๏ จะกล่าวถึงพระอภัยเจ้าไตรภพ |
ทำการศพกับพระน้องทั้งสองศรี |
พอเสร็จเมรุเดือนอ้ายเป็นปลายปี |
ได้ฤกษ์ดีสี่ค่ำเป็นสำคัญ |
มาพร้อมพรักชักศพสองกษัตริย์ |
เข้าเมรุรัตน์รุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์ |
มีโขนละครมอญรำระบำบรรพ์ |
บ้างรำเต้นเล่นประชันเสียงครั่นครึก |
พอราตรีมีดอกไม้ไฟสว่าง |
โป้งปีบช้างชิงร้องเสียงก้องกึก |
เล่นหนังฆ้องกลองสนั่นลั่นพิลึก |
อึกทึกครึกครื้นทุกคืนวัน |
พวกไพร่ฟ้ามาประชุมแก่หนุ่มสาว |
เจ๊กมอญลาวแขกไทยทั้งไอศวรรย์ |
เป็นหมู่หมู่ดูงานการประชัน |
เกษมสันต์สรวลเสกันเฮฮา |
หนุ่มตะกอพอใจเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง |
เข้าพาดพิงพวกนางต่างภาษา |
เขมรเมียงเคียงทวายทำชายตา |
ว่านักเอ๊ยตุยนาสะลามะลู |
นางทวายอายเอียงพูดเสียงแปร่ง |
มะแวงแฉ่งพะเอเปอะสู |
เจ้ามอญว่าอาละกูลทิ้งปูนพลู |
ลาวบ่ฮู้บ่หันบ่ยั่นน้อ |
พวกไทยปาตลีบุตรว่าหยุดก่อน |
ชาวละครร้องฮื้อทำพรื้อพ่อ |
เจ๊กเห็นสาวชาวชวาร้องว่าฮ้อ |
แขกว่ายอละเดไพล่เผลความ |
บ้างเพลิดเพลินเดินดูงานการฉลอง |
ออกเนืองนองท้องแถวแนวสนาม |
ลูกสาวหายหลายแห่งเพราะแต่งงาม |
พ่อแม่ตามถามไต่ก็ไม่พบ |
สมโภชถึงครึ่งเดือนไม่เคลื่อนคลาด |
พร้อมพระญาติประยูรวงศ์ปลงพระศพ |
แล้วเก็บพระอัฐิท้าวเจ้าพิภพ |
ไว้มณฑปจบเสร็จสำเร็จการ ฯ |
๏ พอผู้ถือหนังสือเรื่องเมืองผลึก |
บอกข่าวศึกรมจักรซึ่งหักหาญ |
ถึงพร้อมกันวันฤกษ์เมื่อเลิกงาน |
พระอ่านสารทราบว่าเสียธานี |
ตกพระทัยไหวหวาดอนาถนัก |
พระวรพักตร์หม่นหมองทั้งสองศรี |
จะเลิกทัพกลับไปปราบไพรี |
ยังไม่มีกษัตริย์ครองรัตนา |
จึงมอบแดนแผ่นดินให้สินสมุทร |
อรุณนุชดำรงสืบวงศา |
ศึกสำเร็จเสร็จสรรพจะกลับมา |
ให้อำมาตย์มาตยารักษาไว้ |
จัดสำเร็จเสร็จลงทรงกำปั่น |
ทั้งศรีสุวรรณลอยลำตามน้ำไหล |
ฝ่ายอนุชาทูลลาพี่ยาไป |
เยี่ยมกรุงไกรรมจักรนัครา |
พระอภัยไปกับสินสมุทร |
ไม่ยั้งหยุดแยกทางต่างทิศา |
ตามขอบคุ้งมุ่งหมายสายคงคา |
ทุกคืนค่ำร่ำมาไม่ราใบ ฯ |
๏ ฝ่ายพระน้องล่องลมถึงรมจักร |
เสียทรงศักดิ์เศร้าหมองไม่ผ่องใส |
พระอัคเรศเกษราโศกาลัย |
ถึงท้าวไทบิตุราชมาตุรงค์ |
โอ้พระคุณทูลกระหม่อมจะตรอมโศก |
ชราโรครุมเติมจะเคลิ้มหลง |
จะง่วงเหงาเศร้าหมองทั้งสององค์ |
จะซูบทรงสรงเสวยจะเลยละ |
พระพลัดพรากจากวังไปทั้งสอง |
เหมือนตัวของน้องนี้เสียศีรษะ |
จะกำสรดอดบรรทมลมปะทะ |
สงสารพระจะระทดสลดพระทัย |
ทั้งมดหมอก็ไม่ได้เอาไปด้วย |
ใครจะช่วยดูแลคิดแก้ไข |
แสนสงสารผ่านฟ้าเหลืออาลัย |
สะอื้นไห้ไม่หยุดทั้งบุตรี ฯ |
๏ ศรีสุวรรณกันแสงขืนแข็งจิต |
ให้แค้นคิดขุ่นข้องมัวหมองศรี |
จะติดตามข้ามไปปราบไพรี |
ออกนั่งที่พระโรงรัตน์ชัชวาล |
เสนาน้อมพร้อมพรั่งสั่งพี่เลี้ยง |
ให้อยู่เวียงวังนิเวศน์ประเทศสถาน |
จัตุสดมภ์กรมนาอย่าช้าการ |
เกณฑ์ทหารห้าหมื่นพื้นฉกรรจ์ |
ให้บุตรพราหมณ์สามนายเป็นซ้ายขวา |
เจ้ากฤษณานำพหลพลขันธ์ |
ทัพหลวงเข้าบรรจบสมทบกัน |
จัดกำปั่นร้อยลำประจำพล ฯ |
๏ ผู้รับสั่งบังคมมาสมทบ |
จัดเรือรบกองทัพวิ่งสับสน |
ใส่ข้าวน้ำลำเลียงเสบียงคน |
บ้างก็ขนเครื่องอาวุธยุทธนา |
เจ้ามะหุตกำกับกองทัพซ้าย |
เจ้ายุขันนั้นฝ่ายข้างปีกขวา |
มังกรนำกำกับทัพโยธา |
พระกฤษณากองหนุนเป็นขุนพล |
แล้วจัดแจงแต่งชำระเรือพระที่นั่ง |
ลงพร้อมพรั่งล้าต้าแลต้นหน |
ทั้งเรือแห่แลสล้างลอยกลางชล |
บรรจุพลพร้อมเพรียงเรียบเรียงกัน ฯ |
๏ กษัตราอ่าองค์สรงสุหร่าย |
สกนธ์กายเปล่งฉวีดังสีบุหลัน |
แล้วปรายประพระสุคนธ์ปนอำพัน |
ทรงสุคันธรสรื่นชื่นชูใจ |
จัดประจงทรงเครื่องเรืองระยับ |
มงกุฎจอนซ้อนประดับดอกไม้ไหว |
ครั้นเสร็จสรรพจับคทาแล้วคลาไคล |
กำนัลในนางห้ามตามลีลา |
เสด็จลงทรงกำปั่นสุวรรณรัตน์ |
พร้อมขนัดพลนิกายกองซ้ายขวา |
นายทหารขานโห่ก้องโกลา |
ปืนสัญญายิงลั่นสนั่นดัง |
ออกลอยลำกำปั่นเป็นหลั่นล่อง |
เสียงฆ้องกลองเซ็งแซ่ทั้งแตรสังข์ |
ออกมหาสาชลข้ามวนวัง |
ทั้งหน้าหลังแล่นตามกันหลามทาง ฯ |
๏ ฝ่ายเรือพระอภัยมาในสมุทร |
รีบแล่นรุดเร็วลัดไม่ขัดขวาง |
ต้นหนหมายสายน้ำมาท่ามกลาง |
กำหนดทางสามเดือนไม่เคลื่อนคลาย |
ถึงกรุงไกรไม่เห็นพักตร์อัคเรศ |
อนาถเนตรนึกในพระทัยหาย |
สงสารบุตรสุดแค้นแสนเสียดาย |
ระทวยกายลงบนอาสน์เพียงขาดใจ |
ทั้งแสนแค้นแสนสลดระทดเทวษ |
น้ำพระเนตรมิรู้สิ้นรินรินไหล |
โอ้กรรมเอ๋ยเคยสร้างไว้ปางไร |
ลูกในไส้หรือมาเป็นไปเช่นนี้ |
นึกแค้นด้วยว่าเป็นเนื้อไม่เกื้อหนุน |
ซ้ำทารุณรบพุ่งเอากรุงศรี |
สร้อยสุวรรณจันทร์สุดาสุมาลี |
ป่านฉะนี้เป็นไฉนเหลือไกลกัน |
เมื่อเรือแตกแยกย้ายเหมือนตายแล้ว |
กลับได้แก้วกลอยใจมาไอศวรรย์ |
เมื่อทุกข์มีพี่คลั่งไปครั้งนั้น |
ทมิฬมันมาสมทบรบบุรี |
เจ้าคุมทัพรับท้าวเก้าประเทศ |
ไม่เสียเขตแขกตายพลัดพรายหนี |
ทัพลังกาฝรั่งมาครั้งนี้ |
กลับเสียทีทั้งตัวจากผัวไป |
โอ้เป็นเคราะห์เพราะประมาทจึงพลาดพลั้ง |
ด้วยนึกหวังว่าเป็นเนื้อในเชื้อไข |
จะคิดอ่านผลาญมันให้บรรลัย |
แล้วแข็งใจกลืนกล้ำกลั้นน้ำตา ฯ |
๏ ไปปราสาทมาตุรงค์พระทรงยศ |
น้อมประณตบังคมก้มเกศา |
แล้วทูลถามความโศกโรคชรา |
นางพระยายังไม่รู้ว่าผู้ใด |
ทรงแว่นส่องมองเขม้นเห็นลูกเขย |
พ่อคุณเอ๋ยมาดีจะมีไหน |
อ้ายฝรั่งลังกาคุมข้าไท |
มาจุดไฟไหม้รอบขอบบุรี |
อันเสนาข้าเฝ้าเหล่าทหาร |
ไม่ต้านทานราญรบต่างหลบหนี |
พวกกองทัพจับธิดาสุมาลี |
ไปฆ่าตีหรือจะอยู่ไม่รู้เลย |
แล้วโศกาว่าสงสารพระหลานรัก |
เสียยศศักดิ์สิ้นบุญพ่อคุณเอ๋ย |
จะลำบากยากไร้ยังไม่เคย |
เมื่อไรเลยจะได้มาเห็นหน้ากัน |
อันตัวแม่แก่ชราหูตามืด |
ไม่ยาวยืดยืนชีวาจะอาสัญ |
พ่อมียศทดแทนแก้แค้นมัน |
คืนสุวรรณมาลีบุตรีมา ฯ |
๏ พระนบนอบตอบถ้อยให้ค่อยชื่น |
คงได้คืนเวียงวังไม่กังขา |
ลูกจะตามข้ามฝั่งไปลังกา |
พิฆาตฆ่าโคตรมันให้บรรลัย |
พระมาตุรงค์สรงเสวยอย่าเลยละ |
พระโรคจะผันแปรแก้ไม่ไหว |
แล้วทูลลาพาสนมกรมใน |
เสด็จไปพระโรงรัตน์ชัชวาล |
พร้อมพฤฒาข้ารองละอองบาท |
อภิวาทดาษดาแน่นหน้าฉาน |
พระเอื้อนอรรถตรัสประภาษราชการ |
เรามีภารธุระไปไกลบุรี |
ได้สั่งเหล่าท้าวพระยาพวกข้าเฝ้า |
อยู่แทนเราบำรุงซึ่งกรุงศรี |
ตัวละให้อ้ายฝรั่งทำดังนี้ |
โทษจะมีบ้างหรือไม่จะใคร่รู้ ฯ |
๏ พวกข้าเฝ้าท้าวพระยาสารภาพ |
ต่างก้มกราบเกรงกลัวตัวเป็นหนู |
ซึ่งเสียวังจังหวัดแก่ศัตรู |
ไม่ทันรู้สู้รบคิดหลบกาย |
ข้าพเจ้าเหล่านี้ล้วนมีโทษ |
ถึงสิ้นโคตรฆ่าริบให้ฉิบหาย |
แม้ยกโทษโปรดไว้อย่าให้ตาย |
ทั้งไพร่นายขออาสาฝ่ายุคล |
ไปรบพุ่งกรุงลังกาฆ่าฝรั่ง |
ให้สิ้นทั้งชายหญิงชาวสิงหล |
ถ้าต่อตีมิได้ทั้งไพร่พล |
สับให้ป่นไปทั้งโคตรอย่าโปรดปราน ฯ |
๏ พระตรัสตอบขอบใจทั้งใหญ่น้อย |
เคยใช้สอยซื่อตรงก็สงสาร |
จึงสั่งเวรเกณฑ์กันให้ทันการ |
เลือกทหารชาญณรงค์เคยยงยุทธ์ |
ทั้งหน้าหลังตั้งกระบวนให้ถ้วนแสน |
จะแก้แค้นเคี่ยวขับสัประยุทธ์ |
ลงเรือรบครบสรรพอาวุธ |
ให้สินสมุทรทัพหน้าตรวจตราพล ฯ |
๏ พวกเสนีดีใจอภัยโทษ |
ไม่กริ้วโกรธกราบงามลงสามหน |
กลับออกมาหน้าชื่นขึ้นทุกคน |
รีบจัดพลสิบหมื่นพื้นฉกรรจ์ |
ลงประจำลำเรือเบิกเสื้อหมวก |
แจกให้พวกโยธีต่างสีสัน |
ลำละร้อยลอยกระบวนเรือถ้วนพัน |
ลำที่นั่งดั้งกันเป็นหลั่นเรียง |
สินสมุทรลงกำกับกองทัพหน้า |
ให้ตรวจตราเตรียมเรียกกันเพรียกเสียง |
จนจุดคบพลบค่ำขนลำเลียง |
มาพร้อมเพรียงพอสว่างกระจ่างตา ฯ |
๏ ฝ่ายพระอภัยมณีเข้าที่สรง |
น้ำกุหลาบอาบองค์ทรงภูษา |
ประดับเครื่องเรืองระยับจับพักตรา |
มงกุฎห้ายอดกระจ่างพลอยพร่างพราย |
แล้วทรงปี่ลีลาศยาตรย่างเยื้อง |
นางเชิญเครื่องเนื่องกันตามผันผาย |
ลงลำทรงตรงขึ้นนั่งบัลลังก์ท้าย |
ทั้งไพรนายน้อมประนมก้มกราบกราน |
พอฤกษ์ดีตีฆ้องโห่ร้องรับ |
ยกกองทัพเรือเรียงเคียงขนาน |
ขนัดแห่แตรสังข์กังสดาล |
ประโคมขานฆ้องกลองก้องโกลา |
ออกอ่าวลึกครึกครื้นดูดื่นดาษ |
อยู่เกลื่อนกลาดเรียงรายทั้งซ้ายขวา |
มีหัวหางกลางทะเลเหมือนเหรา |
ลอยชลาแล่นหลามไปตามกัน |
สิบห้าคืนคลื่นลมระดมพัด |
ไม่ข้องขัดข้ามพหลพลขันธ์ |
พอพร้อมพรั่งทั้งโยธีศรีสุวรรณ |
ถึงเขตคันขึ้นฝั่งข้างลังกา ฯ |
๏ สุดสาครต้อนรับกับพระน้อง |
บังคมสองทรงเดชพระเชษฐา |
จึงทูลความตามครั้งรบมังคลา |
วลายุดาวายุพัฒน์หัสกัน |
ถึงห้าครั้งตั้งแต่แพ้ชนะ |
จึงแตกละเมืองใหม่เข้าไพรสัณฑ์ |
สกัดตีหนีได้จับไม่ทัน |
ไปตั้งมั่นโยธาอยู่ป่าตาล |
แล้วเชิญขึ้นวังใหม่อยู่ในตึก |
ให้พวกผลึกรมจักรพักทหาร |
แต่งม้าใช้ไปไม่ขาดสืบราชการ |
จะคิดอ่านผลาญศึกต่างตรึกตรา ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระอภัยเป็นใหญ่ยิ่ง |
นั่งอาสน์อิงนิ่งนึกแล้วปรึกษา |
จะขับไล่พลหาญผลาญลังกา |
จะนินทาว่าไม่ถามวู่วามนัก |
คิดจะใคร่ให้ผู้ถือหนังสือสาร |
ไปว่ากล่าวตามโบราณอย่าหาญหัก |
แม้ดื้อดึงจึงค่อยปรามตามฮึกฮัก |
หรือน้องรักเจ้าจะเห็นเป็นอย่างไร |
ศรีสุวรรณอัญชลีว่าดีเหลือ |
ด้วยเหล่ากอหน่อเนื้อในเชื้อไข |
ให้หามาถ้ามันขัดตัดอาลัย |
จึงฆ่าให้สิ้นโคตรตามโทษกรณ์ |
พระทรงฟังสั่งให้ทำเป็นคำสาร |
แล้วเทียบทานถูกฉบับพับอักษร |
ให้เสนีที่ชำนาญการนคร |
ไปผันผ่อนพูดจาดูท่าทาง ฯ |
๏ อำมาตย์รับอภิวันท์แล้วผันผาย |
มาแต่งกายเร็วรัดไม่ขัดขวาง |
เรียกบ่าวออกนอกประตูต้นหูกวาง |
ขึ้นม้าวางห้อไปในไพรวัน |
พบฝรั่งนั่งทางออกขวางหน้า |
ต่างพูดจาแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
พวกลังกาพาผู้ถือหนังสือนั้น |
รีบเดินดั้งดงมาในป่าตาล |
กราบทูลพระมังคลาให้หาทูต |
เข้ามาพูดจาถามเนื้อความสาร |
แล้วตรัสใช้ให้อาลักษณ์พนักงาน |
คลี่ออกอ่านอักษรบวรลักษณ์ ฯ |
๏ สารสมเด็จเกศกษัตริย์อติเรก |
พระองค์เอกอิศราอาณาจักร |
ทั้งองค์พระอนุชานราลักษณ์ |
ประเสริฐศักดิ์สุริย์วงศ์ทรงแผ่นดิน |
ฝ่ายฝรั่งลังกาอาณาเขต |
พระอัคเรศครองจังหวัดทรงสัตย์ศิล |
ผลึกทั้งลังกาสองธานินทร์ |
เป็นแผ่นดินเดียวกันไม่ฉันทา |
พระเทวีมีพระหน่อวรนาถ |
ก็เป็นราชโอรสทรงยศถา |
ที่จอมวงศ์องค์พระมังคลา |
วลายุดาวายุพัฒน์หัสกัน |
ล้วนเหล่ากอหน่อเนื้อในเชื้อชาติ |
บำรุงราชนราชัยมไหศวรรย์ |
เหตุไฉนไม่ดำรงรักพงศ์พันธุ์ |
โดยทางธรรม์ทศพิธผิดโบราณ |
ไปรบร้าการะเวกรมจักร |
ทั้งหาญหักเมืองผลึกทำฮึกหาญ |
กวาดต้อนเหล่าเผ่าพงศ์พวกวงศ์วาน |
มาทรมานไว้นั้นด้วยอันใด |
เรายกตามข้ามฝั่งมาครั้งนี้ |
ด้วยปรานีนับเนื้อในเชื้อไข |
จะอุปถัมภ์บำรุงซึ่งกรุงไกร |
ช่วยเกลี่ยไกล่ให้เป็นมิตรสนิทกัน |
ให้มังคลาพาวลายุดาน้อง |
กับทั้งสองนัดดานราสรรค์ |
เชิญสองท้าวสาวสุรางค์นางกำนัล |
องค์สุวรรณมาลีบุตรีมา |
จะสั่งสอนผ่อนปรนให้พ้นผิด |
ตามจริตราชวงศ์เผ่าพงศา |
จะฆ่าฟันกันเองเกรงนินทา |
เหมือนมือขวาถือมีดกรีดมือซ้าย |
เมื่อมือซ้ายฟันฟาดบาดมือขวา |
ตัวต้องหายาแก้แผลจึงหาย |
ใครผลาญวงศ์พงศ์พันธุ์ให้อันตราย |
เหมือนมือซ้ายขาดด้วนไม่ควรคิด |
วิสัยญาติพลาดพลั้งเหมือนอย่างแผล |
มียาแก้แผลก็จะกลับสนิท |
คนอื่นนั้นครั้นประมาทจึงขาดมิตร |
ต่อไม่ติดแตกห่างอย่างศิลา |
แม้ลูกหลานอ่านฟังในหนังสือ |
ยังนับถือบิตุรงค์เผ่าพงศา |
อย่าควรคิดบิดผันพากันมา |
หาบิดาโดยดีทั้งสี่องค์ |
แม้น้ำใจไม่รักสมัครสมาน |
จะต้านทานทำศึกนึกประสงค์ |
ก็ตามใจให้เป็นขาดญาติวงศ์ |
ทั้งสี่องค์จงดำริตริตรองการ ฯ |
๏ พอจบคำทำเป็นสั่งบังอะโละ |
จงแต่งโต๊ะเลี้ยงผู้ถือหนังสือสาร |
ให้หลับนอนผ่อนตามความสำราญ |
พนักงานรับลาแล้วพาไป |
พระตรองตรึกปรึกษากับข้าเฝ้า |
ฝ่ายพวกเราใครจะเห็นเป็นไฉน |
จะแข็งอ่อนผ่อนผันทำฉันใด |
ช่วยตรึกไตรใครครวญให้ควรความ ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งฟังตรัสให้ขัดข้อง |
ต่างตรึกตรองเกรงผิดให้คิดขาม |
จะขัดขวางอย่างไรก็ไม่งาม |
ครั้นตรัสถามหลายคำก็จำทูล |
เหลือปัญญาข้าพเจ้าเหล่าอำมาตย์ |
ด้วยเป็นชาติเชื้อปิ่นบดินทร์สูร |
อันวิสัยในพระวงศ์พงศ์ประยูร |
แล้วแต่ทูลกระหม่อมจอมโลกา ฯ |
๏ พระฟังความถามพระน้องทั้งสองหลาน |
ซึ่งเรื่องสารสั่งให้เราไปหา |
เห็นไฉนใจพระน้องสองนัดดา |
จงตรึกตราตรองความให้งามใจ |
ฝ่ายสามองค์ทูลว่าข้าทั้งสาม |
สุดแต่ตามพระปัญญาอัชฌาสัย |
พระมังคลาว่าพระเจ้าสอนเราไว้ |
ควรเลื่อมใสในคัมภีร์ยีโฮวะ |
แม้ผิดชาติศาสนาข้างฝรั่ง |
อย่าเชื่อฟังคบค้าวิสาสะ |
พวกพงศ์เผ่าเขาไม่ถือหนังสือพระ |
มิควรจะปะพบไปคบค้า |
จะพลอยให้ไปตกนรกดอก |
เขาคนนอกโอวาทพระศาสนา |
ถือพระเจ้าเราเถิดน้องสองนัดดา |
เมื่อยกมาแล้วก็คงทำสงคราม |
พระบารมียีโฮวะคงจะช่วย |
ไม่เข้าด้วยสัตว์บาปที่หยาบหยาม |
เราคิดทำคำตอบระบอบความ |
ให้งดงามตามอารมณ์ชาวชมพู |
แล้วแต่งสารอ่านเขียนไม่เพี้ยนผิด |
พับผนิดปิดตราพระราหู |
ใส่หีบไปให้บิดาทั้งตราชู |
ส่งให้ผู้ทูตถือหนังสือมา ฯ |
๏ ฝ่ายพวกพระอภัยได้รับหีบ |
ขึ้นม้ารีบมาในไพรพฤกษา |
ครั้นค่ำค้างหว่างเขากินข้าวปลา |
ครั้นรุ่งมาห้าวันไม่อันตราย |
ถึงเมืองใหม่ใกล้ค่ำพอย่ำฆ้อง |
เชิญหีบของหน่อไทเข้าไปถวาย |
พระอภัยให้มหาเสนานาย |
งัดทลายหีบดูตราชูมี |
เข้าพระทัยในความที่หยามหยาบ |
จะใคร่ทราบสั่งให้อ่านเรื่องสารศรี |
อาลักษณ์รับกราบงามลงสามที |
ฉีกสารศรีอ่านความตามกิจจา ฯ |
๏ ในลักษณะพระราชสารสวัสดิ์ |
จอมกษัตริย์สิงหลภาษา |
ภิเษกเสริมเฉลิมวังกรุงลังกา |
บำรุงราษฎร์ศาสนาให้ถาวร |
มีเมืองน้อยร้อยเอ็ดมาอภิวาท |
พึ่งพระบาทบุญฤทธิ์อดิศร |
แก้วประเสริฐเกิดสำหรับประดับนคร |
เมื่อมารดรครองสมบัติให้ฉัตรชัย |
ฝ่ายลูกสาวเจ้าพาราการะเวก |
เอาเพชรเอกออกจากถิ่นแผ่นดินไหว |
เปลี่ยนกษัตริย์ขัตติยาเสนาใน |
ชุมนุมให้คืนเพชรแก้วเก็จมา |
จึงง้องอนวอนขอต่อกษัตริย์ |
ก็ข้องขัดตัดขาดวาสนา |
จับฝรั่งสังหารผลาญชีวา |
จึงเกิดฆ่าฟันกันเป็นอันตราย |
ไปแจ้งเรื่องเมืองผลึกรมจักร |
ไม่นับพักตร์แผ่เผื่อว่าเชื้อสาย |
ยังซ้ำให้ไล่ขับได้อับอาย |
นึกเสียดายด้วยจะขาดญาติประยูร |
จึงเชิญวงศ์พงศารับมาไว้ |
ด้วยอาลัยมิให้ญาตินั้นขาดสูญ |
ตามวิสัยใจรักศักดิ์ตระกูล |
ให้พร้อมมูลพูนสวัสดิ์อยู่อัตรา |
ใช่ปล้นวิ่งชิงสมบัติพัสถาน |
ซึ่งทำการก็ประสงค์เป็นวงศา |
หวังว่าพระจะเห็นดีด้วยปรีชา |
มิใช่พามาสังหารผลาญชีวัน |
พระหัสไชยใช่ญาติทำอาจหาญ |
มารุกรานจึงจะฆ่าให้อาสัญ |
สุดสาครซ่อนซุ่มออกรุมกัน |
เข้าโรมรันรุกรานชิงด่านไว้ |
กลับรักเขาเข้าด้วยไม่ช่วยญาติ |
ดูตัดขาดชาติเชื้อในเนื้อไข |
เดี๋ยวนี้พระเสด็จมาให้หาไป |
ทั้งจะให้คืนส่งพระวงศ์วาน |
ไม่โปรดไว้ใยเยื่อให้เหลือบ้าง |
เหมือนลบล้างห่างรักสมัครสมาน |
อย่าเคืองขัดตัดประโยชน์จงโปรดปราน |
ขอประทานวงศาไว้ธานี |
ให้สนิทชิดเชื้อนับเนื้อหน่อ |
เหมือนช่วยชะลอลังกาเป็นราศี |
เสด็จกลับทัพไปอยู่ยังบูรี |
อีกสามปีจึงจะพาวงศาไป |
รมจักรนัคราลังกาผลึก |
เหมือนทองปึกเดียวดีตามวิสัย |
แม้ปลดเปลื้องเคืองขัดตัดอาลัย |
จะขืนให้หักโหมรุกโรมรัน |
ข้าพเจ้าเหล่านี้ทั้งพี่น้อง |
สิ้นพวกพ้องวงศาเหมือนอาสัญ |
จะพลอยพาห้าพระองค์ผู้พงศ์พันธุ์ |
ต้องมอดม้วยด้วยกันเป็นมั่นคง ฯ |
๏ พอจบเรื่องเคืองขัดให้อัดอั้น |
เพราะหมายมั่นไม่เหมือนจิตคิดประสงค์ |
พระหัสไชยให้รันทดกำสรดทรง |
เสียดายองค์สร้อยสุวรรณจันทร์สุดา |
อยู่ในมันครั้นว่าจักทำหักหาญ |
มันจะพาลผลาญชีวิตกนิษฐา |
ทุกข์อารมณ์ลมจับวับวิญญาณ์ |
เสือกซบหน้าแน่นิ่งไม่ติงกาย |
สุดสาครช้อนน้องประคองอุ้ม |
เห็นอ่อนนุ่มนิ่งไปจิตใจหาย |
ทั้งเสาวคนธ์เข้าประคองเคียงน้องชาย |
ต่างวุ่นวายเรียกหมอวิ่งสอมา |
พระอภัยศรีสุวรรณช่วยกันแก้ |
เห็นนิ่งแน่นวดหลังบีบอังสา |
หมอเข้าไปไม่ถึงพระอนุชา |
เอาขวดยานัตถุ์เป่าส่งเสาวคนธ์ |
หมอนวดเน้นเคล้นคลำอัมพฤกษ์ |
ค่อยรู้สึกสังเกตฟังเหตุผล |
ทรงยาดมพรมกุหลาบซาบสกนธ์ |
หอมสุคนธรสรื่นชื่นพระทัย |
ระทวยจิตคิดถวิลเหมือนกลิ่นน้อง |
น้ำเนตรคลองคลอคลอหลั่งหล่อไหล |
เหลือรำลึกนึกสะท้อนถอนฤทัย |
ทูลลาไปเข้าห้องทองบรรทม |
ทอดพระองค์ลงบนแท่นแสนสลด |
ระทวยระทดทุกข์รักนั้นหมักหมม |
จนผิดรูปซูบผอมด้วยตรอมตรม |
เพราะหวังชมชวดชื่นสะอื้นอาย ฯ |
๏ ฝ่ายบดินทร์ปิ่นเกล้าเจ้าผลึก |
จะทำศึกตรึกการประมาณหมาย |
ออกอำมาตย์มาตยาเสนานาย |
หมอบเฝ้าฝ่ายซ้ายขวาพร้อมหน้ากัน |
จึงตรัสว่าฝรั่งซึ่งตั้งรับ |
จะตีทัพจับฆ่าให้อาสัญ |
แต่พวกเราเล่าก็ไปอยู่ในมัน |
จะมีอันตรายบ้างหรืออย่างไร |
แม้สืบดูรู้ว่าพวกฝรั่ง |
มันกักขังห้าองค์ไว้ตรงไหน |
จะผันแปรแก้กลให้พ้นภัย |
แล้วจะได้ไล่ล้างให้วางวาย |
พระอนุชาว่าไปจับทัพฝรั่ง |
มาซักถามความหลังสิ้นทั้งหลาย |
ไม่ยากเย็นเห็นจะได้ด้วยง่ายดาย |
แล้วสั่งฝ่ายนายทหารชาญสงคราม |
จงคุมคนด้นทางไปกลางป่า |
จับมันมาให้ได้จะไต่ถาม |
ทหารรับอภิวันท์ไม่ครั่นคร้าม |
จัดคนสามสิบคนดั้นด้นไป |
พอฝรั่งนั่งทางจะย่างเนื้อ |
บ้างแล่เถืออยู่ที่ธารละหานไหล |
บ้างเดินบ้างนั่งยืนก่อฟืนไฟ |
เข้าล้อมไล่ลัดแลงทิ่มแทงฟัน |
ที่วิ่งหนีตีชกให้หกล้ม |
เข้าจิกผมผูกมัดรัดกระสัน |
ได้ห้าคนด้นกลับมาฉับพลัน |
เข้าเขตคันเมืองใหม่ทั้งไพร่นาย |
กราบทูลพระอภัยสั่งให้ถาม |
เขียนข้อความตามให้การอ่านถวาย |
ได้ทราบว่าห้ากษัตริย์ไม่พลัดพราย |
อยู่ตึกท้ายพาราเมืองป่าตาล |
นางวัณฬามารับจะกลับส่ง |
ทั้งห้าองค์คืนเขตประเทศสถาน |
ฝ่ายฝรั่งสังกัดทูลทัดทาน |
ปิดเมืองด่านมิให้ออกนอกบุรี |
นางรำภาฆ่าขุนนางขวางถนน |
ตายสามคนพลไพร่มันไม่หนี |
ข้างชาวด่านผลาญขอเฝ้าเหล่าเสนี |
ตายสักสี่สิบศพสู้รบกัน |
นางวัณฬาพาพระองค์พงศ์กษัตริย์ |
ไปจังหวัดเวียงชัยไอศวรรย์ |
ทั้งข้าไทไพร่นายอีกหลายพัน |
ไปด้วยกันพร้อมพรั่งอยู่ลังกา ฯ |
๏ พระทราบข่าวราวเรื่องเคืองโอรส |
ทรยศหยาบคายร้ายหนักหนา |
แล้วเอื้อนอรรภตรัสกับพระอนุชา |
นางวัณฬาหล่อนก็ดีอารีรัก |
รำภาเล่าเขาก็ซื่อด้วยถือสัตย์ |
ประดิพัทธ์เพิ่มพูนประยูรศักดิ์ |
แต่ลูกเต้าเหล่ากอทรลักษณ์ |
ไม่รู้จักพ่อแม่ถือแต่ดี |
จะฆ่าฟันมันให้ตายทำลายล้าง |
เกรงใจนางวัณฬารำภาสะหรี |
ส่วนพวกเราเขาเอาไปไว้บุรี |
จะฆ่าตีลูกเขาเหมือนเบาความ |
คิดจะใคร่ให้วัณฬาหล่อนมาด้วย |
จะได้ช่วยกันกำราบที่หยาบหยาม |
แต่จะได้ใครชำนาญการสงคราม |
ช่วยติดตามข้ามด่านถือสารไป |
ศรีสุวรรณอัญชลีพระพี่เจ้า |
ซึ่งโปรดเกล้านี้ดีจะมีไหน |
จะจัดแจงแต่งทหารชำนาญไพร |
ให้อ้อมไปในป่าพนาลี ฯ |
๏ หน่อกษัตริย์หัสไชยเห็นได้ช่อง |
ใคร่พบน้องสองสุดามารศรี |
จึงทูลพระอภัยว่าเดิมข้านี้ |
ดูแผนที่ทั่วทั้งเกาะลังกา |
มีหนทางข้างพายัพเขาซับซ้อน |
ต้องซอกซอนแหวกเดินบนเนินผา |
ฝ่ายฝรั่งตั้งด่านไว้นานมา |
เขาเรียกว่าด่านบ้านสะพานยนต์ |
จะอาสาพาทหารหักด่านตั้ง |
ตีขึ้นไปให้กระทั่งวังสิงหล |
สองกษัตริย์ตรัสตอบว่าชอบกล |
นางเสาวคนธ์ว่ากับพระอนุชา |
เจ้าจงเอาตัวเจ้าวาโหมนั้น |
ไปด้วยกันการศึกได้ปรึกษา |
น้องคำนับรับรสพจนา |
นางสั่งวาโหมให้ไปกับน้อง |
แล้วว่าเจ้าเข้าไปได้ในด่าน |
ถ้าเห็นการเกินกำลังเจ้าทั้งสอง |
จงรอรั้งตั้งทัพอยู่รับรอง |
พอให้กองทัพใหญ่ยกไปตี |
จงรบล่อพอพะวงพวกดงตาล |
แบ่งทหารไปอีกคอยหลีกหนี |
เราตีค่ายรายทางไปข้างนี้ |
เห็นท่วงทีแทบจะได้ด้วยง่ายดาย ฯ |
๏ จอมกษัตริย์ตรัสตอบว่าชอบอยู่ |
แม่รอบรู้ราชการประมาณหมาย |
แล้วสั่งพระอนุชาเสนานาย |
ขุนนางฝ่ายอาลักษณ์อักขรา |
ให้เขียนความตามเรื่องที่เคืองขัด |
กับกษัตริย์ทรงยศโอรสา |
ครั้นเสร็จสรรพพับผนิดแล้วปิดตรา |
จึงบัญชาสั่งกษัตริย์หัสไชย |
พ่อไปถึงจึงช่วยปลอบให้ชอบจิต |
ที่ชอบผิดผันแปรช่วยแก้ไข |
แทนบิดาอาพี่ที่อาลัย |
ให้ชอบใจนางวัณฬาสามนารี ฯ |
๏ พระรับรสพจนาชวนวาโหม |
ต่างน้อมโน้มกราบประณตบทศรี |
มารีบรัดจัดทหารผลาญไพรี |
ล้วนตัวดีมีศักดากล้าสงคราม |
พวกวาโหมกองหน้าห้าร้อยถ้วน |
ใส่เกราะล้วนเหล็กเพชรไม่เข็ดขาม |
พวกหน่อนาถมหาดเล็กเด็กหนุ่มงาม |
เคยติดตามแต่น้อยน้อยห้าร้อยคน |
ล้วนขับขี่ลีลาเลียงผาผยอง |
ไม่ขัดข้องข้ามเนินเหมือนเดินถนน |
ต่างร่างเริงเชิงณรงค์ทั้งคงทน |
สมทบพลพันถ้วนล้วนฉกรรจ์ ฯ |
๏ หน่อนราอ่าองค์สอดทรงเครื่อง |
จับผิวเหลืองเรืองจำรัสขัดพระขรรค์ |
เจ้าวาโหมชโลมสินธุ์ใส่กลิ่นจันทน์ |
ทรงเครื่องมั่นเหมือนอย่างครุฑยุทธนา |
ครั้นเสร็จสรรพกับพระหน่อวรนาถ |
ดำเนินอาจตรวจพหลพลซ้ายขวา |
ได้ฤกษ์ดีตีฆ้องกลองสัญญา |
วาโหมลาหน่อกษัตริย์หัสไชย |
ขึ้นทรงแรดแผดร้องยกกองทัพ |
ล่วงหน้าลับเหลี่ยมเดินเนินไศล |
แล้วทัพหลังทั้งนั้นตามกันไป |
พระหัสไชยทรงสิงห์วิ่งทยาน |
ขุนนางนำจำแดนดูแผนที่ |
อ้อมคิรีมีน้ำลำละหาน |
เป็นเหวห้วยตรวยเตรินเดินกันดาร |
ต้องทำสะพานทอดข้ามด้วยความเพียร |
ครั้นค่ำค้างหว่างเขาลำเนาโขด |
ด้วยสูงโสดซ้อนซับเหมือนกับเขียน |
ต้นยูงยางขวางขัดให้ตัดเตียน |
อุส่าห์เพียรทำทางไปกลางวัน ฯ |
๏ ฝ่ายพระศรีสุวรรณรับเป็นทัพหน้า |
ให้ลูกยาคุมพหลพลขันธ์ |
กับบุตรพราหมณ์สามนายชายหนุ่มนั้น |
กำกับกันกองหน้ายกคลาไคล |
แล้วพระองค์ทรงยศทรงรถที่นั่ง |
ยกทัพหลังทั้งนั้นเสียงหวั่นไหว |
ไปวันหนึ่งจึงองค์พระอภัย |
ตรัสสั่งให้ลูกยาสุดสาคร |
กับนงเยาว์เสาวคนธ์เป็นทัพหน้า |
ยกโยธาคั่งคับสลับสลอน |
นางทรงสิงห์กลิ้งกลดบทจร |
สุดสาครขับม้าเคลื่อนคลาไคล |
หน่อนรินทร์สินสมุทรเป็นแม่ทัพ |
ทรงสิงห์ขับพลขันธ์เสียงหวั่นไหว |
ไปวันหนึ่งจึงองค์พระภูวไนย |
ยกทัพใหญ่หนุนมาเมืองป่าตาล ฯ |
๏ ฝ่ายกษัตริย์หัสไชยมาในป่า |
กับเจ้าวาโหมขับทัพทหาร |
ควบลาลีขี่กิเลนเผ่นทะยาน |
ข้ามโตรกตรวยห้วยธารสำราญเริง |
ล้วนรุ่นหนุ่มชุ่มชื่นเสียงครื้นครึก |
เห็นเหวลึกแล่นกระโดดโลดเถลิง |
ต่างควบข้ามตามกันต่างบันเทิง |
มาถึงเชิงเขาด่านสะพานยนต์ |
พอฝรั่งนั่งทางออกขวางทัพ |
ตีประดังคั่งคับมาสับสน |
เสียงวุ่นวายนายไล่ต้อนไพร่พล |
มาเกลื่อนกล่นกลุ้มทางที่กลางไพร ฯ |
๏ ฝ่ายกองหน้าวาโหมรุกโรมรบ |
ตีตลบไล่ฟันเสียงหวั่นไหว |
ฝรั่งรับขับเคี่ยวประเดี๋ยวใจ |
ทั้งนายไพร่พลัดพรายตายระเนน |
พวกกองหนุนหนุนรบทบกองหน้า |
ไล่ฟันฆ่าฝรั่งวิ่งดังจิ้งเหลน |
เหลือกำลังทั้งปลัดหัสเกน |
ลงโคลนเลนหลบตัวด้วยกลัวตาย |
พระหัสไชยได้ด่านทหารพร้อม |
เข้าอยู่ป้อมปืนใหญ่เหมือนใจหมาย |
พวกแก่เฒ่าชาวบ้านพิการกาย |
ทั้งหญิงชายชวนกันมาวันทา |
ถวายตัวกลัวฤทธิ์ไม่คิดรบ |
ต่างขอศพเผ่าพงศ์พวกวงศา |
พระโปรดให้ไม่ขัดตามอัชฌา |
แต่บรรดาฝรั่งราบกราบบังคม |
ไปเที่ยวลากซากศพมากลบฝัง |
แล้วแต่งตั้งโต๊ะเหล้ากับข้าวขนม |
เลี้ยงกองทัพรับประทานสำราญรมย์ |
ต่างชื่นชมสมคะเนเสียงเฮฮา |
พวกทมิฬกินแต่ไข่เป็ดไก่เหล่า |
บ้างมัวเมาเย้านางต่างภาษา |
เห็นสาวแก่แม่ม่ายเที่ยวไล่คว้า |
เสียงเฮฮาร่าเริงบันเทิงใจ ฯ |
๏ ฝ่ายทหารด่านแตกต่างแยกย้าย |
เที่ยวเรี่ยรายเวียนวงเดินหลงใหล |
บ้างไปเขาเจ้าประจัญด่านชั้นใน |
บ้างตัดไปดงตาลข้างด่านกลาง |
พบพวกพ้องกองเกณฑ์ตระเวนป่า |
แจ้งกิจจาสารพัดที่ขัดขวาง |
ตระเวนพาพวกฝรั่งที่นั่งทาง |
รีบเดินกลางป่ามาถึงธานี |
เข้าทูลความตามศึกที่ฮึกหาญ |
ตีได้ด่านชาวป่าพนาสี |
ฆ่าไพร่นายตายล้มไม่สมประดี |
เห็นจะตีตามมาเมืองป่าตาล ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งมังคลานราราช |
ดำริคาดข้าศึกเห็นฮึกหาญ |
จะวงหลังตั้งล้อมป้อมปราการ |
ตีดงตาลด่านเขาเจ้าประจัญ |
จึงสั่งพระอนุชาวายุพัฒน์ |
จงรีบรัดจัดพหลพลขันธ์ |
ไปขัดขวางทางลัดสกัดกัน |
อย่าให้มันประจบทัพคอยรับรอง ฯ |
๏ ฝ่ายวลายุดาวายุพัฒน์ |
ชลีหัตถ์รับสั่งแล้วทั้งสอง |
มาแต่งองค์ทรงเสื้อหมวกเครือทอง |
ใส่เกราะกรองรองบาทเหน็บสาตรา |
ไปตรวจพลบนป้อมได้พร้อมพรั่ง |
เป็นหน้าหลังกองละหมื่นพร้อมปืนผา |
แล้วสององค์ทรงนั่งหลังอาชา |
วายุพัฒน์นัดดาเคลื่อนคลาไคล |
พอแลลับทัพหลังให้ตั้งโห่ |
กึกก้องโกลาลั่นเสียงหวั่นไหว |
รีบยกตามหลามทางมากลางไพร |
หนทางไกลสามวันเร่งกันเดิน ฯ |
๏ ฝ่ายกษัตริย์หัสไชยหยุดไพร่พร้อม |
อยู่บนป้อมปิดทางหว่างเขาเขิน |
ปืนใหญ่จุกทุกเสมาตรงหน้าเนิน |
เที่ยวเวียนเดินดูรอบขอบกำแพง |
พอพลบค่ำย่ำระฆังประดังเสียง |
โคมตะเกียงแก้วกระจ่างสว่างแสง |
พระทรงนั่งยังที่เก้าอี้แดง |
คิดจัดแจงแต่งทหารคอยต้านตี |
แล้วปรึกษาวาโหมเราโจมทัพ |
ให้แตกยับแยกย้ายพลัดพรายหนี |
เจ้าคุมคนพลไพร่ไล่ไพรี |
ทำท่วงทีทัพใหญ่ซุ่มไพร่พล |
เรากับไพร่ห้าสิบจะรีบร้อน |
ถืออักษรขึ้นไปยังวังสิงหล |
เจ้ารบล่อฝรั่งเป็นกังวล |
เผื่ออับจนจึงล่าไปเมืองใหม่เรา ฯ |
๏ เจ้าวาโหมโสมนัสจบหัตถ์รับ |
จะเคี่ยวขับขวางทางอยู่หว่างเขา |
ถึงศึกเสือเหลือกำลังจะบังเงา |
เข้าตัดเกล้ากองทัพให้ยับเยิน |
พระยิ้มพลางทางตอบให้ชอบจิต |
เจ้าเรืองฤทธิ์ราวกับครุฑสุดสรรเสริญ |
ทั้งวาโหมโสมนัสฟังตรัสเพลิน |
ทหารเดินตรวจตราทุกราตรี |
อยู่หกวันครั้นเย็นแลเห็นทัพ |
ธงสลับหลายอย่างต่างต่างสี |
ต่างเตรียมกายนายไพร่ด้วยได้ที |
จะโจมตีรอนรุมตะลุมบอน ฯ |
๏ ฝ่ายทัพหน้าวายุพัฒน์ไม่ขัดขวาง |
รีบแรมทางมาถึงด่านชานสิงขร |
ไม่เห็นศึกฮึกหาญออกราญรอน |
หรือซุ่มซ่อนแอบแฝงอยู่แห่งใด |
ไม่รอทัพขับคนพวกพลพร้อม |
เข้าล้อมป้อมปิดทางหว่างไศล |
บ้างเร่งรัดจัดกันให้ฟันไม้ |
ทำบันไดต่อตีนปีนกำแพง |
ฝ่ายพวกพลบนเสมาพุ่งอาวุธ |
เข้าต่อยุทธ์ฟาดฟันด้วยขันแข็ง |
ฝรั่งรบหลบหลีกพลาดพลิกแพลง |
พวกทัพแทงถูกตายลงก่ายกอง |
พอทัพวลายุดายกมาพบ |
เข้าสมทบรบศึกเสียงกึกก้อง |
พวกบนป้อมพร้อมเพรียงคอยเมียงมอง |
เห็นตรงช่องแกว่งชุดต่างจุดปืน |
เสียงตูมตึงกึงกังฝรั่งล้ม |
กอดกันกลมกลิ้งกลาดตายดาษดื่น |
ปืนใหญ่น้อยปล่อยลั่นเสียงครั่นครื้น |
ฝรั่งตื่นแตกกระจัดวิ่งพลัดแพลง ฯ |
๏ พระหัสไชยได้ทีขึ้นขี่สิงห์ |
พร้อมไพร่ชิงขึ้นหน้าล้วนกล้าแข็ง |
เปิดประตูตรูออกนอกกำแพง |
ไล่โจมแทงฟันฝรั่งถอยหลังรบ |
พวกโยธาวาโหมต่างโถมถึง |
ตีตูมตึงตายยับซ้อนซับศพ |
พวกหน่อไทได้ทีตีกระทบ |
ฝรั่งหลบหลีกลัดแล่นพลัดพราย |
วลายุดาวายุพัฒน์สกัดไพร่ |
แกว่งดาบไล่ให้เขารบมันหลบหาย |
พระหัสไชยไล่ฆ่าโยธาตาย |
เห็นตัวนายหนุ่มหนุ่มประชุมพล |
ขับสิงโตโฮ่โฮกกระโชกขบ |
ฝรั่งรบรุมรับอยู่สับสน |
วลายุดาวายุพัฒน์ต่างพลัดพล |
ขับม้าด้นดั้นป่าพอราตรี |
พวกโยธาวาโหมรุกโรมไล่ |
ฟันนายไพร่ล้มตายพลัดพรายหนี |
จนมืดมนคนเป็นไม่เห็นมี |
กลับมาที่หน้าป้อมพรักพร้อมกัน ฯ |
๏ พระหัสไชยให้วาโหมคุมทหาร |
อยู่ทำการราญรอนคิดผ่อนผัน |
กับเสนีขี่ม้าห้าสิบนั้น |
ต่างพากันออกจากด่านสะพานยนต์ |
ถึงยากเย็นเป็นไฉนก็ไม่ว่า |
ให้เห็นหน้าน้องหญิงอยู่สิงหล |
ด้วยรู้แห่งแขวงย่านบ้านตำบล |
เดินดั้นด้นดงรังไปลังกา ฯ |
๏ ครั้นรุ่งเช้าฝ่ายเจ้าวาโหมนั้น |
ให้เก็บคันธงฝรั่งที่สังขาร์ |
แต่งม้าใช้ไประวังฟังกิจจา |
ปักธงกลางทางมาใกล้ป่าตาล ฯ |
๏ ฝ่ายทัพพระอภัยที่ไปหน้า |
พระกฤษณานายทัพขับทหาร |
หนทางบกหกวันเดินกันดาร |
ถึงดงตาลเห็นแต่ค่ายตั้งรายเรียง |
ทั้งใหญ่น้อยร้อยแปดมีธงปัก |
ทหารรักษาเรียบเงียบเชียบเสียง |
จึงขับไพร่ให้ล้อมเข้าพร้อมเพรียง |
ฝรั่งเรียงรายค่ายคอยรายรบ |
ต่างโห่ร้องก้องกึกเสียงครึกครื้น |
ระดมปืนตอบกันควันตลบ |
ทั้งบุตรพราหมณ์สามทัพรับสมทบ |
ต่างรีบรบเร็วรวดประกวดกัน ฯ |
๏ ฝรั่งล่อพอให้ไล่เข้าในค่าย |
มันวงสายสิญจน์ผูกถูกอาถรรพณ์ |
ไม่เห็นหนมนมืดเป็นหมอกควัน |
ต่างตัวสั่นซบหมอบหอบหายใจ |
ทั้งบุตรพราหมณ์สามนายเข้าสายสิญจน์ |
กำลังสิ้นเสือกซบสลบไสล |
พระกฤษณาพาทหารรุกรานไป |
เข้าค่ายใหญ่ไพร่นายเหยียบสายมนต์ |
ต่างมัวเมาหาวนอนอ่อนป้อแป้ |
นัยน์ตาแลเล็งเขม้นไม่เห็นหน |
ต่างเสียทีสี่ทัพถึงอับจน |
เสียงไพร่พลร้องเรียกกันเพรียกไป |
ด้วยผู้รู้ผู้วิเศษทรงเวทขลัง |
ใช้จังงังบังคนด้วยมนต์ไสย |
แม้ฆ่าตีที่ไม่ตายเคลื่อนคลายใจ |
จึงขังไว้ในค่ายจนวายปราณ |
พอโยธีศรีสุวรรณมาทันถึง |
เสียงอื้ออึงอึกทึกนึกสงสาร |
ให้สอบดูรู้ว่ามนต์ดลบันดาล |
ขับทหารให้เข้ารบพอพลบลง |
ฝรั่งรับสัประยุทธ์แกล้งจุดคบ |
แล้วหลีกหลบล่อให้รุกไล่หลง |
พอเข้าทางหว่างค่ายในสายวง |
เหมือนหมอกลงแลเขม้นไม่เห็นทาง |
ศรีสุวรรณนั้นนั่งบัลลังก์รถ |
จะเลี้ยวลดหลีกลัดก็ขัดขวาง |
ทั้งไพร่พลวนเวียนอยู่หว่างกลาง |
เหมือนตาฟางต่างเฟือนเรียกเพื่อนกัน ฯ |
๏ ฝ่ายวลายุดาวายุพัฒน์ |
ที่แตกพลัดไพร่นายต่างผายผัน |
พอร่วมทางหว่างเขาเจ้าประจัญ |
ยังอีกวันหนึ่งจะมาถึงป่าตาล |
เจ้าวลายุดาเจ้าวายุพัฒน์ |
กับปลัดเหลือตายนายทหาร |
ทั้งโยธีหนีหลบมาพบพาน |
ได้ประมาณสามพันเหลือบรรลัย |
จึงตั้งค่ายรายทางที่กลางป่า |
อยู่รักษาสามพันคิดหวั่นไหว |
พระอนุชาว่าปลัดรีบรัดไป |
ขอพลไกรเพิ่มมาช่วยราวี |
ปลัดรับกับบ่าวถือหลาวแหลน |
เข้าดงแดนเดือนจำรัสรัศมี |
ออกตามทุ่งรุ่งเช้าเข้าบุรี |
ต่างไปที่เฝ้าพระมังคลา |
กราบทูลความตามที่เสียทีทัพ |
ถอยมารับรออยู่หว่างภูผา |
ขอทัพช่วยด้วยสงครามติดตามมา |
แม้เนิ่นช้าชีวันจะบรรลัย ฯ |
๏ พระตรัสว่าข้าศึกมาฮึกโหม |
ยังรุกโรมรบกันเสียงหวั่นไหว |
ผู้วิเศษเวทมนตร์บังคนไว้ |
แต่ยังไม่หมดทัพคอยรับรอง |
พวกไพรีตีด่านเข้าด้านหลัง |
จะไปด้วยช่วยกำลังเจ้าทั้งสอง |
ฝ่ายข้างนี้มีชัยดังใจปอง |
พระตรึกตรองแล้วจึงตรัสสั่งหัสกัน |
เจ้าอยู่รับทัพผลึกเป็นศึกใหญ่ |
ล่อเข้าในค่ายขังฝังอาถรรพณ์ |
แม้สิ้นทัพสรรพเสร็จสักเจ็ดวัน |
จะพากันบรรลัยทั้งไพร่นาย |
แล้วแบ่งไพร่ในบุรีได้สี่หมื่น |
ยกกลางคืนขับกันรีบผันผาย |
พระทรงรถกลดกั้นพรรณราย |
เดินเดือนหงายเงาร่มพนมเนิน ฯ |
๏ นางสุนีที่เป็นห้ามตามตำแหน่ง |
เชิญพระแสงเคียงข้างไม่ห่างเหิน |
ถึงยากเย็นเห็นหน้าค่อยพาเพลิน |
ได้หยอกเอินแอบอิงพาดพิงองค์ |
รีบเดินทัพขับพลจนสว่าง |
ถึงที่ทางร่มรุกขาป่าระหง |
วลายุดาวายุพัฒน์ขัตติย์วงศ์ |
ทั้งสององค์ตรงไปเฝ้าเจ้าลังกา |
แล้วทูลความตามที่ได้ตีด่าน |
มันต่อต้านแตกตื่นต้องปืนผา |
เหลือคนตามสามพันพากันมา |
สกัดป่าปิดทางไม่วางใจ |
ให้สืบดูรู้ว่าปัจจามิตร |
มาทุกทิศธงทิวปลิวไสว |
แม่ทัพนั้นคือกษัตริย์หัสไชย |
กับพวกใส่ปีกรบสมทบกัน ฯ |
๏ พระมังคลาว่าศึกยังฮึกหาญ |
อย่ารุกรานรอทัพที่คับขัน |
ให้ผู้รู้ครูเอกลงเลขยันต์ |
ฝังอาถรรพณ์ทุกค่ายโรยทรายมนต์ |
ปลูกประทับพลับพลาตรงหน้าเขา |
แต่งแมวเซาเฝ้าแฝงทุกแห่งหน |
ที่หุบห้องช่องทางเที่ยววางคน |
คิดผ่อนปรนกลการคอยราญรอน ฯ |
๏ ฝ่ายทัพพระอภัยมาในป่า |
ตามทัพหน้านำเดินเนินสิงขร |
ทั้งเสาวคนธ์มนฑาสุดสาคร |
ยกมาก่อนถึงด่านดงตาลราย |
ปะฝรั่งตั้งรับขับเข้ารบ |
ตีตลบเลี้ยวไล่ไพร่ทั้งหลาย |
มันแกล้งล่อรอรบแล้วหลบกาย |
เข้าหว่างค่ายนายไพร่ไล่กระพือ |
เห็นพวกพ้องกองหน้าโยธาหาญ |
ลงคลุกคลานคลำทางร้องครางหือ |
พอเห็นเข้าเมาสิ้นอ่อนตีนมือ |
เรียกกันอื้ออึงไปทั้งไพร่นาย |
สินสมุทรแม่ทัพขับทหาร |
ช่วยรอนราญผลาญฝรั่งสิ้นทั้งหลาย |
มันรบล่อพอให้หลงเข้าวงทราย |
มือตีนตายคาตัวมืดมัวมน |
ไม่เห็นทางต่างร้องเรียกกองทัพ |
จะถอยกลับกลิ้งเกลือกเสลือกสลน |
แต่สินสมุทรสุดสาครนางเสาวคนธ์ |
ไม่ต้องมนต์ยืนม้าปรึกษากัน |
นางทูลว่าฝรั่งมันตั้งค่าย |
แล้วโรยทรายเสกขลังฝังอาถรรพณ์ |
ใครเข้าไปให้เห็นเหมือนเช่นควัน |
ให้อัดอั้นอกดังจะพังตาย |
แต่ตำราว่าให้เชือดเอาเลือดสด |
มาราดรดรอบทัพจะกลับหาย |
แม้ละไว้ไม่รอดจะวอดวาย |
พระเป็นชายช่วยทำตามตำรา |
พระพี่รับขับนิลสินธพ |
ฝรั่งรบเรียงรายทั้งซ้ายขวา |
สุดสาครรอนราญผลาญชีวา |
กระโจมคว้าฝรั่งได้มิให้ตาย |
แล้วควบขับกลับมาหาพระน้อง |
ฟันแล้วรองเลือดสาดมนต์ขาดหาย |
ที่ถูกอาถรรพณ์ฟั่นเฟือนก็เคลื่อนคลาย |
ทั้งไพร่นายฟื้นทั่วทุกตัวคน |
พอทัพพระอภัยมาใกล้ด่าน |
เห็นทหารถอยทัพดูสับสน |
จึงตีกลองกองทัพหยุดรับพล |
ต่างเกลื่อนกล่นกลับมาพร้อมหน้ากัน |
แล้วทูลความตามสมทบรบฝรั่ง |
นายทัพทั้งสองกองต้องอาถรรพณ์ |
หากนงเยาว์เสาวคนธ์รู้มนต์มัน |
ช่วยแก้กันจึงได้ฟื้นกลับคืนมา ฯ |
๏ พระทรงฟังสรรเสริญศรีสะใภ้ |
รู้แก้ไขในมนุษย์สุดจะหา |
แล้วตรัสสั่งทั้งพระอนุชา |
ให้โยธาทำค่ายริมชายไพร |
หยุดประทับยับยั้งคอยฟังข่าว |
พวกนางท้าวเจ้าลังกาจะว่าไฉน |
ทุกหมู่หมวดตรวจพลสกลไกร |
ให้นั่งยามตามไฟพร้อมไพร่พล ฯ |