ตอนที่ ๒๔ กำเนิดสุดสาคร

๏ จะกล่าวถึงเงือกน้อยกลอยสวาท ซึ่งรองบาทพระอภัยเมื่อไกลสถาน
อยู่วนวังหลังเกาะแก้วพิสดาร ประมาณกาลสิบเดือนไม่เคลื่อนคลา
ให้เจ็บครรภ์ปั่นป่วนจะจวนคลอด ระทวยทอดลงกับแท่นที่แผ่นผา
จะแลเหลียวเปลี่ยวใจนัยนา ไม่เห็นหน้าผู้ใดที่ไหนเลย
โอ้องค์พระอภัยก็ไปลับ ไม่เห็นกลับคืนมานิจจาเอ๋ย
จะคลอดบุตรสุดใจเมียไม่เคย ที่ไหนเลยจะตลอดรอดชีวา
นางครวญคร่ำร่ำไรไห้ละห้อย น้ำตาย้อยพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา
ให้กลุ้มกลัดอัดอั้นหวั่นวิญญาณ์ ด้วยเป็นปลาแปลกนางอย่างมนุษย์
สงสารนางครางครวญให้ป่วนปวด ยิ่งเร้ารวดร้อนใจดังไฟจุด
สะอื้นอ้อนอ่อนระทวยแทบม้วยมุด หากบุญบุตรบันดาลช่วยมารดา
ให้นึกคำพระอภัยเมื่อไปจาก ว่าจะฝากโยคีมีคาถา
นางตรึกตรองร้องร่ำทั้งน้ำตา คุณเจ้าขาไม่มาช่วยฉันด้วยเลย
โอ้ครั้งนี้ชีวิตจะปลิดปลด พระดาบสเอาบุญเถิดคุณเอ๋ย
นางครวญคร่ำร่ำไรด้วยไม่เคย สลบเลยลืมกายดังวายปราณ ฯ
๏ ฝายโยคีมีพรตปรากฏกล้า นั่งรักษาทางธรรมกรรมฐาน
แสนสว่างทางกสิณอภิญญาณ พระอาจารย์แจ้งจบทั้งภพไตร
เมื่อเงือกน้ำร่ำเรียกก็รู้เหตุ นิ่งสังเกตว่าสีกามาแต่ไหน
พลางหัวร่ออ้อเมียพระอภัย เขาฝากไว้วันจะลาไปธานี
มันเจ็บท้องร้องอึงจะออกลูก จะต้องถูกได้หรือเป็นฤๅษี
แล้วงกเงิ่นเดินมาในราตรี ไหนอยู่ที่ไหนหวาสีกาสีแก
เอาโคมส่องมองเขม้นเห็นนางเงือก สลบเสือกอยู่ที่ทรายชายกระแส
เป่ามหาอาคมให้ลมแปร ที่ท้อแท้ค่อยประทังกำลังนาง
เห็นโยคีดีใจจึงไหว้กราบ สมาบาปช่วยวิบัติที่ขัดขวาง
ความเจ็บปวดรวดเร้าไม่เบาบาง นางครางพลางพลิกกายฟายน้ำตา ฯ
๏ พระดาบสอดปากมิอยากได้ ใครใช้ให้มึงรักกันหนักหนา
ส่วนลูกไม่ใคร่ออกสิบอกตา สมน้ำหน้าปวดท้องร้องเบยเบย
แล้วจับยามสามตาตำราปลอด จวนจะคลอดแล้วละหวาสีกาเอ๋ย
กูถูกต้องท้องไส้ไม่ได้เลย ยังไม่เคยพบเห็นเหมือนเช่นนี้
แล้วหลีกไปให้ห่างเสียข้างเขา ช่วยเสกเป่าป้องปัดกำจัดผี
เดชะฤทธิ์อิศโรพระโยคี มิได้มีเภทภัยสิ่งไรพาน
ทั้งเทวาอารักษ์ที่ในเกาะ ระเห็จเหาะลงมาสิ้นทุกถิ่นฐาน
ช่วยแก้ไขได้เวลากฤดาการ คลอดกุมารเป็นมนุษย์บุรุษชาย
เนตรขนงวงนลาฏไม่คลาดเคลื่อน ละม้ายเหมือนพระอภัยนั้นใจหาย
มีกำลังนั่งคลานทะยานกาย เข้ากอดก่ายมารดรไม่อ่อนแอ
นางกอดบุตรสุดใจมิได้อิ่ม พ่อเนื้อนิ่มแนบข้างไม่ห่างแห
แข็งฤทัยใจคอหายท้อแท้ ลงชุ่มแช่ชลธารสำราญใจ
พระหน่อนาถชาติเงือกชอบเลือกน้ำ เที่ยวผุดดำตามประสาอัชฌาสัย
นางแม่เมียงเคียงข้างไม่ห่างไกล แล้วอุ้มไปนั่งแท่นแผ่นศิลา ฯ
๏ ฝ่ายโยคีนิ่งนั่งได้ฟังเสียง จึงมองเมียงมาชะโงกริมโกรกผา
เห็นกุมารคลานได้มิใช่ปลา หัวร่อร่าร้องไม่เป็นไรแล้ว
เข้าอุ้มชูดูหลานสงสารนัก ไม่รู้จักเจรจาตาแจ๋วแหวว
แต่ลักษณะจะฉลาดไม่คลาดแคล้ว ดูผ่องแผ้วเหมือนพ่อหนอสีกา ฯ
๏ นางเงือกน้ำคำรพอภิวาท ข้าเป็นชาติเชื้อสัตว์เหมือนมัจฉา
จะกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมนุษย์สุดปัญญา ขอฝากฝ่าบาทบงสุ์พระทรงธรรม์
ช่วยเลี้ยงดูกุมารเหมือนหลานเถิด เสียแรงเกิดกายมาจะอาสัญ
อันข้านี้วิสัยอยู่ไกลกัน เช้ากลางวันเย็นลงจะส่งนม ฯ
๏ พระโยคีมีจิตคิดสงสาร ด้วยเหมือนหลานลูกศิษย์สนิทสนม
จึงว่ากูผู้สถิตในกิจกรม ไม่มีสมบัติอะไรที่ไหนเลย
จะเย็บฟูกผูกเปลเห่อ้ายหนู ก็ไม่รู้สีสาสีกาเอ๋ย
ต้องกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไปทั้งไม่เคย จะเฉยเมยเสียมิช่วยจะม้วยมุด
ฤกษ์วันนี้ตรีจันทร์เป็นวันโชค ต้องโฉลกลัคนามหาอุด
จะให้นามตามอย่างข้างมนุษย์ ให้ชื่อสุดสาครอวยพรชัย ฯ
๏ นางกราบกรานท่านสิทธาว่าสาธุ ให้อายุยืนยงอสงไขย
สืบตระกูลพูนสวัสดิ์กำจัดภัย แล้วอุ้มให้กินนมนั่งชมเชย
โอ้เกิดมาอาภัพอัปภาค จะจำจากมารดานิจจาเอ๋ย
อย่าเศร้าสร้อยน้อยใจอาลัยเลย บุญแม่เคยครองเลี้ยงเจ้าเพียงนั้น
ไปชาติหน้ามาเกิดกับอกแม่ อย่าห่างแหเสน่หาจนอาสัญ
ในชาตินี้วิบากจะจากกัน เพราะต่างพันธุ์ผิดเพศสังเวชใจ
สะอื้นพลางนางแลดูลูกรัก สงสารนักนึกน่าน้ำตาไหล
จึงหยิบของสองสิ่งซึ่งซ่อนไว้ เป็นของพระอภัยให้โอรส
ทำขวัญลูกผูกธำมรงค์รัตน์ ไว้กับหัตถ์เบื้องขวาให้ปรากฏ
กุณฑลทองขององค์พระทรงยศ ให้ดาบสเก็บไว้ให้กุมาร
แล้วเรียกบุตรสุดสาครของแม่ เฝ้าแลแลมารดาน่าสงสาร
ให้กินนมชมชูพระกุมาร แล้วให้คลานขึ้นบนเพลาพระเจ้าตา
พระสอดกรช้อนอุ้มว่านุ่มนิ่ม ดูจิ้มลิ้มลูกพ่อเจียวหนอหวา
ไปด้วยกูอยู่ด้วยกันที่ศาลา แล้วอุ้มพามากุฎีพระชีไพร
จึงเสี่ยงสัตย์อัธิษฐานการกุศล เดชะผลเมตตาได้อาศัย
จะเลี้ยงดูกุมารแม้นนานไป เขาจะได้สืบกษัตริย์ขัตติยา
จงมีเมาะเบาะฟูกเครื่องลูกอ่อน ทั้งเปลนอนหน่อนาถตามวาสนา
พอขาดคำรำพันจำนรรจา ก็มีมาเหมือนหนึ่งในน้ำใจนึก
จึงวางองค์ลงบนเปลแล้วเห่ช้า ทำขนมแชงม้าเวลาดึก
โอระเห่เอระโห่โอระหึก อึกทึกทั้งศาลาจนราตรี
ถึงดึกดื่นตื่นนอนป้อนกล้วยน้ำ กุมารกล้ำกลืนกินจนสิ้นหวี
ทั้งฟูกเมาะเบาะหมอนอ่อนอินทรีย์ พระโยคีคอยระวังเป็นกังวล
ครั้นรุ่งอุ้มดุ่มเดินไปเนินเขา ให้ดื่มเต้ากษิราสี่ห้าหน
เป็นแถวเทือกเงือกบุรุษมนุษย์ปน แรงกว่าคนเมืองเราชาวบุรี
ได้สิบเดือนเหมือนได้สักสิบขวบ ดูขาวอวบอ้วนท้วนเป็นนวลฉวี
ออกวิ่งเต้นเล่นได้ไกลกุฎี เที่ยวไล่ขี่วัวควายสบายใจ
แล้วลงน้ำปล้ำปลาโกลาหล ดาบสบ่นปากเปียกเรียกไม่ไหว
สอนให้หลานอ่านเขียนร่ำเรียนไป แล้วก็ให้วิทยาวิชาการ
รู้ล่องหนทนคงเข้ายงยุทธ์ เหมือนสินสมุทรพี่ยาทั้งกล้าหาญ
ได้เห็นแต่แม่มัจฉากับอาจารย์ จนอายุกุมารได้สามปี ฯ
๏ อยู่วันหนึ่งถึงเวลาสิทธาเฒ่า สำรวมเข้านั่งฌานกุมารหนี
ลงเล่นน้ำปล้ำปลาในวารี แล้วขึ้นขี่ขับขวางไปกลางชล
พอพบม้าหน้าเหมือนมังกรร้าย แต่กีบกายนั้นเป็นม้าน่าฉงน
หางเหมือนอย่างหางนาคปากคำรน กายพิกลกำยำดูดำนิล
กุมาราถาโถมเข้าโจมจับ มังกรรับรบประจัญไม่ผันผิน
เข้าคาบคอหน่อกษัตริย์จะกัดกิน กุมารดิ้นโดดขึ้นนั่งหลังอาชา
ม้าสะบัดพลัดหลุดยังยุดหาง ดูกลิ้งกลางเกลียวคลื่นลื่นถลา
ตลบเลี้ยวเรียวแรงแผลงศักดา เสียงชลาเลื่อนลั่นสนั่นดัง
จนค่ำพลบรบรุดไม่หยุดหย่อน สุดสาครภาวนาคาถาขลัง
ถึงสินธพขบขย้ำด้วยกำลัง ไม่เข้าหนังแน่นเหนียวคงเขี้ยวงา
แต่มืดมัวกลับปู่ไม่อยู่รบ แฉลบหลบขึ้นตลิ่งวิ่งถลา
ถึงโยคีดีใจไหว้วันทา บอกเจ้าตาตามจริงทุกสิ่งอัน
ไปเที่ยวเล่นเห็นอ้ายอะไรมิรู้ ดำทั้งตัวหัวหูมันดูขัน
ข้าเข้าจับกลับขบต้องรบกัน แต่กลางวันจนเดี๋ยวนี้ฉันหนีมา ฯ
๏ พระทรงศิลป์ยินสุดสาครบอก นึกไม่ออกอะไรกัดหรือมัจฉา
จึงเล็งญาณฌานชิดด้วยฤทธา ก็รู้ว่าม้ามังกรสมจรกัน
ครั้นลูกมีศีรษะมันเหมือนพ่อ ตัวตีนต่อจะเหมือนแม่ช่างแปรผัน
หางเป็นนาคมาข้างพ่อมันต่อพันธุ์ พระนักธรรม์แจ้งกระจ่างด้วยทางฌาน
จึงนึกว่าม้านี้มันมีฤทธิ์ จำจะคิดจับไว้ให้พระหลาน
ได้ตามติดบิตุรงค์พบวงศ์วาน สิทธาจารย์ดีใจจึงไขความ
ม้าตัวนี้ดีจ้านเจียวหลานเอ๋ย เป็นกะเทยเขี้ยวเพชรไม่เข็ดขาม
จับไว้ขี่มีสง่ากล้าสงคราม จะได้ตามบิตุเรศไปเขตคัน
แล้วบอกมนต์กลเล่ห์กระเท่ห์ให้ จะจับได้ด้วยพระเวทวิเศษขยัน
สุดสาครนอนบ่นมนต์สำคัญ ได้แม่นมั่นเหมือนหนึ่งจิตไม่ผิดเพี้ยน
จึงลงหวายสายเอกเสกประทับ ไว้สำหรับผูกรั้งเช่นบังเหียน
แล้วนอนบ่นมนต์เก่าที่เล่าเรียน จนสิ้นเทียนเคลิ้มหลับระงับไป
พอเช้าตรู่รู้สึกให้นึกแค้น ฉวยเชือกแล่นลงมหาชลาไหล
ขึ้นขี่ปลาพาว่ายคล้ายคล้ายไป ถึงคลื่นใหญ่มองเขม้นเห็นสินธพ
กระโดดโครมโถมถึงเข้าทึ้งหนวด มังกรหวดหางกระหวัดทั้งกัดขบ
พอหลุดมือรื้อกลับเข้ารับรบ โจนประจบจับหนวดกระหมวดรั้ง
เอาวงหวายสายสิญจน์สวมศีรษะ ด้วยเดชะพระเวทวิเศษขลัง
ม้ามังกรอ่อนดิ้นสิ้นกำลัง ขึ้นนั่งหลังแล้วกุมารก็อ่านมนต์
ได้เจ็ดคาบปราบม้าสวาหะ แล้วเป่าลงตรงศีรษะสิ้นหกหน
อาชาชื่นฟื้นกายไม่วายชนม์ ให้รักคนที่ขึ้นขี่ดังชีวา
ขยับซ้ายย้ายตามด้วยความรัก หรือจะชักย้ายทางไปข้างขวา
คอยตามไปไม่ขัดหัทยา กุมารารู้ทีก็ดีใจ
ขี่ขยับขับขึ้นบนเกาะแก้ว ยิ่งคล่องแคล่วควบกระโดดโขดไศล
เที่ยวเลียบรอบขอบเกาะเหมือนเหาะไป ประเดี๋ยวใจถึงศาลาพระอาจารย์
เห็นครูอิงพิงหมอนนั่งถอนหนวด แกล้งควบอวดอัยกาตรงหน้าฉาน
ทรามคะนองลองเชิงเริงสำราญ พระอาจารย์นั่งหัวร่อพ่อนี่นา
อย่าควบนักชักวงมาตรงนี้ จะดูศีรษะมันขันหนักหนา
กุมารลงทรงจูงอาชามา ถึงตรงหน้านอบนบอภิวันท์
พระนักสิทธ์พิศดูเป็นครู่พัก หัวร่อคักรูปร่างมันช่างขัน
เมื่อตัวเดียวเจียวกลายเป็นหลายพรรณ กำลังมันมากนักเหมือนยักษ์มาร
กินคนผู้ปูปลาหญ้าใบไม้ มันทำได้หลายเล่ห์อ้ายเดระฉาน
เขี้ยวเป็นเพชรเกล็ดเป็นนิลลิ้นเป็นปาน ถึงเอาขวานฟันฟาดไม่ขาดรอน
เจ้าได้ม้าพาหนะตัวนี้ไว้ จะพ้นภัยภิญโญสโมสร
ให้ชื่อว่าม้านิลมังกร จงถาวรพูนสวัสดิ์แก่นัดดา
ปล่อยให้เล่นเป็นสุขอย่าผูกถือ ร้องเรียกชื่อแล้วก็คงตรงมาหา
พลางเรียกหลานขึ้นมานั่งยังศาลา พระสิทธาพรายแพร่งให้แจ้งการ
บิดาเจ้าเหล่ากอหน่อกษัตริย์ บุรีรัตนพลัดพรากจากสถาน
มาถึงกูอยู่ศาลานี่ช้านาน พึ่งโดยสารไปบุรีเมื่อปีจอ
ประเดี๋ยวนี้ปีชวดฉศกแล้ว เกิดหลานแก้วสามปีเข้านี่หนอ
แล้วบอกความนามกรทั้งเหล่ากอ แต่ชื่อพ่อชื่อพระอภัยมณี
เจ้าจงคิดติดตามไต่ถามหา พบบิดาได้บำรุงซึ่งกรุงศรี
สืบตระกูลพูนสวัสดิ์ปัถพี อยู่ที่นี่นิ่งเปล่าไม่เข้าการ ฯ
๏ หน่อนรินทร์ยินคดีพระชีเล่า กำสรดเศร้าโศกาน่าสงสาร
คิดถึงพ่อท้อใจอาลัยลาน พระพลัดบ้านเมืองมาเอกากาย
ไปสำเภาเล่าจะดีหรือมีเหตุ แสนสมเพชภูวไนยนึกใจหาย
เป็นลูกท่านทิ้งบิดาก็น่าอาย ถึงเป็นตายฉันจะลาเจ้าตาตาม
พระบิดรอยู่ตำบลแห่งหนไหน คงจะไปตามเสด็จไปเข็ดขาม
แต่โปรดเกล้าเล่าแถลงให้แจ้งความ จะให้ตามตั้งจิตไปทิศใด ฯ
๏ พระดาบสอุตส่าห์ปลอบว่าชอบอยู่ กตัญญูยอดดีจะมีไหน
แต่แถวทางกลางย่านที่หลานไป ไกลกว่าไกลกลัวจะหลงเที่ยววงวน
พระอภัยไปบำรุงกรุงผลึก จะทำศึกชิงผู้หญิงกับสิงหล
ตรงมือชี้นี่นะจำเอาตำบล เป็นมณฑลทิศพายัพอยู่ลับลิบ
อันพ่อเจ้าเขาไม่แก่ไม่หนุ่มนัก อายุสักยี่สิบเก้าเข้าสามสิบ
พระบอกพลางทางประทานไม้เท้าทิพย์ ไปทางนี้ผีดิบมันดุดัน
สำหรับมือถือไว้อย่าให้ห่าง เปรียบเหมือนอย่างศรแผลงพระแสงขรรค์
ทั้งแคล้วคลาดสาตราสารพัน ประกอบกันผีสางปะรางควาน
อันปิ่นทองของพระอภัยให้ ช่วยแซมใส่เกศีเมาลีหลาน
บิดาเจ้าเผ่าพงศ์พวกวงศ์วาน ใครพบพานจะได้เห็นเป็นสำคัญ
แล้วจัดแจงแต่งนุ่งหนังเสือให้ ครบเครื่องไตรครองประทานพระหลานขวัญ
ผูกชฎาหนังรัดสะพัดพัน ฝนแก่นจันทน์เจิมมหาอุณาโลม
นั่งคำนับพับเพียบดูเรียบร้อย เหมือนเณรน้อยน่าจูบเจียวรูปโฉม
แล้วว่าเชิญเดินไปหาสีกาโยม ประเล้าประโลมอำลาเขาคลาไคล
โอ้เอ็นดูมุนีฤๅษีน้อย ให้ละห้อยโหยหาน้ำตาไหล
เข้ากราบเท้าเจ้าตาด้วยอาลัย หลานจะไปกังวลด้วยชนนี
พระเจ้าปู่ดูแลแม่ฉันด้วย จะเจ็บป่วยเป็นตายอย่าหน่ายหนี
ฉันไปปะพระบิดาไม่ช้าที ถ้าอยู่ดีแล้วจะลามาหาคุณ
ฉวยขัดข้องต้องอยู่นานสงสารแม่ ผู้เดียวแท้สิ้นสุดที่อุดหนุน
เห็นแต่ปู่อยู่ใกล้น้ำใจบุญ จงการุญอย่าให้มีราคีพาน ฯ
๏ พระฟังคำร่ำสั่งก็สังเวช น้ำพระเนตรหลั่งลงน่าสงสาร
ด้วยเคยเห็นเอ็นดูพระกุมาร สิทธาจารย์จึงว่าเจ้าอย่าเศร้าใจ
ที่มารดาตาจะรับช่วยดับเข็ญ ให้อยู่เย็นตามประสาอัชฌาสัย
จงหักจิตปลิดปละสละไป อย่าห่วงใยโยมอยู่กับปู่แล้ว
พลางอำนวยอวยพรถาวรสวัสดิ์ จงกำจัดภัยพาลเถิดหลานแก้ว
ใครปองร้ายหมายมาดจงคลาดแคล้ว ให้ผ่องแผ้วภิญโญเดโชชัย ฯ
๏ กุมารสุดสาครยอกรกราบ น้ำตาอาบอุตส่าห์ฝืนสะอื้นไห้
ถือไม้เท้าก้าวมาศาลาลัย สู้แข็งใจจูงพระยาอาชาเดิน
มาเงื้อมเขาเสาโคมเห็นโยมตื่น ถอนสะอื้นอ้างว้างจะห่างเหิน
นางเห็นลูกผูกชฎาพาเจริญ สำรวมเดินดังมหาสิทธาจารย์
ความดีใจไหว้ว่าพระดาบส ช่างสร้างพรตงดงามทรามสงสาร
จะเปลื้องปลดอดนมเป็นสมภาร เจียวหรือฉานโมทนาสถาวร ฯ
๏ มุนีน้อยค่อยนั่งจะสั่งแม่ แต่แลแลแล้วก็ขืนสะอื้นอ้อน
จะออกคำอำลาให้อาวรณ์ สะท้อนถอนฤทัยมิใคร่ลา
แล้วว่าฉันบรรพชามาวันนี้ ให้กุศลชนนีจงหนักหนา
วันหนึ่งปู่ผู้เฒ่าเล่าลูกยา ว่าบิดาตกยากมาจากเมือง
พลอยสำเภาเขาไปจะได้สุข หรือเป็นทุกข์ทนอยู่ไม่รู้เรื่อง
มรคาสารพัดจะขัดเคือง จะถึงเมืองเหมือนหมายหรือวายชนม์
ลูกจะมาลาตามไปถามข่าว พอให้ท้าวเธอรู้จักเสียสักหน
ถ้าเฉินฉุกทุกข์ทับถึงอับจน จะสู้ทนยากแค้นแทนบิดา
ชนนีดีฉันฝากกับปู่แล้ว จงผ่องแผ้วพักอยู่ในคูหา
อย่าถือโทษโปรดให้ลูกไคลคลา ตามศรัทธาที่ฉันคิดถึงบิดร ฯ
๏ นางเงือกน้ำกำสรดสลดจิต สุดจะคิดคับทรวงดวงสมร
จะทานทัดขัดไว้มิให้จร สุดสาครของแม่จะแดดาล
นางดูหน้าอาลัยใจจะขาด ดังฟ้าฟาดทรวงแยกให้แตกฉาน
สะอื้นอั้นตันใจอาลัยลาน แสนสงสารโศกาแล้วว่าพลาง
โอ้ทูนหัวตัวแม่นี้ไม่ห้าม สุดแต่ตามใจปองอย่าหมองหมาง
แต่ปรานีที่ไม่แจ้งรู้แห่งทาง จะอ้างว้างวิญญาณ์ในวารี
เคยกินนมชมชื่นระรื่นรส พ่อจะอดนมหมองละอองศรี
ทั้งย่อมเยาว์เบาความได้สามปี เล็กเท่านี้นี่จะไปกระไรเลย
ต้องลมแดดแผดเผาจะเศร้าสร้อย ทั้งกล้วยอ้อยพ่อจะได้ไหนเสวย
กันดารแดนแสนไกลพ่อไม่เคย จะหลงเลยลดเลี้ยวอยู่เดียวโดย
แสนสงสารมารดาอุตส่าห์ถนอม จะซูบผอมเผือดผิวจะหิวโหย
เหมือนดอกไม้ไกลต้นจะหล่นโรย น้ำค้างโปรยปรายต้องจะหมองมัว
แม้นล้าเลื่อยเมื่อยเหน็บจะเจ็บป่วย ใครจะช่วยอนุกูลพ่อทูนหัว
ทั้งผีสางกลางชลาล้วนน่ากลัว จะจับตัวฉีกเนื้อเป็นเหยื่อกิน
สารพัดมัจฉาก็กล้าหาญ ในกลางย่านยมนาชลาสินธุ์
ทั้งครุฑาวายุภัสนกหัสดิน เที่ยวโบยบินบนอากาศไม่ขาดวัน
เห็นเดินหนคนเดียวจะเฉี่ยวฉาบ พิฆาตคาบเข่นฆ่าให้อาสัญ
น่าใจหายตายเป็นไม่เห็นกัน แม่พรั่นพรั่นเพราะว่าเจ้ายังเยาว์นัก
ถึงสิบรู้บูราณท่านเฉลย ไม่เหมือนเคยฝึกสอนด้วยอ่อนศักดิ์
อย่าจู่ลู่ดูถูกนะลูกรัก จงคิดหนักหน่วงใจดูให้ดี ฯ
๏ สุดสาครวอนว่าอย่าปรารภ ถึงพานพบผีสางกลางวิถี
ไม้เท้าของป้องกันของฉันมี ทั้งม้าขี่เขี้ยวเพชรเกล็ดเป็นนิล
อนึ่งเล่าเจ้าตาวิชาขลัง ได้สอนสั่งเสร็จสมอารมณ์ถวิล
อย่าหวาดหวั่นพรั่นใจที่ไพริน ถึงของกินก็พอเสาะตามเกาะเกียน
ที่พ่ออยู่ปู่ชี้วิถีแล้ว ประเทศแถวทางทิศสถิตเสถียร
จำสำคัญมั่นคงไม่วงเวียน จะพากเพียรพยายามไปตามบุญ
ถึงยังเด็กเหล็กเพชรไม่เข็ดขอน จะเจาะชอนเชิงลำเนาภูเขาขุน
จะลำบากยากแค้นเพราะแทนคุณ ก็ได้บุญเบื้องหน้าขอลาไป ฯ
๏ นางรู้ว่าอาจารย์บอกหลานน้อย ที่เศร้าสร้อยสร่างเสื่อมเพราะเลื่อมใส
ฤๅษีช่วยด้วยแล้วเห็นไม่เป็นไร ค่อยวางใจจึงว่าแม่ก็แก่กาย
พ่อไปปะพระบิดาแล้วอย่ากลับ จงอยู่กับภูวนาถเหมือนมาดหมาย
แม้นลูกยาผาสุกสนุกสบาย ถึงแม่ตายเสียก็ไม่อาลัยตัว
ถ้าเที่ยวไปไม่พบตลบหลัง มาเหมือนสั่งอย่าให้สูญนะทูนหัว
แม่อยู่นี่มิเป็นไรดอกไม่กลัว จะฝากตัวดาบสจนปลดปลง
พ่อไปถึงจึงทูลมูลเหตุ ให้ทรงเดชทราบความตามประสงค์
ว่าชาตินี้มิได้ปะกับพระองค์ ขอดำรงรองบาททุกชาติไป
แล้วเงือกน้ำอำนวยอวยสวัสดิ์ อย่าเคืองขัดขุ่นข้องให้ผ่องใส
ให้พบปะพระบิดาดังอาลัย อรินทร์ภัยคลาดแคล้วอย่าแผ้วพาน ฯ
๏ ฤๅษีสุดสาครรับพรแม่ จะห่างแหหวนจิตคิดสงสาร
จึงสั่งซ้ำร่ำว่าไม่ช้านาน สำเร็จการก็จะมาหามารดร
แล้วลานางย่างเยื้องชำเลืองเหลียว ให้เปล่าเปลี่ยวเสียวทรวงสะท้อนถอน
ขึ้นทรงนั่งหลังพระยาม้ามังกร แล้วหยุดหย่อนยืนยั้งเหลียวหลังแล
เห็นศาลาอาลัยเพียงใจขาด จะนิราศแรมร้างไปห่างแห
สะอื้นไห้ใจคอให้ท้อแท้ คิดถึงแม่ถึงตายิ่งอาลัย
ชุลีกรวอนว่าเทพารักษ์ ซึ่งสำนักเนินผาชลาไหล
ช่วยคุ้มครองป้องปัดกำจัดภัย เทพไททิพโสตจงโปรดปราน
แล้วแลเล็งเพ่งพิศทิศพายัพ ขยับขับม้าก้าวดูห้าวหาญ
อัสดรถอนถีบสุธาธาร ควบทะยานเหยียบน้ำไม่ซ้ำรอย
ดูลิ่วลิ่วปลิวต่ายไปตามคลื่น เหมือนเดินพื้นแผ่นตลิ่งวิ่งหยอยหยอย
ยิ่งลมกล้าม้าโลดกระโดดลอย พระหน่อน้อยนั่งชมยมนา
ดูกว้างขวางว้างโว้งละโล่งลิ่ว เห็นริ้วริ้วเรี่ยรายทั้งซ้ายขวา
ล้วนละเมาะเกาะใหญ่แต่ไกลตา อุปมาเหมือนหนึ่งแหนแลลิบลิบ ฯ
๏ ถึงเมืองล่มจมสมุทรมนุษย์ม้วย ประกอบด้วยยักขินีพวกผีดิบ
เห็นมนุษย์สุดอยากปากยิบยิบ เสียงซุบซิบเสแสร้งจำแลงกาย
เป็นถิ่นฐานบ้านเมืองเรืองอร่าม ทั้งตึกรามเรือนเรือดูเหลือหลาย
ตลาดน้ำเรือสัญจรเที่ยวคอนพาย บ้างร้องขายข้าวของที่ต้องการ
สุดสาครอ่อนแอครั้นแลเห็น คิดว่าเป็นปัถพินที่ถิ่นฐาน
ทั้งแลเห็นเต้นรำน่าสำราญ เขาเรียกขานขับม้าเข้าธานี
เข้าประตูดูกำแพงตะแคงคว่ำ อยู่ในน้ำเก่าแก่เห็นแต่ผี
เป็นเงาเงาเข้ากลุ้มรุมราวี กุมารตีด้วยไม้เท้าพระเจ้าตา
ถูกเนื้อตัวหัวขาดลงกลาดเกลื่อน ยังพวกเพื่อนคึกคักมาหนักหนา
บ้างอยากกินลิ้นแลบแปลบแปลบมา กุมารกล้ากลอกกลับเข้ารับรบ
ม้ามังกรถอนถีบกีบสะบัด เอาหางรัดราวกับนาคทั้งปากขบ
สังหารผีรี้พลอยู่จนพลบ เห็นเพลิงคบล้อมรอบขอบกำแพง
พวกผีดิบสิบโกฏิ์มันโลดไล่ จะเข้าใกล้กลัวมนต์ขนแสยง
แต่หลอนหลอกออกอัดสกัดสแกง ด้วยมันแกล้งจะให้วนอยู่จนตาย
กุมาราม้าทรงเฝ้าหลงรบ เที่ยวตลบไล่ผีไม่หนีหาย
ถึงเจ็ดวันมันไม่แตกไม่แยกย้าย จนม้าว่ายน้ำเวียนจะเจียนจม
ทั้งตัวสุดสาครก็อ่อนจิต รำลึกคิดถึงเจ้าตาที่อาศรม
พอเสียงดังหงั่งหง่างมากลางลม ปีศาจจมหายวับไปลับตา
เห็นโยคีขี่เมฆมาเสกเวท จึงอาเพศพวกผีหนีคาถา
ขึ้นหยุดยั้งนั่งบนใบเสมา ไหว้เจ้าตาทูลถามดูตามแคลง
มาถึงนี่ผีพร้อมเข้าล้อมหลาน คิดว่าบ้านถิ่นประเทศเป็นเขตแขวง
เข้าหักหาญราญรอนจนอ่อนแรง นี่กำแพงเมืองตั้งแต่ครั้งไร ฯ
๏ โยคีครูผู้เฒ่าจึงเล่าเรื่อง นี่คือเมืองท้าวปักกาภาษาไสย
เพราะพรากพระโคดมจึงจมไป เห็นแต่ใบเสมาอยู่ช้านาน
เมื่อแรกล่มสมเพชพวกมนุษย์ มาม้วยมุดมรณาหนักหนาหลาน
พลไพร่ไม่น้อยสักร้อยล้าน อดอาหารหิวตายจึงร้ายแรง
แม้นเรือซัดพลัดเข้ามาเหล่านี้ เป็นเหยื่อผีพวกมันล้วนขันแข็ง
อย่ารั้งรอบังอาจจะพลาดแพลง ออกกำแพงไปเสียเจียวประเดี๋ยวนี้
ไปข้างหน้าถ้าพบมันรบอีก จงเลี่ยงหลีกเลยไปในวิถี
มันเข้าใกล้ไม้ถือที่มือตี พระมุนีแนะอุบายแล้วหายไป ฯ
๏ สงสารหน่อบพิตรอิศเรศ ได้ทราบเหตุครูแจ้งแถลงไข
พอลับหน้าดาบสสลดใจ ลงจากใบเสมาขึ้นพาชี
มังกรกลายว่ายน้ำเหมือนเดินบก พอเดือนตกตัดทางกลางวิถี
เหมือนสำเภาเขาแล่นเมื่อลมดี เรื่อยเรื่อยรี่เร็วมาในสาคร
ครั้นรุ่งเช้าเข้าเกาะขึ้นเสาะหา ผลผลาปรางปริงริมสิงขร
กำดัดแดดแผดหนักก็พักนอน ม้ามังกรกินปลาประสาใจ
ครั้นฟื้นองค์ทรงนิลสินธพ มาไม่พบเกาะแก่งตำแหน่งไหน
สันโดษเดียวเปลี่ยวกายคล้ายคล้ายไป กำหนดได้เดือนเศษถึงเขตคน ฯ
๏ จะกล่าวความพราหมณ์แขกซึ่งแปลกเพศ อยู่เมืองเทศแรมทางที่กลางหน
ครั้นเสียเรือเหลือตายไม่วายชนม์ ขึ้นอยู่บนเกาะพนมในยมนา
ไม่นุ่งห่มสมเพชเหมือนเปรตเปล่า เป็นคนเจ้าเล่ห์สุดแสนมุสา
ทำเป็นทีชีเปลือยเฉื่อยเฉื่อยช้า ไม่กินปลากินข้าวกินเต้าแตง
พวกสำเภาเลากาก็พาซื่อ ชวนกันถือผู้วิเศษทุกเขตแขวง
คิดว่าขาดปรารถนาศรัทธาแรง ไม่ตกแต่งตั้งแต่คิดอนิจจัง
ใครขัดสนบนบานการสำเร็จ เมื่อแท้เท็จถือว่าวิชาขลัง
คนมาขอก่อกุฏิ์ให้หยุดยั้ง นับถือทั้งธรณีเรียกชีเปลือย
ส่วนชายปลอมพร้อมหมดไม่อดอยาก มีโยมมากเหมือนหมายสบายเรื่อย
จนหนวดงอกออกขาวดูยาวเฟื้อย ทั้งผมเลื้อยลากส้นอยู่คนเดียว ฯ
๏ กุมาราม้าทรงมาตรงเกาะ เห็นละเมาะไม้พุ่มชอุ่มเขียว
ที่เงื้อมเขาเสาหงส์ใส่ธงเทียว กุฎีเดียวดูหลังคาช่อฟ้าเฟื้อย
สำคัญว่าดาบสปรากฏกล้า จะแวะหาให้สบายพอหายเหนื่อย
จึงขับม้ามากุฎีเห็นชีเปลือย ยังหลับเรื่อยรูปร่างโคร่งคร่างครัน
ไม่นุ่งผ้าคากรองครองหนังเสือ ประหลาดเหลือโล่งโต้งโม่งโค่งขัน
น่าเหียนรากปากมีแต่ขี้ฟัน กรนสนั่นนอนร้ายเหมือนป่ายปีน
ประหลาดใจไยหนอไม่นุ่งผ้า จะเป็นบ้าไปหรือว่าถือศีล
หนวดถึงเข่าเคราถึงนมผมถึงตีน ฝรั่งจีนแขกไทยก็ใช่ที
หัวร่อพลางทางคิดผิดประหลาด หรือปีศาจยมทูตอ้ายภูตผี
จึงร้องปลุกลุกขึ้นหวาตาคนนี้ ผ้าไม่มีหรือไม่นุ่งดูรุงรัง ฯ
๏ ฝ่ายชีเปลือยเมื่อยม่อยไปหน่อยหนึ่ง ลุกทะลึ่งเหลียวหาข้างหน้าหลัง
เห็นฤๅษีกะจิริดให้คิดชัง ขี่ม้ามังกรหางเหมือนอย่างงู
ให้คิดคร้ามถามว่ามาแต่ไหน ธุระไรหรือฤๅษีมุนีหนู
อ้ายที่ขี่นี่อะไรจะใคร่รู้ เขม้นดูเดือดใจอยู่ในที
กุมาราว่าท่านบอกเราออกก่อน ไยมานอนแก้ผ้าน่าบัดสี
หรือผ้าผ่อนท่อนสไบนั้นไม่มี ไม่ขูดขี้ฟันบ้างเป็นอย่างไร ฯ
๏ ชีเปลือยฟังนั่งขัดสมาธิพับ แสนสับปลับปลิ้นปลอกบอกนิสัย
เราตัดขาดปรารถนาไม่อาลัย ด้วยเห็นภัยวิปริตอนิจจัง
อันร่างกายหมายเหมือนหนึ่งเรือนโรค แสนโสโครกคืออายุกเป็นทุกขัง
เครื่องสำหรับยับยุบอสุภัง จะปิดบังเวทนาไว้ว่าไร
เราถือศีลจินตนาศิวาโมกข์ สละโลกรูปนามตามวิสัย
บังเกิดเป็นเบญจขันธ์มาฉันใด ก็ทิ้งไว้เช่นนั้นจึงฉันนี้
ไม่รักรูปร่างกายเสียดายชาติ อารมณ์มาดมุ่งหมายจะหน่ายหนี
นี่ตัวท่านการธุระอะไรมี มาเดี๋ยวนี้จะไปหนตำบลใด ฯ
๏ พระหน่อน้อยพลอยเห็นเหมือนเช่นว่า โมทนาน้อมองค์ไม่สงสัย
ลงจากหลังมังกรวอนอภัย พระอย่าได้ถือโทษจงโปรดปราน
อันข้านี้ขี่ม้ามาในน้ำ จะแวะสำนักหาผลาหาร
แล้วเล่าความตามเรื่องเคืองรำคาญ จะไปบ้านเมืองคิดถึงบิดา
ได้ยินเขาเล่าลือบ้างหรือไม่ พระอภัยบิตุเรศกับเชษฐา
จงโปรดเกล้าเล่าแถลงแจ้งกิจจา ให้นัดดาทราบความจะตามไป ฯ
๏ ส่วนชีเปลือยเฉื่อยช้าหลับตาคิด มันเรืองฤทธิ์รู้เวทวิเศษไฉน
จำจะลวงหน่วงถามถึงความใน เห็นจะได้ดอกเด็กเล็กเท่านี้
ถ้าเดินน้ำทำเป็นเช่นอ้ายหนู จะลือกูเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี
ดำริพลางทางลวงดูท่วงที เป็นไรมีเราก็รู้อยู่แก่ใจ
แต่แถวทางข้างหน้านั้นปรากฏ มีน้ำกรดลึกเหลวเป็นเปลวไหล
ต่อมีมนต์กลเวทวิเศษไป จึงข้ามได้โดยง่ายไม่วายชนม์
นี่ตัวเจ้าเล่าเรียนมาแล้วหรือ จะดึงดื้อไปแล้วเห็นไม่เป็นผล
ซึ่งเดินน้ำร่ำมาในสาชล ด้วยเวทมนตร์เชี่ยวชาญประการใด ฯ
๏ สุดสาครอ่อนศักดิ์ไม่หนักหน่วง ถูกลมลวงเล่าแจ้งแถลงไข
ที่ความรู้ครูสอนแต่ก่อนไร รำพันให้แจ้งจิตไม่ปิดบัง
แต่แก้กรดบทนี้ยังมิรู้ จะขออยู่ศึกษาวิชาขลัง
เหมือนลูกเต้าเจ้าประคุณการุณัง จงช่วยสั่งสอนให้ได้ไคลคลา ฯ
๏ ส่วนผู้เฒ่าเจ้าอุบายกระต่ายแก่ รู้กระแสสมมาดปรารถนา
แม้นลวงได้ไม้เท้าที่ถือมา จะขี่ม้ามังกรได้ดังใจจง
จำจะหลอกบอกมนต์กันบนเขา ให้เรียนเล่าเสียเชิงละเลิงหลง
ถึงตัวดีมีครูจะอยู่คง ผลักมันลงที่ในเหวก็เหลวไป
จึงตอบคำทำทีอารีรัก ไม่ยากนักดอกจะแจ้งแถลงไข
จะเรียนร่ำตำราท่านว่าไว้ ให้ขึ้นไปบอกมนต์กันบนเนิน
ถ้าแม้นเจ้าเล่าจำได้สำเร็จ ไม่เหนื่อยเหน็ดนั่งหัวเราะเหมือนเหาะเหิน
แกล้งพูดล่อพอให้น้ำใจเพลิน แล้วพาเดินดัดดั้นขึ้นบรรพต
ถึงปากปล่องช่องเหวเป็นเปลวโปร่ง ตลอดโล่งลึกล้ำเหลือกำหนด
บอกให้นั่งตั้งประนมพรหมพรต วางไม้เท้าดาวบสไว้ริมกาย
เห็นได้ทีชีเมียงเข้าเคียงข้าง กระซิบพลางผลัดตกหัวหกหาย
กระทบหินสิ้นแรงพลิ้วแพลงกาย ทรวงทลายล้มซบสลบไป ฯ
๏ ชีเปลือยได้ไม้เท้าของดาวบส แกถือจดจ้องเดินลงเนินไศล
ตรงมาหาพาชีด้วยดีใจ แกเงื้อไม้ม้ากลัวก้มหัวลง
ขึ้นขี่หลังรั้งสายหวายตะค้า สงสารม้าร้องเพียงจะเสียงหลง
แต่ป่วนปั่นหันเหียนวิ่งเวียนวง ด้วยรักองค์หน่อนาถไม่คลาดคลา
จนชีเปลือยเหนื่อยแรงแกว่งไม้เท้า ความกลัวราวกับจะดิ้นสิ้นสังขาร์
ต้องตามใจมิได้ขัดหัทยา ชีชราควบลองดูว่องไว
จึงขับตรงลงทะเลเที่ยวเร่ร่อน อัสดรโดดปลิวหวิวหวิวไหว
พอรู้ทีชีเปลือยไม่เหนื่อยใจ คิดจะไปเที่ยวตามความสำราญ
จึงหมายมุ่งกรุงแก้วการะเวก เป็นเมืองเอกอิศรามหาสถาน
พวกสำเภาเขาเคยขึ้นบนบาน จะคิดอ่านอวดวิชาอุตส่าห์ไป ฯ
๏ จะกลับกล่าวเจ้าพาราการะเวก พึ่งอภิเษกแทนกษัตริย์ที่ตัดษัย
สง่างามนามพระสุริโยไทย อายุได้ยี่สิบสองขึ้นครองเมือง
มีโฉมยงองค์มิ่งมเหสี ชื่อโฉมจันทวดีฉวีเหลือง
สนมนางอย่างเอกอเนกเนือง ทั้งงานเครื่องงานกลางสำอางตา
มีพระราชบุตรีกะจิริด ประไพพิศเพียงเทพเลขา
ชื่อนงเยาว์เสาวคนธ์ดังมณฑา ชันษาสองปีกับสี่เดือน
น่าเอ็นดูรู้พลอดฉอดฉอดเสียง เสนาะสำเนียงนารีไม่มีเหมือน
ทั้งเสนาสามนต์พลเรือน ประชาราษฎร์กลาดเกลื่อนทั้งกรุงไกร
อันปิ่นปักนัคราการะเวก ถืออุเบกขามั่นไม่หวั่นไหว
พระน้าวโน้มโลมเลี้ยงทั้งเวียงชัย ไม่มีภัยผาสุกทุกทิวา
เมื่อวันนั้นบรรทมหลับสนิท ทรงนิมิตฝันฟื้นตื่นผวา
พระจำได้ในสุบินจินตนา ถึงเวลาออกยังห้องท้องพระโรง
ส่วนเสนาข้ารองละอองบาท ล้วนเปรื่องปราชญ์ปรีชาดูอ่าโถง
นุ่งสมปักชักกลีบจับจีบโจง เข้าพระโรงกราบก้มบังคมคัล
จึงตรัสบอกโหราพฤฒาเฒ่า คืนนี้เราหลับไปเมื่อไก่ขัน
ฝันว่าแร้งแดงทั่วทั้งตัวมัน แต่ขนนั้นเลี่ยนโล้นดูโกร๋นเกรียน
มันคาบแก้วแล้วบินกลิ่นตลบ เหม็นเหมือนศพซากหืนให้คลื่นเหียน
ครั้นแร้งหายพรายช่วงดวงวิเชียร สว่างเวียนวงรอบขอบบุรี
แล้วเคลื่อนคล้อยลอยร่อนเราช้อนได้ เอาส่งให้แก่ธิดามารศรี
พอรุ่งตื่นฟื้นกายจะร้ายดี พระโหรปรีชาดูให้รู้ความ ฯ
๏ โหรรับสั่งตั้งวันพระชันษา บอกเวลาคูณครบเคารบสาม
ได้เศษเสาร์เข้าตติยะยาม จึงทูลตามไตรเพทสังเกตใจ
ซึ่งแร้งสาบคาบแก้วมาแล้วหาย คือคนร้ายรูปจริตผิดวิสัย
จะนำหน้าพากุมารอันชาญชัย เข้ามาในนคราไม่ช้านัก
ซึ่งได้แก้วแล้วประทานธิดาราช จะสังวาสสืบวงศ์ดำรงศักดิ์
มิเหมือนคำทำนายที่ทายทัก จึงปักหลักลงแล้วเฆี่ยนให้เจียนตาย ฯ
๏ กษัตริย์สุริโยไทยได้สดับ ประทานทรัพย์ผ้าเสื้อให้เหลือหลาย
แล้วคืนเข้าแท่นสุวรรณพรรณราย แสนสบายบริบูรณ์ประยูรวงศ์ ฯ
๏ ฝ่ายชีเปลือยเรื่อยมาในสาคเรศ ถึงขอบเขตขึ้นฝั่งดังประสงค์
แกถือหวายสายกระสันไว้มั่นคง ขับม้าทรงตรงมาท้ายธานี
ฝ่ายหนุ่มสาวชาวกรุงมุ่งเขม้น คิดว่าเป็นโปร่งเปรตประเภทผี
เสียงครึกครื้นตื่นวิ่งเป็นสิงคลี ชาวบุรีร้องอึงคะนึงไป
บ้างว่าผีขี่แพะหรือแกะอูฐ บ้างว่าภูตดอกเช่นนี้ผีที่ไหน
นางสาวแก่แลดูอดสูใจ ฮ้ายอะไรอย่างนี้ลูกมิเคย
เหล่าลูกเล็กเด็กคะนองก็ร้องว่า ดูคนแก่แก้ผ้าเจ้าข้าเอ๋ย
ตาชีเปลือยเฉื่อยสบายไม่อายเลย ทำเฉยเมยเดินมาถึงหน้าวัง
ที่รู้จักหลักแหล่งก็แจ้งเหตุ ผู้วิเศษเกาะพนมอาคมขลัง
อาราธนาว่าเจ้าคุณการุณัง นิมนต์ยั้งหยุดก่อนผ่อนสบาย
จึงถามว่ามาประสงค์สิ่งไรบ้าง จงกระจ่างแจ้งอรรถจะจัดถวาย
ส่วนตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เพทุบาย เรามาหมายโปรดสัตว์กำจัดภัย
ด้วยบัดนี้ผีห่ามันกล้าหาญ จะเกิดการโกลาโรคาไข้
ให้รากท้นคนตายฉิบหายไป จงบอกให้กันรู้ทุกผู้คน
แม้นกลัวตายชายหญิงอย่างนิ่งช้า จงออกมานั่งข้างทางถนน
กูจึงจะประพรำด้วยน้ำมนต์ ให้รอดพ้นความตายสบายใจ
คนทั้งนั้นครั้นได้ยินก็สิ้นเกลียด อุตส่าห์เบียดเสียดกันเสียงหวั่นไหว
มานั่งหลามตามทางสล้างไป ที่เจ็บไข้คนจูงพยุงมา
ทั้งลูกอ่อนนอนเมาะนางแม่อุ้ม พวกสาวหนุ่มแน่นถนนคนนักหนา
ต่างแลดูผู้วิเศษสมเพชตา บ้างก้มหน้านั่งหัวร่ององอไป
นางสาวแก่แม่ม่ายใจขี้ขลาด ร้องกรีดกราดกราบนบนั่งซบไหว้
ด้วยกลัวตายหายเกลียดรังเกียจใจ เสนาในกราบก้มบังคมทูล
ว่าบัดนี้ชีเปลือยมาโปรดสัตว์ จะกำจัดโรคร้ายให้หายสูญ
ขี่อะไรไม่รู้จักศักดิ์ตระกูล รำพันทูลเขาว่าชีนี้ดีนัก ฯ
๏ ธิบดินทร์ยินดีเป็นที่ยิ่ง คิดว่าจริงจะใคร่ดูให้รู้จัก
จึงตรัสว่าถ้ากระนั้นขยันนัก ไม่ประจักษ์แจ้งว่าท่านอาจารย์ดี
จงช่วยเชิญมารักษาประชาราษฎร์ ให้แคล้วคลาดบาดเจ็บไข้โพยภัยผี
ทั่วทุกคนจนรอบขอบบุรี เราจะนีมนต์บ้างเข้าวังใน
แล้วสั่งเหล่าสาวสุรางค์ต่างคำนับ ให้คอยรับผู้วิเศษข้างเพทไสย
จะพรมพรำน้ำมนต์ให้พ้นภัย พวกข้างในนอบน้อมอยู่พร้อมเพรียง
บ้างรีบรัดจัดธูปเทียนบุปผา บ้างห่มผ้าผิวไม้สไบเฉียง
เครื่องบูชามาตั้งนั่งเรียบเรียง ขี้ข้าเคียงเข้าไปนั่งข้างหลังนาย ฯ
๏ ฝ่ายเสนามานิมนต์ผู้วิเศษ ไปรอบเขตขอบบุรินทร์สิ้นทั้งหลาย
ประน้ำมนต์คนทั่วทั้งหญิงชาย เข้าทางท้ายวังวางมากลางวัง
หม่อมผู้หญิงชิงกันดูผู้วิเศษ คิดว่าเปรตตกประหม่าหน้าเป็นหลัง
ร้องหวาดหวีดกรีดเสียงสำเนียงดัง นางชาววังวิ่งพัลวันเวียน
บ้างร้องช่วยด้วยแม่เจ้าคุณเอ๋ย กระไรเลยเหลือร้ายไม่หายเหียน
บ้างซ่อนตัวกลัวสุดเที่ยวมุดเมี้ยน ตกใจเจียนจะเป็นลมไม่สมประดี
ส่วนตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เหมือนเดรฉาน หน้ามันด้านดื้อได้ไม่บัดสี
ดูสาวสาวชาวบุรินทร์จนสิ้นดี มาถึงที่ในวังนั่งยองยอง
สะกดจิตบิดกายไม่หายเหือด ดูดังเลือดขึ้นหน้าเกศาสยอง
อำมาตย์พามาริมพระโรงทอง เสียงแซ่ซ้องเสนาออกมารับ
บ้างว่าม้าน่ากลัวหัวเหมือนนาค บ้างจุปากว่าไม้เท้ายาวจำหนับ
บ้างบอกความตามรับสั่งนั่งคำนับ ตรัสให้รับคุณเข้าไปในพระโรง ฯ
๏ เฒ่ากาลีดีใจลงจากม้า ฝ่ายอาชาลุกโลดกระโดดโหยง
ดังลมฉิวปลิวเต้นเผ่นตะโพง ลงน้ำโพล่งแผลงศักดาไปหานาย
ส่วนชีเปลือยเมื่อยล้าเห็นม้ากลับ ลมก็จับล้มกลิ้งนิ่งนอนหงาย
เสนาในใหญ่น้อยพลอยวุ่นวาย เข้ารอบกายแก้ไขก็ไม่ฟื้น
กษัตรามาดูตาครูเฒ่า เห็นตัวเปล่าเปลือยเลี่ยนให้เหียนหืน
แต่ทรงเดชเวทนาอุตส่าห์ยืน เห็นริกริกพลิกฟื้นไม่พูดจา
จึงให้รับไปไว้ริมทิมโอสถ ให้หมอมดพร้อมพรักอยู่รักษา
พระสั่งพลางหมางเมินเกินศรัทธา ลีลามาปรางค์มาศปราสาทชัย ฯ
๏ ส่วนเสนีที่ศรัทธากับตาเฒ่า หามมาเข้าทิมขวาพออาศัย
หมอรักษายาวางต่างต่างไป ชีเปลือยได้สมประดีไม่มีสบาย
เมื่อม้าหนีนี่จะไปข้างไหนรอด ระทวยทอดทุกข์ซ้ำระส่ำระสาย
ให้หาวเรอเพ้อพกผงกกาย เป็นไข้ใจไม่หายอยู่หลายวัน ฯ
๏ ฝ่ายพาชีหนีได้มาในน้ำ พอพลบค่ำควบหนักดังจักรผัน
ทั้งหลังเปล่าเบาแรงยิ่งแข็งครัน พอไก่ขันขึ้นละเมาะเกาะพนม
เที่ยวหานายหลายตลบไม่พบเห็น แล้วโผนเผ่นเข้าไปหาในอาศรม
ด้วยรักใคร่ใจม้าต้องอารมณ์ เที่ยวเดินดมกลิ่นรอยร่อยร่อยมา
ถึงเหวห้องปล่องหินได้กลิ่นหนัก แจ้งประจักษ์ว่าเจ้าอยู่ในคูหา
ชะโงกมองร้องเรียกประสาม้า ไม่เห็นหน้าเจ้านายวุ่นวายใจ
แต่หันเหียนเวียนมองแล้วร้องเรียก สุดสำเหนียกมิ่งม้าน้ำตาไหล
เฝ้านั่งดูคูหาด้วยอาลัย ไม่ไปไกลปากปล่องนองน้ำตา ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ