ตอนที่ ๑๒ พระอภัยมณีพบนางสุวรรณมาลี

๏ จะกล่าวถึงพระอภัยมณีนาถ กับองค์ราชกุมารชาญสนาม
หัดภาษาฝรั่งทั้งจีนจาม ราวกับล่ามพูดคล่องทั้งสององค์
เมื่อวันหนึ่งถึงยามเข้าไสยาสน์ นึกอนาถนิ่งคิดพิศวง
ด้วยพลัดพรากจากตระกูลประยูรวงศ์ มาเปลี่ยวองค์อ้างว้างอยู่กลางทะเล
จะเหลียวซ้ายแลขวาอนาโถ หัวอกโอ้อับจนระหนระเห
จะโดยสารก็ไม่สมอารมณ์คะเน ให้ว้าเหว่หวั่นหวั่นทุกวันคืน
คิดรำพึงถึงธรรมพระกรรมฐาน เป็นอาการถ่ายโทษที่โหดหืน
เกิดแล้วตายวายวางไม่ยั่งยืน จะม้วยคืนวันไรก็ไม่รู้
เราเกิดมาอาภัพอัปภาคย์ ต้องพลัดพรากจากนครจนอ่อนหู
จะถือคำธรรมขันธ์สัพพัญญู ให้ค้ำชูชาติหน้าอย่าเช่นนี้
นึกศรัทธากล้าหาญสำราญจิต จนอาทิตย์อุทัยไขรัศมี
ชวนลูกยามายังท่านโยคี อัญชลีเล่าความตามคำนึง
จะขอบวชบรรพชารักษากิจ อยู่เป็นศิษย์ในสำนักสักพักพึ่ง
พอสมสร้างทางธรรมสำมะดึงส์ ให้ลุถึงพระนิพพานสำราญใจ ฯ
๏ พระโยคีมีศีลได้ยินว่า หัวเราะร่ารื้อถามตามสงสัย
สินสมุทรบุตรบวชด้วยหรือไร แล้วอย่าไปโลดเต้นเล่นคะนอง ฯ
๏ กุมารว่าข้าจะบวชกับบิตุเรศ เรียนไตรเพทถือศีลไม่กินของ
พระทรงธรรม์กรุณาให้คากรอง ทั้งสองครองครบสิ้นด้วยยินดี
ผูกชฎาอาภรณ์โพกกระหวัด ประคำซัดสวมมือเหมือนฤๅษี
มานั่งเรียงเคียงกันอัญชลี พระโยคีขัดสมาธิบนอาสน์รัตน์
แล้วอวยชัยให้ศีลห้าสถาผล ตั้งแต่ต้นปาณาไม่ฆ่าสัตว์
ครั้นจบศีลสิกขาสารพัด หมั่นนมัสการเพลิงตะเกิงกอง ฯ
๏ สองสิทธาสาธุลุแก่ศีล สำเร็จสิ้นแล้วก็ลามาทั้งสอง
มัธยัสถ์ครัดเคร่งไม่ขาดครอง ตามทำนองสิทธาบูชาเพลิง ฯ
๏ กล่าวถึงลำสำเภาท้าวสิลราช พระพายกราดพาระเหิดเตลิดเหลิง
ต้องลมใหญ่ใบฉีกเป็นปีกเปิง ลอยละเลิงแล่นมาสิบห้าคืน
ถึงช่องกว้างหว่างเขาเหล่าละเมาะ แลเห็นเกาะหนึ่งไกลใหญ่ทะมื่น
รุกขาเขาเขียวชอุ่มเป็นพุ่มยืน ที่ภูมิพื้นแผ่นผาโอฬารึก
จึงทรงส่องกล้องแก้วแววสว่าง เห็นสล้างสลับแลล้วนแต่ตึก
เพ่งพินิจคิดประหลาดอนาถนึก แล้วรำลึกความหลังได้ดังใจ
เทวดาว่าจะพบผู้วิเศษ สบสังเกตเขานี้ไม่มีไหน
จึงสั่งให้นายท้ายบ่ายเข้าไป ประทับใกล้เงื้อมผาหน้าคิรี
แล้วตรัสใช้ให้ขุนหมื่นขึ้นบนเขา ดูกุฏิ์เปล่าอยู่ดอกหรือมีฤๅษี
ถ้าพบองค์จงแถลงแจ้งคดี ว่าเรานี้จะไปหาพระอาจารย์ ฯ
๏ ผู้รับสั่งบังคมบรมนาถ ขึ้นทางหาดหุบผาด้วยกล้าหาญ
มองเห็นคนบนศาลาที่หน้าชาน มากประมาณร้อยเศษหลายเพศพรรณ
พระโยคีมีสองเจ้าเณรหนึ่ง หลงตะลึงแลชมล้วนคมสัน
จึงเข้าไปใกล้ศาลาเห็นหน้ากัน คนทั้งนั้นถามไถ่ไปไหนมา
ขุนหมื่นบอกออกความตามรับสั่ง แล้วมานั่งกราบพระองค์ทรงสิกขา
ว่าบัดนี้กรุงกษัตริย์ขัตติยา จะขึ้นมาจบพระหัตถ์นมัสการ ฯ
๏ พระโยคีดีใจให้อนุญาต ตามแต่ราชศรัทธาไม่ว่าขาน
ขุนหมื่นลามาประณตบทมาลย์ ทูลพระผ่านโภคาสารพัน ฯ
๏ จอมกษัตริย์ตรัสสั่งคนทั้งหลาย ทั้งไพร่นายต้นหนคนขยัน
เราจะพากันขึ้นไปไหว้นักธรรม์ จงเร่งกั้นฉนวนน้ำทำสะพาน
ขุนนางรับขับคนขึ้นบนเขา บ้างตัดเสาผ่าเรือกบ้างเสือกสาน
ฉนวนนั้นกั้นขึ้นมาถึงหน้าพระลาน ปักสะพานลงในน้ำถึงสำเภา
กรุงกษัตริย์ตรัสชวนพระลูกน้อย ประคองค่อยเล้าโลมโฉมเฉลา
ทั้งสุรางค์นางสนมล้วนซมเซา ทั้งผมเผ้ารื้อรกด้วยอกตรอม
ฝืนอารมณ์นุ่งห่มพอสมโศก เหมือนรื้อโรครูปกายยังผ่ายผอม
ขึ้นจากเรือพระที่นั่งสะพรั่งพร้อม ตามพระจอมกษัตราพาดำเนิน
ไปตามทางหว่างสวนฉนวนกั้น ถึงเชิงชั้นแผ่นผาศิลาเผิน
ดูกุฎีที่ศาลาก็น่าเพลิน ควรเจริญอิริยารักษาพรต
พระชมพลางทางพาธิดาราช กำนัลนาฏแวดล้อมมาพร้อมหมด
เห็นโยคีที่บัลลังก์นั่งประณต แล้วทรงยศตรัสถามตามบุราณ
ผู้เป็นเจ้าสามองค์ทรงสิกขา ดูโสภารูปทรงส่งสัณฐาน
แต่องค์นั้นฉันดูเป็นกุมาร มาอยู่นานหรือพึ่งมารักษาพรต
หนึ่งลูกไม้ในเกาะพอเสาะฉัน หรือกลางวันวายฤดูก็สู้อด
ทั้งสัตว์ร้ายสายชลบนบรรพต มาบีฑาปรากฏบ้างหรือไร ฯ
๏ พระทรงศีลภิญโญสโมสร ถวายพรพูดจาอัชฌาสัย
อาตมาผาสุกไม่ทุกข์ภัย แต่บวชได้พรรษาก็กว่าพัน
อันพวงผลผลาสารพัด ไม่ขาดขัดที่ในเกาะพอเสาะฉัน
เดชะฤทธิ์กิจกรมพรหมจรรย์ สารพันโพยภัยมิได้พาน
แต่โยคีนี่เธอพึ่งบวชใหม่ ชื่ออภัยพงศ์กษัตริย์พลัดถิ่นฐาน
แล้วเล่าความตามเรื่องเคืองรำคาญ นั่นกุมารสินสมุทรบุตรพระอภัย
แล้วว่ารูปขอถามความบพิตร ท้าวสถิตนัคเรศประเทศไหน
มีธุระพะพานประการใด จึงมาในทะเลลมยมนา ฯ
๏ กรุงกษัตริย์ตรัสแจ้งแถลงเล่า โยมเป็นเจ้าเมืองผลึกนึกหรรษา
พาโฉมยงองค์ราชธิดา ชมชลาลมพัดกระจัดกระจาย
จึงหลงทางกลางทะเลเที่ยวเร่ร่อน จะคืนนครก็ไม่ได้ดังใจหมาย
พระเล่าความตามแต่ต้นไปจนปลาย เจียนจะตายเสียเพราะคลื่นไม่คืนเป็น
แล้วตรัสว่าพระอภัยผู้เป็นเจ้า ทุกข์ก็เท่าโยมทุกข์เพราะยุคเข็ญ
จากสมบัติพลัดพรากได้ยากเย็น โยมมาเห็นก็ให้คิดอนิจจัง
จะขอถามความพระผู้เป็นเจ้า นิมนต์เล่าเหตุผลแต่หนหลัง
ไยจึงพรากจากเขตนิเวศน์วัง โยมยังฟังไม่กระจ่างในทางความ ฯ
๏ พระอภัยภูมีมุนีน้อย สดับถ้อยกรุงกษัตริย์ที่ตรัสถาม
ชำเลืองดูพระธิดาพะงางาม แล้วเล่าความตามเรื่องเคืองรำคาญ
พระบิดาข้าชื่อท้าวสุทัศน์ ผ่านสมบัติรัตนามหาสถาน
ข้ากับน้องต้องไปเรียนวิชาการ ตำบลบ้านจันทคามพราหมณ์พฤฒา
รูปเรียนกลดนตรีคือปี่เป่า พระน้องเจ้าเรียนกระบองคล่องนักหนา
อยู่ปีครึ่งจึงจากอาจารย์มา เที่ยวลีลาเลียบเดินตามเนินทราย
เห็นร่มไทรใกล้ฝั่งเข้ายั้งหยุด พบบุรุษหนุ่มพราหมณ์สามสหาย
ชวนพูดเล่นเจรจาประสาสบาย อยู่ที่ชายทะเลลมใต้ร่มไทร
สามมาณพรบเร้าให้เป่าปี่ อยากฟังฝีปากเล่นจะเป็นไฉน
ครั้นรูปเป่าเข้าก็หลับระงับไป ไม่แจ้งใจว่าไพรีจะมีมา
พอนางผีเสื้อสมุทรมาฉุดลาก ต้องกรำกรากตรอมอยู่ในคูหา
เอาความหลังทั้งนั้นมาพรรณนา จนหนีมาพึ่งบุญพระมุนี ฯ
๏ กรุงกษัตริย์ตรัสว่าน่าหัวร่อ เออก็พอที่หรือพระฤๅษี
วิชาอื่นดื่นไปว่าไม่ดี เรียนแต่ปี่ไปเที่ยวเป่าให้เขาฟัง
เดี๋ยวนี้ปี่มีอยู่หรือไม่เล่า นิมนต์เป่าให้โยมชมคารมมั่ง
ทั้งพวกเหล่าสาวสุรางค์นางชาววัง จะได้ฟังไพเราะเพราะโยคี ฯ
๏ พระอภัยได้ฟังนั่งชม้อย นางน้อยน้อยแลสบหลบฤๅษี
พอเนตรสบเนตรนุชพระบุตรี แกล้งพาทีทำเป็นว่าน่าเสียดาย
ถ้าพบเข้าคราวครั้งยังไม่บวช ไม่พูดอวดปากเปล่าจะเป่าถวาย
นี่ครองศีลสิกขารักษากาย เกรงอบายเบื้องหน้าอนาคต
แม้นท้าวไทจะใคร่ฟังหวังถวิล ว่าให้สินสมุทรลาสิกขาบท
เป่าถวายคล้ายครูพอรู้รส กลัวทรงยศจะบรรทมไม่สมประดี ฯ
๏ กรุงกษัตริย์สรวลสันต์ว่าฉันชอบ แล้วตรัสปลอบสินสมุทรบุตรฤๅษี
ช่างสมใจได้วิชาบิดาดี ช่วยเป่าปี่ให้ฉันฟังบ้างเป็นไร
จะบูชาผ้าต้นกำพลรัต โขมพัตถ์ลายทองอันผ่องใส
สร้อยเสมาปะวะหล่ำแลกำไล โยมจะให้งามงามตามจำนง ฯ
๏ สินสมุทรมุนีฤๅษีเล็ก ประสาเด็กดูของที่ต้องประสงค์
แล้วตอบว่าฉันจะใคร่ได้เครื่องทรง เหมือนที่องค์พระธิดาสารพัน ฯ
๏ องค์ท่านท้าวสาวสุรางค์ต่างหัวร่อ ฤๅษีพ่อก็สำรวลพลอยสรวลสันต์
นางโฉมฉายอายองค์พระทรงธรรม์ ทำเมียงหันเมินยิ้มอยู่พริ้มพราย ฯ
๏ กรุงกษัตริย์ตรัสว่าอย่าปรารภ มีอยู่ครบเครื่องกษัตริย์จะจัดถวาย
จะขอฟังปี่ให้ใจสบาย ถึงหลับตายไปสักวันไม่พรั่นใจ ฯ
๏ กุมาราลาลุกลงจากแท่น ออกโลดแล่นมากุฎีที่อาศัย
จึงลาศีลทรงภูษาผ้าสไบ ถือปี่ไปยังศาลาหน้าคิรี
ประณตนั่งบังคมบรมนาถ อยู่ริมอาสน์อัยกาตาฤๅษี
ภาวนาอาคมให้ลมดี แล้วเป่าปี่แปลงเพลงวังเวงใจ
ทำแหบหวนครวญว่าสาลิกาแก้ว ค่ำลงแล้วขวัญอ่อนจะนอนไหน
หนาวน้ำค้างพร่างพรมพนมไพร จะหนาวใจสาลิกาทุกราตรี ฯ
๏ กรุงกษัตริย์ฟังปี่ให้วิเวก เอกเขนกนั่งหาวทั้งสาวศรี
ให้วาบวับหลับล้มไม่สมประดี ทั้งโยคีผู้เฒ่าพลอยหาวนอน
แกเอนอิงพิงหลับอยู่กับอาสน์ พวกอมาตย์หลับกลิ้งริมสิงขร
ทั้งพวกไพร่นายเภตราที่สาคร ระเนนนอนหลับเรียบเงียบสำเนียง
ด้วยลมปี่เป่าดังกระทั่งโยชน์ ได้ทราบโสตสิงสัตว์สงัดเสียง
ในคงคาปลาร้ายขึ้นว่ายเรียง ฟังสำเนียงปี่แก้วแจ้วจับใจ ฯ
๏ ฝ่ายนักสิทธ์บิตุรงค์ทรงสวัสดิ์ เห็นสองกษัตริย์ไสยาสน์ไม่หวาดไหว
ทั้งสาวสรรค์กัลยาเสนาใน ไม่มีใครฟื้นกายดังวายปราณ
พระเพ่งพิศธิดายุพาพักตร์ ดูน่ารักรูปทรงส่งสัณฐาน
ช่างเปล่งปลั่งยังไม่มีราคีพาน น่าสงสารซบนิ่งไม่ติงกาย
พระเลื่อนองค์ลงจากบัลลังก์อาสน์ หวังสวาทว่าจะโลมนางโฉมฉาย
ครั้นเข้าชิดคิดได้ไม่ใกล้กราย แต่เดินชายชมนางไม่วางตา
พระโอษฐ์เอี่ยมเทียมสีลิ้นจี่จิ้ม เป็นลักยิ้มแย้มหมายทั้งซ้ายขวา
ขนงเนตรเกศกรกัลยา ดังเลขาผุดผ่องละอองนวล
ทำไฉนหนอจะได้ดวงสมร ร่วมที่นอนแนบน้องประคองสงวน
แล้วรั้งรักหักใจไม่บังควร ให้ปั่นป่วนกลับมานั่งข้างหลังครู
จึงห้ามให้สินสมุทรนั้นหยุดปี่ พระโยคีรู้สึกนึกอดสู
จึงว่าปี่ดีจ้านเจียวหลานกู เล่นเอาปู่ม่อยหลับระงับไป
แล้วแลดูผู้คนบนสิงขร ระเนนนอนนิ่งกลาดไม่หวาดไหว
หัวเราะพลางทางว่าสาแก่ใจ ช่างหลับใหลล้มกลิ้งทั้งหญิงชาย
แล้วโยคีตีระฆังดังหง่างเหง่ง เสียงโก่งเก่งก้องหูไม่รู้หาย
สองกษัตริย์รู้สึกนึกละอาย สงสารสายสวาทนั่งบังบิดา
สาวสุรางค์บ้างก็ยังกำลังหลับ เขาปลุกกลับกลิ้งหงายน่าขายหน้า
บ้างละเมอเพ้อเชือนว่าเพื่อนมา กษัตรากริ้วกราดตวาดไป
อีเหล่านี้ขี้เซาเบาอยู่หรือ ฉุดข้อมือให้มันตื่นขึ้นจงได้
แล้วเหลียวมาพาทีด้วยชีไพร เพราะสุดใจเจียวปี่ดีจริงจริง
ช่างฉ่ำเฉื่อยเจื้อยแจ้วถึงแก้วหู หลับไม่รู้สึกกายทั้งชายหญิง
แต่แรกไม่ได้ฟังยังประวิง ที่นี้จริงของเจ้าคุณพระมุนี
แล้วจัดได้เครื่องประดับสำรับเก่า มาให้เจ้าสินสมุทรบุตรฤๅษี
กุมาราว่าของหมองไม่ดี โปรดเปลี่ยนที่พระธิดามาประทาน ฯ
๏ กรุงกษัตริย์ตรัสพลางทางพระสรวล แล้วว่าชวนแลกเขาเอาเถิดหลาน
พระโยคีผู้เฒ่าว่าเจ้าคลาน ไปกราบกรานนงลักษณ์ตรงพักตรา
เป็นลูกเต้าเขาเถิดประเสริฐสุด อยู่เป็นบุตรดาบสอดนักหนา
ได้ฟังครูกุมารคลานเข้ามา ถึงตรงหน้านอบนบอภิวันท์ ฯ
๏ นางโฉมฉายอายจิตแต่คิดรัก ผินพระพักตร์คำนับแล้วรับขวัญ
ค่อยค่อยว่าข้าจะพาไปด้วยกัน ต่อตะวันลงลับจึงกลับมา ฯ
๏ สินสมุทรทรุดหมอบตอบสนอง พระทัยของชนนีดีนักหนา
ลูกไม่มีที่เห็นเป็นกำพร้า พระมารดาไปไหนไปด้วยกัน ฯ
๏ นางสาวสาวชาววังนั่งหัวเราะ รู้ประเหลาะลิ้นลมช่างคมสัน
กรุงกษัตริย์ตรัสด้วยพระนักธรรม์ บุญของฉันได้มาหาพระอาจารย์
จะใคร่บวชสวดมนต์อยู่จนม้วย ก็ห่วงด้วยธิดาโยธาทหาร
ทั้งข้าวปลาสารพันจะกันดาร ยิ่งอยู่นานยิ่งจะยากลำบากนัก
ผู้เป็นเจ้าเข้าใจข้างไหนบ้าง ช่วยแนะทางกรุงไกรให้ประจักษ์
จะหยุดยั้งนั่งนอนพอผ่อนพัก อยู่อีกสักสองทิวาจะลาไป ฯ
๏ พระโยคีมีศีลได้ยินถาม พิเคราะห์ตามสังเกตข้างเพทไสย
รู้ประจักษ์ทักแท้แน่แก่ใจ เหตุเพราะพระอภัยจะได้เมีย
อันท้าวไทไพร่พลคนทั้งหลาย จะวอดวายเวทนาประดาเสีย
ทั้งนี้เพราะเคราะห์กรรมมาทำเยีย จึงไกล่เกลี่ยกล่าวคำเป็นท่ามกลาง
อันกรุงไกรไปทางทิศอิสาน แสนกันดารสารพัดจะขัดขวาง
ซึ่งเสบียงเลี้ยงคนตามหนทาง จะให้บ้างโยมอย่าได้ปรารมภ์
อันเกาะแก้วพิสดารสถานนี้ โภชนสาลีก็มีถม
แต่คราวหลังครั้งสมุทรโคดม มาสร้างสมสิกขาสมาทาน
เธอทำไร่ไว้ที่ริมภูเขาหลวง ครั้นแตกรวงออกมาเล่าเป็นข้าวสาร
ได้สืบพืชยืดอยู่แต่บูราณ จงคิดอ่านเอาเคียวมาเกี่ยวไป ฯ
๏ พระจอมวังฟังเล่าว่าข้าวมาก ความยินลากขากดีจะมีไหน
น้อมเคารพนบนอบว่าขอบใจ ข้าขอไปเป็นเสบียงพอเลี้ยงพล
จะให้เที่ยวเกี่ยวข้าวเช้าพรุ่งนี้ ให้โยธีทำตะกร้าขึ้นมาขน
วันนี้เย็นเห็นจะจวนคุณสวดมนต์ โยมขอลาพาพลไปเภตรา
พระตรัสชวนบุตรีนั้นลีลาศ พระหน่อนาถตามติดขนิษฐา
ทั้งเถ้าแก่แห่ห้อมล้อมลงมา ถึงเภตรากรุงกษัตริย์จึงจัดการ
ให้โยธีตีเคียวไปเกี่ยวข้าว สานกระเช้าให้ทุกคนขนข้าวสาร
กลางคงคาสารพันจะกันดาร จงคิดอ่านเอาเสบียงไปเลี้ยงกาย
เสนาในได้ฟังรับสั่งตรัส โสมนัสนึกสมอารมณ์หมาย
ให้พวกบ่าวเหล่าทหารสานกระบาย ขึ้นหาดทรายสับสนล้วนคนการ ฯ
๏ ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์ จึงทรงผลัดเครื่องทรงสรงสนาน
ไม่เรียกเหล่าสาวสรรค์พนักงาน ชวนกุมารเข้าในห้องไสยา
ให้นุ่งห่มสมองค์ประจงจัด คาดเข็มขัดประจำยามงามหนักหนา
สร้อยสังวาลบานพับประดับประดา ใส่กรอบหน้าเหน็บเสียดกรรเจียกจอน
ธำมรงค์ทรงใส่นิ้วพระหัตถ์ กระจ่างเม็ดเพชรรัตน์ประภัสสร
ปะวะหล่ำกำไลใส่สวมกร พอหยุดหย่อนยอบองค์ลงบังคม
พระบุตรีมีจิตพิศวาส ให้นั่งอาสน์แนบชิดสนิทสนม
ดูผิวพักตร์ลักษณาก็น่าชม เสียแต่ผมหยิกนักเหมือนยักษ์มาร
แล้วโฉมงามถามหลอกตะคอกเล่น เจ้าจะเป็นลูกข้าเหมือนว่าขาน
หรือลวงล่อพอได้สร้อยสังวาล จงให้การตามจริงอย่านิ่งความ ฯ
๏ สินสมุทรพูดจาประสาซื่อ ลูกนี้หรือจะไม่รักอย่าพักถาม
อยากจะใคร่ได้แม่ที่รูปงาม พึ่งสมความปรารถนาเวลานี้
จะหาไหนได้เหมือนพระรูปโฉม งามประโลมล้ำฟ้าในราศี
แม้นหาคู่สู้ได้ฉันให้ตี จริงนะจ๋าฟ้าผี่เถิดมารดา ฯ
๏ นางโฉมยงทรงฟังช่างฉอเลาะ กลั้นหัวเราะรับขวัญด้วยหรรษา
เออนี่แน่แม่จะถามตามสัจจา พระมารดารูปราวสักคราวใคร ฯ
๏ กุมาราว่าที่นี่ไม่มีเท่า โตกว่าลำสำเภาเป็นไหนไหน
ชื่อผีเสื้อเนื้อหนังรังขี้ไคล ทั้งสูงใหญ่เขี้ยวยาวราวสักวา
ไม่นึกรักสักนิดจึงคิดหนี แม่เดี๋ยวนี้แลลูกรักเป็นนักหนา
สมกับองค์ทรงฤทธิ์พระบิดา ได้งามหน้าลูกแก้วแล้วคราวนี้ ฯ
๏ นางโฉมงามห้ามสินสมุทรน้อย พูดค่อยค่อยเขาจะว่าน่าบัดสี
ไม่รักเรียงเคียงคู่กับภูมี อย่าพาทีถึงพ่อต่อไปเลย
แล้วนางพามานั่งบัลลังก์รัตน์ ให้สาวใช้ไปจัดเครื่องเสวย
ยกมาตั้งทั้งขนมแลนมเนย กุมาราว่าไม่เคยกินข้าวปลา
เคยกินแต่เผือกมันผลไม้ เช่นนี้ไม่เคยเห็นเหม็นมัจฉา
ทรามสงวนสรวลสันต์จำนรรจา ฟังแม่ว่าเถิดพ่อลองสักสองคำ
แล้วปั้นข้าวเอาสุกรมาป้อนให้ อร่อยใจจริงเจียวเคี้ยวม่ำม่ำ
กุ้งกับไข่ไก่พะแนงแกงต้มยำ กินก็เติบเปิบคำล้วนโตโต
จนของคาวข้าวสิ้นกินของหวาน ทั้งอ้อยตาลกล้วยส้มขนมโก๋
ครั้นกินอิ่มยิ้มย่องจนท้องโร ก็พอโพล้เพล้ค่ำย่ำระฆัง
บังคมพลางทางว่าลูกลาก่อน พระบิดรจะละห้อยคอยข้างหลัง
นางฟังคำทำเป็นว่าข้าไม่ฟัง คอยก็ชั่งเป็นไรไยมิคอย
แม้นรักแม่แน่นอนจงนอนนี่ รุ่งพรุ่งนี้จึงขึ้นไปให้ใช้สอย
ว่ากระไรไม่ว่าอย่าชม้อย พระหน่อน้อยน้อมคำนับรับบัญชา
ว่าเช่นนั้นฉันจะอยู่อย่าขู่ฉัน นางรับขวัญยิ่งรักขึ้นนักหนา
ชวนสำรวลสรวลสันต์จำนรรจา จนหลับใหลไสยาในราตรี ฯ
๏ ฝ่ายองค์พระอภัยวิไลโฉม คิดถึงโยมอยู่ในห้องยิ่งหมองศรี
ด้วยกุมารไม่มาจนราตรี เห็นท่วงทีโฉมงามจะห้ามไว้
เวียนดูนางกลางวันก็ผันพักตร์ นี่เห็นรักหรือไม่เห็นเป็นไฉน
จะผูกมิตรคิดอ่านประการใด จึงจะได้พระธิดายุพาพาล
จำจะอ้อนวอนครูท่านผู้เฒ่า ช่วยออกปากฝากเขาให้โดยสาร
ได้ร่วมลำสำเภากับเยาวมาลย์ คงเป็นการสักวันหนึ่งมั่นคง
ยิ่งปลาบปลื้มลืมภาวนานั่ง ด้วยใจยังอยู่ข้างหนุ่มให้ลุ่มหลง
จนรุ่งรางสร่างแสงพระสุริยง ออกเดินตรงมากุฎีพระชีไพร
น้อมประณตบทมาลย์อาจารย์เจ้า เมื่อโศกเศร้าเสาะมาได้อาศัย
พรุ่งนี้ลำสำเภาเขาจะไป ช่วยฝากให้นัดดาไปธานี ฯ
๏ สิทธาเฒ่าเข้าใจทำไขสือ จะสึกหรือบวชไปให้รู้ที่
พอออกปากฝากได้เป็นไรมี แต่ต้องดีนะอย่าด่วนทำลวนลาม ฯ
๏ พระนิ่งนั่งฟังครูเห็นรู้เท่า จึงก้มเกล้ากราบครบคำรบสาม
จะลาศีลสึกไปดูไม่งาม จะมีความครหาเป็นราคี
หนึ่งจะไปในทางกลางสมุทร เป็นที่สุดอยู่เพียงศีลพระชินศรี
ขอโดยสารท่านทั้งเป็นโยคี เมื่อบุญมีแล้วก็รอดตลอดไป
พระโปรดด้วยช่วยดูให้รู้เรื่อง จะถึงเมืองหรือจะเห็นเป็นไฉน
จะสมหวังดังจิตที่คิดไว้ หรือกระไรเจ้าข้าพระอาจารย์ ฯ
๏ พระโยคีมิใคร่จะให้รู้ หากเอ็นดูด้วยเป็นศิษย์คิดสงสาร
จึงบอกไว้ให้เห็นเป็นสะพาน จะได้การอยู่ก็ที่ตรงสีกา
อันเดินทางกลางน้ำจะลำบาก ต้องพลัดพรากยากแค้นถึงแสนสา
ทั้งนี้เพราะเคราะห์กรรมกระทำมา จะได้ผาสุกสบายต่อปลายมือ
แล้วถามพวกแขกฝรั่งอยู่ทั้งร้อย ใครจะพลอยไปสำเภาด้วยเขาหรือ
ตามแต่ใจไม่ว่าจงหารือ รูปนี้ถือถึงกรรมก็จำตาย ฯ
๏ แขกฝรั่งพรั่งพร้อมน้อมคำนับ ขอไปกับพระอภัยเหมือนใจหมาย
ถึงยากเย็นเป็นข้ากว่าจะตาย ถ้าเจ้านายไปไหนไปด้วยกัน
แล้วรับรัดจัดแจงแต่งสำรับ น้ำผึ้งกับมันเผือกล้วนเลือกสรร
ทั้งกล้วยอ้อยน้อยหน่าสารพัน ประเคนสองนักธรรม์ฉันสำราญ ฯ
๏ ฝ่ายสุวรรณมาลีศรีสวัสดิ์ ครั้นจำรัสรุ่งแจ้งแสงสุริย์ฉาน
บรรทมตื่นฟื้นองค์นางนงคราญ ชวนกุมารมาสรงพระคงคา
แล้วแต่งองค์ทรงเครื่องเรืองระยับ เพชรประดับตะละดาววาวเวหา
พากุมารคลานเข้าเฝ้าบิดา กษัตราตรัสทักแล้วซักไซ้
นี่แน่เจ้าสินสมุทรบุตรดาบส อย่าเลี้ยวลดเล่าแจ้งแถลงไข
โภชนาสาลีอยู่ที่ใด ช่วยนำไปให้เกี่ยวประเดี๋ยวนี้ ฯ
๏ กุมารานอบนบอภิวาท ขอเชิญบาทบงกชบทศรี
จะนำไปในทางข้างคิรี ข้าวสาลีเหลือล้นคณนา ฯ
๏ ธิบดินทร์ยินดีเป็นที่สุด ไม่ยั้งหยุดแต่งองค์ทรงภูษา
ชวนสนมกรมในแล้วไคลคลา พาธิดาลีลาศขึ้นหาดทราย
สินสมุทรนำเดินเนินบรรพต แล้วเลี้ยวลดลัดไปดังใจหมาย
พวกพหลพลไกรทั้งไพร่นาย แบกกระบายกระบุงตามกันหลามมา
ถึงที่กว้างหว่างเวิ้งในเชิงเขา เห็นรวงข้าวขาวค้อมหอมนักหนา
ไม่เคยเห็นเป็นข้าวสารทั้งลานนา กษัตราชมเพลินดำเนินพลาง
ถึงธารน้ำลำเนาภูเขาโขด มีข้าวโพดข้าวเจ้าแลข้าวฟ่าง
ทั้งข้าวเหนียวเขียวขาวข้าวหางช้าง แลต่างต่างตะละไร่สุดสายตา
พวกผู้หญิงชิงกันเก็บจนเล็บหัก เข้าข่วนผลักเพื่อนสนิทว่าอิจฉา
กรุงกษัตริย์ตรัสสั่งพวกเสนา ให้โยธาเกี่ยวข้าวเอาให้พอ ฯ
๏ ตำรวจรับขับไพร่ให้เข้าเกี่ยว บ้างรำเคียวขึ้นหน้าถือพร้าขอ
เกี่ยวกระหวัดรัดวีสาลีกอ บ้างแข็งข้อชิงกันเกี่ยวเสียงเกรียวกราว
เสียงกริบกรวบรวบรัดแล้วมัดฟ่อน ร้องละครทำเพลงโฉงเฉงฉาว
ที่ล้าหลังยังห่างย่างยาวยาว อายสาวสาวฉวยเคียวเกี่ยวไปตาม
ครั้นได้มากลากขนอลหม่าน ข้างหาคานคอนสาแหรกบ้างแบกหาม
กลัวจะอดอุตส่าห์พยายาม บ้างหิ้วตามกันลงไปในสำเภา ฯ
๏ กุมาราพาท้าวกับสาวสนม เที่ยวเลียบชมเชิงชะง่อนสิงขรเขา
เป็นวุ้งเวิ้งเชิงเทินเนินลำเนา ที่ลางเหล่าเลื่อมเหลืองดูเรืองรอง
กรุงกษัตริย์ทัศนาพาสนม เที่ยวเลียบชมเชิงผาคูหาห้อง
เห็นเหวห้วยกรวยโกรกชะโงกมอง ดูโปลงปล่องเปลี่ยวปลาบวาบวิญญาณ์
นางสาวสาวชาววังไม่เคยเห็น เที่ยวดูเล่นเลียบเดินตามเนินผา
ขึ้นเขาเขียวเลี้ยวเลียบศิลามา ร่มรุกขาเขียวชุ่มชอุ่มใบ
สารภียี่สุ่นพิกุลเกด กระถินเทศกระทุ่มดอกออกไสว
พวกผู้หญิงชิงช่วงดวงดอกไม้ บ้างชิงได้ดอกประดู่ซ่อนชู้ชม
บ้างทึ้งเถาสาวหยุดฉุดกระชาก เก็บบุนนาคนางแย้มมาแซมผม
บ้างเดินเด็ดดอกกลอยสอยสุกรม ห่อผ้าห่มเอาไปใส่ใต้ที่นอน
สินสมุทรหยุดเก็บแก้วกาหลง ถวายองค์พระบุตรีศรีสมร
นางเลือกเก็บอังกาบกุหลาบซ้อน มาแซมจอนทัดหูให้กุมาร
แล้วเดินตัดลัดมาหน้าอาศรม ระรื่นร่มรุกขาคณาขนาน
ขนันขนุนครุนเครือเหลือประมาณ มะพร้าวตาลตูมตาดดาษดา
มะเดื่อดูกสุกห่ามอร่ามกิ่ง บ้างหล่นกลิ้งเกลื่อนอยู่ริมภูผา
ละมุดม่วงพวงสะพรั่งทั้งพะวา ดกระย้าอยู่ทุกกิ่งทั้งปริงปราง
ฝูงวิหคนกกามาไม่ถึง ด้วยลึกซึ้งสายสมุทรสุดกว้างขวาง
ไม้จึงงามตามฤดูไม่รู้ร้าง พระชมพลางเพลิดเพลินดำเนินมา ฯ
๏ ถึงกุฎีที่อยู่ท่านครูเฒ่า จึงแวะเข้าอภิวันท์ด้วยหรรษา
สรรเสริญเจริญฤทธิ์พระสิทธา คุณช่างมาอยู่ถึงริมหิมพานต์
คิรีรอบขอบเขตนิเวศน์วัด สารพัดภิญโญรโหฐาน
ได้ยินเขาเล่าอยู่แต่บุราณ ว่าเกาะแก้วพิสดารสำราญครัน
บุญนักหนาได้มาเห็นก็เป็นสุข แสนสนุกดังได้ไปสวรรค์
จะหยุดหย่อนผ่อนสบายอยู่หลายวัน ก็คิดพรั่นไพรีจะบีฑา
อนึ่งทางกลางสมุทรก็สุดเปลี่ยว จะต้องเที่ยวไปทุกแห่งแสวงหา
ซึ่งเป็นตายหมายว่าตามแต่เวรา โยมขอลาผู้เป็นเจ้าเช้าพรุ่งนี้ ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงพรตพจนารถ อนุญาตโยมไปให้สุขี
รูปขอฝากพระอภัยไปบุรี กับพวกที่ศิษย์นั่งอยู่ทั้งร้อย
ล้วนล้าต้าต้นหนเป็นคนแข็ง มีเรี่ยวแรงรับไปได้ใช้สอย
เมื่อพบพานบ้านเล็กแลเมืองน้อย จงโปรดปล่อยให้เขาไปดังใจจง ฯ
๏ จอมนรินทร์ยินดีชลีหัตถ์ โยมไม่ขัดข้อความตามประสงค์
พระอภัยใจมาดเหมือนญาติวงศ์ นิมนต์ลงไปเภตราเวลาเช้า
จะกั้นห้องให้สบายข้างฝ่ายพระ ไว้ธุระโยมจะส่งตรงกับข้าว
สินสมุทรก็จะได้ไปกับเรา จะได้เป่าปี่เล่นให้เย็นใจ
แล้วอำลาดาบสประณตน้อม ลงจากจอมเขาเขินเนินไศล
สินสมุทรยุดนางไม่ห่างไกล กลับลงในเภตราพอสายัณห์ ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ