- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๔๔)
- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๒๙)
- คำนำเมื่อพิมพ์ครั้งแรก
- ประวัติสุนทรภู่
- บันทึกเรื่องผู้แต่งนิราศพระแท่นดงรัง
- อธิบาย ว่าด้วยเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่
- ปกิรณะกะประวัติของสุนทรภู่
- ตอนที่ ๑ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา
- ตอนที่ ๒ นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๓ ศรีสุวรรณเข้าเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๔ ศรีสุวรรณพบนางเกษรา
- ตอนที่ ๕ ศรีสุวรรณเกี้ยวนางเกษรา
- ตอนที่ ๖ ศรีสุวรรณรบท้าวอุเทน
- ตอนที่ ๗ ศรีสุวรรณพยาบาลนางเกษรา
- ตอนที่ ๘ อภิเษกศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๙ พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อ
- ตอนที่ ๑๐ พระอภัยได้นางเงือก
- ตอนที่ ๑๑ นางสุวรรณมาลีไปเที่ยวทะเล
- ตอนที่ ๑๒ พระอภัยมณีพบนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๓ พระอภัยมณีโดยสารเรือนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๔ พระอภัยมณีเรือแตก
- ตอนที่ ๑๕ สินสมุทรโดยสารเรือโจรสุหรั่ง
- ตอนที่ ๑๖ สินสมุทรพบศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๑๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๑๘ พระอภัยมณีโดยสารเรืออุศเรน
- ตอนที่ ๑๙ พระอภัยมณีพบศรีสุวรรณกับสินสมุทร
- ตอนที่ ๒๐ สินสมุทรรบกับอุศเรน
- ตอนที่ ๒๑ พระอภัยมณีเกี้ยวนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๒ พระอภัยมณีครองเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๓ พระอภัยมณีอภิเษกกับนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๔ กำเนิดสุดสาคร
- ตอนที่ ๒๕ สุดสาครเข้าเมืองการะเวก
- ตอนที่ ๒๖ อุศเรนตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๗ เจ้าละมานตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๘ สุดสาครตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๒๙ ศึกเก้าทัพตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๓๐ พระอภัยมณีตีเมืองใหม่
- ตอนที่ ๓๑ พระอภัยมณีพบนางละเวง
- ตอนที่ ๓๒ ศรีสุวรรณอาสาตีด่านดงตาล
- ตอนที่ ๓๓ ย่องตอดสะกดทัพ
- ตอนที่ ๓๔ นางละเวงคิดหย่าทัพ
- ตอนที่ ๓๕ พระอภัยติดท้ายรถ
- ตอนที่ ๓๖ พระอภัยมณีทำผูกคอตายได้นางละเวง
- ตอนที่ ๓๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๓๘ นางสุวรรณมาลีข้ามไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๓๙ นางสุวรรณมาลีมีสารตัดพ้อ
- ตอนที่ ๔๐ สุดสาครถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๔๑ นางสุวรรณมาลีหึงหน้าป้อม
- ตอนที่ ๔๒ หัสไชยแก้เสน่ห์
- ตอนที่ ๔๓ นางเสาวคนธ์ยิงแก้ม
- ตอนที่ ๔๔ กษัตริย์สามัคคี
- ตอนที่ ๔๕ นางเสาวคนธ์ขุดโคตรเพชร
- ตอนที่ ๔๖ พระอภัยมณีกลับเมือง
- ตอนที่ ๔๗ อภิเษกสินสมุทร
- ตอนที่ ๔๘ นางเสาวคนธ์หนี
- ตอนที่ ๔๙ นางเสาวคนธ์แปลงเป็นฤๅษี
- ตอนที่ ๕๐ นางเสาวคนธ์ได้เมืองวาหุโลม
- ตอนที่ ๕๑ สุดสาครตามนางเสาวคนธ์
- ตอนที่ ๕๒ พระอภัยมณีทำศพท้าวสุทัศน์
- ตอนที่ ๕๓ มังคลาครองเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๔ มังคลาชิงโคตรเพชร
- ตอนที่ ๕๕ มังคลาจับนางสุวรรณมาลีและท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๖ หัสไชยตีด่านเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๗ สุดสาครรบมังคลา
- ตอนที่ ๕๘ นางละเวงวัณฬาช่วยนางสุวรรณมาลีแลท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๙ พระอภัยมณีศรีสุวรรณไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๐ พระอภัยมณีรบกับมังคลา
- ตอนที่ ๖๑ สังฆราชบาทหลวงเผาเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๒ พระอภัยเข้าเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๓ อภิเษกหัสไชย
- ตอนที่ ๖๔ พระอภัยมณีออกบวช
- ตอนที่ ๖๕ พระบาทหลวงพาพระมังคลาหนีทัพไปเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๖๖ วลายุดาครองเมืองสินชัย
- ตอนที่ ๖๗ วายุพัฒน์เป็นอุปราชเมืองเซ็น
- ตอนที่ ๖๘ หัสกันครองเมืองสุลาลัย
- ตอนที่ ๖๙ พระอภัยมณีเยี่ยมศพนางมณฑา
- ตอนที่ ๗๐ พระมังคลายกทัพเรือมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๗๑ นางรำภา นางยุพาผกาและนางสุลาลีวันออกรบ
- ตอนที่ ๗๒ สุดสาคร สินสมุทรรบกับพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๓ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันเข้าเฝ้าศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๗๔ ทัพพันธมิตรเมืองกำพลเพชรยกมาช่วยพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๕ พระมังคลาล่าทัพไปถึงเกาะกาหวี
- ตอนที่ ๗๖ ทหารเมืองกำพลเพชรตามนางกฤษณาพบพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๗ พระมังคลาได้นางดวงแขลูกสาวเจ้าเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๗๘ อภิเษกพระกฤษณากับนางเทพินไปครองเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๗๙ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันลามารดากลับไปเมือง
- ตอนที่ ๘๐ พระมังคลายกทัพเมืองสำปันหนาไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๑ ศรีสุวรรณออกรับศึกพระมังคลา
- ตอนที่ ๘๒ โจรสลัดคุมกำปั่นปล้นเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๘๓ ศรีสุวรรณมาช่วยเมืองรมจักรรบโจรสลัด แล้วอภิเษกตรีพลำกับอัมพวันและเทวัญกับนิลกัณฐี
- ตอนที่ ๘๔ พระมังคลากับพระบาทหลวงแตกทัพไปเกลี้ยกล่อมเมืองต่าง ๆ
- ตอนที่ ๘๕ พระมังคลาไปถึงเมืองโรมพัฒน์ได้นางบุษบง
- ตอนที่ ๘๖ พระบาทหลวงกับพระมังคลายกทัพเรือเมืองโรมพัฒน์ไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๗ สุดสาครทราบข่าวศึก
- ตอนที่ ๘๘ พระมังคลากับพระบาทหลวงตีได้เมืองด่านลังกา
- ตอนที่ ๘๙ ทัพสุดสาครตีทัพพระมังคลาพ่าย จนเทวสินธุ์ตามไปถึงเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๙๐ ท้าวรายากับพระเทวสินธุ์ไปถึงเมืองกำพลเพชร แล้วยกทัพไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๙๑ หกกษัตริย์ยกทัพมาช่วยเมืองลังกาทำศึก
- ตอนที่ ๙๒ พระบาทหลวงรบศึกหกกษัตริย์จนลมแดงซัดเรือรบพลัดกัน
- ตอนที่ ๙๓ สุดสาครตีเมืองด่านแตก
- ตอนที่ ๙๔ พระเทวสินธุ์พบพระมังคลาจนเจ็ดกษัตริย์เตรียมรบ
- ตอนที่ ๙๕ พระมังคลากับพระบาทหลวงยกทัพเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๙๖ ทัพเจ็ดกษัตริย์ตีทัพพระบาทหลวงแตก
- ตอนที่ ๙๗ พระบาทหลวงเตรียมตีเมืองปากน้ำคืน
- ตอนที่ ๙๘ พระบาทหลวงขับท้าวรายากับนางบุษบงไปจากกองทัพ จนพระมังคลาหนี
- ตอนที่ ๙๙ พระบาทหลวงยกเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๑๐๐ สินสมุทรตีทัพพระบาทหลวงจนถูกยาเบื่อ
- ตอนที่ ๑๐๑ พระอภัยมณีเยือนลังกา
- ตอนที่ ๑๐๒ พระบาทหลวงปล่อยโคมไฟไปตกเมืองลังกา จนถึงพระอภัยมณีห้ามทัพ
- ตอนที่ ๑๐๓ หกกษัตริย์ตีโต้ทัพพระบาทหลวงล่าไปเมืองปตาหวี
- ตอนที่ ๑๐๔ พระอภัยมณีกลับไปเขาสิงคุตร
- ตอนที่ ๑๐๕ อภิเษกหัสกันกับนางวันชายา
- ตอนที่ ๑๐๖ พระอภัยมณีไปเยี่ยมนางเงือกที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๐๗ พระบาทหลวงเข้าเมืองปตาหวีแล้วตามไปพบพระมังคลาที่เมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๐๘ พระมังคลาและนางบุษบงออกมารับพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๐๙ ท้าวโกสัยบอกพระมังคลาให้รู้อุบายพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๐ พระบาทหลวงตีด่านเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๑๑ พระมังคลามีสารง้อศรีสุวรรณสุดสาครและสินสมุทร ให้มาช่วยรบพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๒ ทัพพระมังคลารบกับทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๓ ทัพศรีสุวรรณกับสี่กษัตริย์ตีกระหนาบทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๔ ทัพเรือพระบาทหลวงเข้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๕ ศรีสุวรรณกับพวกพาพระมังคลากลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๑๖ ท้าวกุลามาลีได้นางดวงประไพลูกสาวท้าวสินชัยเจ้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๗ พระมังคลาไปงานโสกันต์ระเด่นกินเรศ
- ตอนที่ ๑๑๘ เจ้าเมืองปตาหวีพานางดวงประไพกลับเมือง
- ตอนที่ ๑๑๙ สุดสาครไปเยี่ยมนางเงือกและพระฤๅษีที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๒๐ สุดสาครกลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๒๑ ศรีสุวรรณให้นรินทร์รัตน์ไปครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๒ อภิเษกนรินทร์รัตน์ครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๓ เจ็ดกษัตริย์ยกทัพมาตีเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๔ นรินทร์รัตน์ขอราเมศมาเป็นอุปราชกรุงรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๕ นรินทร์รัตน์กับราเมศมาช่วยเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๖ เจ็ดกษัตริย์ตายสี่หนีสาม
- ตอนที่ ๑๒๗ นรินทร์รัตน์หลงนางเกศพัฒน์เมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๘ อภิเษกพระราเมศกับนางดวงประภา
- ตอนที่ ๑๒๙ ภัทวงศ์ไปไหว้เทวรูปจนพบนางเกสรสุมาลัย
- ตอนที่ ๑๓๐ เจ้าเมืองวายุภักษ์ขอนางเกสรสุมาลัยให้ภัทวงศ์
- ตอนที่ ๑๓๑ พระสังฆราชบาทหลวงยกทัพมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๓๒ ตัดหางสุพรรณมัจฉาแล้วสถาปนาเป็นจันทวดีพันปีหลวง
ตอนที่ ๗ ศรีสุวรรณพยาบาลนางเกษรา
๏ ฝ่ายพระหน่อบพิตรอิศเรศ | กับพราหมณ์เทศอยู่บนมนเทียรสถาน |
เขาพิทักษ์รักษาพยาบาล | ค่อยสำราญหายเหนื่อยที่เมื่อยล้า |
พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยง | อัสดงแดดดับลับเวหา |
พระเผยแกลแลดูเดือนดารา | เหมือนนวลหน้านุชน้องละอองนวล |
เสียดายนักภัคินีเจ้าพี่เอ๋ย | แม้นได้เชยจะประคองครองสงวน |
ธุระรักหนักในใจรัญจวน | ยิ่งอักอ่วนอารมณ์ให้ตรมตรอม |
กำแพงวังยังกั้นอยู่ชั้นหนึ่ง | ไฉนจึงจะได้แอบแนบถนอม |
พี่ลักลอบปลอบประโลมก็โน้มน้อม | แต่กีดจอมจักพรรดิถนัดใจ |
จึงปรึกษาสามพราหมณ์ตามวิตก | เหมือนน้องยกเมรุมาศไม่หวาดไหว |
จะปลอบมิตรคิดอ่านประการใด | จึงจะได้ดอกฟ้าลงมาชม ฯ |
๏ เจ้าพราหมณ์ตอบปลอบน้องอย่าหมองหมาง | พระนุชนางปลงจิตสนิทสนม |
ไม่คลาดแคล้วแล้วพ่อรออารมณ์ | คงจะสมจิตน้องที่ตรองการ |
เรารบสู้กู้เมืองช่วยเปลื้องทุกข์ | ได้ผาสุกสืบสมบัติพัสถาน |
เห็นทรงฤทธิ์บิดายุพาพาล | จะประทานรางวัลเป็นมั่นคง |
เราอย่ารับกลับคืนถวายไว้ | จึงค่อยไขข้อความตามประสงค์ |
พี่คาดจิตบิตุราชมาตุรงค์ | คงให้องค์พระธิดาด้วยปรานี |
มาดแม้นแหนหวงทำหน่วงหนัก | จึงค่อยลักกัลยาเจ้าพาหนี |
ความคิดพี่นี้เห็นเป็นเช่นนี้ | พ่อเห็นดีด้วยบ้างหรืออย่างไร ฯ |
๏ หน่อกษัตริย์ตรัสตอบว่าชอบอยู่ | ทำจู่ลู่ก็จะขัดอัชฌาสัย |
จะรอรั้งฟังดูภูวไนย | แม้นไม่ให้โดยดีก็มิฟัง |
แล้วเอนเอกเขนกนิ่งอิงเขนย | หอมระเหยหวนกลิ่นถวิลหวัง |
เห็นปรางค์ทองน้องนางอยู่กลางวัง | คะนึงนั่งนึกหมายไม่วายครวญ ฯ |
๏ ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์ | นางกษัตริย์เศร้าสร้อยละห้อยหวน |
นึกปรานีศรีสุวรรณยิ่งรัญจวน | มาหมองนวลเหนื่อยยากลำบากองค์ |
ที่การศึกนั้นก็เสร็จสำเร็จทุกข์ | ที่การสุขยังไม่สมอารมณ์ประสงค์ |
แสนเสียดายป่านฉะนี้พระโฉมยง | จะโศกทรงเศร้าหมองถึงน้องน้อย |
เมื่อจากกันวันนี้ที่ข้างหน้า | ดูพักตราผ่านเกล้าเห็นเศร้าสร้อย |
ยิ่งรำลึกนึกน้ำพระเนตรย้อย | แต่หลับม่อยแล้วสะดุ้งจนรุ่งราง |
จึงให้สี่พี่เลี้ยงเก็บดอกไม้ | ดอกมะลิปลูกไว้ในกระถาง |
ใส่ขันทองรองพานคลานมาวาง | พระนุชนางกรีดก้อยร้อยมาลัย |
เรียงประดับซับซ้อนค่อยสอดเข็ม | เป็นพวงเต็มห่อเสร็จแล้วเด็ดใหม่ |
อันมาลีที่กระถางริมปรางค์ชัย | พอเก็บได้คนละขันวันละพวง |
ใส่พานทองตองเจียนประจงปิด | ให้ทรงฤทธิ์รูปทองเป็นของหลวง |
ส่วนนารีพี่เลี้ยงสิ้นทั้งปวง | ต่างร้อยพวงมาลัยให้เจ้าพราหมณ์ |
สารภีพิกุลดอกบุนนาค | ประสายากเถิดนะเจ้าเราทั้งสาม |
ศรีสุดาได้ดอกเข็มเห็นเต็มงาม | จะให้พราหมณ์หน่อกษัตริย์ขัตติยา |
นางโฉมยงทรงตรัสว่าผลัดเปลี่ยน | เป็นเวรเวียนกันไปให้บุปผา |
ทูลถวายกว่าจะวายดอกมาลา | วันนี้พี่ศรีสุดาไปประเดิม ฯ |
๏ นางนารีศรีสุดาหน้าเป็นเหม | แสนเกษมแกล้งว่าอย่ามาเสริม |
มาลัยหลวงพวงหอมเป็นจอมเจิม | ฉันพลอยเติมตามประสาเป็นข้าไท |
แล้วเข้าห้องส่องกระจกจับกระเหม่า | ขี้ผึ้งเข้าชันย้อยสอยไม่ไหว |
เป็นการด่วนจวนจนต้องลนไฟ | กรีดจุไรรอบเรียบระเบียบกลม |
แล้วผัดหน้าทาจันทน์กระแจะแป้ง | นุ่งยกแย่งพื้นตองปักทองถม |
ทั้งกรองทองรองปิดให้ชิดชม | ดูสวยสมเป็นบัลลังก์ที่นั่งรอง |
แล้วเชิญพานพวงมาลัยไปข้างหน้า | บอกเขาว่าเยาวมาลย์ประทานของ |
จึงขึ้นบนมนเทียรทำเมียงมอง | เจ้าพราหมณ์ร้องเชิญว่ามาข้างนี้ ฯ |
๏ พี่เลี้ยงนั่งตั้งพานพวงบุปผา | ไว้ตรงหน้าหมอบประณตบทศรี |
แล้วว่าองค์นงนุชพระบุตรี | ร้อยมาลีมะลิลามาประทาน |
ดอกเข็มขาวพวงนั้นหม่อมฉันถวาย | แต่กลิ่นอายคลายพร้อมไม่หอมหวาน |
สารภีที่ใส่มาในพาน | ของเยาวมาลย์แม่อุบลคนสำคัญ |
ดอกพิกุลคุณจงกลเป็นคนร้อย | ประภาน้อยดอกบุนนาคเขาฝากฉัน |
ให้สามพราหมณ์ตามมีไมตรีกัน | แกล้งรำพันพ้อให้ในทำนอง ฯ |
๏ หน่อกษัตริย์ตรัสตอบว่าขอบจิต | จะได้ชิดชมพลางต่างเจ้าของ |
หยิบบุปผามาลัยมาใส่ลอง | พอได้สองหัตถาเป็นขวาซ้าย |
จึงตรัสว่าดอกเข็มนี้เต็มรัก | จะเคียงพักตร์พี่ไว้มิให้หาย |
นางฟังคำทำเมินสะเทิ้นอาย | ทั้งสามนายยิ้มแย้มกระแอมไอ |
เจ้าสานนนั่งชมดมบุนนาค | อุบลฝากมาให้ชิดพิสมัย |
เจ้าวิเชียรเชยพิกุลฉุนอาลัย | ถึงสายใจเจ้าจงกลเป็นคนเคย |
เจ้าโมราดมสารภีรื่น | ช่างหอมชื่นเช่นประภานิจจาเอ๋ย |
ต่างประคองของคู่ขึ้นชูเชย | ไฉนเลยหลบหน้าไม่มาเยือน |
แล้วต่างสั่งศรีสุดาว่าช่วยบอก | ถึงได้ดอกไม้ไว้ก็ไม่เหมือน |
แม้นเมตตาอีกสักห้าหกเจ็ดเดือน | ขอเชิญเชือนมาบ้างอย่าหมางเมิน ฯ |
๏ ศรีสุดาว่าคิดจะไปว่า | ให้ได้มาแนบข้างไม่ห่างเหิน |
หน่อกษัตริย์ตรัสล่อให้พอเพลิน | ค่าเชิงเดินคงจะได้เป็นไรมี |
ช่วยทูลแก้วเกษราเถิดหนาเจ้า | พี่นอนเฝ้าฝันว่าพากันหนี |
จะขอคำทำนายร้ายหรือดี | รุ่งพรุ่งนี้นะจงออกมาบอกกัน ฯ |
๏ ศรีสุดาอภิวาทฉลาดพูด | เทวทูตท่านมาเตือนจนเฟือนฝัน |
ข้ากับเจ้าคราวยากจะจากกัน | กระหม่อมฉันนึกหมายจะวายวาง ฯ |
๏ พระแย้มยิ้มพริ้มพรายภิปรายตรัส | เห็นไม่พลัดพรากน้องอย่าหมองหมาง |
เจ้าร่วมจิตชิดใช้อยู่ในนาง | คงเคียงข้างคู่กันจนวันตาย ฯ |
๏ ศรีสุดาดีใจใครจะเหมือน | แต่ไหลเลื่อนลืมตนอยู่จนสาย |
ก็ลาพระโฉมงามกับสามนาย | คอยนาดกรายกลับหลังเข้าวังใน |
นางทูลความตามสั่งมาทั้งหมด | แล้วซ้ำปดเติมแต่งแถลงไข |
ครั้นรุ่งเช้าสาวน้อยร้อยมาลัย | ลอบไปให้ชู้ชายไม่วายวัน ฯ |
๏ สมเด็จท้าวทศวงศ์พงศ์กษัตริย์ | พูนสวัสดิ์วายวิโยคที่โศกศัลย์ |
ครั้นรุ่งแสงสุริย์ฉายขี้นพรายพรรณ | จะรางวัลโยธาที่ราวี |
จึงออกนั่งยังท้องพระโรงหลวง | พร้อมกระทรวงเสนาบดีศรี |
หน่อกษัตริย์กับสามเจ้าพราหมณ์ชี | มาอยู่ที่เฝ้าพร้อมน้อมประณต |
ต่างบังคมบดินทร์สูรทูลถวาย | ว่าศึกฝ่ายนอกที่มาล่าไปหมด |
สมเด็จท้าวทศวงศ์ทรงพระยศ | จึงเผยพจนารถประภาษพลัน |
ให้เอาเงินเสื้อผ้ามาประทาน | เหล่าทหารชาญกำแหงแข็งขยัน |
พวกนายมุลขุนนางได้รางวัล | ทั้งบ่าวบรรดาได้ไปสงคราม |
แม้พระองค์ทรงตรัสกับข้าเฝ้า | บุรีเราราบเตียนที่เสี้ยนหนาม |
จะรางวัลฉันใดให้เจ้าพราหมณ์ | จะสมตามความชอบประกอบการ ฯ |
๏ ฝ่ายอำมาตย์เสนาพฤฒามาตย์ | เฝ้าพระบาทดาษดาอยู่หน้าฉาน |
ทูลสนองต้องตามความโบราณ | พระอวตารพูนบำเหน็จเมื่อเสร็จทัพ |
ให้เสนาพานรินทร์ไปกินเมือง | ได้เจียดทองรองเรืองเครื่องประดับ |
ซึ่งเจ้าพราหมณ์รบแขกให้แตกยับ | ก็ต้องกับมีในพระอัยการ |
ควรจะให้ไปรักษาอาณาเขต | ครองประเทศธานินทร์เป็นถิ่นฐาน |
ทั้งเครื่องทรงมงกุฎสร้อยสังวาล | ควรประทานให้เจ้าพราหมณ์ตามทำนอง ฯ |
๏ สมเด็จท้าวเจ้าบุรินทร์บดินทร์สูร | ได้ฟังทูลถูกระบอบตอบสนอง |
ซึ่งปรึกษาเหมือนเรานึกที่ตรึกตรอง | จะให้ครองจันตประเทศเป็นเขตคัน |
มีเครื่องอานพานพระศรีที่ลูกหลวง | ทุกกระทรวงเร่งรัดไปจัดสรร |
ตาบประดับทับทรวงสังวาลวรรณ | ให้ครบครันเครื่องทรงอลงการ ฯ |
๏ เจ้าพราหมณ์ฟังบังคมบรมนาถ | เชิงฉลาดผันผ่อนให้อ่อนหวาน |
ซึ่งพระองค์ทรงศักดิ์จักรพาล | จะประทานบ้านเมืองแลเครื่องทรง |
ขอคืนไว้ในท้องพระคลังหลวง | ข้าทั้งปวงพี่น้องไม่ต้องประสงค์ |
ซึ่งอาสามาประจญรณรงค์ | หวังพระองค์ทรงฤทธิ์เหมือนบิดา |
ด้วยท่องเที่ยวเปลี่ยวอกเหมือนนกไร้ | ไม่มีไม้รวงรังเป็นฝั่งฝา |
อันโฉมงามพราหมณ์น้อยผู้น้องยา | ขอฝากไว้ใต้ฝ่าบาทบงสุ์ |
แต่ข้าสามพราหมณ์พี่จะลีลาศ | เที่ยวประพาสหิมวาป่าระหง |
ควรมิควรข้อใดที่ใจจง | ขอพระองค์ออกโอษฐ์ช่วยโปรดปราน ฯ |
๏ พระฟังคำทำเชือนเบือนพระพักตร์ | รู้ว่ารักพระธิดาไม่ว่าขาน |
แต่นิ่งนึกตรึกตราอยู่ช้านาน | จะคิดอ่านเอาใจฉันใดดี |
ครั้นจะให้พระธิดายุพาพักตร์ | จะเสียศักดิ์กษัตราน่าบัดสี |
แม้นมิให้ก็ไม่อยู่ในบุรี | เสียดายฝีมือณรงค์ทรงกำลัง |
จะเล้าโลมเอาใจเขาไว้ก่อน | ค่อยคิดผ่อนเพทุบายต่อภายหลัง |
จึงว่าเจ้าข้าวของให้คืนคลัง | เพราะเยาว์ยังมิได้อยู่กับคู่ครอง |
เป็นไรมีที่ประสงค์จำนงนึก | เราก็ตรึกอยู่ดอกเจ้าอย่าเศร้าหมอง |
จะเลี้ยงไว้ในบูรีทั้งพี่น้อง | เป็นบุตรของบิดาอย่าอาดูร |
ทั้งแว่นแคว้นแดนสุธาอาณาจักร | เจ้าจงรักสิ่งใดมิให้สูญ |
เว้นแต่ดาวดวงตะวันอันจำรูญ | จงเพิ่มพูนผาสุกทุกเวลา |
พ่อนึกหวังตั้งจิตคิดปรารภ | จะได้ฝากซากศพโอรสา |
พระโอนอ่อนผ่อนผันจำนรรจา | แล้วลีลากลับหลังเข้าวังใน ฯ |
๏ ฝ่ายเสนาข้าเฝ้ากับเจ้าพราหมณ์ | ต่างไต่ถามพูดจาอัชฌาสัย |
ที่รู้เท่าเย้าหยอกให้ยวนใจ | พ่อคงได้สิ่งของที่ต้องการ ฯ |
๏ พระแย้มยิ้มพริ้มพรายสบายจิต | ขึ้นสถิตแท่นวิเชียรมนเทียรสถาน |
พราหมณ์พี่เลี้ยงเคียงสำรวลชวนสำราญ | พระโปรดปรานเปรื่องนักหนานุชาเรา |
แต่เดือนสามห้ามฤกษ์มงคลราช | จะต้องคลาดแคล้วเคลื่อนไปเดือนเก้า |
น่าหัวเราะเคราะห์กระไรไม่บรรเทา | แกล้งหยอกเย้ายวนยีศรีสุวรรณ ฯ |
๏ หน่อกษัตริย์ตรัสว่านิจจาเอ๋ย | อย่าพักเย้ยยิ้มเยาะหัวเราะฉัน |
ถึงอกพี่ที่เป็นก็เช่นกัน | ต่างสรวลสันต์สนทนาสุขาใจ ฯ |
๏ ฝ่ายท่านท้าวเจ้าบุรีรมจักร | กับองค์อัครชายาอัชฌาสัย |
ครั้นพลบค่ำย่ำปฐมยามชัย | สถิตในแท่นทองทั้งสององค์ |
กรุงกษัตริย์ตรัสเล่าถึงเจ้าพราหมณ์ | ที่ทูลความเกี่ยวข้องต้องประสงค์ |
เห็นท่วงทีศรีสุวรรณนั้นจำนง | ในโฉมยงยุพเรศเกษรา |
นี่แน่เจ้าเราจะทำกระไรได้ | วิสัยไพร่กับกษัตริย์ขัดหนักหนา |
สายสมรผ่อนผันด้วยปัญญา | จะพูดจาคิดอ่านประการใด ฯ |
๏ นางโฉมยงทรงฟังรับสั่งตรัส | ชุลีหัตถ์ยิ้มย่องสนองไข |
เพราะพระพามาถึงปรางค์ที่ข้างใน | แล้วซ้ำให้เสกสะเดาะเคราะห์ธิดา |
อันลูกสาวท้าวไทถ้าใครเห็น | ไม่วายเว้นหวังสวาทปรารถนา |
แต่พราหมณ์น้อยน่ารักลักขณา | สมกับแก้วเกษราวิลาวัณย์ |
น้องพิศดูภูษาจินดาประดับ | เครื่องสำหรับพงศ์กษัตริย์ล้วนจัดสรร |
ทั้งกิริยาพาทีก็ดีครัน | เหมือนพงศ์พันธุ์ท้าวพระยามาแต่ไกล |
แต่สามพราหมณ์นั้นแลงามเป็นพราหมณ์แท้ | กระนี้แน่แล้วพระองค์อย่าสงสัย |
คุณของเขาเล่าก็อยู่กับภูวไนย | พระตรึกไตรตรองความดูตามควร ฯ |
๏ พระฟังนางอย่างจะให้มิได้ห้าม | เห็นรักพราหมณ์ลุ่มหลงทรงพระสรวล |
จึงว่าพี่นี้คะเนยังเรรวน | สงสารนวลลูกน้อยจะถอยยศ |
แม้นเชื้อวงศ์พงศ์เผ่าเหมือนเจ้าว่า | จะเสกสองครองพาราให้ปรากฏ |
จะค่อยลอบปลอบถามให้งามงด | แล้วทรงยศไสยาในราตรี ฯ |
๏ ครั้นรุ่งเช้าท้าวออกพระโรงรัตน์ | แกล้งทรงตรัสไต่ถามความกรุงศรี |
ศรีสุวรรณนั้นเฝ้าฟังคดี | ถึงสิบสี่สิบห้าทิวาวัน |
จะโปรดให้หรือไม่ให้ไม่ได้ข่าว | ไปเฝ้าท้าวเธอก็ชวนแต่สรวลสันต์ |
เสด็จขึ้นคืนมาปรึกษากัน | ศรีสุวรรณว่าฉันเห็นไม่เป็นการ |
พวกในวังฟังข่าวก็เปล่าหมด | เห็นจะปดแต่หากว่าปากหวาน |
จะลักแก้วเกษรายุพาพาล | ไปสำราญแรมป่าพนาลัย |
พี่จัดแจงแต่งผูกสำเภาน้อย | พาล่องลอยไปตามแม่น้ำไหล |
เจ้าพราหมณ์ตอบปลอบน้องให้ต้องใจ | ถึงจะไปก็ให้งามตามธรรมเนียม |
ด้วยชนกชนนีเป็นที่รัก | ทำหาญหักโฉมฉายจะอายเหนียม |
คิดเพลงยาวน้าวโน้มประโลมเลียม | ว่ากรมเกรียมตรอมอุราจะลาจร |
นางโฉมยงคงจะตามเจ้าพราหมณ์น้อย | อย่าเศร้าสร้อยทรงประดิษฐ์คิดอักษร |
พระฟังความสามนายค่อยคลายร้อน | จึงเขียนกลอนแกล้งไว้อาลัยลาน |
ครั้นเสร็จสรรพพับผนิดติดขี้ผึ้ง | พอประภามาถึงมนเทียรสถาน |
ถวายพวงมาลัยที่ในพาน | แล้วก้มกรานคอยฟังจะสั่งความ ฯ |
๏ ศรีสุวรรณรันทดถอนใจใหญ่ | แล้วว่าใจฉันนี้เจ็บดังเหน็บหนาม |
สู้เหนื่อยยากพากเพียรพยายาม | ไม่สมความปรารถนาน่าเสียดาย |
ไม่ขออยู่สู้ซนไปจนม้วย | หนังสือนี้พี่ช่วยเอาไปถวาย |
ส่งให้นางพลางทำระทวยกาย | ทั้งสามนายแกล้งสะท้อนถอนฤทัย |
นางประภาพิศดูไม่รู้เท่า | สงสารเจ้าโมราน้ำตาไหล |
จะไต่ถามขามเขินสะเทิ้นใจ | ถอนใจใหญ่แล้วลาเข้ามาวัง |
ถึงพระนุชบุตรีที่ในห้อง | ทูลฉลองเล่าตามเนื้อความหลัง |
พระโฉมยงทรงโศกเพียงทรวงพัง | แล้วหยิบหนังสือถวายสายสุดใจ ฯ |
๏ ยุพยงทรงสดับรับกระดาษ | นึกประหลาดหลากจิตคิดสงสัย |
ธุระเรื่องเคืองเข็ญเป็นอย่างไร | แล้วทรามวัยคลี่สารออกอ่านกลอน ฯ |
๏ ในสาราว่าพระองค์ทรงสวัสดิ์ | ขอเสี่ยงสัตย์ศุภลักษณ์เป็นอักษร |
ให้ดวงเนตรเกษราพะงางอน | ด้วยอาวรณ์หวังสวาทไม่ขาดวัน |
เมื่ออยู่สวนครวญถึงคะนึงน้อง | แม้นจะรองชลนาก็กว่าขัน |
คราวสะเดาะเคราะห์พบประสบกัน | กับเมื่อวันสงครามเป็นสามครั้ง |
ครั้นกลับทัพลับนุชสุดสวาท | ใจจะขาดคิดหมายไม่วายหวัง |
ถึงอยู่นอกแต่น้ำใจอยู่ในวัง | จะนอนนั่งในอารมณ์ให้กรมกรอม |
โอ้อนาถวาสนาพี่หาไม่ | จึงมิได้ชิดเชื้อแม่เนื้อหอม |
เหมือนมดแดงแฝงพวงมะม่วงงอม | เที่ยวไต่ตอมเต็มอยู่ไม่รู้รส |
พี่รักเจ้าเอาชีวาเข้ามาแลก | ช่วยรบแขกแตกทัพกลับไปหมด |
มาอยู่วังตั้งเดือนดูเหมือนมด | ละอายอดสูใจกระไรเลย |
เมื่อเสร็จศึกนึกจะสมอารมณ์มาด | พระบิตุราชรู้แจ้งก็แกล้งเฉย |
ชะรอยเคราะห์เพราะบุญไม่คุ้นเคย | ขอลาเลยล่วงสวรรคครรไล |
จะขืนอยู่สู้โศกก็สุดปล้ำ | ในทรวงช้ำเช่นเขาเชือดให้เลือดไหล |
เหลือกำลังจะประทังฤทัยไป | พี่จำไกลกลอยสวาทในชาตินี้ |
เมื่อชาติหน้าอย่าให้แคล้วกับแก้วเนตร | ให้กอดเกษราชมประสมศรี |
เป็นมนุษย์ครุฑาวาสุกรี | ขอให้พี่พิศวาสทุกชาติเอย ฯ |
๏ นางอ่านจบตบอกตกประหม่า | อนิจจาพระทองของน้องเอ๋ย |
ที่คับแค้นแสนเข็ญไม่เห็นเลย | ขืนว่าเฉยเชือนช้าไม่ปรานี |
กรรมเอ๋ยกรรมซ้ำร้ายอายอดสู | จะมีคู่คู่ก็อางขนางหนี |
ไหนจะทุกข์ไหนจะตรมระทมทวี | ทรวงเท่านี้หรือจะรับอัประมาณ |
จะจากจริงทิ้งน้องหรือลองจิต | โอ้คิดคิดถึงพระองค์น่าสงสาร |
จะบรรลัยเสียให้พ้นทนทรมาน | พิษฐานขอครองกับน้องน้อย |
ทุกข้อคำร่ำว่าน่าสมเพช | ชลเนตรหยดเหยาะลงเผาะผ็อย |
พระละห้อยคอยน้องน้องก็คอย | โอ้บุญน้อยน้อยใจกระไรเลย |
สะอื้นอ้อนอ่อนอารมณ์จนลมจับ | สลบหลับแน่นิ่งอิงเขนย |
ทั้งสี่นางต่างแลชะแง้เงย | เอะทรามเชยเป็นไฉนไม่ไหวติง |
เข้าประคองร้องหวีดเสียงกรีดกราด | ใจจะขาดซบเสือกลงเกลือกกลิ้ง |
ทุกข์ระทมลมปะทะศีรษะวิง | สลบนิ่งอยู่กับที่ทั้งสี่นาง ฯ |
๏ ฝ่ายแสนสาวชาวแม่มาแลเห็น | น้ำตากระเด็นค่อนทรวงเข้าผางผาง |
แม่ปิ่นเกล้าเจ้านายมาวายวาง | สาวสุรางค์ร้องเรียกกันเพรียกไป |
บ้างโศกีตีอกชกศีรษะ | สงสารพระธิดาน้ำตาไหล |
บ้างรีบไปทูลฉลองสองท้าวไท | พระตกใจจับภูษาละล้าละลัง |
ลงจากปรางค์ต่างองค์ทรงกันแสง | ทุกตำแหน่งนางห้ามมาตามหลัง |
ถึงปราสาทราชบุตรไม่หยุดยั้ง | ขึ้นบัลลังก์เห็นพี่เลี้ยงเคียงลูกยา |
ไม่ไหวติงนิ่งแน่แลสลด | ต้องกำสรดซบกายทั้งซ้ายขวา |
พระมารดรช้อนเกศกอดธิดา | ทรงโศกาสองกรเข้าข้อนทรวง ฯ |
๏ กรุงกษัตริย์ตรัสเร่งให้เรียกหมอ | วิ่งกันสอเสียงดังทั้งวังหลวง |
นางโขลนจ่าพาพวกแพทย์ทั้งปวง | ทุกกระทรวงมาพร้อมน้อมประณต |
กรุงกษัตริย์ตรัสว่าบรรดาหมอ | อย่ารั้งรอเร่งรักษาหาโอสถ |
หมอคำนับจับถ้วยสุธารส | ละลายบดยาถวายให้หายฟื้น ฯ |
๏ พระบุตรีพี่เลี้ยงค่อยรู้สึก | ทรวงสะทึกถอนใจไห้สะอื้น |
เป็นโรครักปักจิตดังพิษปืน | อุตส่าห์ฝืนองค์นั่งประทังกาย |
ทั้งหิวโหยโดยมิได้จะไสยาสน์ | เตโชธาตุหย่อนยิ่งสวิงสวาย |
ผิดสังเกตเนตรนางก็พร่างพราย | ให้คลับคล้ายเคลิ้มอารมณ์ไม่สมประดี |
เหมือนหนึ่งในใจจะขาดประหวาดหวั่น | ว่าศรีสุวรรณกับสามเจ้าพราหมณ์หนี |
ยิ่งแสนโศกโรคทับกลับทวี | ไม่พาทีซวนซบสลบไป ฯ |
๏ พระบิตุราชมาตุรงค์พระองค์สั่น | หมอทั้งนั้นเซ็งแซ่เข้าแก้ไข |
ไม่ฟื้นองค์สงสารสายสุดใจ | ร่ำร้องไห้แซ่เสียงทั้งเวียงวัง |
พระชนนีตีทรวงสะอื้นอ้อน | โอ้ขวัญอ่อนแม่ไม่ฟื้นคืนมามั่ง |
แต่ร่ำเรียกลูกน้อยสักร้อยครั้ง | ไม่เหลียวหลังมาทางแม่บ้างเลย |
เมื่อมดหมอก็สุดฝีมือแล้ว | สงสารแก้วเกษรานิจจาเอ๋ย |
มีอันเป็นเช่นนี้ยังมิเคย | นางบ่นเบยครวญคร่ำร่ำพิไร ฯ |
๏ พระบิดาอาดูรพูนเทวษ | ชลเนตรหยดย้อยละห้อยไห้ |
เสียดายบุตรสุดสวาทจะขาดใจ | พอคิดได้เหลียวหลังสั่งกำนัล |
ไปเชิญพราหมณ์ที่ข้างหน้าเข้ามานี่ | เขาล้วนมีมนต์เวทวิเศษขยัน |
พวกผู้หญิงวิ่งมาข้างหน้าพลัน | อภิวันท์แจ้งความให้พราหมณ์ฟัง ฯ |
๏ ศรีสุวรรณขวัญหายหมายว่าม้วย | จะไปช่วยฉุดเจ้าพราหมณ์มาตามหลัง |
ไม่รอรั้งวิ่งเหย่าเข้าในวัง | เห็นคนพรั่งพร้อมกันกลั้นน้ำตา |
ขึ้นปรางค์ทองมองเมียงอยู่เพียงฉาก | ไม่เห็นซากศพมิตรขนิษฐา |
กรุงกษัตริย์เห็นพราหมณ์ตามกันมา | จึงบอกว่าบุตรีมีอันเป็น |
ครั้นแก้ฟื้นคืนแล้วกลับสลบ | ไม่เคยพบพ่อเอ๋ยไม่เคยเห็น |
ทั้งกายาหน้าหลังยังไม่เย็น | จะกลับเป็นหรือจะม้วยพ่อช่วยดู ฯ |
๏ ศรีสุวรรณนั้นจะใคร่เข้าใกล้น้อง | จึงว่าต้องเทวดาพระราหู |
เคยแก้หายหลายคนด้วยมนต์ครู | จะขอดูกายายุพาพาล ฯ |
๏ พระทรงฟังสั่งให้ไขวิสูตร | พอม่านรูดแลเห็นองค์น่าสงสาร |
พระพักตร์ผ่องหมองคล้ำเพราะรำคาญ | ทั้งซ้ำอ่านอักขราก็พาเฟือน |
ศรีสุวรรณนั้นหลงทรงกันแสง | โอ้เสียแรงรักใคร่ใครจะเหมือน |
สู้อุตส่าห์พยายามมาสามเดือน | เจ้าพราหมณ์เตือนตกใจกระไรเลย |
พระบิตุราชมาตุรงค์พลอยสงสาร | ไม่ว่าขานขวยเขินทำเมินเฉย |
พวกแสนสาวชาวแม่ชะแง้เงย | ไฉนเลยพราหมณ์น้อยพลอยโศกา ฯ |
๏ หน่อกษัตริย์อัดอั้นกลั้นสะอื้น | น้ำตาชื้นพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา |
แข็งพระทัยให้เอาน้ำอบมา | ภาวนานึกความไปตามจน |
ขอเทวัญชั้นฟ้าสุธาทิพย์ | อันลอยลิบเหาะเหินเที่ยวเดินหน |
ทั้งปู่เจ้าเขาหลวงข้าบวงบน | ขอนิมนต์มาด้วยช่วยชีวี |
แม้นแก้วเนตรเกษรากับข้าบาท | เคยร่วมอาสน์เชยชมประสมศรี |
ขอให้น้ำในขันสุวรรณนี้ | ดังวารีท้าวสุทัศน์สหัสนัยน์ |
แล้วเข้าเคียงเตียงสุวรรณบรรจถรณ์ | เห็นนิ่งนอนนึกน่าน้ำตาไหล |
ค่อยปัดเป่าพรมพรำน้ำดอกไม้ | ชายสไบโบกปัดช่วยพัดวี |
เดชะสัตย์อธิษฐานสำราญรื่น | ค่อยพลิกฟื้นกายามารศรี |
เห็นพราหมณ์น้อยเคียงข้างนางยินดี | อัญชลีแล้วก็หลบซบพักตรา ฯ |
๏ พระบิตุราชมาตุรงค์ตรงเข้าใกล้ | ประคองให้ทรงกายทั้งซ้ายขวา |
เจ้าพราหมณ์น้อยถอยหลังหลีกออกมา | นั่งอยู่หน้าม่านทองที่ห้องกลาง |
สองกษัตริย์ตรัสปลอบพระลูกแก้ว | ไม่ม้วยแล้วนวลละอองอย่าหมองหมาง |
แม่เป็นไรกายสั่นทั้งสรรพางค์ | อย่าครวญครางบอกแม่จะแก้กัน ฯ |
๏ สงสารนุชบุตรีศรีสมร | กำเริบร้อนโรคาเพียงอาสัญ |
ได้เห็นคู่ชูชื่นขึ้นครันครัน | อภิวันท์ทูลฉลองสองพระองค์ |
ลูกฟั่นเฟือนเหมือนกับจะดับจิต | ให้มืดมิดมึนตึงตะลึงหลง |
สุดจะฝืนขืนแข็งแรงดำรง | หากพระองค์ช่วยรอดไม่วอดวาย ฯ |
๏ สองกษัตริย์ตรัสแจ้งแถลงเล่า | เพราะมนต์เจ้าพราหมณ์น้อยจึงค่อยหาย |
แต่โรคร้ายภายในยังไม่คลาย | จงสบายบรรทมอย่าก้มกราน |
หลังสั่งสี่พี่เลี้ยงจงโลมเล้า | ให้กินข้าวกินปลากระยาหาร |
พวกสาวสาวเหล่านางพนักงาน | เอาอาการคอยออกไปบอกความ |
แล้วลีลามายังบัลลังก์รัตน์ | โองการตรัสเรียกศรีสุวรรณถาม |
อันโรคแก้วเกษราพะงางาม | ใจเจ้าพราหมณ์เห็นจะรอดหรือวอดวาย ฯ |
๏ พระยิ้มพลางทางบังคมบรมนาถ | อันโรคราชธิดาจะช้าหาย |
ถึงจะแก้แต่ไข้ก็ไม่คลาย | ด้วยโรคร้ายรวนเรรำเพรำพัด |
ให้พวกแพทย์หมอยารักษาด้วย | จะได้ช่วยแรงเขาข้างเป่าปัด |
หม่อมฉันกับหมอขอค้างอยู่ปรางค์รัตน์ | จะได้ผลัดนอนนั่งฟังอาการ |
ถ้าทีนี้มีอันเป็นเหมือนเช่นนั้น | แก้ไม่ทันถึงตัดอัติสาร |
จะลงยันต์กันไว้ทุกใบบาน | อ่านโองการแก้กันอันตราย ฯ |
๏ สมเด็จท้าวทศวงศ์ทรงสดับ | เจ้าพราหมณ์รับอาสาว่าช้าหาย |
ก็รู้เท่าเข้าใจในอุบาย | อันแยบคายคิดจะอยู่ดูธิดา |
เดิมก็หวังตั้งใจจะให้เขา | เดี๋ยวนี้เล่าเขาก็กลับรับรักษา |
ตามกุศลผลกรรมที่ทำมา | วาสนาลูกน้อยกลอยฤทัย |
จึงแกล้งตรัสกลบเกลื่อนเหมือนไม่รู้ | เออเอ็นดูเราด้วยช่วยแก้ไข |
แล้วสั่งเหล่าชาวที่บรรทมใน | จงจัดให้หลับนอนผ่อนสบาย |
ศรีสุวรรณกันเองอย่าเกรงขาม | กับสามพราหมณ์อยู่รักษากว่าจะหาย |
แล้วถามถึงลูกน้อยว่าค่อยคลาย | ชวนกำนัลผันผายไปสู่ปรางค์ ฯ |
๏ ฝ่ายชาวที่ทอดยี่ภู่ปูบรรจถรณ์ | ให้พราหมณ์นอนผาสุกที่มุขขวาง |
สุจหนี่ยี่ภู่ปูสำอาง | เอาฉากกางกั้นห้องตรงช่องแกล |
ที่หมออยู่ปูพรมให้สมหน้า | กับเครื่องยาเอามาวางไม่ห่างแห |
พวกโขลนจ่ามาอยู่คอยดูแล | กับเถ้าแก่ที่สำหรับกำกับกัน ฯ |
๏ สงสารเจ้าเกษราธิดาราช | ทรงไสยาสน์ยามวิโยคให้โศกศัลย์ |
ทั้งไข้ใจไข้ฉลุประจุบัน | ให้ป่วนปั่นปวดเศียรอาเจียนลม |
หมอประกอบยาถวายหลายขนาน | พระอาหารกลั้วกลืนยังขื่นขม |
ให้หิวโหยโรยราในอารมณ์ | นิ่งบรรทมพอประทังกำลังองค์ |
สี่พี่เลี้ยงเคียงข้างไม่ห่างโฉม | ปลอบประโลมทรามสงวนนวลหง |
นางชูชื่นขืนแข็งแรงดำรง | ถามถึงองค์หน่อไทไปหรือยัง ฯ |
๏ พี่เลี้ยงยิ้มพริ้มพรายค่อยคลายโศก | จะดับโรคในอารมณ์ให้สมหวัง |
ค่อยกระซิบเบาเบาเล่าให้ฟัง | พระองค์ยังอยู่รักษาพยาบาล |
เขาจัดให้ไสยาตรงหน้ามุข | เป็นผาสุกร่วมปราสาทราชฐาน |
แต่แรกรู้ดูรีบมาลนลาน | น่าสงสารโศกาต่อหน้าคน ฯ |
๏ นางฟังคำร่ำเล่าถึงทรงเดช | ชลเนตรหยดย้อยดังฝอยฝน |
แต่ค่อยชื่นฝืนกำลังประทังทน | บรรทมบนแท่นรัตน์ชัชวาล ฯ |
๏ ฝ่ายพระหน่อบพิตรอดิสร | ยามสมรมีโรคโศกสงสาร |
คอยเรียกเหล่าสาวสรรค์พนักงาน | ถามอาการกัลยาทุกนารี |
ที่นึกรักซักไซ้มิใคร่จบ | ชำเลืองพบสาวน้อยชม้อยหนี |
ครั้นโพล้เพล้เพลาจะราตรี | แสงอัคคีโคมสว่างดังกลางวัน |
สำเนียงนางครางครวญหวนละห้อย | พระเศร้าสร้อยพลอยทรงกันแสงศัลย์ |
แสนรัญจวนป่วนใจด้วยไกลกัน | สุดจะกลั้นกลัวความเมื่อยามร้อน |
จึงเสแสร้งแกล้งว่าเวลาค่ำ | จะต้องทำกันกายสายสมร |
ถือใบตาลกระบองเพชรเสด็จจร | ไปบรรจถรณ์แท่นสถิตพระธิดา ฯ |
๏ พี่เลี้ยงน้อมพร้อมพรั่งเชิญนั่งอาสน์ | พระหน่อนาถนิ่งพินิจขนิษฐา |
ดูเผือดผิวหิวโหยเห็นโรยรา | ทั้งนวลหน้าน้องรันทดสลดลง |
แล้วผอมซูบรูปองค์ทรงสัณฐาน | แสนสงสารทรามสงวนนวลหง |
เงียบระงับหลับอยู่ไม่รู้องค์ | พระเคลิ้มหลงลูบนางทางประโลม ฯ |
๏ พระธิดาว้าหวั่นกระสันเสียว | ชำเลืองเหลียวเห็นองค์พระทรงโฉม |
มานั่งเรียงเคียงข้างสว่างโคม | ที่ทุกข์โทมนัสนั้นค่อยบรรเทา |
อุตส่าห์ทรงองค์ขยับอภิวาท | น้องไสยาสน์ยกโทษจงโปรดเกล้า |
ด้วยหนาวเหน็บเจ็บปวดให้รวดร้าว | พระมาเฝ้าอยู่ไยไม่ไสยา ฯ |
๏ พระรับขวัญขวัญใจวิไลลักษณ์ | เพราะความรักพี่จึงอยู่สู้รักษา |
ให้น้องน้อยค่อยสบายคลายโรคา | จึงจะลาโฉมเฉลาเยาวมาลย์ |
ซึ่งซูบกายสายสมรเพราะร้อนโรค | พี่พลอยโศกซูบลงเพราะสงสาร |
แม่เจ็บไข้พี่ก็ไข้ใจรำคาญ | เยาวมาลย์ม้วยหมายจะตายตาม |
พี่รักน้องสองกษัตริย์ก็ทราบสิ้น | ยุพาพินเจ้าอย่าหมางระคางขาม |
ขอฟูมฟักรักษาพะงางาม | ให้สมความรักใคร่อาลัยลาน |
แม่แก้วเนตรเกษราอุตส่าห์เสวย | อย่าละเลยโภชนากระยาหาร |
นางคำนับรับรสพจมาน | พระสงสารรับขวัญให้บรรทม |
คอยระวังนั่งเฝ้าแต่เป่าปัด | สองกษัตริย์สุจริตสนิทสนม |
ไม่เดียงสาน่าเอ็นดูเหมือนคู่ชม | นางบรรทมพระประทับให้หลับไป ฯ |
๏ ฝ่ายโขลนจ่าข้าหลวงที่ล่วงรู้ | สังเกตดูมั่นคงไม่สงสัย |
ต่างปรึกษาว่ากรรมทำอย่างไร | ถ้าใครใครเขามาเห็นไม่เป็นการ |
เจ้าพราหมณ์น้อยพลอยเข้าไปอยู่ในห้อง | เคียงประคองพระธิดาน่าสงสาร |
ดูสนิทชิดเชื้อเหลือประมาณ | จะมินานแล้วกระมังจึงอย่างนี้ |
บ้างบ่นว่าถ้าทราบถึงทรงเดช | พวกเรานี้มิวิเสทก็โรงสี |
บางคนว่าน่าชมสมกันดี | เราจะมีผิดไยมิใช่การ |
พวกท้าวนางต่างห้ามให้ความหาย | อย่าวุ่นวายว่ากล่าวให้ร้าวฉาน |
นางประชวรส่วนเธอมาพยาบาล | น่าสงสารสงสัยทำไมมี ฯ |
๏ ฝ่ายพระหน่อบพิตรอดิศร | สู้อดนอนมารักษามารศรี |
เห็นนางหลับจับพัชนีวี | อยู่ข้างที่แท่นทองจนสองยาม ฯ |
๏ ฝ่ายทั้งสี่พี่เลี้ยงเคียงบรรจถรณ์ | ต่างว่าวอนทรงฤทธิ์ด้วยคิดขาม |
เข้าฟูมฟักรักษาชะล่าลาม | ท้าวทราบความเคืองขุ่นจะวุ่นวาย |
คำโบราณท่านว่าอย่าละโมบ | ถ้าหลงโลภลาภน้อยจะพลอยหาย |
พวกแสนสาวท้าวนางเจ้าขรัวนาย | รู้ระคายเขาจะว่าน่ารำคาญ ฯ |
๏ พระเคืองคำทำตอบว่าชอบอยู่ | พี่ไม่รู้หรือว่ารักสมัครสมาน |
ได้ทูลขอรอมาก็ช้านาน | ไม่เป็นการย่อมรู้อยู่ด้วยกัน |
เพราะเจียมตัวกลัวผิดจึงปิดป้อง | แทบพระน้องเกษราจะอาสัญ |
เดชะบุญหนุนมารักษาทัน | จะให้ฉันทิ้งนางเสียอย่างไร |
ถึงผิดพลั้งครั้งนี้เมื่อวิบาก | จะจรจากแก้วตาอย่าสงสัย |
ไม่ว่าเล่นเป็นไรก็เป็นไป | ได้เจ็บใจแล้วไม่คิดชีวิตเลย |
พอแปดทุ่มพระธิดาผวาผวาด | พระหน่อนาถนั่งประคองรองเขนย |
ปลอบประโลมโฉมงามว่าทรามเชย | เชิญเสวยโอสถสะกดลม ฯ |
๏ นางคำนับรับจอกจากพระหัตถ์ | ไม่ข้องขัดอุตส่าห์กลืนทั้งขื่นขม |
สงสารองค์ทรงยศอดบรรทม | พลอยปรารมภ์ร่ำว่าสารพัน |
พระผ่านเกล้าเฝ้านั่งระวังน้อง | จะหม่นหมองมีพระโรคให้โศกศัลย์ |
เสด็จไปไสยาสน์อาสน์สุวรรณ | พอแก้กันครหาไม่ราคิน |
ด้วยแสนสาวท้าวนางในปรางค์มาศ | จะประหลาดหลากจิตคิดถวิล |
ถึงมิชั่วก็เหมือนชั่วมั่วมลทิน | เขาจะนินทาทำให้รำคาญ |
ถึงชนกชนนีจะมิว่า | เห็นแก่หน้าน้องรักอย่าหักหาญ |
คำผู้ใหญ่ย่อมว่าช้าเป็นการ | ยิ่งเนิ่นนานก็ยิ่งเห็นจะเป็นคุณ |
พระรักน้องน้องก็รู้อยู่ว่ารัก | แต่คิดหักหน่วงเหนี่ยวอย่าเฉียวฉุน |
มาฟูมฟักรักษาเพราะการุญ | ขอบพระคุณควรคิดเหมือนบิดา |
แม้นชีวิตน้องมิตายก็หมายมาด | จะรองบาทบทเรศพระเชษฐา |
แม้นผิดองค์ทรงเดชของเกษรา | ถึงลอยฟ้ามาก็ไม่อาลัยแล |
ยังมิดมิดอยู่ก็ปิดไว้ก่อนเถิด | อย่าเพิ่งเปิดให้เขาเห็นว่าเป็นแผล |
ใช่ไกลใกล้ไปมาเพียงหน้าแกล | ไม่ห่างแหเห็นกันทุกวันคืน |
อดบรรทมลมล่อยจะพลอยจับ | ไปนอนหลับผ่อนพักเสียสักตื่น |
เข้ายามสามย่ำประโคมอยู่โครมครื้น | พระมาขืนเนตรนั่งไม่บังควร ฯ |
๏ พระรับขวัญขวัญอ่อนอย่าร้อนเร่า | ไม่ขัดเจ้าโฉมงามทรามสงวน |
พี่เหมือนหมอขอช่วยด้วยประชวร | ใช่จะกวนแก้วตาให้ราคี |
อย่าตรึกตราปรารมภ์บรรทมเถิด | โรคจะเกิดกวนน้องให้หมองศรี |
พลางปลอบให้ไสยาด้วยปรานี | แล้วช่วยคลี่คลุมบรรทมห่มให้นาง |
เห็นม่อยหลับกลับหลังมายังอาสน์ | อิงเขนยเผยสิงหาสน์ให้กว้างขวาง |
เล่าแถลงแจ้งความให้พราหมณ์พลาง | พระนุชนางน้องน้อยเห็นค่อยคลาย ฯ |
๏ เจ้าพราหมณ์ยิ้มพริ้มเพราเข้ากระซิบ | วางยาทิพย์แล้วเป็นไรจะไม่หาย |
ประเดี๋ยวนี้พี่ก็พลอยค่อยสบาย | ด้วยกลิ่นอายเกสรขจรมา |
แล้วเลียมลูบจูบหัตถ์ทั้งสองข้าง | น้อยหรือช่างหอมกระทั่งพระมังสา |
ประหลาดจิตผิดรสสุคนธา | หรือดอกฟ้าติดต้องละอองนวล ฯ |
๏ พระยิ้มพลางทางตอบว่าขอบจิต | กลิ่นชาววังยังติดมาแต่สวน |
อย่าอาวรณ์ร้อนเร่าเฝ้าคร่ำครวญ | จะช่วยชวนมาในฉากไม่ยากเย็น |
พราหมณ์หัวเราะเยาะว่ามาอยู่ใกล้ | เมื่อคราวใคร่ก็เป็นแต่ได้แลเห็น |
ถ้าขัดข้องต้องพาน้ำตากระเด็น | พูดกันเล่นอยู่จนแจ้งแสงอุทัย ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์ชนนีนาถ | พอภาณุมาศไตรตรัสจรัสไข |
มาปราสาทพระธิดาด้วยอาลัย | เข้าห้องในแท่นทองประคององค์ |
เห็นลูกน้อยค่อยคลายวายวิโยค | ถามถึงโรคที่ประชวรนวลหง |
ที่วิงเวียนเศียรสมรค่อยหย่อนลง | หรือโฉมยงยังรำคาญประการใด ฯ |
๏ พระบุตรีกราบก้มบังคมบาท | นุชนาฏเล่าแจ้งแถลงไข |
ได้โอสถรสรื่นค่อยชื่นใจ | แต่ยังให้หิวโหยโรยกำลัง ฯ |
๏ พระมารดาวอนว่าอุตส่าห์เสวย | แม่ทรามเชยจะได้ชื่นขึ้นมานั่ง |
จงหลับนอนผ่อนใจให้ประทัง | รำพันสั่งบุตรีแล้วลีลา |
มานั่งแท่นที่กลางปรางค์ปราสาท | กำนัลนาฏหมอบรายทั้งซ้ายขวา |
หน่อกษัตริย์ตรัสชวนพราหมณ์พี่ยา | กับหมอมากราบกรานพระมารดร ฯ |
๏ นางกษัตริย์ตรัสเล่าถึงลูกน้อย | โรคาค่อยเบาทรวงดวงสมร |
แต่ลุกนั่งยังไม่ตรงองค์บังอร | ประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวเย็นเป็นอย่างไร ฯ |
๏ เจ้ากรมหมอขอรับอภิวาท | สันนิบาตเพื่อเส้นเป็นกระษัย |
บ้างทูลว่าอาโปนั้นหย่อนไป | ทั้งติดไข้เพศเหนือเพื่อระดู |
บ้างว่าลมแล่นในไม่สะดวก | หมอทั้งพวกเถียงกันสนั่นหู |
นางพระยาว่าเจ้าพราหมณ์มีความรู้ | สังเกตดูโรคเห็นเป็นอย่างไร ฯ |
๏ ศรีสุวรรณทูลว่าอย่าปรารภ | ข้าเคยพบแก้หายมาหลายไข้ |
จะรักษาพยายามนางทรามวัย | ให้หายในเดือนหน้าไม่ช้านาน ฯ |
๏ นางฟังคำชำเลืองดูพราหมณ์น้อย | ดูเศร้าสร้อยซูบลงก็สงสาร |
เพราะจงจิตพระธิดายุพาพาล | พลอยรำคาญขุ่นข้องจึงหมองนวล |
พินิจพลางนางกษัตริย์ตรัสปราศรัย | แม่ขอบใจแล้วเจ้าพราหมณ์ทรามสงวน |
มาอยู่ด้วยป่วยไข้ก็ได้กวน | พระคุณควรจะสนองให้ต้องใจ |
อันทรงฤทธิ์บิดาชราภาพ | จะปรามปราบยุคเข็ญเห็นไม่ไหว |
เจ้าเหมือนบุตรสุดรักร่วมฤทัย | พ่อคงได้แว่นแคว้นทั้งแดนดาว |
ขอฝากแก้วเกษราธิดาด้วย | เอ็นดูช่วยปกป้องเหมือนน้องสาว |
ศรีสุวรรณนั้นเหมือนหุ่นพึ่งรุ่นราว | จะคราวคราวกันกับแก้วเกษรา |
แล้วถามไถ่ไล่ปีดูพี่น้อง | เห็นถูกต้องคืนวันชันษา |
เจ้าพราหมณ์ยิ้มพรายอายวิญญาณ์ | พระมารดาซ้ำช่วยอำนวยพร |
แล้วว่าเจ้าพราหมณ์มารักษาน้อง | พลอยหม่นหมองไม่มีสุขสโมสร |
ขืนอารมณ์ลมจะจับจงหลับนอน | สายสมรนั้นแม่เห็นไม่เป็นไร ฯ |
๏ ศรีสุวรรณปัญญาฉลาดแหลม | ทำแช่มแช่มช่างว่าอัชฌาสัย |
ถึงคับที่นอนหลับไม่คับใจ | ลูกจะไว้ชีวาตม์ใต้บาทมูล |
แม้นผิดพลั้งอย่างไรจงได้โปรด | ประทานโทษอนุญาตให้ขาดสูญ |
ถ้าชุบเลี้ยงเพียงวงศ์พงศ์ประยูร | จะเพิ่มพูนผาสุกทุกเวลา |
ซึ่งโฉมงามทรามสงวนประชวรโรค | ลูกพลอยโศกเศร้านักจะรักษา |
ไม่โหยกเหยกเสกสรรจำนรรจา | พระมารดาอย่าเป็นห่วงด้วยดวงใจ ฯ |
๏ นางฟังคำล้ำลึกแล้วนึกยิ้ม | เห็นหงิมหงิมพูดจาจะหาไหน |
สายอยู่แล้วมารดาจะคลาไคล | เจ้าจงไปหลับนอนผ่อนสำราญ |
แล้วถามถึงลูกน้อยว่าค่อยชื่น | เสด็จคืนขึ้นปราสาทราชฐาน |
แต่พิทักษ์รักษาพยาบาล | กำหนดนานถึงสิบห้าทิวาวัน ฯ |
๏ ฝ่ายพระนุชบุตรีนารีราช | สุดสวาทวายวิโยคที่โศกศัลย์ |
ด้วยได้หมอหน่อกษัตริย์ชะงัดครัน | จึงหายวันหายคืนชื่นอารมณ์ |
พวกพี่เลี้ยงสี่นางค่อยสร่างทุกข์ | ถอนไรจุกแล้วก็ผลัดกันตัดผม |
พระบุตรีมิได้จากแท่นบรรทม | ทำระบมบอกป่วยด้วยมารยา |
จะบอกหายฝ่ายองค์ทรงสวัสดิ์ | จะพรากพลัดเสียให้ห่างเสนหา |
ถึงสร่างโศกโรครักหนักอุรา | เสวยยาอย่างอื่นไม่ชื่นองค์ ฯ |