๏ สงสารนางแก้วเกษราธิดาท้าว |
เมื่อครั้งคราวจะได้คู่สู่สงวน |
สถิตอยู่แท่นสุวรรณให้รัญจวน |
แต่อักอ่วนป่วนใจไม่ไสยา |
พอหลับลงทรงซึ่งสุบินนิมิต |
ประหวัดจิตนุชนาฏหวาดผวา |
ตื่นสะดุ้งรุ่งแสงพระสุริยา |
พระธิดานึกแหนงแคลงฤทัย |
จึงเรียกสี่พี่เลี้ยงมาเคียงข้าง |
นุชนางเล่าแจ้งแถลงไข |
ฉันฝันว่าวาสุกรีอันเกรียงไกร |
เข้าในแท่นสุวรรณอันบรรจง |
เกี่ยวกระหวัดรัดรอบอุราน้อง |
ฉันร่ำร้องอยู่บนเตียงจนเสียงหลง |
ให้ร้อนรุ่มกลุ้มจิตพิษภุชงค์ |
หมายว่าปลงชีวานิคาลัย |
จนเดี๋ยวนี้นึกกลัวยังตัวสั่น |
อันความฝันพี่เห็นเป็นไฉน |
พี่เลี้ยงฟังนั่งนึกแต่ในใจ |
ยิ้มละไมในหน้าแล้วว่าพลัน |
ลักษณะพระสุบินนิมิตแม่ |
ครั้นจะแก้กลัวจะโกรธพิโรธฉัน |
สมุดมีอยู่ริมที่แท่นสุวรรณ |
ตำราฝันทรงดูให้รู้ความ |
จะได้ลาภหรือกระไรก็ไม่ช้า |
ด้วยเวลานั้นก็ล่วงเข้ายามสาม |
พี่จะช่วยอวยพรพะงางาม |
ให้สมความปรารถนาไม่ช้าวัน |
ทูลพลางทางพลิกสมุดถวาย |
ถูกที่ทายงูขบสบกับฝัน |
ยุพยงทรงอ่านอักษรพลัน |
มีสำคัญว่างูหมู่กุมภา |
แม้นขบกัดรัดใครในนิมิต |
จะได้ชมสมสนิทเสน่หา |
แม้นงูร้ายฝ่ายคู่ภิรมยา |
วาสนาฟุ้งเฟื่องเรืองเจริญ |
นางฟังเรื่องเคืองขัดปัดสมุด |
ให้แสนสุดอับอายระคายเขิน |
สี่พี่เลี้ยงเคียงข้างเห็นนางเมิน |
ต่างอวยชัยให้เจริญพระชนมาน ฯ |
๏ พระบุตรีโกรธตรัสด้วยขัดแค้น |
พี่นี้แสนเล่ห์ลมประสมประสาน |
เห็นว่าเกลียดแล้วมาแสร้งแกล้งประจาน |
ชวนให้อ่านแต่ตำรับที่อัปรีย์ |
นี่หากเห็นเป็นผู้ใหญ่ยังไว้หน้า |
หาไม่จะว่าเสียให้อายกับสาวศรี |
แล้วผันผินพักตราไม่พาที |
ทำเข้าที่ไสยาสน์บนอาสน์ทอง ฯ |
๏ ทั้งสี่นางต่างคนเห็นเคืองขัด |
ชุลีหัตถ์นบนอบไม่ตอบสนอง |
ครั้งสุริย์ฉายสายแสงขึ้นเรืองรอง |
ออกจากห้องไสยาปรึกษากัน |
พระบุตรีนิมิตผิดประหลาด |
ที่เราคาดนั้นก็งามกับความฝัน |
แสนสงสารเจ้าพราหมณ์ก็ครามครัน |
จะโศกศัลย์อยู่ในสวนรัญจวนใจ |
เราออกไปถามดูให้รู้แจ้ง |
อยู่ตำแหน่งนคเรศประเทศไหน |
ลวงกำนัลกัลยาว่าจะไป |
เก็บดอกไม้มาถวายพระบุตรี |
เห็นพรักพร้อมยอมใจเข้าในห้อง |
เปิดคันฉ่องส่องตะบอยสอยเกศี |
กระเหม่าจีนจับซ้ำให้ดำดี |
กรีดสำลีเรียบร้อยที่รอยไร |
แล้วผัดหน้าทาจันทน์กระแจะฟุ้ง |
ต่างคนนุ่งยกทองล้วนผ่องใส |
ห่มกรองทองรองแสดเป็นซับใน |
เรียกสาวใช้คนรักมาชักชวน |
ให้ถือซองสลาผ้าเช็ดปาก |
แล้วออกจากประตูข้างทางฉนวน |
ทำกรีดชายกรายก้อยเที่ยวลอยนวล |
ตรงไปสวนมาลีด้วยปรีดา ฯ |
๏ ฝ่ายสองเฒ่าเฝ้าผลัดกันนอนนั่ง |
เวียนระวังพราหมณ์น้อยในเคหา |
ครั้นรุ่งรางสร่างแสงพระสุริยา |
อียายเฒ่าจึงว่าแก่ตาพลัน |
บ่าวเรามีสี่คนล้วนหนุ่มหนุ่ม |
ตาเอ๋ยคุมออกไปใช้ในสวนขวัญ |
ทั้งจอบเสียมมีดพร้าหาให้มัน |
ให้ช่วยกันถางหญ้ากว่าจะเย็น |
ตาเฒ่าผัวหัวเราะว่าจริงอยู่ |
ปัญญากูมืดมิดคิดไม่เห็น |
เสียแรงมีบ่าวไพร่ใช้ไม่เป็น |
นิ่งให้มันนอนเล่นเสียทั้งวัน |
จึงร้องเรียกเจ้าพราหมณ์ตามบ้านนอก |
เด็กเอ๋ยออกมานี่ขมีขมัน |
แล้วรีบรัดจัดจอบให้คนละอัน |
มาช่วยกันถากหญ้าจะพาไป ฯ |
๏ หน่อกษัตริย์ขัดแค้นคำอ้ายเฒ่า |
จะใคร่เอาจอบสับให้ตักษัย |
พี่เลี้ยงพราหมณ์สามคนเข้ายุดไว้ |
แล้วแก้ไขบอกเล่าเฒ่าชรา |
น้องข้าเจ้าเจ็บอยู่อย่าจู้จี้ |
เกณฑ์หน้าที่สักเท่าไรจงใช้ข้า |
จะถากทำแทนกันไม่ฉันทา |
ตรงไหนหญ้าจะให้ทำจงนำไป ฯ |
๏ ส่วนตาเฒ่าเหย่าย่างมาข้างสระ |
เห็นระยะหญ้าแพรกแตกไสว |
จึงวัดวาหน้าที่ให้ทันใด |
ใครทำให้ค้างอยู่กูไม่ฟัง |
แล้วตาเฒ่าเข้าใต้ต้นชมพู่ |
เอาผ้าปูปัดผงลงเอนหลัง |
ระหวยหิวหาวนอนอ่อนกำลัง |
ลืมระวังพราหมณ์น้อยม่อยหลับไป ฯ |
๏ ฝ่ายเจ้าพราหมณ์สามนายชายฉลาด |
เห็นหน่อนาถมัวหมองไม่ผ่องใส |
จึงเลือกเด็กดอกลำดวนที่ยวนใจ |
มายื่นให้อนุชาแล้วพาที |
ถึงมาตรแม้นตกยากต้องถากหญ้า |
จะอาสาแทนน้องอย่าหมองศรี |
เรารอรั้งฟังกันดูวันนี้ |
ถ้าแม้นพี่คาดผิดจึงคิดการ |
ธรรมดามาเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง |
ต้องอ้อยอิ่งอดเปรี้ยวไว้กินหวาน |
เราอุตส่าห์พยายามตามโบราณ |
คงเป็นการมั่นคงอย่าสงกา |
ว่าพลางทางจับเอาจอบสวน |
เริงสำรวลชวนกันเข้าฟันหญ้า |
ไม่เคยทำซ้ำสับแผ่นสุธา |
แต่เปลี่ยนซ้ายย้ายขวาอยู่สามคน ฯ |
๏ หน่อกษัตริย์ขัดเคืองชำเลืองค้อน |
สะท้อนถอนหฤทัยพิไรบ่น |
เสน่หาตาบอดไม่รอดตน |
ต้องทุกข์ทนถากหญ้าประดาตาย |
ถึงจะชักนางฟ้าลงมาให้ |
ที่จะใช้ถากหญ้านั้นอย่าหมาย |
พระฮึดฮัดขัดใจไม่สบาย |
ทั้งสามนายเมินหน้าถากหญ้าไป ฯ |
๏ ฝ่ายพี่เลี้ยงพระธิดามาถึงสวน |
แสนรัญจวนผูกจิตพิสมัย |
ทำเสสั่งสาวสวรรค์กำนัลใน |
จะลุมเล้าเข้าไปก็ไม่ควร |
จงรอรั้งนั่งท่าอยู่ที่นี่ |
เราทั้งสี่จะเข้าไปข้างในสวน |
แล้วเสแสร้งแต่งจริตกระบิดประบวน |
ทำชี้ชวนกันเก็บมาลามา |
แต่มือปลิดจิตนึกถึงพราหมณ์น้อย |
เนตรชม้อยแลลอดชำเลืองหา |
มามองเมียงเพียงทับยายกับตา |
ไม่เห็นหน้าพราหมณ์น้อยละห้อยใจ |
ทั้งสี่นางต่างว่าประหลาดแล้ว |
พ่อรูปทองน้องแก้วข้าไปไหน |
หรือเที่ยวเก็บบุปผาสุมาลัย |
สงสัยใจย่างย่องมามองเมียง |
พอใกล้สระโกสุมปทุมชาติ |
เสียงจอบฉาดฟัดดินได้ยินเสียง |
อยู่ที่นี่แล้วกระมังฟังสำเนียง |
ค่อยมองเมียงเลี่ยงแลอยู่แต่ไกล |
เห็นเจ้าพราหมณ์สามคนก่นถากหญ้า |
เวทนากรรมกรรมจะทำไฉน |
แค้นอ้ายเฒ่าเฝ้าสวนแสนจัญไร |
มันแกล้งใช้กรากกรำให้ทำการ |
แล้วแลดูพราหมณ์น้อยเห็นสร้อยเศร้า |
เข้าแฝงเงาพฤกษาน่าสงสาร |
ทั้งสี่นางต่างว่าน่ารำคาญ |
จะคิดอ่านแก้ไขอย่างไรดี |
นางประภาว่าเราจะพูดด้วย |
ก็คิดขวยวิญญาณ์น่าบัดสี |
เราออกไปให้เขาเห็นพอเป็นที |
ฟังไมตรีเขาก่อนจึงผ่อนปรน |
ปรึกษาพลางทางเดินเด็ดดอกไม้ |
เข้ามาใกล้สระน้ำแล้วทำบ่น |
ทำไฉนจึงจะได้ดอกอุบล |
แล้วทำกลแวดชายชม้ายเมียง ฯ |
๏ เจ้าโมราสานนพราหมณ์วิเชียร |
กำลังเพียรฟันดินได้ยินเสียง |
พอเหลียวมาเห็นหน้านางพี่เลี้ยง |
เอาจอบเหวี่ยงไว้กับที่ด้วยดีใจ |
มาบอกความพราหมณ์น้อยค่อยกระซาบ |
คงตายราบมั่นคงอย่าสงสัย |
พ่อไปพูดกับเขาเล่นก็เป็นไร |
ดูท่าทางนางในจำนรรจา ฯ |
๏ ศรีสุวรรณสั่นพักตร์ไม่รักคบ |
อย่าเร้ารบไปเลยน้องไม่ปรารถนา |
พี่รักเขาก็จงเข้าไปพูดจา |
ที่ถากหญ้านี้น้องจะทำแทน |
พออย่าให้อ้ายเฒ่ามันหยามหยาบ |
ฉันเหม็นสาบหนังเนื้อมันเหลือแสน |
ไม่รักมีชู้สาวเมื่อคราวแกน |
อย่าขืนแค่นเลยพี่พราหมณ์เป็นความจริง |
พระว่าพลางทางลุกขึ้นถากหญ้า |
แล้วเมินหน้าเสียไม่ดูข้างผู้หญิง |
พี่เลี้ยงพราหมณ์สามคนเข้าช่วงชิง |
พ่อนั่งนิ่งอย่าทำให้รำคาญ |
ต่างวางจอบตอบน้องแล้วย่องย่าง |
เข้าใกล้นางกัลยาแล้วว่าขาน |
หม่อมทั้งสี่นี้หรือขาตระลาการ |
เมื่อเย็นวานนี้ให้พาฉันมาคุม |
เขาฟ้องหาว่ากระไรไม่ไต่ถาม |
ให้คุมความร้อนใจดังไฟสุม |
ทั้งอดนอนยังรุ่งด้วยยุงชุม |
ท่านผู้คุมเล่าก็ร้ายทั้งยายตา |
แต่เช้าตรู่ขู่เข็ญจะเฆี่ยนขับ |
มากำกับกรำกรากให้ถากหญ้า |
ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยตัวทั่วกายา |
สู้อุตส่าห์ทำไปทั้งไม่เคย |
สารพัดจะไม่มีบุหรี่หมาก |
ความเปรี้ยวปากเหลือแหล่แม่คุณเอ๋ย |
ไม่เมตตาทารกรรมแต่จำเลย |
ยังไม่เคยพบเห็นพึ่งเป็นความ |
มาหยุดยั้งนั่งนี่หน่อยเถิดหม่อม |
ฉันแสนตรอมตรมใจจะไต่ถาม |
กรุณาปรานีกับชีพราหมณ์ |
อย่ามีความกินแหนงแคลงวิญญาณ์ ฯ |
๏ ทั้งสี่นางต่างอายระคายเขิน |
ชม้ายเมินยิ้มละไมอยู่ในหน้า |
จึงตอบความตามธรรมดามา |
ฉันมิใช่เป็นสุภาตระลาการ |
ความข้างในให้คุมไว้เพียงสวน |
เป็นสำนวนแล้วจะส่งไปโรงศาล |
เขากราบทูลพระธิดายุพาพาล |
เมื่อเย็นวานนี้จึงให้ไปเอาตัว |
อีกระจงแจ้งความว่าพราหมณ์น้อย |
มาติดสอยสมสู่เป็นชู้ผัว |
เมื่อคบค้ากันเองไม่เกรงกลัว |
ถึงดีชั่วก็เขาเป็นชาววัง |
น่าสมเพชเวทนาหนักหนานัก |
ช่างไม่รักเจ็บอายเสียดายหลัง |
นี่หากฉันอนุกูลทูลประทัง |
จึงรับสั่งให้มาถามเอาความจริง |
ว่าพราหมณ์น้อยกับข้างนี้เป็นพี่น้อง |
หรือพวกพ้องเพื่อนเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง |
ใครชื่อไรเร่งว่าอย่าประวิง |
เอาความจริงให้ทั่วทุกตัวคน |
ต้องคุมกันวันเดียวว่าเปรี้ยวปาก |
บุหรี่หมากสารพัดจะขัดสน |
ถ้าเช่นนั้นฉันจะให้ไว้สักคน |
ใครกังวลอะไรมั่งก็สั่งไป |
ราคาหมากกับบุหรี่สักกี่เบี้ย |
พอสู้เสียซื้อหาเอามาให้ |
แต่จะถามตามจริงอย่านิ่งไว้ |
จึงจะได้กรุณาเหมือนพาที ฯ |
๏ เจ้าพราหมณ์ฟังนั่งนึกเห็นลึกแหลม |
ช่างเหน็บแนมล้วนละเมียดทั้งเสียดสี |
ต่างยิ้มแย้มเยื้อนว่ากับนารี |
มิเสียทีเป็นสุภาตระลาการ |
แม้นน้องฉันคบหากับข้าหลวง |
ผิดกระทรวงลามลวนควรประหาร |
ถ้าแม้นนางชาววังทำจังฑาล |
มาเกี้ยวพานเข้าบ้างจะอย่างไร |
พราหมณ์น้อยนี้ดีนักอย่าพักว่า |
ถึงเอาพร้าคัดปากไม่อยากไหว |
จริงนะหม่อมย่อมรู้อยู่เต็มใจ |
อย่างสงสัยเสียเปล่าเปล่าไม่เข้ายา |
ซึ่งองค์พระบุตรีมีรับสั่ง |
ให้ถามทั้งนามวงศ์แลพงศา |
จะแถลงแจ้งอรรถแต่สัจจา |
อันพวกข้าเหล่านี้เป็นพี่ชาย |
ชื่อโมราสานนพราหมณ์วิเชียร |
หม่อมอย่าเปลี่ยนชื่อเสียงช่วยเรียงถวาย |
โน่นพราหมณ์น้อยศรีสุวรรณพรรณราย |
เป็นน้องชายชันษาสิบห้าปี |
สำเภาซัดพลัดเมืองมาพี่น้อง |
ขึ้นเที่ยวท่องชมแต่บุรีศรี |
จะเกี้ยวพานท่านผู้ใดก็ไม่มี |
จริงนะขาฟ้าผี่เถิดไม่ลวง |
ฉันเป็นชาวบ้านนอกดอกคะหม่อม |
ไม่อ้อมค้อมพูดจาเหมือนข้าหลวง |
คิดจะใคร่ไต่ถามตามกระทรวง |
หม่อมทั้งปวงก็เป็นใหญ่อยู่ในวัง |
อันทุกวันฉันไม่มีที่จะเห็น |
อยากจะเป็นขอเฝ้ากับเขามั่ง |
ขอถามตามสุจริตอย่าปิดบัง |
หม่อมมานั่งถามความนี้นามใด ฯ |
๏ สี่พี่เลี้ยงเอียงอายชม้ายชม้อย |
ทำชดช้อยพูดจาอัชฌาสัย |
นี่หรือชาวบ้านนอกมาหลอกใคร |
เขาเข้าใจอยู่ดอกหม่อมทำปลอมพล |
ซึ่งสงสัยไต่ถามถึงนามฉัน |
แต่เพียงนั้นพอจะแจ้งแห่งนุสนธิ์ |
โน่นประภาวดีนี่จงกล |
นั่นอุบลคนนี้ศรีสุดา |
ซึ่งหม่อมรักจักใคร่เป็นขอเฝ้า |
จะต้องเหลาไม้กลัดจัดบุปผา |
ถ้าทำได้ไม่คิดระอิดระอา |
ไปปีหน้าฟ้าใหม่คงได้ดี |
ถ้าขี้เกียจขืนเที่ยวเกี้ยวชู้สาว |
ทำฉาวฉาวเช่นนั้นฉันบัดสี |
ให้เจ้านายขายหน้าทั้งตาปี |
ก็จะมีคนว่าชั่วฉันกลัวอาย ฯ |
๏ เจ้าพราหมณ์ว่าอย่าเย้ยไปเลยหม่อม |
ไม่อ้อมค้อมพูดเล่นเหมือนเช่นหมาย |
ถ้ารักใคร่ใครแล้วก็สู้ตาย |
ไม่กลับกลายแกล้งว่าสัจจาจริง |
นี่เที่ยวเล่นโดยดีประสีประสา |
ควรหรือมาต้องเกาะเพราะผู้หญิง |
ด้วยจนใจไม่มีที่พึ่งพิง |
จึงต้องนิ่งนึกเจียมเสงี่ยมใจ |
ครั้นฉันจะถวายตัวก็กลัวอยู่ |
ยังไม่รู้กิริยาอัชฌาสัย |
หนึ่งพระรูปร่างเจ้าสักคราวใคร |
น้ำพระทัยร้ายหรือดีก็มิรู้ |
ฉันพลัดบ้านเมืองมาอนาโถ |
เหมือนคนโซสิ้นแกนแสนอดสู |
แม้นว่าหม่อมอุปถัมภ์ช่วยค้ำชู |
จะได้อยู่พึ่งบุญเหมือนมุลนาย |
อันลูกเมียก็ไม่มีฟ้าผี่เถิด |
ประดักประเดิดโดยจนต้องขวนขวาย |
แม้นได้มีที่พึ่งพอฝากกาย |
ตัวไม่ตายก็ไม่ทิ้งจริงจริงเจียว ฯ |
๏ ทั้งสี่นางต่างรู้ในเชิงรัก |
แกล้งหน่วงหนักพจนารถฉลาดเฉลียว |
แม้นไม่มีที่กลัวตัวคนเดียว |
จะท่องเที่ยวทารกรรมไปทำไม |
จงอยู่เป็นข้ารองละอองบาท |
องค์พระราชธิดาอัชฌาสัย |
จะช่วยทูลให้ท่านเห็นว่าเข็ญใจ |
ให้อยู่ในสวนศรีที่นี่พลาง |
ตำหนักจันทร์นั้นก็มีทั้งสี่หลัง |
ไปนอนนั่งเล่นเถิดคะค่อยกว้างขวาง |
อีกสักวันฉันจะเชิญเสด็จนาง |
มาเล่นกลางสวนสอยสุมามาลย์ |
จึงเมียงหมอบลอบแลแต่พอเห็น |
ไม่สมเป็นเจ้าข้าจึงว่าขาน |
หรือใจจิตคิดขลาดราชการ |
จะหนีบ้านบวชเรียนก็เพียรไป ฯ |
๏ เจ้าพราหมณ์ยิ้มพริ้มพรายภิปรายตอบ |
ช่างรู้รอบกิริยาอัชฌาสัย |
สมเป็นหม่อมมุลนายอยู่ฝ่ายใน |
ความจริงใจฉันนี้แน่ไม่แชเชือน |
แต่พราหมณ์น้อยน้องรักนี้หนักแน่น |
ในพื้นแผ่นปัถพีไม่มีเหมือน |
ถ้าเห็นงามความรักมาตักเตือน |
จะค่อยเคลื่อนคลายโศกที่โรครัด |
ช่วยเชิญองค์พระธิดามาให้เห็น |
จะได้เป็นขอเฝ้าเหลาไม้กลัด |
พรุ่งนี้นะคะหม่อมให้เหมือนนัด |
ฉันจะหัดทูลฉลองให้ว่องไว |
ซึ่งหม่อมช่วยแนะนำที่สำนัก |
ให้ตำหนักพระธิดาอยู่อาศัย |
จะได้นอนผ่อนกายสบายใจ |
ไม่บรรลัยแล้วคงต้องสนองคุณ ฯ |
๏ ทั้งสี่นางต่างตอบว่าขอบจิต |
ถ้าสิ้นคิดขาดเหลือจะเกื้อหนุน |
มิใช่ฉันมั่นหมายเป็นนายมุล |
จะทำคุณด้วยเป็นข้ากรมเดียวกัน |
แล้ววางซองหมากลงที่ตรงหน้า |
กินสลาเล่นเถิดนายอย่าอายฉัน |
ต่างพูดพลอดทอดสนิทเชิงติดพัน |
จนตะวันบ่ายเบี่ยงพี่เลี้ยงลา |
เจ้าพราหมณ์เด็ดดอกรักหักเต่าร้าง |
ให้สี่นางแจ้งจิตเป็นปริศนา |
ทั้งสองข้างต่างชม้อยชายหางตา |
แล้วลุกมาจากที่ทั้งสี่นาง |
ทำเมียงเมินเดินกรายชายชม้อย |
ดูพราหมณ์น้อยนุชน้องเห็นหมองหมาง |
พิโรธเรียกยายตามาด่าพลาง |
ใช้เธอถางถากหญ้านี้ว่าไร |
ไม่แลดูรูปร่างท่านบ้างหรือ |
แต่จะถือจอบเจียนจะไม่ไหว |
ทีนี้อย่าใช้สอยจงปล่อยไป |
ให้อาศัยสำนักตำหนักจันทร์ |
แม้นมิฟังยังทำให้เธอโกรธ |
จะลงโทษยายตาถึงอาสัญ |
สั่งสองเฒ่าเฝ้าสวนแล้วชวนกัน |
มาเรียกบ่าวเหล่านั้นเข้าวังใน ฯ |
๏ ฝ่ายเจ้าพราหมณ์สามนายสบายจิต |
มานั่งชิดอนุชาแล้วปราศรัย |
เมื่อตะกี้พี่ไปเกี้ยวประเดี๋ยวใจ |
ท่านข้างในให้หมากมาฝากน้อง |
แล้วกล่าวโฉมพระธิดาว่าน่ารัก |
ประเสริฐศักดิ์กษัตรีย์ไม่มีสอง |
เห็นจะสมคะเนนึกที่ตรึกตรอง |
พระน้องลองเล่นชู้ดูสักคราว ฯ |
๏ ศรีสุวรรณว่าไม่พอใจเกี้ยว |
แต่มาเที่ยวซื่อซื่อยังอื้อฉาว |
ถ้าเกี้ยวจริงยิ่งจะมีราคีคาว |
เหมือนเรื่องราวบุราณร่ำคำภิปราย |
ผู้ใดหลงลมหญิงทิ้งทำเนียบ |
ไม่ราบเรียบแรงรักมักฉิบหาย |
นางพี่เลี้ยงเหล่านี้ไม่มีอาย |
มาชวนชายจะให้งงหลงระเริง |
ฉันช่วยเตือนตามจิตสนิทสนม |
กลัวต้องลมแล้วจะหาวเหมือนว่าวเหลิง |
สลาตันต้องปีกจะฉีกเปิง |
ทำร่าเริงรางแตกจะแหลกลง ฯ |
๏ เจ้าพราหมณ์ยิ้มพริ้มพรายภิปรายตอบ |
พ่อว่าชอบอยู่มิใช่จะใหลหลง |
ซึ่งเกิดความหนามเสี้ยนเพราะซื่อตรง |
จึงต้องบ่งด้วยหนามตามตำรา |
อันหนึ่งพ่อหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ |
จากสมบัติมาลำบากยากนักหนา |
แม้นองค์พระบุตรีมีเมตตา |
ได้พึ่งพาแต่พอผ่อนที่ร้อนรน |
อนึ่งจะให้ไพร่ฟ้ารู้จักชื่อ |
ตลอดลือเล่าแจ้งทุกแห่งหน |
แม้นพระพี่มิตายในสายชล |
มีผู้คนบอกความจะตามมา |
ถึงพวกเราเล่ามิใช่จะไม่คิด |
คงจะติดตามแสวงทุกแห่งหา |
แต่พบลาภขุมทองต้องตำรา |
จะหลับตาเสียไม่ขุดก็สุดอาย ฯ |
๏ ศรีสุวรรณรันทดถอนใจใหญ่ |
แต่เกรงใจเจ้าพราหมณ์สามสหาย |
จึงว่าน้องตรองความตามนิยาย |
เห็นจะเป็นเช่นกระต่ายที่หมายจันทร์ |
เมื่อตัวต่ำน้ำใจจะใฝ่สูง |
เหมือนนกยูงมุ่งเมฆเมืองสวรรค์ |
ต้องซูบผอมกรอมใจด้วยไกลกัน |
ด้วยหมายมั่นมุ่งมิตรให้ผิดทาง |
เรายากจนคนจรเที่ยวร่อนเร่ |
นึกเสน่ห์นางกษัตริย์เห็นขัดขวาง |
ฉวยว้าวุ่นขุ่นเคืองด้วยเรื่องนาง |
จะต้องร้างนคราเข้าป่าไป ฯ |
๏ พี่เลี้ยงพราหมณ์สามนายภิปรายตอบ |
ให้ชื่นชอบวิญญาณ์อัชฌาสัย |
พ่อไม่รักรูปงามก็ตามใจ |
จะไปไหนไปด้วยจนม้วยมรณ์ |
เวลานี้จวนค่ำไปสำนัก |
ที่ตำหนักพระบุตรีมีฟูกหมอน |
เสียแรงเขาชาววังสั่งให้นอน |
ล้วนอ่อนอ่อนอุ่นใจจงไคลคลา |
พลางสำรวลชวนศรีสุวรรณน้อง |
เดินประคองเคียงกายทั้งซ้ายขวา |
ขึ้นตำหนักผลักเผยทวารา |
ทัศนาที่ในห้องทุกช่องชั้น |
มีฉากพับลับแลมู่ลี่แขวน |
บรรจถรณ์แท่นที่บรรทมภิรมย์ขวัญ |
ต่างแย้มสรวลชวนศรีสุวรรณพลัน |
ขึ้นบนบรรจถรณ์แท่นแสนสบาย |
ส่วนเจ้าพราหมณ์สามคนอยู่ข้างที่ |
พอราตรีเดือนแจ่มกระจ่างฉาย |
เผยพระแกลแลชมดาราราย |
ต้องพระพายพัดพานสำราญใจ ฯ |
๏ ฝ่ายนารีพี่เลี้ยงมาถึงวัง |
จะนอนนั่งนึกพะวงให้หลงใหล |
คิดถึงพราหมณ์สามนายที่หมายไว้ |
จะเป็นใครคู่สร้างยังคลางแคลง |
แต่พราหมณ์น้อยนุชน้องเป็นของหลวง |
ย่อมทราบทรวงสุดสิ้นไม่กินแหนง |
แต่ชายสามหญิงสี่ทีระแวง |
ครั้นจะแบ่งออกเป็นตัวไม่ทั่วกัน |
แต่นึกนึกตรึกตรองให้ข้องจิต |
ไม่ลืมคิดคร่ำครวญถึงสวนขวัญ |
พอโพล้เพล้เวลาจะสายัณห์ |
มาพร้อมกันสี่นางเหมือนอย่างเคย |
ปลอบประโลมพระธิดายุพาพักตร์ |
ให้นงลักษณ์แต่งองค์สรงเสวย |
ถึงยามค่ำเข้าบรรทมทำชมเชย |
บ้างรำเพยพัดวีด้วยปรีดา |
แล้วทำพูดกันกับเพื่อนว่าเดือนนี้ |
ฤดูดอกมาลีแล้วหนอจ๋า |
ฉันอยากใคร่ได้ดอกมะลิลา |
มาร้อยมาลัยถวายให้หลายพวง |
บ้างบ่นว่ามาลีที่ในสวน |
แก้วกุหลาบลำดวนจวนจะร่วง |
แล้วทูลแก้วเกษราธิดาดวง |
ไปสวนหลวงเล่นสักวันหรือขวัญตา ฯ |
๏ พระบุตรีดีใจไปสิพี่ |
เก็บมาลีเลือกหักให้หนักหนา |
เวลาเฝ้าเช้าฉันจะทูลลา |
พี่สั่งข้าหลวงเหล่าขอเฝ้าไว้ ฯ |
๏ ทั้งสี่นางต่างรับคำนับน้อม |
แล้วขับกล่อมกลอนประดิษฐ์พิสมัย |
มะโหรีเรื่อยร้องทำนองใน |
วังเวงใจแจ้วเสียงเมื่อเที่ยงคืน |
ครั้นยามดึกพระธิดาไสยาหลับ |
จนเดือนลับเลื่อนฟ้าไม่ฝ่าฝืน |
อโณทัยใสสว่างนภางค์พื้น |
พี่เลี้ยงตื่นลุกมานั่งสั่งกำนัล |
บอกให้พวกขอเฝ้าเหลาไม้สอย |
มาเตรียมคอยข้างพลับพลาสุทธาศวรรย์ |
พวกข้าหลวงล้วนเหล่าสาวสกรรจ์ |
ผู้ใหญ่นั้นมิให้ใครออกไปตาม |
แล้วเรียกวอช่อฟ้าเข้ามาไว้ |
พวกข้างในนางโขลนเป็นคนหาม |
หมากบุหรี่ที่จะไปให้เจ้าพราหมณ์ |
คนละสามซองซ่อนใส่หีบมา ฯ |
๏ ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์ |
จิตกำหนัดนึกคะนึงถึงบุปผา |
บรรทมตื่นแต่งองค์อลงการ์ |
ผลัดภูษาจัดจีบกลีบประจง |
ทางสะพักสไบกรองลายทองริ้ว |
สัมผัสผิวพระนลาฏวาดขนง |
สร้อยสังวาลบานพับประดับองค์ |
ดังอนงค์นางสวรรค์ชั้นโสฬส |
ครั้นเสร็จใส่ฉลองบาทแล้วยาตรย่าง |
กำนัลนางแวดล้อมมาพร้อมหมด |
นางสาวสาวชาววังนั่งประณต |
ทรงพระกลดคันสั้นกั้นกางมา |
ขึ้นปราสาททรงฤทธิ์บิตุเรศ |
นางก้มเกศอภิวันท์ด้วยหรรษา |
ทูลสนองสองกษัตริย์ขัตติยา |
ลูกจะลาออกไปเล่นอุทยาน ฯ |
๏ สมเด็จท้าวทศวงศ์ดำรงราชย์ |
แสนสวาทรับขวัญแล้วบรรหาร |
เจ้าไปสวนสอยบุปผาสุมามาลย์ |
มาสักพานฝากพ่อจะขอชม |
ประโลมลูกลูบหลังแล้วสั่งสอน |
แม้นแดดร้อนก็จงเล่นอยู่ร่มร่ม |
จะครั่นตัวมัวหมองต้องแดดลม |
ไปเชยชมแต่พอชื่นแล้วคืนมา |
พระมารดรสอนสั่งสี่พี่เลี้ยง |
ตะวันเที่ยงแล้วให้นอนเสียก่อนหนา |
ฤดูนี้ขี้มักเป็นโรคา |
เอาหมอยาออกไปบ้างอย่าวางใจ ฯ |
๏ พระบุตรีพี่เลี้ยงประณตน้อม |
ทูลลาจอมกษัตราอัชฌาสัย |
จากประสาทเสด็จหน้าพลับพลาไชย |
กำนัลในแห่ห้อมมาพร้อมกัน |
นางโฉมยงทรงวอสุวรรณรัตน์ |
พวกโขลนหามสามผลัดหัดขยัน |
สี่พี่เลี้ยงเคียงวอจรจรัล |
ฝูงกำนัลติดตามมาหลามทาง |
พวกผู้ชายรายเรียงอยู่ริ้วนอก |
ถือดาบหอกแห่ห้ามคนกีดขวาง |
เสด็จตามฉนวนกั้นในชั้นกลาง |
เถ้าแก่กางกั้นพระกลดให้บดบัง |
พอสายแสงสุริยามาถึงสวน |
ต้นลำดวนที่ประทับก็คับคั่ง |
พวกตำรวจตรวจไตรระไวระวัง |
ออกรายนั่งล้อมรอบเป็นขอบคัน ฯ |
๏ นางโฉมยงทรงใส่ฉลองบาท |
ยุรยาตรนาดนวลเข้าสวนขวัญ |
พระพี่เลี้ยงเคียงคลอจรจรัล |
ชวนชมพรรณบุปผาระย้าย้อย |
เห็นพิกุลชวนกันขึ้นสั่นต้น |
ให้ดอกดวงร่วงหล่นลงผ็อยผ็อย |
พวงพะยอมหอมรื่นดูชื่นช้อย |
นางโฉมยงทรงสอยกระชากชัก |
พวกข้าหลวงหน่วงน้าวกิ่งสาวหยุด |
บ้างแย่งยุดชิงกันเก็บจนเล็บหัก |
บ้างเด็ดดอกโศกแซมแกมดอกรัก |
ให้ประจักษ์แจ้งเพื่อนว่าเหมือนใจ |
บ้างเด็กช่อชุมแสงมดแดงกัด |
เต้นตะปัดตะป่องจะร้องไห้ |
บ้างเดินร้อยสร้อยสนสุมาลัย |
จะเอาไปฝากน้องของสำคัญ |
พระบุตรีกรีดเล็บเก็บกาหลง |
บรรจงทรงแซมเกล้าให้สาวสรรค์ |
นางข้าหลวงน้อยน้อยสอยลูกจันทน์ |
ต่างชวนกันเก็บอึงคะนึงไป ฯ |
๏ ศรีสุวรรณกับสามพราหมณ์พี่เลี้ยง |
ได้ยินเสียงอึกทึกนึกสงสัย |
ค่อยเมียงมองตามช่องบัญชรชัย |
เห็นนางในนับร้อยเที่ยวลอยนวล |
เจ้าพราหมณ์เชิญศรีสุวรรณให้ผันผาย |
ว่าดีร้ายพระธิดาออกมาสวน |
จะนิ่งอยู่อย่างนี้ก็มิควร |
ว่าแล้วชวนกันลงจากตำหนักจันทร์ |
ค่อยลัดแลงแฝงไม้ใบชอุ่ม |
มาถึงพุ่มต้นลำดวนที่สวนขวัญ |
ด้วยนัดแนะสี่นางไว้อย่างนั้น |
ค่อยพูดกันซุบซิบกระหยิบตา ฯ |
๏ ศรีสุวรรณนั้นชังไม่นั่งใกล้ |
ไปนั่งใต้ต้นจำปีประสีประสา |
พราหมณ์พี่เลี้ยงแลลอดสอดนัยนา |
ดูบรรดาสาวสาวนางชาววัง |
ล้วนลอยชายกรายกรีดทำดีดดิ้น |
ขัดขมิ้นเหลืองเหลือในเนื้อหนัง |
หมายว่าลับขับรำเล่นลำพัง |
บ้างซุ่มนั่งแนบเพื่อนเหมือนผู้ชาย |
บ้างคาดพุงนุ่งผ้าเกี้ยวคอไก่ |
เป็นไฝใต้เต้างามเจ้าพราหมณ์หมาย |
บ้างก็ว่าข้าหลวงยังแยบคาย |
เป็นเจ้านายท่านจะดีกว่านี้ครัน |
พอเห็นสี่พี่เลี้ยงเคียงซ้ายขวา |
พระธิดาเดินกลางดั่งนางสวรรค์ |
ตะลึงหลงงงงวยไปด้วยกัน |
ดูผิวพรรณผ่องเหมือนดังเดือนเพ็ง |
ทั้งกายกรอ่อนละมุนพึ่งรุ่นสาว |
อายุราวสักสิบสี่ปีมะเส็ง |
ไม่เหลียวหลังตั้งแต่จะแลเล็ง |
ดูปลั่งเปล่งปลาบปลื้มลืมพริบตา ฯ |
๏ ฝ่ายนารีพี่เลี้ยงเมียงชม้าย |
เห็นสามนายนั่งซุ่มพุ่มพฤกษา |
แกล้งสั่งบ่าวสาวใช้ให้ไคลคลา |
เที่ยวเก็บมาลาถวายรายกันไป |
แล้วทำใบ้ไต่ถามพราหมณ์พี่เลี้ยง |
ว่าคู่เคียงพระบุตรีอยู่ที่ไหน |
เจ้าพราหมณ์บุ้ยปากชี้ตรงนี้ไป |
พี่เลี้ยงให้ซองหมากแล้วจากมา |
แกล้งชักชวนโฉมตรูยูรยาตร |
เที่ยวประพาสชมพรรณบุปผา |
นางโฉมยงหลงเพลินดำเนินมา |
พี่เลี้ยงพาเที่ยวไปจนใกล้พราหมณ์ ฯ |
๏ ศรีสุวรรณนั้นนั่งผินหลังนิ่ง |
เสียงผู้หญิงหวั่นไหวฤทัยหวาม |
ชำเลืองเห็นพระธิดาพะงางาม |
ให้มีความพิศวาสจะขาดใจ |
ด้วยคู่สร้างปางหลังแล้วอย่างนั้น |
พอเห็นกันก็ให้คิดพิสมัย |
จนลืมองค์หลงแลตะลึงไป |
เหมือนนางในดุสิดาลงมาดิน |
ดูจิ้มลิ้มพริ้มเพราดังเหลาหล่อ |
พระทรวงศอสองขนงดังวงศิลป์ |
นวลละอองสองปรางอย่างลูกอิน |
ช่างงามสิ้นสารพางค์สำอางองค์ |
ยิ่งพินิจพิศเพ่งให้เปล่งปลั่ง |
ใจกำลังรุ่นหนุ่มให้ลุ่มหลง |
กระแอมพลางทางออกให้เห็นองค์ |
ดูโฉมยงอยู่แต่ไกลมิให้เคือง ฯ |
๏ พระบุตรีแว่วเสียงสำเนียงชม้อย |
เห็นพราหมณ์น้อยสีเนื้อนั้นเหลือเหลือง |
นางหลีกเลี่ยงเอียงอายชายชำเลือง |
ดูทรงเครื่องเหมือนพราหมณ์งามวิไล |
พอเนตรน้องต้องเนตรหน่อกษัตริย์ |
หวนประหวัดหวาดจิตคิดสงสัย |
องค์ระทวยขวยเขินสะเทิ้นใจ |
แฝงต้นไม้เมียงชม้อยคอยชายตา |
ทั้งสี่นางต่างเมินทำเดินเฉย |
แกล้งแหงนเงยดูดวงพวงบุปผา |
พราหมณ์พี่เลี้ยงเมียงมองเห็นสองรา |
ต่างก็ว่าเข้าช่องแล้วน้องเรา ฯ |
๏ ศรีสุวรรณครั้นนางไปห่างพักตร์ |
ด้วยรสรักร้อนฤทัยดังไฟเผา |
ค่อยด้อมเดินดูองค์นางนงเยาว์ |
จนโฉมเฉลาเลี้ยวลับขึ้นพลับพลา |
ความอาลัยใจวาบให้ปลาบปลื้ม |
ตะลึงลืมหลงแลชะแง้หา |
พระบุตรีลีลาศชำเลืองมา |
ไม่เห็นหน้าพราหมณ์น้อยละห้อยใจ |
พระพักตร์ผ่องหมองเหมือนเดือนพยับ |
ด้วยจิตจับถึงมิตรพิสมัย |
ลืมบรรดาข้าหลวงพวงดอกไม้ |
ถอนฤทัยทุกข์ถึงคะนึงครวญ |
เจ้าพราหมณ์นี้ดีร้ายจะหมายมาด |
จึงองอาจแอบดูอยู่ในสวน |
สี่พี่เลี้ยงก็เห็นจะเป็นชนวน |
จึงแกล้งชวนมาให้พบประสบกัน |
จำจะกลับวังในได้ไต่ถาม |
ให้ได้ความตามจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
จึงแสแสร้งสั่งสุรางค์นางกำนัล |
ไปเรียกกันมาเถิดเจ้าเราจะไป |
ครั้นเห็นสี่พี่เลี้ยงเข้าเคียงข้าง |
ทำหมองหมางเมินหน้าไม่ปราศรัย |
เสด็จด้วยสาวสรรค์กำนัลใน |
มาต้นไทรทรงวอจรจรัล |
สี่พี่เลี้ยงเคียงประคองทั้งสองข้าง |
ไปตามทางนอกสวนฉนวนกั้น |
ตำรวจแฝงสองข้างทางจรัล |
คอยป้องกันห้ามคนไปจนวัง ฯ |
๏ หน่อกษัตริย์ทัศนาจนลับเนตร |
แสนเทวษดาลดิ้นถวิลหวัง |
อุรารักหนักหน่วงเพียงทรวงพัง |
พระทรุดนั่งลงบนแท่นแผ่นศิลา |
คะนึงนางพลางสะท้อนถอนใจใหญ่ |
ทำไฉนจะได้ชิดขนิษฐา |
พี่รู้ข่าวสาวสวรรค์แต่วันมา |
ไม่รู้ว่ารูปร่างเจ้าอย่างนี้ |
จนพี่พราหมณ์สามคนเขาชวนชัก |
เราตัดรักซ้ำว่าน่าบัดสี |
จะผันแปรแก้ไขไฉนดี |
ไม่พอที่พูดผิดคิดรำคาญ |
พระกอดเข่าเศร้าสร้อยละห้อยหวน |
จนหลงครวญขับลำเป็นคำหวาน |
โอ้เจ้าแก้วเกษรายุพาพาล |
ไม่สงสารพี่บ้างหรืออย่างไร |
เมื่อผันแปรแลพบก็หลบพักตร์ |
จะเห็นรักหรือไม่เห็นเป็นไฉน |
บุราณว่ามิตรจิตก็มิตรใจ |
จะกระไรอยู่มั่งยังไม่เคย |
พอเห็นพราหมณ์สามนายก็อายนัก |
พระเมินพักตร์ผินหลังแล้วนั่งเฉย |
เจ้าพราหมณ์ยิ้มพริ้มพรายภิปรายเปรย |
พ่อเสวยหมากเล่นก็เป็นไร |
ศรีสุวรรณผันพักตร์มาซักถาม |
เมื่อตะกี้พี่พราหมณ์อยู่ตรงไหน |
หมากบุหรี่ที่ซองนี้ของใคร |
พี่เลี้ยงให้พี่หรือจึงถือมา |
มิเสียทีฝีปากช่างฝากรัก |
จนรู้จักข้างในให้สลา |
เหมือนน้องนี้โฉดเขลาเบาปัญญา |
ไม่รู้ว่าเกี้ยวพานประการใด |
เป็นบุญน้อยพลอยพึ่งแต่บุญพี่ |
สูบบุหรี่กินหมากจนปากไหม้ |
จะขอถามตามจริงอย่างกริ่งใจ |
สักเมื่อไหร่อีกเล่าเขาจะมา ฯ |
๏ เจ้าพราหมณ์ยิ้มพริ้มพรายธิบายบอก |
เขาจะออกมาเยือนต่อเดือนหน้า |
จะห่วงใยไปเล่าไม่เข้ายา |
เราจะพากันไปข้างไหนดี ฯ |
๏ ศรีสุวรรณรันทดถอนใจใหญ่ |
กลัวจะไกลพระธิดามารศรี |
จึงแสแสร้งแกล้งเขาว่าปรานี |
พี่จะหนีหน่ายนางเสียอย่างไร |
ถึงช้าวันฉันคงจะคอยท่า |
ให้เชษฐาสมจิตพิสมัย |
พลางสำรวลชวนสามพราหมณ์ครรไล |
เสด็จไปที่สำนักตำหนักจันทน์ |
ระทวยองค์ตรงบนบรรจถรณ์ |
พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริย์ฉัน |
คิดถึงแก้วเกษราวิลาวัณย์ |
ให้ร้อนรัญจวนใจไม่ไสยา ฯ |