- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๔๔)
- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๒๙)
- คำนำเมื่อพิมพ์ครั้งแรก
- ประวัติสุนทรภู่
- บันทึกเรื่องผู้แต่งนิราศพระแท่นดงรัง
- อธิบาย ว่าด้วยเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่
- ปกิรณะกะประวัติของสุนทรภู่
- ตอนที่ ๑ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา
- ตอนที่ ๒ นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๓ ศรีสุวรรณเข้าเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๔ ศรีสุวรรณพบนางเกษรา
- ตอนที่ ๕ ศรีสุวรรณเกี้ยวนางเกษรา
- ตอนที่ ๖ ศรีสุวรรณรบท้าวอุเทน
- ตอนที่ ๗ ศรีสุวรรณพยาบาลนางเกษรา
- ตอนที่ ๘ อภิเษกศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๙ พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อ
- ตอนที่ ๑๐ พระอภัยได้นางเงือก
- ตอนที่ ๑๑ นางสุวรรณมาลีไปเที่ยวทะเล
- ตอนที่ ๑๒ พระอภัยมณีพบนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๓ พระอภัยมณีโดยสารเรือนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๔ พระอภัยมณีเรือแตก
- ตอนที่ ๑๕ สินสมุทรโดยสารเรือโจรสุหรั่ง
- ตอนที่ ๑๖ สินสมุทรพบศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๑๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๑๘ พระอภัยมณีโดยสารเรืออุศเรน
- ตอนที่ ๑๙ พระอภัยมณีพบศรีสุวรรณกับสินสมุทร
- ตอนที่ ๒๐ สินสมุทรรบกับอุศเรน
- ตอนที่ ๒๑ พระอภัยมณีเกี้ยวนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๒ พระอภัยมณีครองเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๓ พระอภัยมณีอภิเษกกับนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๔ กำเนิดสุดสาคร
- ตอนที่ ๒๕ สุดสาครเข้าเมืองการะเวก
- ตอนที่ ๒๖ อุศเรนตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๗ เจ้าละมานตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๘ สุดสาครตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๒๙ ศึกเก้าทัพตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๓๐ พระอภัยมณีตีเมืองใหม่
- ตอนที่ ๓๑ พระอภัยมณีพบนางละเวง
- ตอนที่ ๓๒ ศรีสุวรรณอาสาตีด่านดงตาล
- ตอนที่ ๓๓ ย่องตอดสะกดทัพ
- ตอนที่ ๓๔ นางละเวงคิดหย่าทัพ
- ตอนที่ ๓๕ พระอภัยติดท้ายรถ
- ตอนที่ ๓๖ พระอภัยมณีทำผูกคอตายได้นางละเวง
- ตอนที่ ๓๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๓๘ นางสุวรรณมาลีข้ามไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๓๙ นางสุวรรณมาลีมีสารตัดพ้อ
- ตอนที่ ๔๐ สุดสาครถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๔๑ นางสุวรรณมาลีหึงหน้าป้อม
- ตอนที่ ๔๒ หัสไชยแก้เสน่ห์
- ตอนที่ ๔๓ นางเสาวคนธ์ยิงแก้ม
- ตอนที่ ๔๔ กษัตริย์สามัคคี
- ตอนที่ ๔๕ นางเสาวคนธ์ขุดโคตรเพชร
- ตอนที่ ๔๖ พระอภัยมณีกลับเมือง
- ตอนที่ ๔๗ อภิเษกสินสมุทร
- ตอนที่ ๔๘ นางเสาวคนธ์หนี
- ตอนที่ ๔๙ นางเสาวคนธ์แปลงเป็นฤๅษี
- ตอนที่ ๕๐ นางเสาวคนธ์ได้เมืองวาหุโลม
- ตอนที่ ๕๑ สุดสาครตามนางเสาวคนธ์
- ตอนที่ ๕๒ พระอภัยมณีทำศพท้าวสุทัศน์
- ตอนที่ ๕๓ มังคลาครองเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๔ มังคลาชิงโคตรเพชร
- ตอนที่ ๕๕ มังคลาจับนางสุวรรณมาลีและท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๖ หัสไชยตีด่านเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๗ สุดสาครรบมังคลา
- ตอนที่ ๕๘ นางละเวงวัณฬาช่วยนางสุวรรณมาลีแลท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๙ พระอภัยมณีศรีสุวรรณไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๐ พระอภัยมณีรบกับมังคลา
- ตอนที่ ๖๑ สังฆราชบาทหลวงเผาเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๒ พระอภัยเข้าเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๓ อภิเษกหัสไชย
- ตอนที่ ๖๔ พระอภัยมณีออกบวช
- ตอนที่ ๖๕ พระบาทหลวงพาพระมังคลาหนีทัพไปเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๖๖ วลายุดาครองเมืองสินชัย
- ตอนที่ ๖๗ วายุพัฒน์เป็นอุปราชเมืองเซ็น
- ตอนที่ ๖๘ หัสกันครองเมืองสุลาลัย
- ตอนที่ ๖๙ พระอภัยมณีเยี่ยมศพนางมณฑา
- ตอนที่ ๗๐ พระมังคลายกทัพเรือมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๗๑ นางรำภา นางยุพาผกาและนางสุลาลีวันออกรบ
- ตอนที่ ๗๒ สุดสาคร สินสมุทรรบกับพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๓ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันเข้าเฝ้าศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๗๔ ทัพพันธมิตรเมืองกำพลเพชรยกมาช่วยพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๕ พระมังคลาล่าทัพไปถึงเกาะกาหวี
- ตอนที่ ๗๖ ทหารเมืองกำพลเพชรตามนางกฤษณาพบพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๗ พระมังคลาได้นางดวงแขลูกสาวเจ้าเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๗๘ อภิเษกพระกฤษณากับนางเทพินไปครองเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๗๙ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันลามารดากลับไปเมือง
- ตอนที่ ๘๐ พระมังคลายกทัพเมืองสำปันหนาไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๑ ศรีสุวรรณออกรับศึกพระมังคลา
- ตอนที่ ๘๒ โจรสลัดคุมกำปั่นปล้นเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๘๓ ศรีสุวรรณมาช่วยเมืองรมจักรรบโจรสลัด แล้วอภิเษกตรีพลำกับอัมพวันและเทวัญกับนิลกัณฐี
- ตอนที่ ๘๔ พระมังคลากับพระบาทหลวงแตกทัพไปเกลี้ยกล่อมเมืองต่าง ๆ
- ตอนที่ ๘๕ พระมังคลาไปถึงเมืองโรมพัฒน์ได้นางบุษบง
- ตอนที่ ๘๖ พระบาทหลวงกับพระมังคลายกทัพเรือเมืองโรมพัฒน์ไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๗ สุดสาครทราบข่าวศึก
- ตอนที่ ๘๘ พระมังคลากับพระบาทหลวงตีได้เมืองด่านลังกา
- ตอนที่ ๘๙ ทัพสุดสาครตีทัพพระมังคลาพ่าย จนเทวสินธุ์ตามไปถึงเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๙๐ ท้าวรายากับพระเทวสินธุ์ไปถึงเมืองกำพลเพชร แล้วยกทัพไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๙๑ หกกษัตริย์ยกทัพมาช่วยเมืองลังกาทำศึก
- ตอนที่ ๙๒ พระบาทหลวงรบศึกหกกษัตริย์จนลมแดงซัดเรือรบพลัดกัน
- ตอนที่ ๙๓ สุดสาครตีเมืองด่านแตก
- ตอนที่ ๙๔ พระเทวสินธุ์พบพระมังคลาจนเจ็ดกษัตริย์เตรียมรบ
- ตอนที่ ๙๕ พระมังคลากับพระบาทหลวงยกทัพเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๙๖ ทัพเจ็ดกษัตริย์ตีทัพพระบาทหลวงแตก
- ตอนที่ ๙๗ พระบาทหลวงเตรียมตีเมืองปากน้ำคืน
- ตอนที่ ๙๘ พระบาทหลวงขับท้าวรายากับนางบุษบงไปจากกองทัพ จนพระมังคลาหนี
- ตอนที่ ๙๙ พระบาทหลวงยกเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๑๐๐ สินสมุทรตีทัพพระบาทหลวงจนถูกยาเบื่อ
- ตอนที่ ๑๐๑ พระอภัยมณีเยือนลังกา
- ตอนที่ ๑๐๒ พระบาทหลวงปล่อยโคมไฟไปตกเมืองลังกา จนถึงพระอภัยมณีห้ามทัพ
- ตอนที่ ๑๐๓ หกกษัตริย์ตีโต้ทัพพระบาทหลวงล่าไปเมืองปตาหวี
- ตอนที่ ๑๐๔ พระอภัยมณีกลับไปเขาสิงคุตร
- ตอนที่ ๑๐๕ อภิเษกหัสกันกับนางวันชายา
- ตอนที่ ๑๐๖ พระอภัยมณีไปเยี่ยมนางเงือกที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๐๗ พระบาทหลวงเข้าเมืองปตาหวีแล้วตามไปพบพระมังคลาที่เมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๐๘ พระมังคลาและนางบุษบงออกมารับพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๐๙ ท้าวโกสัยบอกพระมังคลาให้รู้อุบายพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๐ พระบาทหลวงตีด่านเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๑๑ พระมังคลามีสารง้อศรีสุวรรณสุดสาครและสินสมุทร ให้มาช่วยรบพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๒ ทัพพระมังคลารบกับทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๓ ทัพศรีสุวรรณกับสี่กษัตริย์ตีกระหนาบทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๔ ทัพเรือพระบาทหลวงเข้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๕ ศรีสุวรรณกับพวกพาพระมังคลากลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๑๖ ท้าวกุลามาลีได้นางดวงประไพลูกสาวท้าวสินชัยเจ้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๗ พระมังคลาไปงานโสกันต์ระเด่นกินเรศ
- ตอนที่ ๑๑๘ เจ้าเมืองปตาหวีพานางดวงประไพกลับเมือง
- ตอนที่ ๑๑๙ สุดสาครไปเยี่ยมนางเงือกและพระฤๅษีที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๒๐ สุดสาครกลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๒๑ ศรีสุวรรณให้นรินทร์รัตน์ไปครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๒ อภิเษกนรินทร์รัตน์ครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๓ เจ็ดกษัตริย์ยกทัพมาตีเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๔ นรินทร์รัตน์ขอราเมศมาเป็นอุปราชกรุงรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๕ นรินทร์รัตน์กับราเมศมาช่วยเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๖ เจ็ดกษัตริย์ตายสี่หนีสาม
- ตอนที่ ๑๒๗ นรินทร์รัตน์หลงนางเกศพัฒน์เมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๘ อภิเษกพระราเมศกับนางดวงประภา
- ตอนที่ ๑๒๙ ภัทวงศ์ไปไหว้เทวรูปจนพบนางเกสรสุมาลัย
- ตอนที่ ๑๓๐ เจ้าเมืองวายุภักษ์ขอนางเกสรสุมาลัยให้ภัทวงศ์
- ตอนที่ ๑๓๑ พระสังฆราชบาทหลวงยกทัพมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๓๒ ตัดหางสุพรรณมัจฉาแล้วสถาปนาเป็นจันทวดีพันปีหลวง
ตอนที่ ๔๐ สุดสาครถูกเสน่ห์
๏ ครั้นรุ่งสายฝ่ายสุดสาครคิด | ถึงพระบิดายังกำลังหลง |
น้อมคำนับอภิวาทพระมาตุรงค์ | ลูกกับองค์อนุชาทูลลาไป |
แม้ได้เฝ้าเข้าชิดกับบิตุเรศ | จะสังเกตดูแลคิดแก้ไข |
พระมารดาอย่าประหวั่นพรั่นฤทัย | ลูกมิให้อายเขาชาวลังกา ฯ |
๏ นางโฉมยงทรงสดับกำชับสั่ง | คอยระวังยาหยูกนะลูกหนา |
จะเข้าวังทั้งพระน้องเป็นสองรา | มันมากกว่าเกลือกจะรุกเข้าบุกบัน |
ช่วยทูลองค์ทรงฤทธิ์พระบิตุเรศ | มิโปรดเกศกลับไปไอศวรรย์ |
เชิญเสด็จเมตตามาฆ่าฟัน | ให้ชีวันวอดวายก็หายความ |
แม้รู้เห็นเป็นคนทนไม่ได้ | จะเข้าไปตามเสด็จไม่เข็ดขาม |
จะเคืองขัดตัดคอเสียก็ตาม | มิขอข้ามคงคาไปธานี ฯ |
๏ พระโอรสจดจำคำรับสั่ง | ถวายบังคมลามารศรี |
พลางชวนพระอนุชาสรงวารี | ในห้องที่ทำลับแลไว้แต่เดิม |
หนังเสือเหลืองเครื่องทรงบรรจงจีบ | ชฎากลีบเกล้าเวียนพระเศียรเสริม |
ประดับเครื่องเรืององค์ประจงเจิม | พักตร์เฉลิมจันทน์จุณเหมือนมุนี |
พระน้องนุ่งยกอย่างไว้หางหงส์ | แล้วสอดทรงเครื่องกษัตริย์จำรัสศรี |
มงกุฎนวมสวมเกล้าพระเมาลี | พระเจ้าพี่ทรงไม้เท้าของเจ้าตา |
พระน้องนาถอาจองทรงพระขรรค์ | จรจรัลตามเสด็จพระเชษฐา |
มาหยุดยั้งนั่งประทับที่พลับพลา | จัดบรรดาหนุ่มน้อยสองร้อยคน |
เป็นคู่หัดจัดเอามาแต่การะเวก | ทหารเอกอาจรบถึงหลบฝน |
องค์ละร้อยคอยรับเมื่ออับจน | ผูกสิงห์ต้นตัวกำลังม้ามังกร |
ทั้งสององค์ทรงพระยาพาหนะ | เรียงระกะมหาดเล็กเด็กสลอน |
ขุนนางนั้นกั้นกลดบทจร | สุดสาครควบม้าเข้าธานี ฯ |
๏ พวกลังกาฝรั่งสิ้นทั้งหลาย | เห็นม้ากลายกลัวจะขบก็หลบหนี |
เสียงครึกครื้นตื่นกันดูทั้งบูรี | ตำรวจตีห้ามปรามไปตามทาง |
บ้างว่าม้าหน้าเหมือนมังกรร้าย | เข้าใกล้กรายกลัวจะดีดไม่กีดขวาง |
พระแกล้งขับกลับตลบกระทบทาง | ให้ฟาดหางหวดคนหลบลนลาน |
หน่อกษัตริย์หัสไชยแกล้งไสสิงห์ | ไล่ผู้หญิงล้มลุกสนุกสนาน |
ถึงท้ายวังลังกานอกปราการ | หยุดทหารพร้อมพรั่งแล้วสั่งความ ฯ |
๏ นายประตูรู้ว่าหน่อวรนาถ | นึกขยาดยำเยงด้วยเกรงขาม |
ไม่รู้จักซักไซ้ได้พระนาม | ไปแจ้งความกับท้าวนางที่ข้างใน ฯ |
๏ ฝ่ายท้าวนางต่างเข้าไปเฝ้าแหน | แล้วทูลแทนคำแจ้งแถลงไข |
สุดสาครกับกษัตริย์หัสไชย | สั่งมาให้ทูลเนื้อความตามกิจจา |
ว่าบังคมสมเด็จพระบิตุราช | ทั้งพระมาตุรงค์ทรงยศถา |
ได้ทราบความตามประชวรจึงด่วนมา | เฝ้าพระอาพระเจ้าพี่ทั้งสี่องค์ ฯ |
๏ ฝ่ายลูกสาวเจ้าลังกาวัณฬาราช | นึกประหลาดหลากจิตพิศวง |
จึงทูลความถามโอรสยศยง | เกิดด้วยองค์อัคเรศประเทศใด ฯ |
๏ พระเล่าความตามยุบลแต่หนหลัง | ให้นางฟังจะแจ้งแถลงไข |
นางแกล้งถามความคิดฤทธิไกร | พระเล่าให้รู้ฤทธิ์ถึงวิทยา |
มีไม้เท้าดาวบสดังกรดกริช | สุจริตแจ้งจำคำสิกขา |
หนังเสือเหลืองเครื่องทับประดับประดา | ถือศีลห้าอายุสิบแปดปี ฯ |
๏ นางคาดถูกลูกจะมารักษาพ่อ | จำจะล่อไว้บำรุงซึ่งกรุงศรี |
จึงเสแสร้งแกล้งว่าเหมือนปรานี | บุตรพระพี่มัจฉาน่าเอ็นดู |
แต่ยังไม่ได้พบประสบพักตร์ | ยังน่ารักรสถ้อยอร่อยหู |
อย่าปล่อยไปให้ประสมชาวชมพู | ให้หล่อนอยู่เสียในวังที่ลังกา |
โปรดประทานฉันจะใคร่ได้เป็นลูก | แล้วจะปลูกฝังรักให้หนักหนา |
พลางสอพลอพ้อตัดพระภัสดา | นี่หรือว่าโปรดเกล้าตรัสเปล่าไป |
มเหสีที่ฉลาดเขาคาดถูก | จึงได้ลูกสองสามตามวิสัย |
เหมือนหม่อมฉันนั้นไม่รื่นชื่นพระทัย | จึงไม่ได้ลูกเต้าเหมือนเขาเลย |
พระเล้าโลมโฉมฉายสายสวาท | อย่าประมาทมือเก่านะเจ้าเอ๋ย |
เมื่อว่าไรไม่ตามนี่ทรามเชย | เพราะนิ่งเฉยมันจึงช้าอุสาห์จำ |
อันโอรสยศไกรพี่ให้เจ้า | โฉมเฉลาจงช่วยชุบอุปถัมภ์ |
สุดสาครสอนสั่งรู้ฟังคำ | ให้เป็นกรรมสิทธิ์วนิดา ฯ |
๏ นางยินดีที่ได้สมอารมณ์นึก | จะปราบศึกนั้นด้วยเล่ห์เสน่หา |
ลาพระบาทยาตรเยื้องชำเลืองมา | ห้องสุลาลีวันเข้าชั้นใน |
ขึ้นนั่งเตียงเคียงประโลมโฉมลูกน้อย | พลางค่อยค่อยเล่าแจ้งแถลงไข |
จริงจริงเจียวเดี๋ยวนี้พระภูวไนย | ขอเจ้าให้กับโอรสยศยง |
แม่ก็ยอมพร้อมใจยกให้แล้ว | นะลูกแก้วแก้ไขให้ใหลหลง |
ล่อให้อยู่บูรีทั้งสี่องค์ | ได้ดำรงช่วยรักษาพาราเรา ฯ |
๏ ฝ่ายสุลาลีวันนั้นก็รุ่น | เห็นเขาอุ่นแอบผัวแต่ตัวเหงา |
ด้วยอยู่ใกล้ได้เห็นทุกเย็นเช้า | จึงพลอยเมาเหมือนหนึ่งฝิ่นได้กลิ่นอาย |
พระมารดาพาทีให้มีผัว | หน้าเหมือนบัวบังร่มด้วยสมหมาย |
แต่ซ่อนเงื่อนเหมือนรังเกียจเกลียดผู้ชาย | กราบถวายวันทาแล้วพาที |
พระชุบเลี้ยงเพียงบุตรสุจริต | ถึงชีวิตวอดวายไม่หน่ายหนี |
แต่จะให้ไปเป็นเหมือนเช่นนี้ | มิรู้ที่คิดอ่านประการใด |
ด้วยไม่เคยเลยหม่อมฉันประทานโทษ | อย่ากริ้วโกรธกริ่งตรึกนึกไฉน |
นางฟังคำร่ำปลอบให้ชอบใจ | กลัวทำไมมีผัวอย่ากลัวเลย |
ไม่ลำบากยากเย็นเป็นแต่เขา | เข้าคลึงเคล้าต้องถูกดอกลูกเอ๋ย |
ชื่นอะไรนั้นไม่รื่นเหมือนชื่นเชย | กลัวจะเคยเสียหนักอีกอย่าหลีกตัว |
ไม่ว่าเล่นเป็นผู้หญิงจริงจริงนะ | ถ้าเจ้าจะเล่นเพื่อนไม่เหมือนผัว |
เขาชวนเชยเคยเองอย่าเกรงกลัว | จงแต่งตัวตามตำรับให้จับตา |
ถึงปลุกเสกเลขยันต์ประกันแก้ | ไม่ดูแลหลงเล่ห์เสน่หา |
เข้าต้องถูกผูกจิตด้วยวิทยา | เสื่อมวิชาชายก็คงจะหลงรัก |
แม่จะให้ไปรับคำนับเขา | แล้วก็เจ้าจะได้ดูให้รู้จัก |
สายอยู่แล้วแก้วตาอย่าช้านัก | นางนงลักษณ์ออกมานั่งสั่งขรัวนาย |
เรียกสุรางค์นางน้อยน้อยมาคอยท่า | ตามสุลาลีวันจะผันผาย |
เชิญเครื่องยศกลดกั้นพรรณราย | อย่าให้อายจะออกหน้าเวลานี้ ฯ |
๏ ขรัวนายน้อมพร้อมพรั่งสั่งกำชับ | นางสำหรับเครื่องอานพานพระศรี |
สาวน้อยน้อยคอยตามรูปงามดี | มาพร้อมที่ชาลาคอยท่านาง ฯ |
๏ ฝ่ายสุลาลีวันลงยันต์เลข | นั่งปลุกเสกสารพัดไม่ขัดขวาง |
แล้วอ่าองค์สรงน้ำทรงสำอาง | สยายสางผมเผ้าพลางเกล้ามวย |
กระหมวดมุ่นรุนปิ่นฝังนิลปัก | ช้องจำหลักแซมดอกไม้ไหวสลวย |
ลูบสุคนธ์มนตรามหาละลวย | ให้รื่นรวยรสสุคนธ์วิมลมาลย์ |
แล้วนุ่งห่มสมทรงประจงจัด | คาดเข็มขัดเพชรพรายสายประสาน |
ใส่สร้อยนวมสวมทรงวงสังวาล | ทองกรบานพับเพชรแก้วเก็จแกม |
ธำมรงค์วงวาวดูพราวพร้อย | ล้วนเพชรย้อยรุ่งเรี่ยมเจ็ดเหลี่ยมแหลม |
กรรเจียกจรซ้อนใส่ดอกไม้แซม | กรอบหน้าแนมเนาวรัตน์จำรัสเรือง |
แล้วร่ายมนต์คนดูให้ชูโฉม | งามประโลมเปล่งปลั่งอลั่งเหลือง |
ใส่เกือกทองรองบาทแล้วยาตรเยื้อง | นางเชิญเครื่องรุ่นงามตามลีลา |
ลงจากปรางค์นางที่พระพี่เลี้ยง | ประคองเคียงกลั้นกลดมียศถา |
พร้อมด้วยเหล่าสาวสรรค์กัลยา | ลีลามาริมปราการทวารวัง |
เห็นพี่น้องสององค์ล้วนทรงลักษณ์ | ประไพพักตร์ผิวฉวีดังสีสังข์ |
ค่อยมองเมียงเพียงบานทวารบัง | เห็นนุ่งหนังเสือเหลืองใส่เครื่องทรง |
ดูน่ารักนักสิทธ์ชนิดหนุ่ม | ล้วนรัดกุมกรเกศเนตรขนง |
พระน้องงามยามรุ่นละมุนองค์ | พิศวงหวั่นไหวฤทัยสะเทิน |
ขืนอารมณ์ก้มกรานค่อยคลานเข่า | เข้าไปเฝ้าทูลความยิ่งขามเขิน |
สองกษัตริย์ขัตติยาให้มาเชิญ | เสด็จเดินไปปราสาทราชวัง ฯ |
๏ สุดสาครค้อนเคืองชำเลืองพิศ | ระรื่นฤทธิ์รสสุคนธ์ต้องมนต์ขลัง |
ให้เสียวซาบปลาบปลื้มจนลืมชัง | เห็นเปล่งปลั่งพรั่งพร้อมละม่อมละไม |
ดำริรักสักครู่ก็รู้สึก | อนาถนึกวิปลาสให้หวาดไหว |
มิเสียทีอีฝรั่งช่างกระไร | มนต์มันใส่ฉุนเฉียวให้เสียวรัก |
นี่หรือชะพระบิดาพระอาพี่ | จึงเสียทีจำเป็นเห็นประจักษ์ |
พลางนึกภาวนาในพระไตรลักษณ์ | พอกันรักรู้พระองค์ไม่หลงเลย |
แล้วชวนพระอนุชาลงม้าสิงห์ | ไม่ดูหญิงแกล้งเมินทำเดินเฉย |
ถามว่านางทางไหนยังไม่เคย | จะหลงเลยไปเสียดอกช่วยบอกทาง |
นางทูลว่าอย่าได้ทรงพระวิตก | วังไม่รกเหมือนหนึ่งป่ารุกขาขวาง |
แล้วเหลียวมาว่ากล่าวให้ท้าวนาง | เดินนำทางหน่อไทเข้าในวัง ฯ |
๏ พระพี่น้องสองเดินดำเนินหน้า | นางสุลาลีงามเดินตามหลัง |
พวกห้ามแหนแสนสาวเหล่าชาววัง | มาคอยนั่งดูหน้าสุดสาคร |
เห็นสององค์ทรงโฉมประโลมสวาท | ยุรยาตรเยื้องย่างอย่างไกรสร |
ดูคมคายส่ายสอดค่อยทอดกร | ชะอ้อนอ่อนเอวองค์ทรงสำอาง |
บ้างนึกรักอักอ่วนรัญจวนจิต | ดัดจริตเมียงเมินทำเดินขวาง |
บ้างตามหลังนั่งยิ้มอยู่ริมทาง | สาวสุรางค์รักใคร่อาลัยแล |
บ้างเยี่ยมห้องร้องบอกกันออกวุ่น | งามเหมือนหุ่นหนอเจ้าหนอเสียงจ๋อแจ๋ |
ที่สาวใหญ่ใจคอนั้นท้อแท้ | เสียดายแก่เกินเธอชะเง้อเงย |
พระหน่อนาถยาตรเยื้องชำเลืองเหลียว | เขากวักเกี้ยวหยอกเอินแกล้งเดินเฉย |
ใครเลียมล่อตอแยไม่แลเลย | ด้วยคิดเคยเข็ดขยาดไม่พาดพิง |
พระหัสไชยให้สติลัทธิว่า | ภาวนาไว้ให้มั่นกันผู้หญิง |
มันตามดูพรูพรั่งน่าชังชิง | พระพี่นิ่งเดินมาชาลาลาน |
พอถึงปรางค์นางวัณฬาออกมารับ | พระคำนับน้อมองค์น่าสงสาร |
นางเชิญนั่งตั้งที่พระศรีประทาน | อยู่นอกม่านหมายจะดูให้รู้ที |
เรียกธิดามาใกล้ไหว้คำนับ | แล้วตรัสกับพี่น้องทั้งสองศรี |
พระโอรสอุสาห์มาถึงธานี | แม่ยินดีได้เห็นหน้าสุดสาคร |
ไฉนหนอพ่อจึงนุ่งหนังเสือเหลือง | มิทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ประภัสสร |
ไม่หาคู่สู่สมสยมพร | จะรีบร้อนไปสวรรค์หรือฉันใด |
พระบิตุรงค์โองการให้ฉันแล้ว | เป็นลูกแก้วกลอยจิตพิสมัย |
อยู่เวียงวังลังกาเถิดอย่าไป | หรือพ่อไม่ปลงจิตจะบิดเบือน ฯ |
๏ สุดสาครอ่อนตามความรับสั่ง | พระคุณดังดินฟ้าไม่หาเหมือน |
แม้ชุบเลี้ยงเที่ยงแท้ไม่แชเชือน | จะเยี่ยมเยือนเหมือนพระบาทมาตุรงค์ |
แต่ไม่รักนัคเรศนิเวศน์สถาน | ชอบสำราญราวป่าเป็นอานิสงส์ |
ถือนิโรธโดดเดี่ยวเที่ยวธุดงค์ | จึงสู้ทรงหนังเสือเหลืองเครื่องสิทธา |
ได้ทราบเหตุว่าประชวรจึงด่วนข้าม | มาฟังความเบาหนักช่วยรักษา |
พอโรคร้ายหายสูญจะทูลลา | พระมารดาบิตุรงค์ไปดงดาน |
แม้บ้านเมืองเคืองขัดจะจัดทัพ | มาช่วยรับรบศึกที่ฮึกหาญ |
แล้วแกล้งถามความว่าพระอาการ | ร้อนรำคาญขัดขวางเป็นอย่างไร ฯ |
๏ นางรู้ว่ายาหยูกมิถูกต้อง | ด้วยมีของคุ้มองค์ไม่หลงใหล |
จะยอกย้อนผ่อนปรนด้วยกลใด | ให้เอาไม้เท้าวางเสียห่างองค์ |
ให้ผู้หญิงอิงแอบเข้าแนบเนื้อ | หน่อยก็เหลือรักใคร่จนใหลหลง |
ดำริพลางนางบอกว่าบิตุรงค์ | ค่อยฟื้นองค์ขึ้นแล้วเห็นไม่เป็นไร |
เมื่อตะกี้นี้บรรทมลมปะทะ | ตื่นจึงจะทูลแจ้งแถลงไข |
แล้วนวลนางย่างย่องเข้าห้องใน | พระอภัยพยักหน้าให้มาเคียง ฯ |
๏ พลางตรัสถามความสองพี่น้องน้อย | นางค่อยค่อยทูลกระซิบอุบอิบเสียง |
หม่อมฉันรักจักใคร่เอาไว้เลี้ยง | แต่เธอเลี่ยงหลีกไปไม่ไยดี |
พระโปรดด้วยช่วยกักไว้สักหน่อย | อย่าเพ่อปล่อยไปให้พระมเหสี |
ค่ำจึงให้พระธิดาสุลาลี | คุมไว้ที่ในห้องลองสักคราว |
เมื่อเป็นไรไปก็ตามไม่ห้ามรัก | พอสมพักตร์สมภูมิสมหนุ่มสาว |
ได้สืบวงศ์พงศ์พืชให้ยืดยาว | อย่างว่ากล่าวพระจะเห็นเป็นกระไร ฯ |
๏ พระชื่นชอบตอบนางว่าอย่างเอก | อภิเษกเสียในห้องให้ผ่องใส |
บอกให้มาหาพี่ที่ข้างใน | จะสอนให้ลูกรักรู้จักดี ฯ |
๏ นางคำนับรับสั่งไปนั่งนอก | แล้วตรัสบอกพระพี่น้องทั้งสองศรี |
แม่ทูลแล้วแก้วตาอย่าช้าที | ไปเฝ้าที่ห้องในแท่นไสยา ฯ |
๏ พระคำนับรับสั่งทั้งพี่น้อง | คลานเข้าช่องฉากชั้นที่กั้นฝา |
แลเห็นองค์ทรงฤทธิ์พระบิดา | ไม่โรยราโรคภัยสิ่งใดมี |
แต่พระรูปซูบซีดลงนิดหน่อย | พระพักตร์สร้อยเศร้าหมองด้วยต้องผี |
เข้ากอดบาทบิตุรงค์ทรงโศกี | มิพอที่ทูลกระหม่อมมาตรอมตรม |
จนมารดามาตามด้วยความทุกข์ | ไม่มีสุขสักเท่าซีกกระผีกผม |
เพราะพระถูกหยูกยาต้องอาคม | ทุกข์ระทมทั่วไปทั้งไพร่นาย |
จึงโปรดให้ไปหาลูกมาด้วย | จะได้ช่วยแก้ไขเสียให้หาย |
แล้วกราบทูลมูลความตามอุบาย | อันผู้ชายต้องเสน่ห์ลมเพลมพัด |
เอาไม้เท้าดาวบสจรดอุระ | จึงร่ายพระคาถามหาจำกัด |
ปีศาจตายคลายมนต์ดลชะงัด | จะรีบรัดเร่งรักษาฝ่าธุลี |
แต่ตัวเขาเจ้าตำราทำยาหยูก | อย่าให้ถูกองค์อีกเร่งหลีกหนี |
จงโปรดให้ได้รักษาเวลานี้ | อย่าให้มีผีผู้หญิงเข้าสิงองค์ ฯ |
๏ พระอภัยใจเหิมเคลิ้มเหมือนบ้า | เธอหมายว่าเธอไม่ถูกพระลูกหลง |
สำรวลพลางทางว่าเจ้าเง่าโง่งง | เขายุยงพลอยเห็นว่าเป็นจริง |
นางสุวรรณมาลีเธอขี้หึง | นั่นเขาจึงว่าบิดาต้องยาหญิง |
พระลูกน้อยพลอยแหนงแคลงประวิง | คราวนี้นิ่งเสียหนาอย่าพูดไป |
อันโฉมยงองค์ละเวงวัณฬาราช | กษัตริย์ชาติเชื้อลังกาภาษาไสย |
เขารักเจ้าเท่ากับบุตรสุดอาลัย | จนหล่อนให้พระธิดาสุลาลี |
ให้อยู่วังฝังปลูกเหมือนลูกเต้า | เออก็เจ้าควรหรือกลับถือผี |
แต่พี่ยาอายังเห็นว่าเป็นดี | เขามามีคู่ครองทั้งสองคน |
อันสตรีที่อื่นอื่นสักหมื่นแสน | ไม่มีแม้นเหมือนหญิงชาวสิงหล |
ทั้งสาวแก่แม่ม่ายเหมือนไก่ชน | เขารู้กลปรนนิบัติภัสดา |
ถึงผัวทุกข์ปลุกปลื้มให้ลืมทุกข์ | มีแต่สุขสรวลเสเสน่หา |
ไม่คบเขาชาววังเมืองลังกา | ที่อื่นให้ไปหาเลือดตากระเด็น |
เจ้าได้นางอย่างนี้ดีนะลูก | จะช่วยปลูกเสียต่อตาบิดาเห็น |
ให้หายห่วงทรวงร้อนจะผ่อนเย็น | จงอยู่เป็นเขยขวัญนางวัณฬา ฯ |
๏ สุดสาครร้อนจิตผิดสังเกต | น้ำพระเนตรพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา |
ทั้งน้องน้อยพลอยสะอื้นกลืนน้ำตา | แต่สุดสาครซ้ำร่ำพิไร |
โอ้พระคุณทูลกระหม่อมจอมมนุษย์ | จะละพุทธเสียแล้วหรือมาถือไสย |
จะขวางขัดทัดทานประการใด | เล่าก็ไม่ควรตัวกลัวพระองค์ |
พระเกิดเกล้าเจ้าประคุณการุญเลี้ยง | ลูกจะเถียงที่ไหนได้ว่าใหลหลง |
เป็นเวรามาทันลูกมั่นคง | จึงได้ทรงคิดเห็นเป็นเช่นนั้น |
ลูกเกิดมาอาภัพอัปภาคย์ | พบแต่ยากดังชีวาจะอาสัญ |
ให้เปลี่ยวใจไร้วงศ์ทั้งพงศ์พันธุ์ | สุดจะผันผินหน้าไปหาใคร |
จึงอุสาห์ลาแม่มาแต่น้อย | จะตายร้อยพันคราน้ำตาไหล |
ครั้นว่าปะพระบิดาดังอาลัย | ก็ทุกข์ใจให้สงสารพระมารดา |
จะอยู่เดียวเปลี่ยวเปล่าทุกเช้าค่ำ | เห็นแต่น้ำในทะเลกับเวหา |
แม้เจ็บไข้ใครเล่าจะเอายา | มารักษาชนนีไม่มีเลย |
โอ้ใจลูกผูกพันจนฝันเห็น | มิได้เว้นวายวิตกเลยอกเอ๋ย |
จึงถือบวชกรวดน้ำไปตามเคย | ไม่ละเลยลืมพระคุณกรุณา |
มาพึ่งบุญทูลกระหม่อมจอมกษัตริย์ | ได้สืบขัตติยราชพระศาสนา |
เดี๋ยวนี้พระจะบำรุงกรุงลังกา | กลับเป็นฝาหรั่งกลายเมื่อปลายมือ |
ก็ฝ่ายลูกผูกชฎารักษากิจ | ศีลประสิทธิ์ศักราชไม่ขาดหรือ |
ทุกถิ่นฐานบ้านเมืองจะเลื่องลือ | คนเดียวถือสองฝ่ายน่าอายจริง |
ซึ่งออกโอษฐ์โปรดลูกจะปลูกฝัง | หม่อมฉันยังไม่รู้จักรักผู้หญิง |
ครั้นมีคู่ผู้ชายมักหมายชิง | ต้องยุ่งยิ่งยุคเข็ญเหมือนเห็นมา |
เป็นอันขาดชาตินี้ไม่มีคู่ | จะไปอยู่ปรนนิบัติแม่มัจฉา |
แม้แม่ตายหมายจิตเป็นสิทธา | เดี๋ยวนี้มาเลื่อนลอยพลอยรำคาญ |
จะพึ่งบุญทูลกระหม่อมให้พร้อมญาติ | ก็ตัดขาดญาติวงศ์พงศ์สถาน |
จะพึ่งบาทมาตุรงค์พระวงศ์วาน | ก็เกินการดาลเดือดไม่เงือดงด |
จะพึ่งบุญพี่ยาพระอาเล่า | ก็มาเข้ารีตเมียไปเสียหมด |
กระหม่อมฉันก็จะลารักษาพรต | เป็นดาบสอยู่ริมหิมพานต์ ฯ |
๏ พระฟังคำรำลึกรู้สึกบ้าง | คิดถึงนางมัจฉาน่าสงสาร |
สักประเดี๋ยวเสียวมนต์ดลบันดาล | รื้อสำราญสำรวลชวนโอรส |
ขืนจะใคร่ไปบวชชวดมีลูก | นุ่งหนังผูกคากรองทั้งต้องอด |
อยู่ถิ่นฐานบ้านเมืองมีเครื่องยศ | ลองชิมรสลูกฝรั่งมั่งเป็นไร |
อร่อยจริงยิ่งกว่ากินลูกลิ้นจี่ | จะหานางอย่างนี้หาที่ไหน |
เขมรลาวชาวละครทั้งมอญไทย | พ่อก็ได้ลองแล้วนะแก้วตา |
ที่รูปดีขี้มักไม่รักผัว | เพราะเชื่อตัวว่าไม่ขาดคนปรารถนา |
บ้างดึงดื้อถือยศไม่ลดลา | บ้างดูหน้าบางบางแต่คางเพชร |
บ้างรู้แต่แง่งอนไม่อ่อนหวาน | บ้างจัดจ้านจ้วงจาบจึงหลาบเข็ด |
มีเมียเดียวเจียวจึงหาที่กลเม็ด | เป็นสำเร็จราชการสำราญรมย์ |
พอนึกได้ไม่ทันพักพยักหน้า | ทั้งวงศาสุจริตสนิมสนม |
ส่วนท่วงทีดีเหลือไม่เบื่อชม | เขามักคมในฝักชักออกวาว |
ถึงยามร้อนผ่อนสบายให้หายร้อน | ยามหนาวนอนแนบกายให้หายหนาว |
อันหญิงอื่นหมื่นแสนในแดนดาว | ไม่สู้ชาวลังกาสัจจาจริง |
เจ้าไม่เคยเลยพ่อนี้คอเก่า | จนแก่เฒ่าก็ไม่เรื้อเบื่อผู้หญิง |
โอรสฟังนั่งง่วงไม่ท้วงติง | พระก็ยิ่งใหลหลงอยู่องค์เดียว ฯ |
๏ ฝ่ายสองนางฟังยิ้มอยู่ริมฉาก | ชมฝีปากหน่อนาถฉลาดเฉลียว |
ไม่รู้จักรักผู้หญิงจริงจริงเจียว | จึงเด็ดเดี่ยวไม่ถูกมนต์หยูกยา |
ไม้เท้านี้ดีจริงแม้หญิงจับ | เห็นจะกลับเสื่อมมนต์ดลคาถา |
เข้าเลียมลองต้องตัวให้มัวตา | หน่อยหนึ่งหน้าก็จะก่ำดังตำลึง |
ถ้าจะให้ไปห้องสองกับเจ้า | ชิงไม้เท้าเสียให้ได้เข้าให้ถึง |
นางแอบฟังนั่งนึกกันลึกซึ้ง | อันดื้อดึงได้ผัวอย่ากลัวอาย ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระอภัยพิไรสอน | สุดสาครบิดเบือนไม่เหมือนหมาย |
จนจวนค่ำทำเล่ห์เพทุบาย | กริ้วลูกชายช่างไม่รู้รักผู้ดี |
มาพบเห็นเป็นลูกจะปลูกฝัง | ว่าไม่ฟังปล่อยปละก็จะหนี |
พลางตรัสเรียกธิดาสุลาลี | มาข้างที่พระบัลลังก์สั่งกำชับ |
ช่วยคุมเขาเจ้าคนนี้ไว้ทีหนึ่ง | เขาดื้อดึงอยู่อย่าปล่อยคอยกำกับ |
หัสไชยไว้ธุระพ่อจะรับ | อยู่นอนกับบิดาได้พาที ฯ |
๏ สุดสาครอ่อนหวานประทานโทษ | แม้ไม่โปรดให้ไปก็ไม่หนี |
ถวายชีวิตสิทธิ์ขาดแล้วชาตินี้ | ตามแต่ที่บุญกรรมได้ทำมา |
ถึงเนื้อเลือดเชือดถวายเหมือนหมายมาด | ขอแต่อย่าให้ขาดพระศาสนา |
ถ้าเดี๋ยวนี้มิสงสารพระมารดา | ลูกจะฆ่าตัวถวายให้หายแคลง |
นี่ห่วงใยไม่ตายเป็นกายอยู่ | ก็จะสู้ปรนนิบัติไม่ขัดแข็ง |
พลางนึกแค้นแสนเทวษพระเนตรแดง | ก้มกันแสงเศร้าจิตด้วยบิดร ฯ |
๏ พระอภัยให้ธิดาพาไปห้อง | เอาแต่น้องไว้สุวรรณบรรจถรณ์ |
นางลีวันนั้นพาสุดสาคร | มาห้องนอนขึ้นนั่งบัลลังก์ทอง |
จัดเครื่องอานพานสลานั้นมาตั้ง | แล้วแกล้งนั่งเคียงล่อสองต่อสอง |
พอมืดกลุ้มคลุ้มค่ำเขาย่ำฆ้อง | ประทีปส่องแสงสว่างกระจ่างตา |
สุดสาครร้อนตัวกลัวผู้หญิง | ไม้เท้าพิงพาดวางไว้ข้างขวา |
นั่งกอดเข่าเซาซึมพึมภาวนา | นางพูดจาว่ากระไรก็ไม่เงย |
คิดถึงน้องต้องไปอยู่ไกลพี่ | เคยร่วมที่แอบองค์สรงเสวย |
เวลานี้มิได้เห็นเหมือนเช่นเคย | โอ้อกเอ๋ยเป็นเคราะห์ต้องเกาะกุม |
พระบิตุรงค์หลงใหลแล้วไม่สา | ยังจะพาลูกให้ซ้ำถลำหลุม |
ไม่ยอมรักกักขังให้นั่งคุม | ให้นึกกลุ้มกลัดใจด้วยไม่เคย |
นางลีวันนั้นเอาเครื่องมาเทียบถวาย | ไม่สบายพระทัยก็ไม่เสวย |
เขาวอนเตือนเชือนแชไม่แลเลย | อิงเขนยนั่งภาวนาไป ฯ |
๏ นางเห็นนิ่งยิ่งล้อยิ่งพ้อตัด | กอดพระหัตถ์เจ่าจุกเป็นทุกข์ไฉน |
เฝ้าบ่นงึมพึมพำร่ำพิไร | หรือตรึกไตรตรองคำทำเพลงยาว |
หรือแต่งสารสังวาสนิราศเรื่อง | มาจากเมืองมัวหมองถึงน้องสาว |
เสียดายนุชสุดสวาทต้องขาดคราว | พระพี่หนาวหนักหนาไม่มาตาม |
เสาวคนธ์มณฑายุพาพักตร์ | มิงามนักแล้วหรือหนอน้องขอถาม |
สุดสาครร้อนใจดังไฟลาม | มันออกนามกนิษฐาต้องพาที ฯ |
๏ กระไรเจ้าเฝ้าพ้อเฝ้าล้อเล่น | ดูหน้าเป็นสารพัดไม่บัดสี |
เอานามน้องของข้ามาพูดกาลี | โน่นหล่อนดีดอกไม่เป็นเหมือนเช่นตัว |
พึ่งรุ่นราวสาวแส้กระแตวับ | ไม่นอนหลับเลียปากให้อยากผัว |
เฝ้าพูดจาว่าแต่เขาช่างเมามัว | เจ้ามันตัวสันทัดได้หัดปรือ |
จนดึกดื่นขืนเฝ้าแต่เซ้าซี้ | จะไม่มีผัวนี้ไม่ดีหรือ |
พระเคืองแค้นค่อนขอดนั่งกอดมือ | นางไม่ถือคิดว่าผัวเฝ้ายั่วเย้า ฯ |
๏ นางว่าข้าไม่มีผัวตัวพระพี่ | จะไม่มีเมียได้หรือไม่เล่า |
เห็นเมินนิ่งยิ่งล้อขอไม้เท้า | ขยับเข้าแย่งยุดพระฉุดชิง |
เดชะฤทธิ์สิทธารักษาไม้ | ครั้นหญิงใกล้กลับเป็นงูไล่ผู้หญิง |
ดูยาวเฟื้อยเลื้อยมาน่ากลัวจริง | นางหวีดวิ่งวุ่นวายกลับหายวับ |
ยังตัวสั่นหวั่นหวาดไม่อาจชะอ้อน | สุดสาครแค้นอารมณ์ลมจะจับ |
เสียดายเหลือเหงื่อชโลมออกโซมซับ | สลบกับที่นิ่งไม่ติงกาย ฯ |
๏ พระสะอื้นฟื้นองค์ดำรงนั่ง | ดูหน้าหลังแลเปล่าไม้เท้าหาย |
คู่ชีวาอาวุธสุดเสียดาย | พระฟูมฟายชลนัยน์สงสัยความ |
ลงจากเตียงเลี่ยงออกไปนอกห้อง | เที่ยวหาของคู่ชีวิตไม่คิดขาม |
เห็นสาวสาวชาววังที่นั่งยาม | แวะเข้าถามถึงไม้เท้าก็เปล่าไป |
แล้วถามถึงพระเจ้าอาเชษฐานั้น | พระทรงธรรม์ทั้งสองอยู่ห้องไหน |
เขาทูลแจ้งอยู่ที่แสงสว่างไฟ | เสด็จไปแฝงฟังกำบังองค์ |
เห็นพี่เอกเขนกแอบแนบผู้หญิง | เฝ้าอ้อยอิ่งโอบอุ้มดูลุ่มหลง |
อีฝรั่งนั่งเรียงอยู่เคียงทรง | เข้าแอบองค์เอียงแก้มยิ้มแย้มพราย |
แล้วมิหนำซ้ำชะอ้อนป้อนชานหมาก | น่าเหียนรากรังเกียจเกลียดใจหาย |
จะเข้าเฝ้าเล่าก็เบื่อเหลือละอาย | ค่อยแฝงกายเยื้องย่องไปห้องอา |
ไม่แจ้งความถามเหล่านางสาวใช้ | ว่าอยู่ในฉากชั้นที่กั้นฝา |
มองเขม้นเห็นพระองค์ทรงสกา | นางรำภาแพ้นับเบี้ยทับคะแนน |
ถึงเจ็ดเบี้ยเสียหายถวายแก้ม | พระจูบแถมเถียงท้วงทำหวงแหน |
ต้องจูบคืนยืนดูอดสูแทน | ทำหนุ่มแน่นน่าเบื่อเหลือรำคาญ ฯ |
๏ กระแอมไอให้เสียงแล้วเมียงนั่ง | พระเหลียวหลังแลเขม้นเห็นพระหลาน |
เรียกให้ขึ้นบนที่นั่งอลังการ | พ่อมาป่านนี้ไยไม่ไสยา |
สุดสาครอ่อนเกล้าเล่าถวาย | ไม้เท้าหายเสียทีเดียวจึงเที่ยวหา |
แล้วทูลความตามสมเด็จพระบิดา | ให้สุลาลีขังไว้วังใน ฯ |
๏ ศรีสุวรรณนั้นหัวเราะว่าเคราะห์เจ้า | เมื่อไม้เท้าอยู่กับกายให้หายได้ |
จงมีเมียเสียเถิดหลานสำราญใจ | นึกเหมือนไพร่มันว่าตำราบุราณ |
มีเมียเคล้ามีข้าวกินแล้วสิ้นทุกข์ | อยู่ไหนไหนได้เป็นสุขสนุกสนาน |
แล้วลืมองค์หลงเลี้ยวพูดเกี้ยวพาน | สามกระดานแล้วหนาจำนางรำภา ฯ |
๏ สุดสาครร้อนรุ่มให้กลุ้มอก | เหมือนมาตกกลางทะเลเสนหา |
จะพึ่งพี่มิได้พึ่งมาถึงอา | อาก็พาผูกรักชักชโลง |
โอ้เหมือนอย่างช้างเถื่อนที่เพื่อนเบียด | เข้าเพนียดแดดิ้นจนสิ้นโขลง |
เหมือนตัวเราเล่าจะถูกเข้าผูกโรง | เพราะญาติโยงยั่วเย้าให้เข้าซอง |
ขี้เกียจฟังนั่งนานรำคาญจิต | อารมณ์คิดถึงไม้เท้ายิ่งเศร้าหมอง |
บังคมลามาสิงหาสน์ปราสาททอง | เที่ยวเดินมองหาไม้อาลัยแล ฯ |
๏ ฝ่านสุลานารีบุตรีน้อย | สะกดรอยฟังความตามกระแส |
เห็นโศกศัลย์ฟั่นเฟือนเที่ยวเชือนแช | ด้วยของแก้อิทธิฤทธิ์ไม่ติดตัว |
ยิ้มละไมในหน้าสมาบาป | คงตายราบน้องแล้วไม่แคล้วผัว |
ทำแกล้งเดินเมินหน้าเหมือนตามัว | เข้ากอดตัวยุดไว้ว่าใครยืน |
แล้วเป่ามนต์สนจิตประสิทธิ์ประสาท | เสียวสวาทประดิพัทธ์ไม่ขัดขืน |
พลางทำเป็นเห็นฟางว่ากลางคืน | พระมายืนอยู่ไยไม่ไสยา |
ให้อยู่ห้องต้องขังไม่นั่งนิ่ง | ติดผู้หญิงอยู่ที่ไหนหรือไปหา |
เที่ยวเชือนแชแต่หัวค่ำไม่อำลา | แล้วจูงมาเข้าห้องอยู่สองคน |
หับทวารบานไว้เสียให้แน่น | แล้วขึ้นแท่นสังเกตดูเหตุผล |
สุดสาครร้อนจิตด้วยฤทธิ์มนต์ | ทั้งผีดลจิตชักให้รักนาง |
นึกหอมกรุ่นฉุนเฉียวเสียวแสยง | พระพักตร์แดงดูก่ำดังน้ำฝาง |
ลืมความรู้ครูสอนแต่ก่อนปาง | ให้รักนางบุตรีลาลีวัน |
พินิจชมคมขำล้ำมนุษย์ | ดูงามสุดสิ้นอย่างนางสวรรค์ |
ตะลึงหลงลงกระดูกให้ผูกพัน | จนสุดกลั้นผันผ่อนพูดงอนง้อ |
ประหลาดจริงยิ่งดึกยิ่งนึกหนาว | เป็นลมว่าวข้าวเบาหนอเจ้าหนอ |
เมื่อพลบค่ำย่ำระฆังเฝ้านั่งล้อ | ไยไม่พ้ออีกเล่าหรือหาวนอน |
นางรู้ทีผีวิ่งเข้าสิงสู่ | นึกว่าอยู่แล้วเหมือนถูกเล่นลูกศร |
จะเชือนแชแก้เผ็ดให้เข็ดงอน | ทำคมค้อนบึ้งหน้าแล้วพาที ฯ |
๏ พระบิตุรงค์ทรงศักดิ์ให้กักขัง | จึงต้องนั่งคุมตัวกลัวจะหนี |
แต่หัวค่ำร่ำว่าเป็นกาลี | ประเดี๋ยวนี้จะให้ล้อพูดก่อความ |
แล้วก็พระจะได้ด่าให้สาหัส | สารพัดจ้วงจาบทำหยาบหยาม |
ยังเจ็บอกฟกช้ำดังน้ำคราม | อย่าลวนลามเลียมล้อไม่พอใจ ฯ |
๏ สุดสาครผ่อนแก้นี่แน่น้อง | พี่แกล้งลองใจดอกจะบอกให้ |
ไม่ถือโทษโกรธตอบขอบฤทัย | จะรักใคร่ครองกันจนวันตาย |
อันตัวเจ้าเยาวมาลย์ประทานพี่ | ให้เป็นที่รักสมอารมณ์หมาย |
อย่าควรคิดปลิดเปลื้องเคืองระคาย | ขอฝากกายแก้วตาสุลาลี |
แล้วเอนแอบแนบน้องประคองหัตถ์ | นางป้องปัดผลักพลิกแล้วหลีกหนี |
อะไรเล่าเฝ้ากวนทำยวนยี | น้อยหรือพี่พูดเลี้ยวมาเกี้ยวน้อง |
กระหม่อมฉันมันตอแหลกระแตวับ | อย่ามาจับต้องตัวจะมัวหมอง |
ขืนเลี่ยงเลียบเทียบเทียมทำเลียมลอง | คงร้องก้องไปทั้งวังไม่ฟังเลย |
ว่าประทานฉันทำไมฉันไม่รู้ | พระมาตู่เอาเปล่าเปล่าแม่เจ้าเอ๋ย |
อย่าเลียมเล่นเช่นนั้นฉันไม่เคย | ไม่ยอมเลยแล้วพระองค์อย่าสงกา ฯ |
๏ พระแก้เกี้ยวเลี้ยวประโลมโฉมเฉลา | ทำไมเล่ามิให้ชิดกนิษฐา |
เจ้าเป็นน้องของพี่เพียงชีวา | ควรหรือมาข้องขัดคอยปัดมือ |
ประเวณีพี่น้องก็ต้องลูบ | แล้วกอดจูบกันเป็นไรไม่ได้หรือ |
ส่วนตัวพี่นี้เจ้าฉุดแย่งยุดมือ | ก็ไม่ถือโทษเห็นว่าเป็นน้อง |
ซึ่งว่าหยอกออกเจ็บจะเก็บโกรธ | พี่ขอโทษเถิดนะเจ้าอย่าเศร้าหมอง |
พลางลูบกายสายสมรกรตระกอง | นอนเถิดน้องพี่จะกล่อมถนอมนวล |
ประคองอุ้มจุมพิตเชยชิดโฉม | เลียมประโลมลูบต้องของสงวน |
นางผลักพลิกหลีกเลื่อนเบือนกระบวน | แกล้งหยิกข่วนแก้เผ็ดให้เข็ดมือ |
แล้วว่าเบื่อเหลือที่เป็นพี่น้อง | มาลูบต้องเหมือนเช่นชู้ได้อยู่หรือ |
เหมือนพระพี่นี้น้องต้องยุดมือ | ด้วยน้องซื่อสุจริตพระคิดคด |
นางเสาวคนธ์มณฑาจะมาหึง | สักหน่อยหนึ่งน้องจะยับอัปยศ |
พระเป็นชายหมายจะลิ้มลองชิมรส | แล้วจะปลดเปลื้องปละสละไป |
น้องก็รู้อยู่สิ้นว่าลิ้นถอด | ไม่ตลอดลึกซึ้งไปถึงไหน |
มามูมมามลามลวนทำกวนใจ | น้องจะได้ความอายเมื่อปลายมือ ฯ |
๏ พระว่าเจ้าเสาวคนธ์วิมลพักตร์ | เหมือนน้องรักร่วมครรภ์พี่นั้นหรือ |
ขอเสียเถิดอย่าปัดให้ฟัดครือ | นี่แหละสื่อเท่าตัวสมผัวเมีย |
จะคลึงเคล้าเฝ้ากอดจนมอดม้วย | จงเอออวยอนุกูลอย่าสูญเสีย |
พลางขยับทับเพลาเข้าเคล้าเคลีย | อะลิ้มเอลี่ยลูบต้องประคองโลม ฯ |
๏ สุลาลีมีแต่หยิกแล้วพลิกผลัก | นี่หรือรักน้องหนักทำหักโหม |
ข่มเหงเล่นเช่นชู้ทำจู่โจม | แล้วเล้าโลมลูบคลำให้ช้ำมือ |
สาธุสะพระก็ถือเป็นฤๅษี | มายวนยียุ่งหยาบไม่บาปหรือ |
แม้รักจริงทิ้งเมืองให้เลื่องลือ | เชิญมาถือเพศฝรั่งเมืองลังกา |
หนังเสือเหลืองเครื่องพรตจงปลดเสีย | จึงมีเมียจะได้ขาดพระศาสนา |
แม่ทำตามความฉันจำนรรจา | จะเห็นว่ารักจริงไม่กริ่งใจ ฯ |
๏ พระฟังคำร่ำว่าให้ลาพรต | เสียวสลดรำลึกนึกขึ้นได้ |
ด้วยพระเดชะพระกุศลเข้าดลใจ | เสียดายไม้เท้าสะอื้นกลืนน้ำตา |
นางรู้ทีแกล้งจี้ที่สีข้าง | เหลียวเห็นนางนึกรักเป็นหนักหนา |
จึงว่าพี่นี้ไม่ขัดหัทยา | อยากเป็นฝาหรั่งเล่นเย็นเย็นใจ |
แล้วลาพรตปลดเปลื้องเครื่องหนังเสือ | ทรงใส่เสื้อเส้นทองดูผ่องใส |
ด้วยโลกีย์นี้มันปลื้มให้ลืมไตร | เหมือนสึกใหม่มีเมียเฝ้าเคลียคลอ |
เข้าคลึงเคล้าเฝ้าพลอดทางกอดเกี้ยว | เราผัวเดียวเมียเดียวกันเจียวหนอ |
นางแกล้งว่าอย่าเพ่อหวังคอยรั้งรอ | น้องไม่ล่อลวงจริงจะยิงยอม |
แต่รอรักสักหน่อยค่อยค่อยรัก | มิใช่จักโหยหิวให้ผิวผอม |
ดูฤกษ์พานาทีให้ดีพร้อม | น้องจะยอมอย่างประสงค์จำนงใน |
พระอิงแอบแนบชิดจุมพิตพักตร์ | จะผัดรักรื้อตะบึงไปถึงไหน |
อันอดอื่นหมื่นแสนทั้งแดนไตร | พี่อดได้อยู่ดอกด้วยนอกกาย |
แต่ครั้งนี้ที่จะอดซึ่งรสรัก | สุกจะหักห้ามสวาทให้ขาดหาย |
เขาเป็นทั้งลังกาไม่น่าอาย | อย่ากลับกลายแกล้งว่าทารกรรม |
พลางกอดเกี้ยวเกลียวกลมภิรมย์รื่น | ถนอมชื่นเชยชิมไม่อิ่มหนำ |
นางว่าเบื่อเหลือเข็ญเฝ้าเคล้นคลำ | จะชอกช้ำไปเสียแล้วไม่แคล้วเลย |
ห้ามเท่าไรไม่ยั้งไม่ฟังห้าม | ตามเถิดตามบุญกรรมแกล้งทำเฉย |
พระกอดช้อนกรต้องประคองเชย | ต่างไม่เคยขามเขินเผอิญเป็น |
กระดี้กระดิกพลิกเพลี่ยงเบือนเบี่ยงบิด | เหมือนเรือติดตมตื้นจะขืนเข็น |
แต่สาวหนุ่มชุ่มชื่นระรื่นเย็น | บังเกิดเป็นอัศจรรย์ไม่ทันรู้ |
ด้วยรวดเร็วเปลวไฟประลัยราค | เหมือนขึ้นปากนกหินใส่ดินหู |
พอลั่นฉับสับไกก็ไฟฟรู | เสียงฟุบฟู่ฟุ้งฟูมดังตูมตึง |
ต่างละเลิงเชิงชมภิรมย์รื่น | อันรสอื่นหรือจะเปรียบประเทียบถึง |
นางเมียยั่วผัวเย้าเฝ้าเคล้าคลึง | จนเหนื่อยจึงเคลิ้มหลับระงับไป ฯ |
๏ อันเรื่องราวคราวสุดสาครคลั่ง | ด้วยกำลังโลกีย์เป็นวิสัย |
ถึงนักสิทธ์ฤทธิรงค์ทั้งทรงไตร | เข้าเคียงใกล้โลกีย์แล้วมิพ้น |
พอแจ่มแจ้งแสงสีรวีจำรัส | จบจังหวัดฟากฟ้าเวหาหน |
หน่อกษัตริย์หัสไชยอยู่ไพชยนต์ | บรรทมบนแท่นทองที่รองทรง |
ครั้นรู้สึกนึกรำพึงถึงพระพี่ | ฉวยเสียทีอีผู้คุมจะลุ่มหลง |
ค่อยขยดลดเลื่อนพระองค์ลง | มาโสรจสรงพักตราแล้วคลาไคล |
ถึงห้องที่ลาลีวันกำนัลนั่ง | ถามว่ายังไสยาสน์อนาถไฉน |
คอยฟังเสียงเมียงมองเข้าห้องใน | เห็นหลับใหลแลแปลกแต่แรกมา |
มองเขม้นเห็นเปลื้องเครื่องหนังเสือ | ใส่แต่เสื้อสมเพชพระเชษฐา |
กอดผู้หญิงอิงแอบแนบนิทรา | คลอน้ำตาตกใจกระไรเลย |
ตะลึงคิดผิดทีพระพี่เจ้า | มาหลงเข้าซองซ้ำแล้วกรรมเอ๋ย |
จนรุ่งแจ้งแสงสายยังก่ายเกย | ไม่เห็นเลยว่าจะเป็นถึงเช่นนี้ |
เข้าปลุกสั่นบรรทมริมบรรจถรณ์ | สุดสาครรู้สึกนึกบัดสี |
ด้วยแรกตื่นฝืนอารมณ์ได้สมประดี | ลงจากที่แท่นทองกอดน้องน้อย |
ทรุดพระองค์ลงนั่งนึกสังเวช | น้ำพระเนตรหยดเหยาะลงเผาะผอย |
พี่ผิดพลั้งครั้งนี้เพราะผีพลอย | เหมือนตายน้อยน้องเอ๋ยไม่เคยเป็น |
วิปริตจิตใจให้ไหลเลื่อน | อยู่ก็เชือนเฟือนฟั่นเหมือนฝันเห็น |
แล้วตรัสกับอนุชาเวลาเย็น | ไม้เท้าเป็นงูหายเสียดายนัก |
พลางสะอื้นกลืนกลัดให้ขัดข้อง | กอดพระน้องแนบประทับไว้กับตัก |
ประโลมลูบจูบจอมถนอมพักตร์ | เหมือนเคยรักรู้สึกด้วยนึกมนต์ ฯ |
๏ อนุชาว่าพระพี่หนีเถิดจ๊ะ | ขืนอยู่นะคิดเห็นไม่เป็นผล |
เรารีบออกนอกห้องทั้งสองคน | ข้างพระชนนีคงจะหลงคอย ฯ |
๏ นางสุลาลีฟังเห็นคลั่งหาย | เชื่อน้องชายฉุนแค้นแน่นคอหอย |
ลุกมานั่งข้างเตียงเมียงชม้อย | แล้วว่าน้อยหรือพระพี่เธอดีจริง |
เห็นนอนฝันพันผูกถึงลูกสวาท | เหลือประหลาดแล้วผู้ชายกลายเป็นหญิง |
พอเห็นนางวางน้องต้องประวิง | พระก็นิ่งนั่งพินิจด้วยคิดเกรง |
รูปก็งามนามก็เพราะฉอเลาะแหลม | ทั้งสองแก้มเหมือนอย่างมะปรางเปล่ง |
ดูผิวผ่องเพียงพระจันทร์เมื่อวันเพ็ง | ชำเลืองเล็งแลแฉล้มแล้วแย้มยิ้ม ฯ |
๏ หน่อกษัตริย์หัสไชยเห็นใหลหลง | กำสรดทรงสร้อยเศร้านั่งเหงาหงิม |
แค้นฝรั่งช่างไม่อายทำพรายพริ้ม | เข้านั่งริมผัวแอบไว้แนบเนื้อ |
นึกด่าทอตอแหลชอบแต่ตบ | ไม่เคยพบหน้าเป็นทะเล้นเหลือ |
ชะเช่นนี้มีมีดจะกรีดเนื้อ | ให้ทานเสือเสียให้สิ้นลิ้นลังกา |
จะนั่งดูอยู่ก็แสนจะแค้นคั่ง | สุชลหลั่งคลอเนตรดูเชษฐา |
เหลือเจ็บช้ำน้ำใจอาลัยลา | กลับออกมาห้องกลางที่ปรางค์ใน ฯ |
๏ พอบิตุรงค์องค์ละเวงวัณฬาราช | ตื่นไสยาสน์เรียกหาแล้วปราศรัย |
ให้แต่งองค์ทรงเสวยสว่างใจ | พระหัสไชยกราบก้มบังคมลา |
จ่ามหาดเล็กอยู่ประตูนอก | จึงไปบอกไพร่นายทั้งซ้ายขวา |
พระจะกลับไปประทับที่พลับพลา | ได้ปล่อยม้าปล่อยสิงห์วิ่งสบาย ฯ |
๏ นางละเวงเกรงไม่กลับกำชับสั่ง | คืนมาวังนะอย่าไปให้สูญหาย |
แล้วเหลียวหลังสั่งตัวเจ้าขรัวนาย | ช่วยถวายพระกลดทรงองค์โอรส |
บอกสาวสาวเหล่าสุรางค์นางน้อยน้อย | ให้มาคอยตามหลังไปทั้งหมด |
หน่อกษัตริย์หัสไชยฤทัยระทด | น้อมประณตลามาชาลาลาน ฯ |
๏ ข้าหลวงตามหลามทางท้าวนางกั้น | กลดสุวรรณกันแสงพระสุริย์ฉาน |
เสด็จมาหน้าประตูดูอาการ | เห็นทหารหิวโหยโรยกำลัง |
จึงขับเหล่าสาวใช้ไปเถิดนะ | แล้วคงจะพบกันอีกวันหลัง |
แล้วบอกกล่าวเล่าให้นายไพร่ฟัง | ขึ้นทรงนั่งสิงห์ขับไปพลับพลา ฯ |