลัวแต่พระจะคะนองเข้าต้องถือ โรคจะรื้อหนักไปมิใคร่หาย
จงรั้งรอพอให้ใจสบาย อย่าวุ่นวายวอนว่าได้ปรานี ฯ
๏ พระชื่นชอบตอบความทรามสงวน ไม่ลามลวนเลยนะน้องอย่าหมองศรี
แม้กวนแก้วแววตาให้ราคี จงหยิกตีตามจะทำให้หนำใจ ฯ
๏ นางยิ้มพลางทางชักสลักเลื่อน ขยดเขยื้อนแย้มบานทวารไข
พระอภัยได้ทีดีพระทัย เข้าข้างในรถทรงอลงการ
เห็นนางนอนกรกอดพระทรวงนิ่ง เขนยอิงแอบองค์น่าสงสาร
ไม่ถูกต้องครองสัตย์ปฏิญาณ ถามอาการกัลยาด้วยอาวรณ์
แม่เนื้อเย็นเป็นไฉนที่ไข้เจ็บ ให้เมื่อยเหน็บในกายสายสมร
หรือคลื่นเหียนเวียนเกล้าให้หาวนอน พระองค์ร้อนหรือว่าเย็นเป็นอย่างไร
เห็นนอนนิ่งอิงเขนยไม่เงยพักตร์ สุดจะซักไซ้ถามความไฉน
มองเขม้นเห็นโฉมประโลมใจ งามวิไลแลเปล่งดังเพ็งจันทร์
พระปรางทองผ่องพ่วงดูช่วงแช่ม พระหลงแย้มยิ้มขยับจะรับขวัญ
ค่อยเชยชื่นกลืนกล้ำกลิ่นอำพัน ละเวงวัณฬาผวาแล้วพาที
ประหลาดเหลือเชื่อใจมิใช่หรือ มาต้องถือสารพัดน่าบัดสี
เมื่อสัญญาว่าไม่กวนทำยวนยี ประเดี๋ยวนี้ใครเล่ามาเฝ้ากวน ฯ
๏ พระขวยเขินเมินคิดผิดถนัด กอดพระหัตถ์ตอบความทรามสงวน
เมื่อตะกี้พี่ถามความประชวร เห็นนิ่มนวลนอนหลับแล้วกลับคราง
ด้วยมืดอยู่ดูไกลก็ไม่เห็น ต้องเขม้นมองชิดอย่าคิดหมาง
ประจวบเคราะห์เพราะจมูกถูกพระปราง อย่าระคางขอโทษจงโปรดปราน
ประชวรนั้นฉันใดที่ในจิต พี่นี้คิดทุกข์แทนแสนสงสาร
แม้นตรัสบอกออกให้รู้จะอยู่งาน ให้สำราญโรคคลายสบายองค์ ฯ
๏ นางผินผันกลั้นยิ้มพริ้มพระพักตร์ รู้ว่ารักร้อนใจให้ใหลหลง
จึงว่าโรคโศกซูบเสียรูปทรง เพราะทำสงครามคิดผิดทำนอง
แต่เสียพลมนตรีแล้วมิหนำ ยังจะซ้ำเสียตัวให้มัวหมอง
แม้สำเร็จเสร็จศึกเหมือนตรึกตรอง โรคของน้องก็จะสร่างสว่างทรวง
จงทราบความตามเล่าอย่าเซ้าซี้ ประเดี๋ยวนี้ก็จะรุ่งถึงทุ่งหลวง
จงนิ่งนอนซ่อนสุรางค์นางทั้งปวง อย่าให้ล่วงรู้แจ้งจะแพร่งความ
ซึ่งเมื่อยเหน็บเจ็บปวดจะนวดฟั้น กระหม่อมฉันกลัวบาปไม่หยาบหยาม
ถึงกรุงไกรไว้ยศให้งดงาม จะผ่อนตามสารพัดไม่ขัดเลย ฯ
๏ พระฟังนางช่างพลอดเป็นยอดยิ่ง เห็นจริงนิ่งนอนเอกเขนกเฉย
แล้วคิดปลอบตอบความว่าทรามเชย อย่าถือเลยความหลังมิบังควร
ซึ่งสงครามลามลุกต้องรุกรบ หวังจะพบโฉมงามทรามสงวน
เป็นกุศลดลใจจึงใคร่ครวญ อย่าหมองนวลนึกการที่ราญรอน
จะรักน้องครองมิตรพิศวาส ไม่สิ้นชาติก็ไม่ทิ้งมิ่งสมร
จนล่วงลับกัปกัลป์พุทธันดร อย่าอาวรณ์ว่าจะร้างให้ห่างเชย
ซึ่งห้ามพี่มิให้ต้องแม่น้องหญิง จะสู้นิ่งนั่งเพียงเคียงเขนย
ถ้าถูกบ้างพลั้งมืออย่าถือเลย ขอชมเชยแต่สไบพอใจคลาย
แล้วทรงคลี่สีนวลที่หวนหอม ออกห่มกรอมนั่งบังคนทั้งหลาย
ค่อยชื่นจิตชิดเฉียดเบียดสบาย นางเอียงอายแอบเขนยทำเฉยเชือน
พระหอมกรุ่นอุ่นใจปราศรัยถนอม แม่เนื้อหอมหาไหนจะได้เหมือน
นางถอยหนีมิให้ชิดทำบิดเบือน แกล้งร้องเตือนพระธิดาขับพาชี
พอตกทุ่งรุ่งรางสว่างแจ้ง เห็นกำแพงป้อมประตูบูรีศรี
พวกเกณฑ์แห่แต่บรรดาฝูงนารี มิได้มีใครรู้ว่าผู้ชาย
ด้วยทรงแปลงแต่งอย่างนางฝรั่ง แล้วนั่งบังรถาฝาพระฉาย
ทั้งมนตรีมิให้ใครเข้าใกล้กราย ให้เดินรายริมทางมากลางแปลง ฯ
๏ ฝ่ายฝรั่งลังกาบนหน้าที่ ครั้นรวีวรรณสว่างกระจ่างแสง
เห็นรถทรงธงทองทั้งกองแซง ก็รู้แจ้งว่าลูกสาวเจ้าลังกา
พวกขุนนางต่างเปิดประตูรับ คอยคำนับเรียงรายทั้งซ้ายขวา
ฝ่ายสุลาลีวันกัลยา บอกบรรดาหมื่นขุนพวกมุลนาย
ประชวรหนักจักเข้าเฝ้าไม่ได้ จงกลับไประวังการท่านทั้งหลาย
พวกนารีที่แต่งแปลงเป็นชาย ให้เที่ยวรายตรวจตรารอบธานี
แล้วขยับขับพระยาม้าพยศ รีบชักรถเข้าประตูบูรีศรี
ไม่ประทับกับเกยเคยทุกที ประเทียบที่อัฒจันทร์ชั้นชาลา ฯ
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงวัณฬาราช ดำเนินนาดนำเสด็จพระเชษฐา
ขึ้นปรางค์ทองห้องในที่ไสยา ชาวลังกามิได้รู้ทั้งบูรี
เรียกธิดามาเป็นคนปรนนิบัติ ประจงจัดเครื่องอานพานพระศรี
ถวายองค์ทรงศักดิ์ด้วยภักดี แล้วพาทีเพทุบายให้ตายใจ
เชิญบรรทมชมห้องของน้องบ้าง ให้เหมือนอย่างเมืองผลึกอย่านึกไฉน
แต่ตัวของน้องยาจะลาไป แก้สงสัยเสียให้สิ้นที่นินทา
แล้วลาออกนอกห้องจะลองจิต แกล้งป้องปิดฉากชั้นที่กั้นฝา
ชวนสาวใช้ไปประทับอยู่พลับพลา กับธิดาร่วมจิตคิดอุบาย ฯ
๏ ฝ่ายฝรั่งสังฆราชพระบาทหลวง เขาล่อลวงหลงเฟือนไม่เหมือนหมาย
สำคัญว่าฆ่าพระอภัยตาย ยังลูกชายกับน้องแต่สองคน
จะแค้นนักหักโหมเข้าโรมรุก ยิ่งกว่าทุกครั้งคราโกลาหล
จำจะลวงหน่วงทัพให้กลับพล ด้วยเล่ห์กลกันสมุทรยุทธนา
จึงสั่งฝ่ายนายทหารเป็นการลับ จงบอกกับไพร่นายทั้งซ้ายขวา
ว่าองค์พระอภัยจับได้มา ไม่เข่นฆ่าเสียยังคุมขังไว้
ศพนั้นเราเอาใส่ไว้ในตึก อย่าให้ศึกสอดเห็นว่าเป็นไฉน
ให้คนล้อมพร้อมพรั่งระวังระไว อย่าให้ไพร่พลแจ้งจะแพร่งพราย
ให้ข้าศึกนึกหน่วงเป็นห่วงเจ้า จะลวงเผาเสียให้ได้ดังใจหมาย
พวกนายทัพรับความตามอุบาย ดูศพตายคิดว่าพระอภัยมณี
หามเข้าไว้ในตึกแต่ดึกดื่น แต่พวกอื่นมิได้เห็นว่าเป็นผี
อยู่พร้อมพรั่งนั่งยามตามอัคคี ทหารตีเกราะกลองก้องโกลา ฯ
๏ ส่วนสามนายชายปลอมเที่ยวอ้อมแอบ คอยฟังแยบคายความตามประสา
เข้าเดินปนเหล่าฝรั่งเมืองลังกา เที่ยวตรวจตราไปจนรอบขอบกำแพง
ถึงตึกศพพบกันสำคัญแน่ รู้กระแสความนั่งคอยฟังแฝง
ว่าคุมไว้ในตึกยังนึกแคลง จะใคร่แจ้งกิจจาปรึกษากัน
จะย่องเบาเข้าไปดูให้รู้แน่ แต่ประแจใส่ตรวจไว้กวดขัน
ทั้งสองนายไก่สุนัขชักชวนกัน ไปเห่าขันขึ้นพอให้เขาไล่นาย
เราจะได้ไขประแจเข้าแก้เจ้า คงจะเอาไปได้เหมือนใจหมาย
เห็นพร้อมใจไม่กลัวที่ตัวตาย ต่างแยกย้ายย่างย่องเข้ามองเมียง
มาลับไฟไก่นั้นก็ขันเจื้อย เสียงฉ่ำเฉื่อยเอื่อยอีเอกวิเวกเสียง
สุนัขหอนวอนโหวยโหยสำเนียง แล้วหลีกเลี่ยงลัดแลงเข้าแฝงตน ฯ
๏ ฝ่ายฝรั่งพรั่งพร้อมที่ล้อมตึก ได้ยินนึกแหนงจิตคิดฉงน
บ้างหาหมาหาไก่เที่ยวไล่ค้น มันล่อวนเวียนวงให้หลงแล
บ้างจุดไต้ไล่มองบ้างส่องคบ มันหลีกหลบลัดทางไปห่างแห
อ้ายย่องเบาเข้าไปไขประแจ เข้าตึกแต่ลำพังไม่รั้งรอ
เปิดอังแพลมแจ่มแจ้งเหมือนแสงคบ เห็นแต่ศพเสียใจกระไรหนอ
ชะรอยองค์พงศ์กษัตริย์เขาตัดคอ หยิบหัวห่อผ้าเปลื้องเอาเครื่องทรง
กลับออกไปใส่ประแจแก้สงสัย แล้วอ้อมไปพบเพื่อนเหมือนประสงค์
พอรุ่งรางสร่างแสงพระสุริยง เที่ยวเดินวงเวียนดูประตูราย
พอพวกเหล่าฝรั่งข้างหลังด่าน เปิดทวารออกให้ไพร่ทั้งหลาย
ออกเกี่ยวหญ้าหาเสบียงมาเลี้ยงกาย ทั้งสามนายปลอมปนพลออกไป
แล้วมาถึงที่ประทับไม่ยับยั้ง เข้าเฝ้าบังคมแจ้งแถลงไข
เครื่องประดับกับศีรษะพระอภัย ถวายให้สองกษัตริย์ทัศนา ฯ
๏ ศรีสุวรรณนั้นพินิจคิดว่าแน่ ตะลึงแลสังเวชพระเชษฐา
สะอื้นอ้อนซบองค์ลงโศกา พระชลนาไหลหลั่งลงพรั่งพราย
หน่อนรินทร์สินสมุทรสุดสลด โศกกำสรดโศกาเกศาสยาย
พวกข้าเฝ้าเจ้าพราหมณ์ทั้งสามนาย ต่างฟูมฟายชลนาด้วยอาลัย
ทั้งโยธีรี้พลพหลทหาร พลอยสงสารแซ่ซ้องเสียงร้องไห้
สินสมุทรสุดแสนที่แค้นใจ ว่าไหนไหนพระบิดาชีวาวาย
ข้าขอรับอาสาพาทหาร เข้าหักด่านเอาให้ได้ดังใจหมาย
พบฝรั่งลังกาฆ่าให้ตาย ทั้งไพร่นายรีบรัดไปจัดกัน ฯ
๏ จอมกษัตริย์ทัดทานว่าหลานรัก อย่าร้อนนักนึกก่อนค่อยผ่อนผัน
อันภูมิฐานด่านเขาเจ้าประจัญ เป็นที่มั่นคงอยู่อย่าวู่วาม
เห็นจะไว้ไกกลทุกหนแห่ง ป้อมกำแพงปีนยากล้วนขวากหนาม
ให้พวกเราเข้าไปจุดไฟลาม จึงค่อยตามกันเข้าไปทั้งไพร่นาย
จะได้พบศพองค์พระทรงเดช มาต่อเกศเสียให้ได้อย่าให้หาย
แม้นมิได้ไม่ลับที่อับอาย แล้วสั่งนายช่างสำหรับประดับประดา
ให้รีบรัดจัดทำเป็นโกศแก้ว สำเร็จแล้วใส่เกศพระเชษฐา
ให้จัดแจงแต่งไว้ในพลับพลา เครื่องบูชาพร้อมเพรียงตั้งเรียงราย
แล้วรางวัลบรรดาที่มีความชอบ ซึ่งลักลอบเอาศีรษะมาถวาย
ให้มียศงดงามทั้งสามชาย เป็นตัวนายฝ่ายทหารผลาญศัตรู
แล้วเกณฑ์คนพลรบไว้ครบถ้วน ตั้งกระบวนยาตราเป็นราหู
ให้ครบนามตามตำรับฉบับครู จะโจมจู่จับเขาเจ้าประจัญ
มีกรกายซ้ายขวามีหน้าปาก จะข้ามขวากหนามกำแพงล้วนแข็งขัน
เป็นหมู่หมวดตรวจจัดให้ทัดกัน ได้ครบครันเตรียมไว้ทั้งไพร่นาย ฯ
๏ ฝ่ายยุพาผการำภาสะหรี นั่งอยู่ที่พลับพลาเวลาสาย
พอเห็นเหยี่ยวเฉี่ยวนกมาตกตาย เป็นลางร้ายจับยามตามตำรา
ก็รู้ว่าข้าศึกจะฮึกหาญ มาตีด่านได้แท้แน่หนักหนา
จึงว่ากรรมเอ๋ยกรรมพี่รำภา ศึกจะมาแม่นมั่นแล้ววันนี้
เราไปฟังสังฆราชพระบาทหลวง จะล่อลวงล้างศึกหรือนึกหนี
นางรำภาว่าไปขู่เธอดูที แม้ศึกมีเราได้ช่วยเธอด้วยกัน
แล้วต่างแต่งแปลงกายเหมือนชายชาติ ใส่เกราะคาดเข็มขัดรัดกระสัน
เหน็บอาวุธยุทธนาสารพัน ไฟน้ำมันมีสำหรับอยู่กับกาย
ให้ผูกม้ามาประทับสำหรับรบ เตรียมให้ครบเครื่องอานการทั้งหลาย
เรียกสตรีที่ให้แต่งแปลงเป็นชาย กับทั้งนายย่องตอดตาบอดมา
กำชับสั่งนั่งดูอยู่ที่นี่ ถ้าเหตุมีแล้วให้ช่วยฉันด้วยหนา
มันร้องฮื้อรื้อกลับนั่งหลับตา อยู่พลับพลาพร้อมพรั่งคอยฟังความ ฯ
๏ ฝ่ายสองนางทางเดินดำเนินนาด มาถึงบาทหลวงไหว้แล้วไต่ถาม
ท่านประมาทอาจองในสงคราม ถ้าทำตามกฎหมายถึงวายชนม์
แต่ยกโทษโปรดไว้ยังไม่ฆ่า ด้วยเป็นอาจารย์ท้าวเจ้าสิงหล
ให้แก้ผิดคิดอ่านการประจญ จะผ่อนปรนเป็นไฉนจะใคร่รู้ ฯ
๏ ฝ่ายฝรั่งสังฆราชตวาดว่า มึงอย่ามาร่ำเรื่องให้เคืองหู
ถึงลูกสาวเจ้าลังกาจะฆ่ากู ก็จะสู้ตายไปมิใช่การ
แล้วงกเงิ่นเดินมาเรียกม้าใช้ มาสอนให้พูดจาไปว่าขาน
ช่วยล่อลวงหน่วงศึกเหมือนตรึกการ จะคิดอ่านเอาชัยดังใจจง ฯ
๏ ฝ่ายฝรั่งฟังคำที่กำชับ เคารพรับรู้ความตามประสงค์
มาขึ้นม้ากล้าหาญชาญณรงค์ รีบควบตรงออกประตูบูรพา
ถึงกองทัพยับยั้งอยู่ข้างนอก แล้วร้องบอกไปว่าเราจะเข้าหา
ศรีสุวรรณนั้นให้รับมาพลับพลา แล้วว่ามาทำไมเร่งให้การ ฯ
๏ ฝ่ายฝรั่งฟังคำจึงร่ำเล่า เหตุด้วยเจ้าเมืองผลึกทำฮึกหาญ
พวกกองทัพจับเป็นไปเย็นวาน จะล้างผลาญเสียให้ตายวายชีวี
เธอวิงวอนงอนง้อขอชีวิต ว่าไม่คิดรบพุ่งเอากรุงศรี
พระปิ่นเกล้าเจ้าลังกาก็ปรานี ให้ข้านี้มาแถลงให้แจ้งใจ
ว่าพวกพ้องของท้าวเจ้าผลึก จะทำศึกเคี่ยวเข็ญเป็นไฉน
หรือจะง้อขอรับกันกลับไป จะโปรดไว้ชีวาไม่ฆ่าตี
จงเลิกทัพกลับหลังไปฝั่งน้ำ อย่าอยู่ทำศึกอีกเร่งหลีกหนี
จึงจะส่งองค์พระอภัยมณี ไปบุรีเหมือนแต่ก่อนอย่ารอนราญ
แม้พวกพ้องกองทัพไม่กลับหลัง จะขืนตั้งทำศึกด้วยฮึกหาญ
จะฆ่าตีพี่ชายให้วายปราณ เสียบประจานไว้ที่คูริมบูรี ฯ
๏ จอมกษัตริย์ตรัสว่าอ้ายฝรั่ง มาหลอกทั้งเป็นเป็นเหมือนเช่นผี
แต่เป็นทูตพูดจาจะฆ่าตี ก็ไม่ดีอย่าเพ่อทำเอาจำไว้
พวกกองทัพจับลากกระชากฉุด สินสมุทรยินดีจะมีไหน
ให้เปลี่ยนเปลื้องเครื่องแต่งจะแปลงไป ได้เข้าในด่านเขาเจ้าประจัญ
จะจุดไฟไล่ฆ่าโยธาหาญ เปิดทวารไว้รับกองทัพขันธ์
ท่านทั้งหลายนายทัพเร่งขับกัน ไปช่วยฟันอ้ายฝรั่งชาวลังกา ฯ
๏ จอมกษัตริย์ตรัสตอบว่าชอบแล้ว พระหลานแก้วคิดนี้ดีหนักหนา
แล้วสั่งฝ่ายนายหมวดให้ตรวจตรา พร้อมบรรดาหมื่นขุนพวกมุลนาย
ล้วนเคยศึกฝึกคล่องทำนองยุทธ์ ถืออาวุธดั้งดาบกำซาบสาย
หน่อกษัตริย์จัดแจงแกล้งแปลงกาย ให้ละม้ายเหมือนอ้ายม้าใช้มา
แต่ชั้นในใส่ทรงเครื่องยงยุทธ์ เหน็บอาวุธอยู่กับกายทั้งซ้ายขวา
ใส่หมวกดำคล้ายฝรั่งชาวลังกา ขึ้นขี่ม้าควบออกนอกทวาร
กำลังโกรธรีบรุดไม่หยุดยั้ง ตรงมายังข้าศึกด้วยฮึกหาญ
ฝ่ายฝรั่งพรั่งพร้อมล้อมปราการ เปิดทวารไว้ท่าว่าม้าใช้
หน่อนรินทร์สินสมุทรไม่หยุดอยู่ เข้าประตูดูคนสับสนไสว
เห็นดินปืนยืนหยุดฉวยจุดไฟ เที่ยวจุดไหม้ร้านโรงขึ้นโพลงควัน ฯ
๏ ฝ่ายฝรั่งทั้งหลายพวกนายทัพ จะมาดับเพลิงชิงวิ่งถลัน
พระหน่อไทไล่พิฆาตเที่ยวฟาดฟัน สิ้นชีวันวอดวายลงหลายคน
บาทหลวงดูรู้ว่าปัจจามิตร ร้องให้ปิดประตูจับวิ่งสับสน
สินสมุทรจุดไฟหลายตำบล ไล่ฆ่าคนผลักบานทวารพัง
ศรีสุวรรณนั้นขับทัพทหาร เข้าในด่านได้สมอารมณ์หวัง
ทั้งสามพราหมณ์สามทัพขับประดัง เข้าล้อมหลังเมืองได้ไล่ฆ่าพล
พวกวิรุญกุนตังฝรั่งแขก ต่างตื่นแตกตายยับกันสับสน
เสียงครื้นครั่นหันเหียนเที่ยวเวียนวน บ้างจวนจนโจนกำแพงตะแคงคราง ฯ
๏ ฝ่ายยุพาผการำภาสะหรี พากันหนีเพลิงอ้อมมาป้อมขวาง
พระหน่อไทไล่ลัดสกัดทาง ทั้งสองนางหนีต่อมาหอรบ
เห็นพวกพราหมณ์ตามจับก็กลับสู้ ยิงธนูพลาดเพลี่ยงหลีกเลี่ยงหลบ
พอพวกพ้องย่องตอดดอดมาพบ ช่วยกันรบหักออกนอกกำแพง
แล้วสองนางต่างคนขึ้นขี่ม้า พอเวลาทินกรก็อ่อนแสง
พบไพรีตีสกัดหลบลัดแลง ด้วยรู้แห่งหนทางที่กลางไพร
ฝ่ายฝรั่งทั้งหลายหนีพรายพลัด แตกกระจัดกระจายทั้งนายไพร่
พวกกองทัพจับฟันให้บรรลัย ที่หนีได้ไปยังเมืองลังกา ฯ
๏ ฝ่ายศรีสุวรรณวงศ์ทรงสินธพ คิดถึงศพทรงเดชพระเชษฐา
ขึ้นหยุดยั้งนั่งประทับบนพลับพลา ให้โยธาดับไฟในปราการ
แล้วตีฆ้องกลองสัญญาโยธาทัพ ให้ถอยกลับมาชุมนุมคุมทหาร
ครั้นพรั่งพร้อมจอมกษัตริย์ตรัสสั่งการ เราได้ด่านแล้วก็ยังแต่ลังกา
ที่รอรั้งหวังใจจะใคร่พบ ซึ่งซากศพทรงเดชพระเชษฐา
แล้วใช้ให้ย่องเบาไปเอามา บนพลับพลาพลางแลเห็นแต่กาย
จะเพ่งพิศจิตใจให้สังเวช น้ำพระเนตรภูวนาถไม่ขาดสาย
สินสมุทรสุดแค้นแสนเสียดาย ยิ่งฟูมฟายชลนาโศกาลัย ฯ
๏ ฝ่ายเสนีที่เป็นนายคนตายนั้น เห็นสำคัญแขนผีนั้นมีไฝ
ทูลสนองสองกษัตริย์ขึ้นบัดใจ นี่มิใช่เชษฐาอย่าจาบัลย์
บ่าวของข้าหน้าละม้ายคล้ายพระพี่ เป็นไฝที่แขนขวามันอาสัญ
ฟังขุนนางทางเขม้นเห็นสำคัญ สารพันเพ่งพิศยิ่งผิดไป
เอาหัวผีที่พลับพลานั้นมาต่อ ได้กับคอแต่คนนี้มันมิใช่
แต่เครื่องทรงนั้นขององค์พระอภัย เหตุไฉนจึงเป็นไปเช่นนี้
เจ้าพราหมณ์ว่าข้าได้ทายเหมือนหมายแม่น เขาตายแทนจึงพบแต่ศพผี
ซึ่งเครื่องใส่ไว้กับชายวายชีวี เห็นท่วงทีถ่ายเททำเล่ห์กล
พิเคราะห์ดูภูวไนยเห็นไม่ม้วย จะไปด้วยพวกผู้หญิงเมืองสิงหล
พระทรงฟังยังไม่วายคลายกังวล จึงว่ากลการศึกนี้ลึกซึ้ง
จะสังเกตเหตุการณ์ประมาณมาด ก็สุดคาดคิดไปมิใคร่ถึง
แม้การเป็นเช่นคำอย่างรำพึง พอพบจึงจะแจ้งบอกแพร่งพราย
แล้วสั่งให้เอาศพไปกลบฝัง จะยับยั้งอยู่สักวันจึงผันผาย
ให้นายหมวดตรวจพหลพลนิกาย ทั้งไพร่นายพร้อมพรั่งระวังระไว ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ