๏ จะกล่าวกลับจับเรื่องเมืองวายุภักษ์ |
กษัตริย์ศักดิ์สูงชาติวาสนา |
เมื่อให้หน่อภัทวงศ์องค์บุตรา |
ไปวันทาเทวฐานเห็นนานครัน |
เกินกำหนดนานหนักหนาไม่มาถึง |
ท้าวรำพึงแสนวิโยคยิ่งโศกศัลย์ |
มเหสีโหยหวนรัญจวนครัน |
พระญาติวงศ์พงศ์พันธุ์ต่างทุกข์ทน ฯ |
๏ ป่างพระปิ่นนคเรศเกศกษัตริย์ |
โทมนัสมิได้แจ้งแห่งนุสนธิ์ |
จึงให้หาโหรามาบัดดล |
พระจุมพลตรัสถามตามสงกา |
โหรคำนับรับรสพจนารถ |
ลงเลขคาดเดือนวันชันษา |
ราหูจรตามจักรถึงลัคนา |
ในตำราว่าวิบัติกำจัดจร |
ประเดี๋ยวนี้พุธประเวศถึงเขตจันทร์ |
เกษมสันต์ภิญโญสโมสร |
พฤหัสบดีเป็นเดชาพยากรณ์ |
ทายว่าจรไปทักษิณจะภิญโญ |
ท่านผู้ใหญ่ให้ลาภจะทราบข่าว |
ในเรื่องราวตามคัมภีร์ดีอักโข |
ทั้งจะได้มิ่งมิตรเป็นอิศโร |
จะใหญ่โตสมวงศ์พงศ์ประยูร |
ในเจ็ดวันไม่ช้าจะมาถึง |
เหมือนคำนึงทูลไทเจ้าไอศูรย์ |
ตามตำรับขับไล่ในตระกูล |
นเรนทร์สูรจงทราบคำข้าทำนาย ฯ |
๏ ฝ่ายพระจอมภพไกรยังไม่หวัง |
จึ่งตรัสสั่งสามนต์คนทั้งหลาย |
ให้ไปหามดท้าวลงเจ้านาย |
จะได้ทายให้ตระหนักประจักษ์ความ |
เสนารับอภิวาทจอมกษัตริย์ |
ต่างเดินลัดเลี้ยวไปเที่ยวไต่ถาม |
หาอีเฒ่าเจ้ามารยาพวกบ้ากาม |
จะได้ถามเรื่องราวให้เข้าใจ |
ครั้นถึงเรือนอีเฒ่าพวกเจ้าเล่ห์ |
ขึ้นบนเคหาพลางทางขานไข |
ว่าวันนี้มีรับสั่งพระภูวไนย |
ให้ถามไต่ยายเฒ่าเชิญเจ้าลง |
จะใคร่แจ้งแห่งคดีพระหน่อนาถ |
เสร็จลีลาศหายไปอย่าใหลหลง |
หรือเป็นเหตุเภทภัยอย่างไรจง |
ท่านช่วยทรงถามเจ้าให้เข้าใจ |
อียายเฒ่าเข้าในห้องเดินย่องแย่ง |
หยิบผ้าแดงนุ่งออกมาแล้วปราศรัย |
ว่านายคอยไต่ถามเนื้อความใน |
จะเชิญไทอารักษ์ให้ทักทาย |
แล้วมันนั่งพนมมือถือดอกไม้ |
ร่ำพิไรเหมือนอย่างจิตที่คิดหมาย |
ประเดี๋ยวหนึ่งทำสั่นแล้วบรรยาย |
เจ้าทั้งหลายพากันมาเรียกหาเรา |
จะไต่ถามความอะไรจงไขขาน |
จะบนบานเอาอะไรมาให้เขา |
หรือจะถามหรือจะซักการหนักเบา |
เฮ้ยออเจ้าว่าไปจะใคร่ฟัง |
เสวกาว่ามีรับสั่งใช้ |
ให้ถามไต่เจ้าพ่อที่ข้อหลัง |
พระราชบุตรสุดสวาทนิราศวัง |
ไปไหว้ทั้งเทวฤทธิ์พระอิศรา |
ที่เมืองพราหมณ์รามราชอาวาสวัด |
หน่อกษัตริย์หายไปอย่างไรหนา |
ขอเชิญช่วยแสดงแจ้งกิจจา |
จะกลับมาหรือจะสูญประยูรวงศ์ ฯ |
๏ ฝ่ายอีเฒ่ามารยาหลับตานิ่ง |
จะบอกจริงจำไว้อย่าใหลหลง |
กำปั่นแตกแต่ไม่ตายวายชีวง |
ไปอยู่ดงแดนป่าพนาลัย |
อีกสามปีตามไปจะได้ข่าว |
อันเรื่องราวมีมาอย่าสงสัย |
แล้วมันทำสั่นงกเหมือนตกใจ |
เร่งรีบไปติดตามในสามปี |
แล้วก็ทำล้มผางวางดอกไม้ |
มารยาให้เขาเห็นว่าเป็นผี |
หาเข้าจริงสิงกายรู้ร้ายดี |
พอเป็นที่หากินด้วยลิ้นลม |
อีเจ้าเล่ห์เพทุบายได้หลายอย่าง |
ทำท่าทางหลอกเอาข้าวขนม |
ทั้งเงินเบี้ยคาวหวานพานอุดม |
ด้วยลิ้นลมสกปรกโกหกกิน |
พวกเสนาได้ความที่ถามไต่ |
ก็กลับไปทูลองค์พระทรงศิลป์ |
ฝ่ายพระจอมนคราเจ้าธานินทร์ |
นิยมยินเชื่อกลอีคนทรง |
ให้รุ่มร้อนผ่อนอารมณ์แทบลมจับ |
แล้วก็กลับหวนคิดพิศวง |
ปรึกษากับอำมาตย์พระญาติวงศ์ |
ให้รีบลงเภตราอย่าช้าที |
ทั้งเรือน้อยเรือใหญ่เอาไปด้วย |
จะได้ช่วยหาไปในวิถี |
พวกแม่มดว่าให้ตามถึงสามปี |
ว่าอยู่ที่ภูผาชายสาคร |
พวกเสนามาจัดเรือกำปั่น |
พลขันธ์คั่งคับสลับสลอน |
ถือเสน่าหลาวโล่แลโตมร |
พร้อมนิกรรีบตรงไปลงเรือ |
ขนเสบียงอาหารลงบรรทุก |
ทั้งดิบสุกจัดใส่ไปให้เหลือ |
อีกสามวันพร้อมกันจะออกเรือ |
บ้างเบิกเสื้อเบิกหมวกทุกพวกไป ฯ |
๏ จะกล่าวสามกำปั่นที่พรายพลัด |
ระลอกซัดไปตามสายน้ำไหล |
สิบสามวันถึงนิเวศน์เขตกรุงไกร |
สุลาลัยเมืองด่านชานบุรินทร์ |
แวะเข้าซื้อข้าวปลากระยาหาร |
ที่ชาวบ้านริมท่าชลาสินธุ์ |
พอเบียดเบี่ยงเลี้ยงดูสู่กันกิน |
ออกจากถิ่นสุลาลัยใช้ใบมา |
เที่ยวแวะตามเกาะแก่งทุกแห่งหน |
ขึ้นไปค้นทุกตำแหน่งแสวงหา |
ไม่ได้ข่าวเจ้านายหลายทิวา |
ก็แล่นมาตามทางกลางนที |
พอแลเห็นเกาะใหญ่อยู่ในน้ำ |
จวนจะค่ำดูแดงเป็นแสงสี |
ดอกไม้เพลิงส่องสว่างกลางคิรี |
เสียงดนตรีอื้ออึงคะนึงใน |
ลมก็เงียบเรียบคลื่นพื้นสมุทร |
จะแล่นรุดรีบไปก็ไม่ไหว |
ต้องรอราหน้าหาดประหลาดใจ |
เหมือนคนฉุดยุดไว้ทั้งสามลำ |
ต่างชวนกันแลเขม้นก็เห็นศาล |
ที่สถานพร้อยพรายเป็นลายขำ |
ที่ขาวช่วงดวงมณีสอดสีดำ |
ที่แดงก่ำรุ้งร่วงเหมือนดวงดาว |
แล้วแลเห็นเป็นรูปเทพารักษ์ |
ถือตรีจักรรัศมีเป็นสีขาว |
ทั้งกาหลดนตรีเสียงตีกราว |
พวกคนเหล่านั้นขึงตะลึงตะไล |
แต่เสนีที่เป็นนายเรือกำปั่น |
ดูเชิงชั้นมั่นคงไม่สงสัย |
เห็นจะเป็นเทวาสุลาลัย |
อยู่ที่ในเกาะขวางกลางนที |
พลางจัดแจงของบูชาสมาโทษ |
อ่อนศิโรตม์ขอทางกลางวิถี |
ให้พบปะเจ้านายร้ายหรือดี |
จะจรลีไปอยู่ไหนไม่ได้ความ ฯ |
๏ ฝ่ายเทวาอารักษ์ลักษมี |
ออกจากที่แท่นจำลองแล้วร้องถาม |
ว่าจะไปไหนจงแจ้งแสดงความ |
ดั่งเราถามบอกไปเหมือนใจจง |
ฝ่ายเสนีได้สดับคำนับแถลง |
แล้วเล่าแจ้งความไปที่ใหลหลง |
พลัดเจ้านายตายเป็นไม่เห็นองค์ |
เรือก็หลงเลยมาในสาชล |
เที่ยวติดตามถามไต่ไม่ได้ข่าว |
ทุกอู่อ่าวมิได้แจ้งทุกแห่งหน |
ขอเทพไทในมหาทะเลวน |
แจ้งยุบลจะได้คิดไปติดตาม ฯ |
๏ ฝ่ายเทพาอารักษ์ลักษมี |
ยกหัตถ์ชี้บอกให้ดั่งไต่ถาม |
รีบไปทางทิศใต้จะได้ความ |
ไปอีกสามวันจะพบประสบกัน |
อย่ารอราช้าอยู่ในที่นี่ |
ภัยจะมีพวกยักษ์มักกะสัน |
มันกินคนหลงมาเสียกว่าพัน |
รีบผายผันไปให้พ้นตามหนทาง |
แล้วอารักษ์ลักษมีกลับที่อยู่ |
พวกคนผู้เรือเคลื่อนพอเดือนสาง |
ลมก็พัดริ้วริ้วเป็นทิวทาง |
แล่นสล้างตามกันมาในสาคร ฯ |
๏ จะกล่าวข้างกำปั่นสุวรรณหงส์ |
ใช้ใบตรงออกชะวากจากสิงขร |
พอรุ่งรางสว่างสีรวีวร |
ก็รีบจรลมจัดสนัดใบ |
ข้ามละเมาะเกาะแก่งทุกแห่งหน |
ทั้งผู้คนยินดีจะมีไหน |
ต่างแล่นล่องมาในท้องสมุทรไท |
กำหนดได้เจ็ดวันดั่งสัญญา |
พอพบลำกำปั่นมาทันเข้า |
แถลงเล่าเรื่องความที่ตามหา |
ได้ประสบพบเพราะเทวดา |
ท่านชี้มาตามห้องท้องนที ฯ |
๏ ฝ่ายพระหน่อภัทวงศ์พงศ์กษัตริย์ |
โทมนัสมาในทางหว่างวิถี |
พอโพล้เพล้เวลาในราตรี |
พระภูมีสถิตนั่งบัลลังก์ทอง |
เผยพระแกลแลดูจันทร์กระจ่าง |
ช่วงสว่างแจ่มศรีไม่มีหมอง |
คะนึงนุชสุดขืนอารมณ์ปอง |
พระทัยหมองหมางซ้ำระกำตรม |
ทำไฉนจึงจะได้ยุพาพักตร์ |
มาร่วมรักร่วมชิดสนิทสนม |
ลงแนบนิ่งพิงหมอนอ่อนอารมณ์ |
ทรวงระบมบอบช้ำแต่คร่ำครวญ |
พิศดูเดือนเหมือนวงนลาฏนุช |
ยิ่งแสนสุดดิ้นโดยเฝ้าโหยหวน |
เป็นลมว่าวหนาวในใจรัญจวน |
คิดถึงนวลขนิษฐาสุมาลัย |
ยุพินพี่ปานฉะนี้จะหวนโหย |
อาดูรโดยพูนเทวษน้ำเนตรไหล |
พระคิดพลางทางสะท้อนถอนฤทัย |
สุมาลัยของพี่เอ๋ยได้เคยยล |
เชิญเทวาอารักษ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ |
ช่วยนำกิจไปแถลงแจ้งนุสนธิ์ |
ที่ทรวงฉันร้อนเริงดั่งเพลิงลน |
เป็นสุดทนแสนทุกข์สุขไม่มี |
ทั้งพระพายชายพัดระบัดโบก |
ช่วยนำโศกไปบอกนางในปรางค์ศรี |
ว่าทรวงเรียมเตรียมตรมระทมทวี |
ทุกวันนี้เรือพามาแต่กาย |
อันดวงจิตอยู่ที่มิตรสมรมิ่ง |
เป็นความจริงโดยประสงค์จำนงหมาย |
ขอเชิญช่วยชักนำคำภิปราย |
ไปขยายมิ่งมิตรเหมือนจิตปอง |
แม้นสมหวังจะสังเวยที่สิ่งหวาน |
เครื่องสักการนานาบูชาฉลอง |
สักเจ็ดวันเหมือนประสงค์จำนงปอง |
แต่ตรองตรองจนแจ้งแสงอุทัย |
เรือก็ล่องมาในท้องกระแสสินธุ์ |
ลมก็กินใบตรงทิวธงไสว |
สิบห้าวันบรรลุถึงกรุงไกร |
เข้าทอดในหน้าป้อมพรั่งพร้อมกัน |
พอพวกเรือจะไปตามต่างถามทัก |
แจ้งประจักษ์ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
นำเอาข่าวเข้าทูลพระทรงธรรม์ |
ว่าโอรสจอมขวัญถึงธานี ฯ |
๏ พระจอมวังยินดีเป็นที่สุด |
ไม่ยั้งหยุดเรียกหาสารถี |
ให้เทียมราชรถาผูกพาชี |
จะจรลีลงไปด่านชานชลา |
กระบวนหน้าตามเสด็จมาเตรียมพร้อม |
ป่างพระจอมนครินทร์ปิ่นมหา |
เสด็จทรงรถที่นั่งอลังการ์ |
ตำรวจหน้านำริ้วเป็นทิวไป |
ถึงเมืองด่านธารท่าชลาสินธุ์ |
พระภูมินทร์เห็นเรือทอดจอดไสว |
หยุดประทับตำหนักท่าชลาลัย |
พลไพร่ล้อมรอบเป็นขอบคัน |
ฝ่ายพระหน่อภัทวงศ์พงศ์กษัตริย์ |
โสมนัสคลายวิโยคที่โศกศัลย์ |
ขึ้นจากเรือที่นั่งบัลลังก์พลัน |
มาอภิวันท์ทรงฤทธิ์พระบิดร ฯ |
๏ ฝ่ายพระจอมนครินทร์ปิ่นวายุภักษ์ |
เห็นลูกรักภิญโญสโมสร |
จึ่งตรัสว่าแต่เจ้าไปไกลนคร |
พ่อนี้ร้อนรนใจไม่สบาย |
ให้ลงมดลงท้าวพวกเจ้าผี |
บอกคดีว่าเรือแยกแตกสลาย |
บิดาจัดแจงพหลพลนิกาย |
ลงเรือรายลำไว้จะไปตาม |
แต่โหรเฒ่าเขาว่าจะมาถึง |
ก็สมซึ่งคำถวายทายข้อถาม |
ถ้วนเจ็ดวันพลันเห็นนาวาตาม |
เรือที่นั่งสง่างามข้ามสาคร |
ใครจัดแจงแต่งมาให้หลายหลาก |
มากกว่ามากธงชัยเรือไกรสร |
หน่อกษัตริย์กราบก้มประนมกร |
กษัตริย์สุดสาครกรุงลังกา |
เกิดวิบัติเรือซัดไปถึงเกาะ |
พอจำเพาะรุ่งสว่างกลางเวหา |
รู้ว่าถึงนครังกรุงลังกา |
แวะเข้าหาเครื่องเสบียงพอเลี้ยงพล |
ทราบถึงองค์ทรงเดชเกศกษัตริย์ |
เธอให้จัดข้าวปลาผลาผล |
ทั้งคาวหวานมาประทานเมื่อคราวจน |
พระคุณล้นเหลือดีที่เมตตา |
พอรุ่งเช้าขึ้นไปเฝ้าพระทรงฤทธิ์ |
เธอสนิทจงรักเป็นนักหนา |
พาไปเที่ยวท้ายวังเมืองลังกา |
เก็บเพชรนิลจินดามาประทาน |
แล้วฝากมาถวายองค์พระทรงเดช |
ของวิเศษมากมายหลายสถาน |
ลูกขึ้นไปอยู่ห้าทิวาวาร |
พระภูบาลพาเข้าไปจนในวัง |
ให้เฝ้าสองมเหสีผู้มีศักดิ์ |
บำรุงรักชิดเชื้อเหมือนเนื้อหนัง |
ครั้นลูกไปทูลลากลับมาวัง |
พระตรัสสั่งให้จัดแจงแต่งเภตรา |
ให้ขุนนางกรมท่ามาส่งด้วย |
สั่งให้ช่วยกันศัตรูหมู่มิจฉา |
พระจอมเจ้านคเรศเกศลังกา |
รับสั่งมาถึงองค์พระทรงธรรม์ |
ว่าเหมือนญาติขาดเหลือจะเกื้อหนุน |
จงเคยคุ้นกันไว้สองไอศวรรย์ |
แม้นข้าศึกฮึกโหมมาโรมรัน |
จงช่วยกันดับเข็ญให้เย็นทรวง |
๏ พระฟังทูลพูนสวัสดิ์เหมือนฉัตรชั้น |
มากางกั้นดีพระทัยเป็นใหญ่หลวง |
เสด็จกลับกับพหลพลทั้งปวง |
ครรไลล่วงกลับหลังทั้งกุมาร |
รับขุนนางลังกาตามมาหมด |
ไปขึ้นรถขึ้นม้ามาสถาน |
ถึงเวียงวังสั่งพวกพนักงาน |
ให้จัดการที่อยู่เลี้ยงดูกัน |
พระพาบุตรสุดสวาทไปอาสน์รัตน์ |
เฝ้านางกษัตริย์มเหสีที่โศกศัลย์ |
นางเห็นบุตรสุดชื่นอารมณ์ครัน |
ที่ทุกข์นั้นองค์ยุพินสิ้นโศกา |
นางตรัสถามความยากแต่พรากพลัด |
หน่อกษัตริย์บังคมก้มเกศา |
ทุกเรื่องหลังทั้งนั้นมาพรรณนา |
ทูลมารดาบิตุรงค์ให้ทรงฟัง |
ลูกหมายมาดพระบุตรีศรีสมร |
ด้วยบังอรมุ่งมาดสวาทหวัง |
ว่ามาถึงนคเรศนิเวศน์วัง |
ให้ลูกบังคมทูลมูลิกา |
ขอพระองค์จงแต่งพระราชสาร |
ไปว่าขานสู่ขอต่อมหา |
กษัตริย์เจ้าจอมวงศ์องค์บิดา |
แม้นเนิ่นช้านางนั้นจะบรรลัย |
พระทราบสิ้นยินดีเป็นที่สุด |
จึ่งปลอบบุตรอย่าพะวงนึกสงสัย |
บิดาจะไปขออรไท |
เจ้ามาไปด้วยกันให้ทันที |
อย่าพักให้เสนาไปว่ากล่าว |
ฉวยรานร้าวเรื่องรักเสียศักดิ์ศรี |
พ่อจะไปงอนง้อต่อภูมี |
จึ่งจะงามตามที่เธอเมตตา |
พระตรัสพลางทางสั่งให้จัดของ |
เครื่องเงินทองหลายหลากมากนักหนา |
ประทานพวกขุนนางเมืองลังกา |
แต่บรรดาไพร่นายให้ทุกคน |
แล้วแต่งสารลานทองใส่กล่องเพชร |
จัดแจงเสร็จบทเบื้องเรื่องนุสนธิ์ |
มอบให้เสนาใหญ่เป็นนายพล |
แจ้งยุบลปิ่นเกล้าเจ้าลังกา |
แล้วให้แห่ราชสารใส่ยานุมาศ |
สำรับราชธิบดินทร์ปิ่นนาถา |
กับสิ่งของรองเรืองเครื่องบรรณา |
กับแพรผ้ามีใบไม้เงินทอง |
พวกขุนนางต่างทูลลาพระทรงเดช |
จากนิเวศน์นครินทร์สิ้นทั้งผอง |
เชิญราชสารไปลงเรือหงส์ทอง |
ต่างแล่นล่องใช้ใบไปลังกา |
สิบห้าวันบรรลุถึงนคเรศ |
ขึ้นเฝ้าองค์ทรงเดชปิ่นมหา |
ถวายเครื่องบรรณาการสารสารา |
ธิบดินทร์ปิ่นประชาเจ้าสากล ฯ |
๏ ป่างพระสุดสาครบวรนาถ |
ตรัสประภาษให้อ่านสารนุสนธิ์ |
ขุนอาลักษณ์กราบกรานอ่านยุบล |
ในเบื้องต้นศุภลักษณ์อักขรา |
องค์พระจอมขัตติยาเมืองวายุภักษ์ |
กษัตริย์ศักดิ์ธิบดินทร์ปิ่นมหา |
บังคมบาทภูวนาถกรุงลังกา |
พระโปรดปรานีบุตรยุติธรรม |
ได้พึ่งพาบารมีเป็นที่ยิ่ง |
ไปพักพิงพระช่วยชุบอุปถัมภ์ |
ได้พ้นทุกข์พ้นยากที่ตรากตรำ |
พระคุณล้ำเลิศลบภพไกร |
ขอสนองมุลิกาฝ่าพระบาท |
ภูวนาถกรุงกษัตริย์จนตักษัย |
สองนครจะสมัครรักกันไป |
ตามที่ในแผ่นทองฉลองมา |
แล้วจะไปอภิวาทบาทบงกช |
กับโอรสได้บังคมก้มเกศา |
พอจบสารผ่านเกล้าเจ้าลังกา |
เธอปรีดาในพระทัยใครจะปาน |
เราก็วงศ์ขัตติยามหากษัตริย์ |
ผ่านสมบัติภพไกรอันไพศาล |
แล้วตรัสสั่งเสนีปรีชาชาญ |
จัดปรางค์มาศราชฐานไว้รับรอง |
ให้สมยศสมศักดิ์ที่รักใคร่ |
สองเวียงชัยจะผูกมิตรสนิทสนอง |
ปลูกโรงเลี้ยงโรงรับประคับประคอง |
ยังอีกสองเดือนจะมาถึงธานี |
ขุนอำมาตย์รับราชบรรหาร |
มาจัดการปรางค์มาศปราสาทศรี |
ให้ซ่อมแซมเขียนวาดสะอาดดี |
ทั้งทาสีปิดทองละอองตา |
ปลูกโรงยาวเก้าห้องสิบเอ็ดหลัง |
ไว้รับทั้งไพร่นายซ้ายและขวา |
ครั้นสำเร็จเสร็จสถานการพารา |
ไว้คอยรับกษัตราต่างเวียงชัย ฯ |
๏ ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์ |
ได้ทราบอรรถยินดีจะมีไหน |
ดั่งได้ผ่านฟากฟ้าสุลาลัย |
อิ่มฤทัยเปรมปราสถาวร |
ทุกข์ร้อนอ่อนอารมณ์เห็นสมหมาย |
ค่อยสบายที่ในทรวงดวงสมร |
พระพักตร์เหมือนเดือนกระจ่างกลางอัมพร |
สองพี่เลี้ยงบังอรค่อยวายตรม |
เข้าเคียงอาสน์เนาวรัตน์ประภัสสร |
พลางกล่าวกลอนกล่อมแต่ครั้งปางปฐม |
โอ้จันทรจรมาอย่าปรารมภ์ |
คงได้ชมแสงสว่างกระจ่างตา |
พอทรงรถบทจรมาตามทวีป |
เห็นจะรีบเร่งราชรถา |
แลเห็นแสงไรไรยังไกลตา |
ไม่เนิ่นช้าคงจะสมอารมณ์เอย |
พระบุตรีฟังประเทียบเปรียบถวาย |
นางโฉมฉายตรัสว่านิจจาเอ๋ย |
อย่าเสียดสีคมคายภิปรายเปรย |
แม้นมิเอยต้องค้างอยู่กลางคัน |
พี่เลี้ยงปลอบตอบว่าอย่าปรารภ |
คงประสบสมตามเนื้อความฝัน |
คอยฟังข่าวดูเถิดหนาสิบห้าวัน |
แม้นพระจันทร์ไม่ลอยมาถึงธานี |
ก็ตามแต่ยุพยงจะลงโทษ |
นางปราโมทย์ตกรางวัลผ้าส่านสี |
ต่างอิ่มเอมเปรมปราทุกราตรี |
กับสองพี่เลี้ยงนางในปรางค์ทอง ฯ |
๏ จะกลับกล่าวเจ้าพาราวายุภักษ์ |
กษัตริย์ศักดิ์เร่งรัดจัดข้าวของ |
ให้เอากำปั่นใหญ่ใส่เครื่องทอง |
ทั้งสิ่งของจัดใส่ในเภตรา |
พร้อมกระบวนทวนธงเครื่องยงยุทธ์ |
ทั้งอาวุธเรียงรายทั้งซ้ายขวา |
จัดสำเร็จเสร็จประสงค์ลงนาวา |
ชวนบุตราลงที่นั่งบัลลังก์ทรง |
พอฤกษ์ดีตีฆ้องก้องสนั่น |
ยิงปืนลั่นแล่นเป็นคู่ดูระหง |
ลมก็เรื่อยเฉื่อยฉ่ำออกลำทรง |
ให้แล่นตรงไปทรงกลางทะเล |
ต้นหนตั้งเข็มท้ายไปทักษิณ |
ประเทศถิ่นคัดหางเสือให้เรือเห |
ออกแล่นหลามตามกันไปในทะเล |
หมายคะเนฟากฝั่งเกาะลังกา |
เรื่องชมสัตว์มัจฉาในสาคเรศ |
ถิ่นประเทศมากมายหลายภาษา |
ก็กล่าวไว้แต่หลังทุกครั้งครา |
จะพรรณนาเรื่องราวจะยาวนาน |
ขอตัดบทลดหย่อนลงเสียมั่ง |
ถึงกระทั่งลังกามหาสถาน |
เจ้านิเวศน์เกศกษัตริย์ให้จัดการ |
ทั้งทวยหาญรถรัตน์อัสดร |
เครื่องเกณฑ์แห่แตรสังข์สะพรั่งพร้อม |
รับพระจอมบพิตรอดิศร |
เข้าเวียงวังลังกาสถาพร |
พระภูธรเสด็จมารับต่างอภิวันท์ |
เชิญเข้าในพระโรงให้ร่วมแท่น |
ต่างก็แสนปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ถามถึงถิ่นนคเรศขอบเขตคัน |
สองทรงธรรม์ให้สัตย์ปฏิญาณ |
กรุงลังกาแก่กว่าเมืองวายุภักษ์ |
ประเสริฐศักดิ์เป็นเชษฐามหาศาล |
ข้างเมืองโน้นเป็นอนุชาปรีชาชาญ |
สมัครสมานรักใคร่เป็นไมตรี ฯ |
๏ ฝ่ายไทท้าวเจ้าพาราวายุภักษ์ |
ทูลขอองค์นงลักษณ์วิไลฉวี |
สุมาลัยนงนุชพระบุตรี |
ไปเป็นศรีสุณิสาให้ถาวร |
พระปิ่นเกล้าเจ้าลังกามหาสถาน |
โปรดประทานพระบุตรีศรีสมร |
เห็นควรคู่กับธิดาพงางอน |
พระภูธรจึ่งไม่ขัดอัธยา |
แล้วเชิญให้กษัตริย์เมืองวายุภักษ์ |
ไปสำนักปรางค์มาศปราสาทขวา |
จะคิดอ่านจัดงานการวิวาห์ |
กษัตราสองนิเวศน์เกศบุรินทร์ |
จะอภิเษกเศวตฉัตรพิพัฒน์ผล |
การมงคลยังในพระทัยถวิล |
สั่งเรือใช้ให้ไปทุกธานินทร์ |
ประเทศถิ่นแต่บรรดาศานุวงศ์ ฯ |
๏ ฝ่ายพระสุดสาครบวรนาถ |
เสด็จลีลาศกับกษัตริย์ราชหงส์ |
ทั้งพระหน่อศรีสวัสดิ์ภัทวงศ์ |
ไปเฝ้าองค์พระนักสิทธ์ผู้บิดร |
ทั้งพระบาทมาตุรงค์ผู้ทรงศีล |
ในแถวถิ่นรุกขาหน้าสิงขร |
ที่เขาเขินเนินมหิงส์สิงคุตร |
หยุดนิกรรถาหน้ากุฎี |
สองกษัตริย์กับพระหน่อวรนาถ |
ก็ลีลาศไปตามทางกลางวิถี |
ถึงประทับศาลาหน้ากุฎี |
ที่ฤๅษีขบฉันพรรณผลา ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงศีลมุนินทร์นาถ |
ตื่นไสยาสน์ออกโรงฉันด้วยหรรษา |
สถิตแท่นแผ่นเผินเนินศิลา |
เห็นกษัตริย์สองรามาบังคม |
พระตรัสทักกวักหัตถ์มาให้ใกล้ |
แล้วปราศรัยเหมือนกับอย่างปางปฐม |
นั่นกษัตริย์ไหนเจ้าพามาบังคม |
ถึงพนมแนวป่าพนาวัน |
กษัตริย์สุดสาครบวรนาถ |
อภิวาททูลไปเจ้าไอศวรรย์ |
เธออยู่เมืองวายุภักษ์ร่วมรักกัน |
ขอเป็นวงศ์พงศ์พันธุ์โดยสัญญา |
กุมารนั้นเป็นบุตรของไทท้าว |
มาว่ากล่าวขอบุตรีเป็นสุณิสา |
จึงพาเธอมาประมูลทูลกิจจา |
ให้ทราบเบื้องบาทาพระทรงญาณ |
พระอภัยมุนินทร์ปิ่นฤๅษี |
ตรัสว่าดีแล้วหนาพาลูกหลาน |
คิดปลูกฝังดั่งประสงค์สืบวงศ์วาน |
จงแต่งการให้ปันเห็นทันตา |
อันตัวเราเล่าชราก็มาถึง |
อายุกึ่งเกือบพันแล้วท่านขา |
คิดก็เป็นอนิจจังสังขารา |
จะเร็วช้าดับขันธ์ไปวันไร |
ตัวข้าเจ้าเล่าจะได้เป็นปู่ชวด |
ช่างเร็วรวดจริงเจียวน่าเสียวไส้ |
แต่งเสียทันตาเห็นได้เย็นใจ |
งานเมื่อไรจะไปช่วยอำนวยพร ฯ |
๏ ฝ่ายพระปิ่นนคราวายุภักษ์ |
กษัตริย์ศักดิ์ภิญโญสโมสร |
เธอชื่นชมเปรมปรีดิ์ชุลีกร |
ทูลลาจรจากบรรณศาลา |
กษัตริย์สุดสาครบวรนาถ |
พาลีลาศมาประนมก้มเกศา |
เฝ้าสองดาบสินีต่างปรีดา |
นางโอภาไต่ถามตามทำนอง |
สุดสาครทูลแจ้งแถลงเรื่อง |
ให้ทราบเบื้องบาทมูลทูลสนอง |
ดาบสินีแจ้งความตามทำนอง |
กษัตริย์สองทูลลากลับมาวัง |
แล้วสั่งงานการที่จะอภิเษก |
อติเรกฤกษ์พาวันหน้าหลัง |
ตั้งมณฑลบนปราสาทราชวัง |
เหมือนแต่ครั้งก่อนเก่าเข้าพิธี ฯ |
๏ จะกล่าวฝ่ายทุกพาราคณาญาติ |
ได้ทราบบาทบงกชบทศรี |
ก็ต่างองค์ต่างมาทุกธานี |
ถึงบุรีลังกาสถาพร |
รับเข้าวังพรั่งพร้อมล้วนจอมกษัตริย์ |
ขึ้นปรางค์รัตน์แท่นสุวรรณบรรจถรณ์ |
พระนักสิทธ์เสด็จมาแต่ป่าดอน |
พร้อมนิกรมุนีตามลีลา |
สวดมนต์ครบสามวันฉันสำเร็จ |
เลี้ยงดูเสร็จตามประสงค์พวกวงศา |
เหมือนเหมือนกันแต่หลังทุกครั้งครา |
การวิวาห์เสร็จสมอารมณ์ปอง |
แต่หาวันฤกษ์ดีที่ประสงค์ |
จะได้ส่งตัวให้ชมประสมสอง |
พฤหัสบดีสี่ค่ำตามทำนอง |
เวลาสองทุ่มส่งองค์บุตรี ฯ |
๏ ฝ่ายนางนาฏเสาวคนธ์วิมลพักตร์ |
กับนงลักษณ์มารดาของมารศรี |
จึ่งจัดแจงแต่งตัวให้บุตรี |
แล้วจรลีพาไปในปรางค์ปรา |
ภัทวงศ์ลดองค์จากแท่นรัตน์ |
ประนมหัตถ์อภิวันท์ด้วยหรรษา |
เชิญให้สองนงคราญผู้มารดา |
สถิตแท่นรจนาอันอำไพ |
ทั้งสองนางพลางฝากนางนงลักษณ์ |
พ่อจงรักแผ่เผื่อเหมือนเนื้อไข |
แม้นผิดพลั้งสั่งสอนอย่าร้อนใจ |
แม่มอบให้เป็นอันขาดเหมือนญาติกัน |
ภัทวงศ์ทรงสดับตอบรับสั่ง |
พระคุณดั่งดินฟ้าสุธาสวรรค์ |
จะรักใคร่ในนุชเหมือนร่วมครรภ์ |
ไม่เดียดฉันท์ขนิษฐายุพาพาล |
นางฟังคำรำพันแล้วกลั้นยิ้ม |
เห็นหงิมหงิมพูดจาน่าสงสาร |
จึ่งอวยชัยอย่าให้มีราคีพาน |
ตามบุราณกล่าวมาจงถาวร |
จึ่งว่าแม่ก็จะลาจงผาสุก |
อย่ามีทุกข์ภิญโญสโมสร |
ทั้งสองนางทางลุกบทจร |
สายสมรสุมาลัยจะไปตาม |
ภัทวงศ์ทรงกุมข้อพระหัตถ์ |
นางสะบัดเมียงเมินด้วยเขินขาม |
พระรับขวัญกัลยาพะงางาม |
จะด่วนตามเสด็จไปทำไมมี |
นางตอบรสพจนาประสาซื่อ |
วางข้อมืออย่าจับต้องน้องไม่หนี |
พลางแกะหัตถ์ผลักพลิกทั้งหยิกตี |
นี่หรือพี่น้องกันไม่ทันไร |
มาจับถือยื้อยุดแล้วฉุดคร่า |
เรื่องมารยาของสตรีเป็นนิสัย |
ถึงสาวแก่ไว้ตัวชั่วเมื่อไร |
มันเป็นไปตามแผลข้างแสงอน |
พระจุมพิตชิดเชยเฉลยตอบ |
แม่ว่าชอบอยู่ทุกสิ่งมิ่งสมร |
แต่ความรักหนักใจอาลัยวอน |
มิผันผ่อนพี่ต้องลายุพาพิน |
ไปบวชตัวเสียให้ขาดในชาตินี้ |
ไม่ขอมีคู่ครองมาปองถวิล |
พลางอุ้มขวัญกัลยายุพาพิน |
สถิตถิ่นแท่นในที่ไสยา |
พระต้องเต้าเต็มหัตถ์นางปัดป้อง |
ตามทำนองศรีสวัสดิ์ผลักหัตถา |
แล้วตอบคำหน่อกษัตริย์ภัสดา |
จะบรรพชาแล้วเป็นไรไปหรือยัง |
พระปลอบพลางทางว่าช้าไว้ก่อน |
มิผันผ่อนก็ต้องไปเหมือนใจหวัง |
นางเยื้อนยิ้มพริ้มพรายฉันไม่ฟัง |
วางเสียมั่งเถิดอย่ากวนเฝ้ายวนยี |
พระอิงแอบแนบเคล้าเยาวมิตร |
นางยิ่งบิดพระยิ่งเบียดเข้าเสียดสี |
ต้องโอนอ่อนหย่อนตามประเพณี |
สุมาลีบานแบ่งรับแสงทอง |
พยุพยับอับฟ้าเวหาหน |
ร้องคำรนเปรี้ยงเปรี้ยงเสียงสยอง |
พิรุณโรยโปรยปรายกระจายฟอง |
เป็นน้ำนองมืดมัวทั่วอำพน |
เมขลาโยนแก้วแววสว่าง |
อสูรขว้างขวานฟ้าโกลาหล |
มัติมิงคล์กลิ้งเกลือกเสือกสกนธ์ |
ในสาชลเป็นระลอกกระฉอกดัง |
ทุกเถื่อนถ้ำลำเนาภูเขาเขิน |
บนแนวเนินมืดชะอ่ำเป็นน้ำขัง |
ทะเลลมยมนาสาครัง |
ทั้งกุ้งกั้งเต่ากระว่ายปะปน |
นาคราชผาดแผลงแสดงฤทธิ์ |
ขึ้นพ่นพิษโปรยปรอยดั่งฝอยฝน |
เมรุไกรไหวหวั่นถึงชั้นบน |
ปลาอนนต์พลิกครีบทวีปเอียง |
วิหคหงส์ลงเล่นชลาสินธุ์ |
ภุมรินแซ่ซ้องกึกก้องเสียง |
โกกิลากาแกแซ่สำเนียง |
ร้องจำเรียงบินกลาดดาษดา |
สองภิรมย์สมสนิทพิศวาส |
ไม่ห่างบาทบทเรศพระเชษฐา |
ต่างภิรมย์สมสวาทไม่คลาดคลา |
ดั่งสุริยาเคียงกันกับจันทร |
พึ่งแรกรุ่นคุ้นเคยได้เชยชิด |
ถนอมสนิทมิใคร่จะไกลสมร |
อัศจรรย์ไม่รู้วายหายหาวนอน |
จนศศิธรล่วงลับบรรพตา ฯ |
๏ อโณทัยไขแสงแจ้งกระจ่าง |
พื้นนภางค์เรืองรองท้องเวหา |
กาดุเหว่าเร้าเร่งพระสุริยา |
สกุณาโผผินบินทะยาน |
ไก่กระชั้นขันเอกวิเวกแว่ว |
จะเจื้อยแจ้วจำเรียงเสียงประสาน |
พระสุริยาเปล่งสีรวีวาร |
พระผู้ผ่านนคเรศนิเวศน์วัง |
ส่งเสด็จพระอภัยไปสิงคุตร |
แต่งงานบุตรเสร็จสมอารมณ์หวัง |
สิบกษัตริย์ขัตติยาลาไปวัง |
ยังรอรั้งอยู่องค์เดียวแต่เกี่ยวดอง |
ด้วยจะพาศรีสะใภ้ไปนคเรศ |
มอบนิเวศน์กรุงไกรให้ทั้งสอง |
พระจอมวังลังกาฝ่าละออง |
ก็จะต้องเสด็จไปช่วยอำนวยการ |
แต่รั้งรอพอให้ถึงเดือนยี่ |
เป็นเดือนดีฤกษ์ใหญ่อันไพศาล |
จะได้ราชาภิเษกพระกุมาร |
ให้ขึ้นผ่านภพไกรในนคร ฯ |