- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๔๔)
- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๒๙)
- คำนำเมื่อพิมพ์ครั้งแรก
- ประวัติสุนทรภู่
- บันทึกเรื่องผู้แต่งนิราศพระแท่นดงรัง
- อธิบาย ว่าด้วยเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่
- ปกิรณะกะประวัติของสุนทรภู่
- ตอนที่ ๑ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา
- ตอนที่ ๒ นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๓ ศรีสุวรรณเข้าเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๔ ศรีสุวรรณพบนางเกษรา
- ตอนที่ ๕ ศรีสุวรรณเกี้ยวนางเกษรา
- ตอนที่ ๖ ศรีสุวรรณรบท้าวอุเทน
- ตอนที่ ๗ ศรีสุวรรณพยาบาลนางเกษรา
- ตอนที่ ๘ อภิเษกศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๙ พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อ
- ตอนที่ ๑๐ พระอภัยได้นางเงือก
- ตอนที่ ๑๑ นางสุวรรณมาลีไปเที่ยวทะเล
- ตอนที่ ๑๒ พระอภัยมณีพบนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๓ พระอภัยมณีโดยสารเรือนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๔ พระอภัยมณีเรือแตก
- ตอนที่ ๑๕ สินสมุทรโดยสารเรือโจรสุหรั่ง
- ตอนที่ ๑๖ สินสมุทรพบศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๑๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๑๘ พระอภัยมณีโดยสารเรืออุศเรน
- ตอนที่ ๑๙ พระอภัยมณีพบศรีสุวรรณกับสินสมุทร
- ตอนที่ ๒๐ สินสมุทรรบกับอุศเรน
- ตอนที่ ๒๑ พระอภัยมณีเกี้ยวนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๒ พระอภัยมณีครองเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๓ พระอภัยมณีอภิเษกกับนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๔ กำเนิดสุดสาคร
- ตอนที่ ๒๕ สุดสาครเข้าเมืองการะเวก
- ตอนที่ ๒๖ อุศเรนตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๗ เจ้าละมานตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๘ สุดสาครตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๒๙ ศึกเก้าทัพตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๓๐ พระอภัยมณีตีเมืองใหม่
- ตอนที่ ๓๑ พระอภัยมณีพบนางละเวง
- ตอนที่ ๓๒ ศรีสุวรรณอาสาตีด่านดงตาล
- ตอนที่ ๓๓ ย่องตอดสะกดทัพ
- ตอนที่ ๓๔ นางละเวงคิดหย่าทัพ
- ตอนที่ ๓๕ พระอภัยติดท้ายรถ
- ตอนที่ ๓๖ พระอภัยมณีทำผูกคอตายได้นางละเวง
- ตอนที่ ๓๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๓๘ นางสุวรรณมาลีข้ามไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๓๙ นางสุวรรณมาลีมีสารตัดพ้อ
- ตอนที่ ๔๐ สุดสาครถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๔๑ นางสุวรรณมาลีหึงหน้าป้อม
- ตอนที่ ๔๒ หัสไชยแก้เสน่ห์
- ตอนที่ ๔๓ นางเสาวคนธ์ยิงแก้ม
- ตอนที่ ๔๔ กษัตริย์สามัคคี
- ตอนที่ ๔๕ นางเสาวคนธ์ขุดโคตรเพชร
- ตอนที่ ๔๖ พระอภัยมณีกลับเมือง
- ตอนที่ ๔๗ อภิเษกสินสมุทร
- ตอนที่ ๔๘ นางเสาวคนธ์หนี
- ตอนที่ ๔๙ นางเสาวคนธ์แปลงเป็นฤๅษี
- ตอนที่ ๕๐ นางเสาวคนธ์ได้เมืองวาหุโลม
- ตอนที่ ๕๑ สุดสาครตามนางเสาวคนธ์
- ตอนที่ ๕๒ พระอภัยมณีทำศพท้าวสุทัศน์
- ตอนที่ ๕๓ มังคลาครองเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๔ มังคลาชิงโคตรเพชร
- ตอนที่ ๕๕ มังคลาจับนางสุวรรณมาลีและท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๖ หัสไชยตีด่านเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๗ สุดสาครรบมังคลา
- ตอนที่ ๕๘ นางละเวงวัณฬาช่วยนางสุวรรณมาลีแลท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๙ พระอภัยมณีศรีสุวรรณไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๐ พระอภัยมณีรบกับมังคลา
- ตอนที่ ๖๑ สังฆราชบาทหลวงเผาเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๒ พระอภัยเข้าเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๓ อภิเษกหัสไชย
- ตอนที่ ๖๔ พระอภัยมณีออกบวช
- ตอนที่ ๖๕ พระบาทหลวงพาพระมังคลาหนีทัพไปเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๖๖ วลายุดาครองเมืองสินชัย
- ตอนที่ ๖๗ วายุพัฒน์เป็นอุปราชเมืองเซ็น
- ตอนที่ ๖๘ หัสกันครองเมืองสุลาลัย
- ตอนที่ ๖๙ พระอภัยมณีเยี่ยมศพนางมณฑา
- ตอนที่ ๗๐ พระมังคลายกทัพเรือมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๗๑ นางรำภา นางยุพาผกาและนางสุลาลีวันออกรบ
- ตอนที่ ๗๒ สุดสาคร สินสมุทรรบกับพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๓ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันเข้าเฝ้าศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๗๔ ทัพพันธมิตรเมืองกำพลเพชรยกมาช่วยพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๕ พระมังคลาล่าทัพไปถึงเกาะกาหวี
- ตอนที่ ๗๖ ทหารเมืองกำพลเพชรตามนางกฤษณาพบพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๗ พระมังคลาได้นางดวงแขลูกสาวเจ้าเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๗๘ อภิเษกพระกฤษณากับนางเทพินไปครองเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๗๙ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันลามารดากลับไปเมือง
- ตอนที่ ๘๐ พระมังคลายกทัพเมืองสำปันหนาไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๑ ศรีสุวรรณออกรับศึกพระมังคลา
- ตอนที่ ๘๒ โจรสลัดคุมกำปั่นปล้นเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๘๓ ศรีสุวรรณมาช่วยเมืองรมจักรรบโจรสลัด แล้วอภิเษกตรีพลำกับอัมพวันและเทวัญกับนิลกัณฐี
- ตอนที่ ๘๔ พระมังคลากับพระบาทหลวงแตกทัพไปเกลี้ยกล่อมเมืองต่าง ๆ
- ตอนที่ ๘๕ พระมังคลาไปถึงเมืองโรมพัฒน์ได้นางบุษบง
- ตอนที่ ๘๖ พระบาทหลวงกับพระมังคลายกทัพเรือเมืองโรมพัฒน์ไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๗ สุดสาครทราบข่าวศึก
- ตอนที่ ๘๘ พระมังคลากับพระบาทหลวงตีได้เมืองด่านลังกา
- ตอนที่ ๘๙ ทัพสุดสาครตีทัพพระมังคลาพ่าย จนเทวสินธุ์ตามไปถึงเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๙๐ ท้าวรายากับพระเทวสินธุ์ไปถึงเมืองกำพลเพชร แล้วยกทัพไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๙๑ หกกษัตริย์ยกทัพมาช่วยเมืองลังกาทำศึก
- ตอนที่ ๙๒ พระบาทหลวงรบศึกหกกษัตริย์จนลมแดงซัดเรือรบพลัดกัน
- ตอนที่ ๙๓ สุดสาครตีเมืองด่านแตก
- ตอนที่ ๙๔ พระเทวสินธุ์พบพระมังคลาจนเจ็ดกษัตริย์เตรียมรบ
- ตอนที่ ๙๕ พระมังคลากับพระบาทหลวงยกทัพเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๙๖ ทัพเจ็ดกษัตริย์ตีทัพพระบาทหลวงแตก
- ตอนที่ ๙๗ พระบาทหลวงเตรียมตีเมืองปากน้ำคืน
- ตอนที่ ๙๘ พระบาทหลวงขับท้าวรายากับนางบุษบงไปจากกองทัพ จนพระมังคลาหนี
- ตอนที่ ๙๙ พระบาทหลวงยกเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๑๐๐ สินสมุทรตีทัพพระบาทหลวงจนถูกยาเบื่อ
- ตอนที่ ๑๐๑ พระอภัยมณีเยือนลังกา
- ตอนที่ ๑๐๒ พระบาทหลวงปล่อยโคมไฟไปตกเมืองลังกา จนถึงพระอภัยมณีห้ามทัพ
- ตอนที่ ๑๐๓ หกกษัตริย์ตีโต้ทัพพระบาทหลวงล่าไปเมืองปตาหวี
- ตอนที่ ๑๐๔ พระอภัยมณีกลับไปเขาสิงคุตร
- ตอนที่ ๑๐๕ อภิเษกหัสกันกับนางวันชายา
- ตอนที่ ๑๐๖ พระอภัยมณีไปเยี่ยมนางเงือกที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๐๗ พระบาทหลวงเข้าเมืองปตาหวีแล้วตามไปพบพระมังคลาที่เมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๐๘ พระมังคลาและนางบุษบงออกมารับพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๐๙ ท้าวโกสัยบอกพระมังคลาให้รู้อุบายพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๐ พระบาทหลวงตีด่านเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๑๑ พระมังคลามีสารง้อศรีสุวรรณสุดสาครและสินสมุทร ให้มาช่วยรบพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๒ ทัพพระมังคลารบกับทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๓ ทัพศรีสุวรรณกับสี่กษัตริย์ตีกระหนาบทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๔ ทัพเรือพระบาทหลวงเข้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๕ ศรีสุวรรณกับพวกพาพระมังคลากลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๑๖ ท้าวกุลามาลีได้นางดวงประไพลูกสาวท้าวสินชัยเจ้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๗ พระมังคลาไปงานโสกันต์ระเด่นกินเรศ
- ตอนที่ ๑๑๘ เจ้าเมืองปตาหวีพานางดวงประไพกลับเมือง
- ตอนที่ ๑๑๙ สุดสาครไปเยี่ยมนางเงือกและพระฤๅษีที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๒๐ สุดสาครกลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๒๑ ศรีสุวรรณให้นรินทร์รัตน์ไปครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๒ อภิเษกนรินทร์รัตน์ครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๓ เจ็ดกษัตริย์ยกทัพมาตีเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๔ นรินทร์รัตน์ขอราเมศมาเป็นอุปราชกรุงรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๕ นรินทร์รัตน์กับราเมศมาช่วยเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๖ เจ็ดกษัตริย์ตายสี่หนีสาม
- ตอนที่ ๑๒๗ นรินทร์รัตน์หลงนางเกศพัฒน์เมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๘ อภิเษกพระราเมศกับนางดวงประภา
- ตอนที่ ๑๒๙ ภัทวงศ์ไปไหว้เทวรูปจนพบนางเกสรสุมาลัย
- ตอนที่ ๑๓๐ เจ้าเมืองวายุภักษ์ขอนางเกสรสุมาลัยให้ภัทวงศ์
- ตอนที่ ๑๓๑ พระสังฆราชบาทหลวงยกทัพมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๓๒ ตัดหางสุพรรณมัจฉาแล้วสถาปนาเป็นจันทวดีพันปีหลวง
ตอนที่ ๓๖ พระอภัยมณีทำผูกคอตายได้นางละเวง
๏ ฝ่ายยุพาผการำภาสะหรี | ซึ่งล่าหนีตามทางหว่างไศล |
ไม่รั้งรอพอรุ่งถึงกรุงไกร | ตรงเข้าในนัคเรศนิเวศน์วัง |
ต่างเข้าเฝ้าเจ้าลังกาวัณฬาราช | อภิวาททูลตามเนื้อความหลัง |
ชาวผลึกศึกเสือเหลือกำลัง | ชำนาญทั้งสงครามแลความคิด |
พระบาทหลวงลวงล่อจะรอทัพ | เขาก็กลับปลอมปนเป็นคนสนิท |
เข้าจุดไฟไหม้ด่านผลาญชีวิต | ไม่ทันคิดรบสู้ทุกผู้คน |
เขาได้เขาเจ้าประจัญแล้ววันนี้ | จะตามตีมาประชิดติดสิงหล |
จะเสียวังลังกาเข้าตาจน | จงผ่อนปรนโปรดตริดำริการ ฯ |
๏ นางฟังเล่าเศร้าจิตอนิจอนาถ | ให้หวั่นหวาดวิญญาณ์จึงว่าขาน |
ซึ่งข้าศึกฮึกโหมมาโรมราญ | เราเสียด่านก็เหมือนดังเสียลังกา |
เป็นการด่วนจวนจนต้องอ้นอั้น | เจ้าช่วยกันตรองตรึกได้ปรึกษา |
แม้สงครามตามติดประชิดมา | จะพูดจาคิดอ่านประการใด |
เออนี่แน่แม่จะถามทรามสวาท | พระสังฆราชนั้นเจ้าเห็นเป็นไฉน |
เมื่อเสียทีหนีทันหรือบรรลัย | จะได้ใครคิดอ่านการสงคราม ฯ |
๏ นางยุพาว่าประหลาดพระบาทหลวง | คนทั้งปวงปะใครก็ไต่ถาม |
จะเป็นตายหายไปไม่ได้ความ | ด้วยสงครามเหลือรู้จะสู้รบ |
ถึงใครดีมีศักดาอานุภาพ | มาช่วยปราบก็เห็นจะไม่สงบ |
เว้นแต่องค์พระอภัยเจ้าไตรภพ | จะเกลื่อนกลบให้แผ่นดินสิ้นศัตรู ฯ |
๏ นางฟังคำรำพึงแล้วจึงตอบ | เจ้าว่าชอบอยู่แต่จิตคิดอดสู |
ตั้งแต่พามาไว้มิได้ดู | ให้เธออยู่ในห้องถึงสองวัน |
สุลาลีนี้เป็นคนปรนนิบัติ | เห็นข้องขัดเคืองแค้นแสนกระสัน |
ไม่สรงเสวยเลยเฝ้าแต่จาบัลย์ | จะผ่อนผันคิดอ่านประการใด ฯ |
๏ นางยุพาว่าพระองค์ไม่สงสาร | ทรมานเหมือนหนึ่งว่าเลือดตาไหล |
จะแลเหลียวเปลี่ยวเปล่าเศร้าพระทัย | ขอลาไปช่วยชีวิตพระบิดา |
แล้วบังคมก้มกรานค่อยคลานคล้อย | ชวนน้องน้อยร่วมจิตขนิษฐา |
ไปปรางค์ทองห้องในที่ไสยา | ค่อยแอบฝาคอยฟังกำบังกาย ฯ |
๏ สงสารองค์พระอภัยอยู่ในห้อง | แต่ตรึกตรองไม่สมอารมณ์หมาย |
ครั้นห่างนางสร่างมนต์กระวนกระวาย | ให้คิดอายอกใจกระไรเลย |
มิรอรั้งบังอาจประมาทหมิ่น | มาหลงลิ้นลังกานิจจาเอ๋ย |
โอ้ยามเคราะห์เพราะนิยมจะชมเชย | โอ้ไม่เคยเลยแสนจะแค้นใจ |
จนจวนแก่แพ้รู้อีผู้หญิง | ประหลาดจริงเจียวน่าเลือดตาไหล |
นอนไม่หลับกลับนั่งคลั่งพระทัย | หวนอาลัยลูกยานุชาชาญ |
เคยเห็นพี่มิได้เห็นทุกเย็นเช้า | จะโศกเศร้าโศกาน่าสงสาร |
ทั้งเสียเมียเสียพงศ์ทั้งวงศ์วาน | เพราะเสียการกลศึกไม่ตรึกตรา |
โอ้เอ็นดูสุมาลีเจ้าพี่เอ๋ย | จะลับเลยหลงคอยละห้อยหา |
โอ้ลูกน้อยสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา | ทั้งสุดสาครพ่อจะท้อใจ |
ยิ่งรัญจวนป่วนจิตคิดวิตก | เหมือนหนึ่งนกเข้าเพนียดเบียดไม่ไหว |
ลงนอนเอกเขนกอึ้งตะลึงตะไล | ทุกข์พระทัยถึงพระองค์ทั้งวงศ์วาน ฯ |
๏ ฝ่ายยุพาผกาที่มาเฝ้า | เห็นโศกเศร้าซูบทรงน่าสงสาร |
กระทั่งไอให้เสียงแล้วเมียงคลาน | มากราบกรานทรงศักดิ์ตรงพักตรา |
จึงทูลถามความในใจจะใคร่รู้ | พระมาอยู่เมืองหม่อมฉันนั้นหรรษา |
หรือเศร้าหมองข้องขัดพระอัชฌา | ลูกพึ่งมามิได้อยู่ในบูรี ฯ |
๏ พระผันแปรแลเห็นหน้ายุพาพักตร์ | กลับนึกรักวัณฬามารศรี |
สะอื้นพลางทางว่าบิดานี้ | สู้เสียพี่น้องมาเอกากาย |
ได้เห็นแต่แม่วัณฬาพอมาถึง | ก็โกรธขึ้งทิ้งขว้างให้ห่างหาย |
ชีวิตพ่อก็ไม่รอดจะวอดวาย | พลางฟูมฟายชลนาโศกาลัย ฯ |
๏ ฝ่ายยุพาผกาปรีชาฉลาด | อภิวาทว่าพระองค์อย่าสงสัย |
พระชนนีมิใช่จะมาละไป | เพราะรักใคร่จึงได้พามาธานี |
จะนบนอบมอบสมบัติพัสถาน | ให้พระผ่านไตรจักรเป็นศักดิ์ศรี |
ที่การศึกนึกว่าไม่ราวี | จะเป็นที่พึ่งอาณาประชาชน |
เหตุไฉนให้พระน้องยกกองทัพ | มาเคี่ยวขับรบพุ่งกรุงสิงหล |
แกล้งอุบายถ่ายเททำเล่ห์กล | ไม่ผ่อนปรนปรองดองครองสัจจา |
จึงน้อยใจไม่เข้ามาเฝ้าแหน | เห็นทั้งแค้นทั้งรักนั้นหนักหนา |
สู้คิดอ่านการศึกไปตรึกตรา | อยู่พลับพลาชมจันทร์ข้างชั้นใน |
ลูกไปเฝ้าเล่าก็ตรัสกระจัดแจ้ง | ว่าเสียแรงรักพระองค์ไม่สงสัย |
ส่วนทรงฤทธิ์คิดอุบายให้ตายใจ | ต้องเสียไพร่พลเมืองเคืองรำคาญ ฯ |
๏ พระตันอกตกตะลึงแล้วจึงว่า | อนิจจังอนิจจาน่าสงสาร |
เมื่อสงสัยไม่แถลงให้แจ้งการณ์ | จะสาบานให้เห็นจริงทุกสิ่งอัน |
ซึ่งน้องรักหักหาญทำการศึก | เห็นจะนึกแหนงว่าข้าอาสัญ |
แม้รู้ว่ามาเป็นคู่อยู่ด้วยกัน | ศรีสุวรรณก็จะกลับกองทัพไป |
มิได้ถามความจริงมานิ่งโกรธ | ช่วยขอโทษด้วยเถิดแม่ไปแก้ไข |
ว่าจริงจิตบิตุรงค์นี้จงใจ | ความรักใคร่แม่ละเวงยิ่งเกรงกลัว |
ซึ่งพวกเราชาวผลึกทำฮึกหาญ | จะทัดทานถ้าใครขัดจะตัดหัว |
อย่าแหนงนึกตรึกตรองให้หมองมัว | จะยอมตัวไปจนตายเหมือนหมายมา |
เจ้าช่วยพ่อขอให้พบประสบพักตร์ | อย่าหาญหักห่างเหเสน่หา |
แม้ไม่เห็นเว้นหายหลายเวลา | เห็นชีวาพ่อไม่รอดคงวอดวาย ฯ |
๏ นางว่าเคราะห์เพราะจะไม่ให้สำเร็จ | มิรู้เสร็จศึกเสือเบื่อใจหาย |
แม้จริงจังดังพระโอษฐ์โปรดภิปราย | จะสบายบ้านเมืองไม่เคืองใจ |
จงหยุดยั้งรั้งรออยู่พอค่ำ | ลูกจะนำไปพลับพลาที่อาศัย |
ถึงจะกริ้วโกรธว่าลูกพาไป | จะแก้ไขขอโทษคงโปรดปราน |
หม่อมฉันรู้อยู่ว่าในพระทัยอ่อน | ถ้าอ้อนวอนแล้วก็คงจะสงสาร |
มานิ่งไว้ใจเย็นมิเป็นการ | กระหม่อมฉานจะช่วยคิดด้วยบิตุรงค์ |
แต่รู้ข่าวเศร้าสร้อยก็พลอยทุกข์ | จะหาสุขไม่สำเร็จเสร็จประสงค์ |
เชิญชำระสระสนานสำราญองค์ | ที่โศกทรงเศร้าสร้อยจะค่อยคลาย |
แล้วเรียกน้องของเสวยที่เคยแต่ง | มาจัดแจงเรียงเรียบเทียบถวาย |
พระอภัยใจอิ่มค่อยยิ้มพราย | สรงสุหร่ายแล้วมานั่งบรรลังก์ทอง ฯ |
๏ เสวยพลางทางว่าถ้ามิม้วย | พ่อจะช่วยปลูกฝังเจ้าทั้งสอง |
ให้สมสุดบุตรีทั้งพี่น้อง | จะปกป้องไปจนตายวายชีวี |
จริงนะลูกปลูกฝังพ่อมั่งเถิด | เหมือนช่วยเชิดชูพักตร์เป็นศักดิ์ศรี |
ไปว่าขานมารดาให้ปรานี | คุณจะมีอยู่กับพ่อจนมรณา ฯ |
๏ นางรับรสพจนารถฉลาดฉลอง | พระคุณของทรงศักดิ์นั้นหนักหนา |
ด้วยรักใคร่ใช้ชิดเหมือนธิดา | จึงอุตส่าห์สุจริตไม่ปิดบัง |
อยากจะใคร่ให้พระชนนีนาถ | รักพระบาทบิตุรงค์เหมือนจงหวัง |
แต่เดินป่ามาถึงเขตนิเวศน์วัง | มิสมดังปรารถนาลูกอาภัพ |
วันนี้ค่ำจำจะพาไปถึงห้อง | ถ้าฟ้องร้องก็จะเสียบาทเบี้ยปรับ |
แต่จะรักจะชังจะบังคับ | สุดจะรับสั่งได้ด้วยไม่เคย ฯ |
๏ พระแย้มยิ้มพริ้มพรายสบายจิต | พ่อคิดผิดไปแล้วลูกแก้วเอ๋ย |
มันน่าแสนแค้นใจกระไรเลย | ช่างเฉยเมยมีแต่กลัวนั้นทั่วไป |
ถ้าแม้เป็นเช่นนั้นแล้ววันนี้ | ช่วยหยิกตีให้บิดาน้ำตาไหล |
พระสรวลพลางเสวยพลางสว่างใจ | อิ่มพระทัยอิ่มโอชโภชนา ฯ |
๏ พอพลบค่ำย่ำระฆังเสียงวังเวก | ชอุ่มเมฆมืดมิดทุกทิศา |
ส่วนสองนางพลางเชิญดำเนินมา | ขึ้นพลับพลาชมจันทร์เป็นหลั่นลด |
เดินบันไดในนั้นขึ้นชั้นสูง | แกล้งขับฝูงสาวใช้ลงไปหมด |
ถึงชั้นสุดหยุดยั้งนั่งประณต | ให้ทรงยศเยื้องย่องเข้าห้องใน |
ดูแจ่มแจ้งชวาลาระย้าระยับ | กระจกจับเพลิงกระจ่างสว่างไสว |
เห็นนางเอกเขนกนั่งกระทั่งไอ | นางตกใจเหลียวเห็นทำเป็นเมิน |
แต่ใจรู้ว่ายุพาให้มาพบ | สุดจะหลบเหลืออายระคายเขิน |
ให้พรั่นพรั่นหวั่นไหวฤทัยสะเทิน | ทำนั่งเมินเหมือนไม่รู้จะดูที ฯ |
๏ พระเห็นนางหมางหมองค่อยย่องย่าง | เข้าเคียงข้างค่อยค่อยเบียดพอเสียดสี |
ยิ่งหอมรื่นชื่นชวนให้ยวนยี | เหมือนมาลีลอยฟ้ามายาใจ |
จะจุมพิตคิดขยับแล้วกลับยั้ง | แต่รอรั้งรวนจิตหวิดหวิดไหว |
พอเหลือบเหลียวเสียวซาบวาบฤทัย | พระเคลิ้มใจจุมพิตนางหวีดดัง |
แล้วว่าดูสินี่พระเหมือนจะแกล้ง | มาแอบแฝงโจมจับเอาลับหลัง |
นี่ใครพาหรือว่ามาแต่ลำพัง | ไม่รู้รั้งรอบ้างเป็นอย่างไร ฯ |
๏ พระว่าพี่นี้เหมือนอกวิหคหงส์ | ต้องติดกรงตรึงตราน้ำตาไหล |
เขาปล่อยปละปะคู่ที่ชูใจ | สุดจะให้เหินห่างจึงอย่างนี้ |
ส่วนน้องรักหนักหน่วงเฝ้าแหนหวง | ส่วนพี่แสนเสนหามารศรี |
มิผ่อนผันกรุณาจงฆ่าตี | เสียเถิดพี่จะขอลาแก้วตาตาย |
แม้ยังเป็นเห็นน้องก็ต้องรัก | สุดจะหักห้ามสวาทให้ขาดหาย |
ถึงปลดปลงคงจะกอดเจ้าวอดวาย | ไม่วางสายสุดสวาทแล้วชาตินี้ |
พลางอิงแอบแนบน้องประคองเคล้า | นางหยิกเพลาผลักหัตถ์น่าบัดสี |
เมื่อแรกพบคบค้านึกว่าดี | เพราะพระพี่ให้สัตย์ปฏิญาณ |
ไม่รบพุ่งกรุงลังกาจะหย่าทัพ | จึงได้รับมานิเวศน์เขตสถาน |
เหตุไฉนให้ลูกมารุกราน | เข้าตีต้านรบพุ่งถึงกรุงไกร |
ยังจะมาว่าไม่รักทำกักขัง | ก็ใครมั่งจะไม่น่าน้ำตาไหล |
แต่เสียรู้สู้อดระทดใจ | เชิญพระไปกองทัพกำกับพล |
ได้คิดอ่านราญรอนเหมือนก่อนนั้น | มารบกันกับผู้หญิงเมืองสิงหล |
ไม่หลบลี้หนีหายสู้วายชนม์ | อย่าแต่งกลลวงล่อต่อไปเลย ฯ |
๏ พระวิงวอนอ่อนหวานประทานโทษ | อย่ากริ้วโกรธตรึกตรองก่อนน้องเอ๋ย |
ไม่ณรงค์สงครามกับทรามเชย | อย่าคิดเลยพี่จะเล่าให้เข้าใจ |
เมื่อแจ้งความทรามสงวนประชวรหนัก | พี่ทุกข์นักจะใคร่เห็นว่าเป็นไฉน |
จึงเป่าปี่ที่ในทัพให้หลับไป | มิทันได้แพร่งพรายว่าร้ายดี |
กับธิดาพากันตามทรามสวาท | มาทันราชรถนางกลางวิถี |
ซึ่งพวกทัพกลับกล้าเข้ามาตี | หมายว่าพี่ล้มตายวายชีวา |
ไว้ธุระจะให้เรียบเงียบสงบ | มิให้รบพุ่งกันได้หรรษา |
ไม่เหมือนคำรำพันที่สัญญา | จงเข่นฆ่าพี่เสียแทนที่แค้นใจ |
จริงนะเจ้าเยาวลักษณ์จงหนักหนวง | ไม่ล่อลวงนวลหงส์อย่าสงสัย |
จะทำศึกตรึกตราไปว่าไร | พี่มิให้แก้วตาต้องราวี |
ทั้งแผ่นภพรบได้พี่ไม่แพ้ | กลัวก็แต่แม่วัณฬามารศรี |
จะโกรธกริ้วนิ่วหน้าไม่พาที | มิรู้ที่ที่จะปลอบให้ชอบใจ |
จงแย้มเยื้อนเบือนหน้าพูดจาบ้าง | อย่าหมองหมางเมินพักตร์เฝ้าผลักไส |
พลางลูบต้องลองเล่ห์เสน่ห์ใน | นางว่าไฮ้น่าเบื่อเหลือรำคาญ |
ขืนจู้จี้นี้ก็หยิกเอาอิกดอก | เฝ้ายวนหยอกแยบคายไม่วายหวาน |
เพราะพาซื่อถือสัตย์ปฏิญาณ | จึงเสียด่านบ้านเมืองขุ่นเคืองใจ |
เดี๋ยวนี้พระจะมารับระงับศึก | ไม่สมนึกเหมือนหนึ่งคำจะทำไฉน |
ถึงสัญญาว่าขานประการใด | ไม่มีใครที่จะกล้าไปฆ่าตี |
ด้วยพวกพ้องของพระองค์ประสงค์ทรัพย์ | จึงเคี่ยวขับรบพุ่งเอากรุงศรี |
ข้างฝ่ายพระจะมาชวนให้ยวนยี | ทำเช่นนี้นึกดูเหมือนรู้กัน |
แม้จริงจังดังรับจะดับเข็ญ | ทำให้เห็นจริงก่อนจะผ่อนผัน |
นี่สงครามตามรุกมาทุกวัน | จะผูกพันผ่อนปรนเป็นจนใจ ฯ |
๏ พระฟังนางพลางว่านิจจาเอ๋ย | ไม่เชื่อเลยหนอกรรมจะทำไฉน |
เมือตัดขาดญาติกาไม่อาลัย | พี่จึงได้ติดตามแม่งามมา |
แม้ใครรบพบปะจะได้ห้าม | ให้เห็นความจริงจังที่กังขา |
ถ้าผู้ใดไม่ฟังอหังการ์ | จะเข่นฆ่าเสียให้ตายวายชีวี |
นี่ศึกเหนือเสือใต้ที่ไหนเล่า | เนื้อแท้เจ้าจะแกล้งอางขนางหนี |
เฝ้าหน่วงหนักกักขังเสียดังนี้ | ชีวิตพี่จะมิตายหรือสายใจ |
เจ้าสัญญาว่าถึงเมืองไม่เคืองขัด | จะซ้ำผัดต่อตะบึงไปถึงไหน |
มิปรานีก็มิฟังชั่งเป็นไร | แม้แม่ไม่เมตตาจงฆ่าฟัน ฯ |
๏ พระว่าพลางกางกรประคองกอด | เยาวยอดข่วนหยิกผลักพลิกผัน |
นางว่าพระจะมารุกทำบุกบัน | เถิดเช่นนั้นแล้วก็ลึกอย่านึกเลย |
น้องชอบหูอยู่แต่ปลอบไม่ชอบปล้ำ | ถ้าขืนทำเจ็บปวดแล้วชวดเสวย |
จงยั้งหยุดพูดจาประสาเคย | อย่าคิดเลยว่าจะได้ด้วยไม้มือ |
ที่เมืองใหม่ได้พบได้รบรับ | พระยังจับน้องไม่ได้ลืมไปหรือ |
ที่ตื้นลึกปรึกษาค่อยหารือ | ไม่ดึงดื้อดอกแต่ว่าต้องช้าที |
พระรักใคร่ใจน้องยังครองสัตย์ | ใช่จะขัดคิดอางขนางหนี |
จงรั้งรอพอให้รุ่งขึ้นพรุ่งนี้ | ศึกจะตีมากระทั่งถึงลังกา |
แม้โปรดปรามห้ามทัพให้สรรพเสร็จ | ศึกสำเร็จแล้วจะรักให้หนักหนา |
แม้เลี่ยงหลีกอีกทีนี้พระพี่ยา | จึงเข่นฆ่าน้องเสียบ้างให้วางวาย |
จงผ่อนผันวันเดียวค่อยเหนี่ยวหน่วง | ไม่ล่อลวงเลยน้องจะกองถวาย |
สืบสนองรองบาทไม่คลาดคลาย | อย่าให้อายอัปยศจงอดออม ฯ |
๏ พระอ้นอั้นตันทรวงต้องหน่วงหนัก | เพราะความรักวรนุชสุดถนอม |
จึงว่าพี่นี้ระทมด้วยตรมตรอม | เพราะอดออมอกดังจะพังโทรม |
ได้อิงแอบแนบกายค่อยคลายโศก | เหมือนคนโรคซึ่งได้รสโอสถโสม |
มาซึมซาบอาบอุราประชโลม | ที่ทรุดโทรมหนักนั้นค่อยบรรเทา |
ถ้าน้องรักกักขังเหมือนครั้งก่อน | อกพี่ร้อนเหมือนหนึ่งไฟประลัยเผา |
ขออยู่ให้ใกล้องค์กับนงเยาว์ | จะคอยเฝ้าปรนนิบัติช่วยพัดวี |
อีกวันเดียวเจียวเป็นแน่นะแม่น้อง | อย่าปิดป้องผัดเกี่ยงหลีกเลี่ยงหนี |
ศึกจะมาหรือมิมาก็ตามที | ในพรุ่งนี้เป็นเสร็จสำเร็จการ ฯ |
๏ นางขวยเขินเมินยิ้มพริ้มพระพักตร์ | เธอแสนรักร่ำว่าน่าสงสาร |
ทำเสแสร้งแกล้งว่าเบื่อเหลือรำคาญ | น่าขี้คร้านพูดซ้ำให้ช้ำทรวง |
ซึ่งจะให้ใกล้เคียงแต่เพียงนั้น | พอจะผันผ่อนตามไม่ห้ามหวง |
แต่สิ่งของน้องระวังอยู่ทั้งปวง | อย่าลามล่วงเหลือเกินเชิญบรรทม |
แล้วแต่งที่ยี่ภู่นางปูปัด | ปรนนิบัติทรงฤทธิ์สนิทสนม |
แล้วเผยแกลแลสว่างน้ำค้างพรม | เชิญพระชมดวงดาวดูพราวตา ฯ |
๏ น้องจะยังนั่งเล่นเย็นเย็นก่อน | ข้างในร้อนจะต้องออกไปนอกฝา |
พระโอบอุ้มจุมพิตวนิดา | ไม่ให้ลาแล้วจะอุ้มเจ้าคุมไว้ |
พี่รู้เท่าเจ้าเสียแล้วนะแก้วพี่ | วานซืนนี้เหมือนหนึ่งว่าเลือดตาไหล |
อย่าเลี่ยงหลีกอีกเลยจะเคยใจ | จงอยู่ในแท่นทองเถิดน้องรัก |
สายสมรร้อนรนจะปรนนิบัติ | ช่วยนั่งพัดให้บรรทมพอสมศักดิ์ |
แล้วอิงแอบแนบชิดจุมพิตพักตร์ | นางพลิกผลักแล้วก็ว่าน่ารำคาญ |
เห็นน้องนิ่งแล้วก็เฝ้าแต่เซ้าซี้ | ทำเช่นนี้หรือว่ารักแกล้งหักหาญ |
ให้ชอกช้ำสำหรับแต่อัประมาน | ไม่สงสารสมเพชเวทนา |
น้องตามใจไม่ถือเพราะซื่อสัตย์ | ปรนนิบัติบทเรศพระเชษฐา |
มิชุบเลี้ยงเที่ยงธรรม์เหมือนสัญญา | จะเงยหน้าดูมนุษย์ก็สุดอาย |
เพราะเอออวยด้วยพระองค์ลุ่มหลงรัก | จึงเสื่อมศักดิ์เสียตระกูลเป็นสูญหาย |
แม้นคลาดแคล้วแล้วไม่อยู่จะสู้ตาย | ไม่เสียดายชีวิตสักนิดเลย ฯ |
๏ พระสวมสอดกอดแอบแนบถนอม | งามละม่อมแม่อย่าหมองเลยน้องเอ๋ย |
สักแสนปีมิได้ร้างให้ห่างเชย | ไม่ละเลยลืมสัตย์ปฏิญาณ |
ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร | ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน |
แม้เกิดในใต้ฟ้าสุธาธาร | ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา |
แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ | พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา |
แม่เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา | เชยผกาโกสุมปทุมทอง |
เจ้าเป็นถ้ำอำไพขอให้พี่ | เป็นราชสีห์สมสู่เป็นคู่สอง |
จะติดตามทรามสงวนนวลละออง | เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป |
เป็นสัจจังหวังจิตสนิทถนอม | งามละม่อมมิ่งขวัญอย่าหวั่นไหว |
จงโอนอ่อนผ่อนตามความอาลัย | ให้ชื่นใจเสียรู้แล้วเถิดแก้วตา ฯ |
๏ พลางอิงแอบแนบน้องประคองเคล้า | นางผลักเพลาพลิกปัดพระหัตถา |
แล้วว่าเบื่อเหลือล้ำคำสัญญา | ยิ่งไม่ว่าก็ยิ่งทำให้ก้ำเกิน |
อย่าลามลวนกวนใจที่ได้ห้าม | มิผ่อนตามน้องบ้างจะห่างเหิน |
เยี่ยมบัญชรก่อนเถิดให้เพลิดเพลิน | โน่นแน่เชิญชมฟ้าดาราราย |
ดูโชติช่วงดวงดาวบ้างขาวเหลือง | ประจำเมืองสุกเหมือนดังเดือนฉาย |
พระอิงแอบแนบนางไม่ห่างกาย | แสนสบายบรรทมเมื่อลมเชย |
เฉื่อยเฉื่อยชื่นรื่นรินกลิ่นกุหลาบ | หอมอังกาบแกมลำดวนหวนระเหย |
ชื่นอารมณ์ยมโดยโรยรำเพย | พระชื่นเชยปรางน้องประคองกร |
ประคองกอดสอดหัตถ์สัมผัสเคล้า | ค่อยเคล้นเต้าเต่งทรวงดวงสมร |
นางผลักพลิกหยิกหัตถ์สลัดกร | เมื่อไม่นอนนิ่งบ้างเป็นอย่างไร |
เฝ้าจับกุมหยุมหยิมไม่อิ่มหนำ | จะลูบคลำเคล้าคลึงไปถึงไหน |
จงหยุดหย่อนผ่อนสบายให้หายใจ | อย่าเพ่อให้ชอกช้ำระกำตรอม ฯ |
๏ พระเชยโฉมโลมเล้าว่าเจ้าพี่ | สุมาลีแล้วหรือกลิ่นจะสิ้นหอม |
ไม่อิ่มหนำน้ำใจเพราะไม่ยอม | ต้องอดออมอกใจดังไฟฮือ |
เหมือนอยากน้ำกล้ำกลืนแต่กล้วยกล้าย | จะเหือดหายหิวในน้ำใจหรือ |
จึงจับต้องของรักไม่หนักมือ | แม่อย่าถือโทษเลยที่เชยชม |
แล้วเบือนเบียดเสียดชิดจุมพิตพักตร์ | เหมือนคู่รักร่วมจิตสนิทสนม |
จนดึกเดือนเลื่อนสว่างน้ำค้างพรม | นางชวนชมดาวเดือนแกล้งเชือนแช |
กระซิบบอกหยอกนางว่าข้างใต้ | ชื่อดาวไก่กกนางไม่ห่างแห |
โน่นดาวสาวขาวผ่องตรงช่องแกล | ถ้าใครแลดูนักมักขี้อาย |
นางว่าเบื่อเหลือใจเที่ยวไล่ว่า | เช่นนี้น่าหนวกหูไม่รู้หาย |
จะนอนเล่นเย็นลมชมสบาย | เฝ้ากอดก่ายกวนใจกระไรเลย |
แล้วหลบพักตร์ชักผ้าเช็ดหน้าแต้ม | มาปิดแก้มก้มแอบแนบเขนย |
พระสวมสอดกอดน้องประคองเกย | จนลืมเลยหลับไปในไสยา ฯ |
๏ ฝ่ายพี่น้องสองศรีบุตรีเลี้ยง | นอนอยู่เพียงชั้นล่างที่ข้างฝา |
มิให้เหล่าสาวใช้ผู้ใดมา | จนเวลารุ่งรางสว่างวัน |
จึงจัดแจงแต่เครื่องแล้วเยื้องย่าง | ไปตั้งข้างแท่นทองนอกห้องกั้น |
ของเสวยเนยนมทั้งน้ำจัณฑ์ | สารพันเสร็จสรรพแล้วกลับไป ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงวัณฬาราช | ตื่นไสยาสน์ยามรุ่งสะดุ้งไหว |
ค่อยขยับหับบานบัญชรชัย | มิให้องค์พระอภัยตื่นไสยา |
แล้วลดเลื่อนเคลื่อนองค์นางนงลักษณ์ | มาสรงพักตร์แล้วก็ออกมานอกฝา |
เห็นบุตรีพี่น้องทั้งสองรา | ร้องเรียกมานั่งใกล้แกล้งใส่ความ |
ไม่บอกเล่าเจ้าไปพาเธอมาไว้ | ให้กวนใจจ้วงจาบทำหยาบหยาม |
ถ้างวยงงหลงเชื่อก็เหลืองาม | นี่หากห้ามใจได้จึงไม่อาย |
เจ้าก็รู้อยู่ว่าพวกฝรั่ง | เขาชิงชังพระอภัยนี่ใจหาย |
จะให้ห้ามปรามทัพมากลับกลาย | มิวุ่นวายขึ้นแล้วเห็นเป็นอย่างไร ฯ |
๏ ฝ่ายยุพาผกาปรีชาฉลาด | อภิวาทว่าพระแม่พอแก้ไข |
ด้วยข้าเฝ้าท้าวพระยาเสนาใน | ไม่มีใครอาจองออกสงคราม |
จงให้หามาประชุมนุมวันนี้ | ให้พร้อมที่ข้างหน้าปรึกษาถาม |
แม้ใครใครไม่รับไปปราบปราม | จึงแต่งตามกลเล่ห์เพทุบาย |
จะลวงล่อต่อตามด้วยความลับ | เอาศึกกลับเป็นมิตรเหมือนคิดหมาย |
ให้ห้ามทัพกลับไปได้ง่ายดาย | คนทั้งหลายก็เห็นคงจะปลงใจ |
นางวัณฬาว่าเจ้าคิดสนิทนัก | เจ้าดวงจักขุแม่ช่วยแก้ไข |
กระนั้นเจ้าเข้าไปอยู่ด้วยภูวไนย | แม่จะไปข้างหน้าบัญชาการ |
แล้วเทวีลีลาออกมานั่ง | บนบัลลังก์เลขาตรงหน้าฉาน |
ให้ตีกลองร้องเรียกข้าราชการ | มากราบกรานพร้อมพรักตรงพักตรา ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงวัณฬาราช | ตรัสประภาษการศึกแล้วปรึกษา |
ซึ่งสงครามตามติดประชิดมา | พวกเสนาจะคิดอ่านประการใด ฯ |
๏ ฝ่ายขุนนางต่างคนก็จนจิต | เป็นสุดคิดสุดพรั่นให้หวั่นไหว |
ที่ขี้ขลาดชาติหญิงก็นิ่งไป | ที่จิตใจแกล้วกล้าว่าข้านี้ |
จะสู้ซื่อถือสัตย์พิพัฒน์ผล | รบไปจนสิ้นชีวิตไม่คิดหนี |
สนองคุณมุลิกาฝ่าธุลี | ตายอยู่ที่ท้องทุ่งริมกรุงไกร ฯ |
๏ นางกษัตริย์ตรัสตอบว่าขอบจิต | เราก็คิดผันแปรยังแก้ไข |
จะถ่ายเทเล่ห์กลให้คนไป | ลวงให้องค์พระอภัยมาในวัง |
แล้วจะล่อให้ละเลิงในเชิงรัก | คงคิดหักห้ามทัพให้กลับหลัง |
แล้วตัดปลายสินต้นก่นกำบัง | ขุนนางทั้งปวงจะเห็นเป็นอย่างไร |
พวกเสนาว่าคงสมอารมณ์นึก | ชนะศึกมั่นคงไม่สงสัย |
ตามพระแม่จะบำรุงซึ่งกรุงไกร | ข้าจะได้พึ่งพาบารมี |
นางโฉมยงทรงสดับกำชับสั่ง | จงระวังตรวจตราทุกหน้าที่ |
เผื่อข้าศึกฮึกโหมมาโจมตี | จะเสียทีไม่ทันคิดซึ่งกิจการ |
จงรบรับทัพใหญ่ไว้ให้หยุด | อย่าให้รุดรุกราษฎร์มาอาจหาญ |
ฝรั่งรับกลับไปพร้อมป้อมปราการ | เยาวมาลย์เสด็จมาพลับพลาทอง |
พอเห็นองค์พระอภัยตื่นไสยาสน์ | ธิดานาฏพร้อมพรั่งอยู่ทั้งสอง |
จึงหยุดยั้งนั่งที่เก้าอี้รอง | ให้ยกของที่เสวยนมเนยมา |
มีดตะเกียบเทียบทำไว้สำเร็จ | ทั้งไก่เป็ดขนมปังเครื่องมังสา |
ฝ่ายบุตรีพี่น้องสองสุดา | รินสุราคอยประคองให้สององค์ ฯ |
๏ พระอภัยไม่เคยเสวยเหล้า | แต่รักเขาก็ต้องตามด้วยความหลง |
เก้าอี้ตั้งข้างเตียงเคียงพระองค์ | พึ่งสอนทรงหยิบตะเกียบไม่เรียบเลย |
ค่อยค่อยคีบหนีบพลัดให้ขัดข้อง | นางยิ้มย่องหยิบช้อนช่วยป้อนเสวย |
สุกรไก่หมูหันชิ้นมันเนย | น้ำส้มเชยตับแพะลิ้นแกะแกม |
นางนั่งชี้นี่นั่นรำพันบอก | สุราจอกจับจิบคอยหยิบแถม |
พระอภัยไม่อิ่มนั่งยิ้มแย้ม | นางป้อนแกล้มกล้ำกลืนยิ่งชื่นใจ |
แล้วหยิบช้อนป้อนบ้างนางไม่รับ | ให้นางกลับป้อนพระองค์ด้วยหลงใหล |
ทั้งเมาเหล้าเมาเล่ห์เสน่ห์ใน | แล้วลูบไล้ลดเลี้ยวพูดเกี้ยวพาน ฯ |
๏ จะกล่าวกลับทัพศรีสุวรรณราช | กับหน่อนาถสินสมุทรหยุดทหาร |
ครั้นฤกษ์ดีตีฆ้องก้องกังวาน | ยกจากด่านเจ้าประจัญสนั่นดัง |
สินสมุทรสุดคะนองเป็นกองหน้า | ทหารห้าหมื่นแห่ล้วนแตรสังข์ |
ทรงสิงห์กลิ้งกลดกั้นบดบัง | พลดาบดั้งเดินดำเนินธง |
พี่เลี้ยงพราหมณ์สามนายปีกซ้ายขวา | ต่างขี่ม้าเครื่องกระหนกวิหคหงส์ |
ให้เดินทัพขับทหารเข้าดานดง | ดูทวนธงปลาบปลิวเป็นทิวมา |
ศรีสุวรรณนั้นขึ้นทรงรถที่นั่ง | พวกกองหลังหลายหมื่นถือปืนผา |
ยกทหารขานโห่เป็นโกลา | เหมือนเสียงฟ้าครื้นครั่นสนั่นดัง |
ฝูงเนื้อเบื้อเสือสีห์หมูหมีเม่น | ต่างตื่นเต้นแตกเตลิดระเสิดระสัง |
ทั้งนกหกตกร่วงจากรวงรัง | ด้วยเสียงสังข์เสียงกลองก้องกังวาน |
พวกบ้านรายชายหญิงชาวสิงหล | บ้างแบกขนหมอนฟูกอุ้มลูกหลาน |
ไม่สู้รบหลบหนีตะลีตะลาน | ทหารขานโห่ลั่นสนั่นไป |
พอตกทุ่งกรุงลังกาเวลาพลบ | เห็นหอรบเชิงเทินดังเนินไศล |
ล้วนธงทิวปลิวระยับวับวับไว | ดูไรไรเรียงรอบขอบกำแพง ฯ |
๏ หน่อนรินทร์สินสมุทรไม่หยุดยั้ง | ด้วยกำลังห้าวหาญชาญกำแหง |
ขับทหารล่วงทางไปกลางแปลง | ใกล้กำแพงเมืองนั้นสักพันวา |
จึงหยุดทัพยับยั้งให้ตั้งค่าย | ทั้งทัพพราหมณ์สามนายปีกซ้ายขวา |
ทั้งทัพหลังตั้งเคียงเรียงกันมา | ถึงปากป่าชายทุ่งริมกรุงไกร ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งลังกาเห็นข้าศึก | พลผลึกโห่ลั่นเสียงหวั่นไหว |
ไม่รอรั้งยั้งหยุดฉวยชุดไฟ | ยิงปืนใหญ่เยี่ยมศึกเสียงครึกครื้น |
ไฟวับถึงตึงตามถูกสามค่าย | ระเนียดแตกแหลกทลายลงหลายหมื่น |
ต้องถอยค่ายไปให้ห่างในกลางคืน | แล้วตอกปืนหลักลั่นเสียงครั่นครึก ฯ |
๏ จะกล่าวฝ่ายชายหญิงชาวสิงหล | เสียงไพร่พลโห่ร้องดังก้องกึก |
แผ่นดินลั่นหวั่นไหวอกใจทึก | รู้ว่าศึกเข้ามาล้อมป้อมกำแพง |
ต่างตัวสั่นงันงกสะทกสะท้าน | อลหม่านทั้งประเทศทุกเขตแขวง |
มีตู้หีบรีบหามไปตามแรง | หิ้วหม้อแกงหม้อข้าวแบกเตาไฟ |
ที่ลางคนขนของไปกองทิ้ง | แต่ตัววิ่งเวียนวงด้วยหลงใหล |
บ้างแบกเบาะเมาะฟูกหิ้วหูกไน | ได้โอ่งไหใส่แสรกแบกกระบุง |
บ้างฉวยได้แพรพรรณลูกขันเชี่ยน | ที่เงินเหรียญมีมากก็ลากถุง |
ที่แก่งมซมซานลูกหลานจุง | หอบหมอนมุ้งม้วนเสื่อเสื้อกางเกง |
ที่ง่อยเปลี้ยเสียขาคว้าไม้เท้า | สะดุดสะเด่าเดินกระโดดโลดเขย่ง |
เวทนาตาบอดกอดกันเอง | ออกโก้งเก้งร้อนตัวด้วยกลัวภัย ฯ |
๏ ฝ่ายลูกสาวเจ้าลังกาพระยาหญิง | ได้ยินยิงปืนรบพิภพไหว |
ให้ถามดูรู้แจ้งไม่แคลงใจ | ว่าทัพใหญ่ยกมาถึงธานี |
จึงทูลองค์พระอภัยวิไลลักษณ์ | พระน้องรักมาประชิดติดกรุงศรี |
จะให้รบหรือจะห้ามก็ตามที | ในครั้งนี้แล้วจะใคร่เห็นใจจริง ฯ |
๏ พระแย้มยิ้มพริ้มพรายภิปรายปลอบ | พี่แสนชอบช่างพลอดแม่ยอดหญิง |
อย่านึกแหนงแคลงในน้ำใจจริง | ไม่ทอดทิ้งมิ่งแม่ให้แดดาล |
จะออกไปให้พระน้องเลิกกองทัพ | พากันกลับไปประเทศเขตสถาน |
ที่สัญญาว่ากันไว้วันวาน | เยาวมาลย์แม่อย่าลืมนะปลื้มใจ ฯ |
๏ นางฟังคำทำเป็นว่าฉาพระพี่ | พูดเช่นนี้แค้นน่าเลือดตาไหล |
พระอนุชามารับจะกลับไป | พอเข้าใจอยู่ดอกอย่าพักพาที |
จะห้ามทัพดับเข็ญไม่เห็นด้วย | เห็นจะช่วยรบพุ่งเอากรุงศรี |
เสียแรงรักหากพามาธานี | หวังพระพี่ว่าจะอยู่เป็นคู่ครอง |
นี่เนื้อเคราะห์เพราะซื่อด้วยถือสัตย์ | สารพัดเนื้อตัวก็มัวหมอง |
เมื่อรู้ว่าข้าศึกไม่ตรึกตรอง | จะขืนครองชีวาไปว่าไร |
แล้วแกล้งทำกล้ำกลืนสะอื้นอั้น | กันแสงศัลย์สำออยละห้อยไห้ |
พระตันอกตกประหม่าด้วยอาลัย | เข้าลูบไล้โลมปลอบให้ชอบที |
พี่พูดตามความซื่อควรหรือน้อง | มามัวหมองว่าจะอางขนางหนี |
ก็ตามแต่แม่จะสั่งเถิดครั้งนี้ | จะให้พี่ทำไฉนจะได้ตาม |
แม้มิตายวายวอดไม่ทอดทิ้ง | สมรมิ่งแม่ละเวงอย่าเกรงขาม |
พลางช่วยเช็ดชลนาพะงางาม | จงเห็นความจริงบ้างอย่าหมางใจ ฯ |
๏ นางฟังคำทำงอนอ่อนจริต | ว่าน้องคิดว่าจะตรงไม่สงสัย |
เมื่อสัญญามาในทางที่กลางไพร | ไม่อาลัยแล้วเป็นขาดญาติวงศ์ |
จะโปรดเกล้าเข้ารีตฝรั่งด้วย | จึงเอออวยอ่อนใจอาลัยหลง |
แม้วงศามาประสบพบพระองค์ | จะยุยงต่างต่างให้จางใจ |
คำโบราณท่านผูกว่าลูกเขย | ไม่ชอบเลยกับพ่อตาอย่าสงสัย |
ญาติกาสามีกับพี่สะใภ้ | เล่าก็ไม่ชอบกันเป็นมั่นคง |
ถึงเจ้าตัวผัวเมียมิขัดข้อง | ฝ่ายพวกพ้องญาติกาก็ว่าหลง |
ถ้าแม้พระจะช่วยห้ามปรามณรงค์ | จงโปรดทรงอักษรคิดผ่อนปรน |
เป็นสำคัญมั่นหมายลายพระหัตถ์ | ไปทานทัดน้องรักเสียสักหน |
แม้พวกพ้องกองทัพมิกลับพล | จึงขึ้นบนพลับพลาหน้าธานี |
เขามารบพบปะจะได้ว่า | ตามประสาพี่น้องไม่หมองศรี |
ถ้าขืนบุกรุกโรมเข้าโจมตี | จึงเป่าปี่ให้หลับแล้วจับเป็น |
ช่วยปราบปรามตามทำเนียบพอเรียบร้อย | แล้วจึงปล่อยไปเมืองไม่เคืองเข็ญ |
พวกฝรั่งทั้งชมพูจะอยู่เย็น | จึงจะเห็นว่าพระรักประจักษ์ใจ ฯ |
๏ พระฟังนางพลางตอบว่าชอบแล้ว | พระน้องแก้วคิดดีจะมีไหน |
จะฟังคำทำตามแม่ทรามวัย | พี่มิให้แก้วตาอนาทร |
พระว่าพลางร่างสารแล้วอ่านสอบ | นางเห็นชอบจึงประจงลงอักษร |
ครั้นเสร็จสรรพพับจีบด้วยรีบร้อน | ให้บังอรองค์ละเวงด้วยเกรงใจ |
นางยินดีตีตราพระราหู | ให้เป็นคู่ควรความตามวิสัย |
เรียกธิดามาสั่งที่ข้างใน | เจ้าจงไปตรวจตราในราตรี |
ให้พรั่งพร้อมป้อมประตูคอยสู้ศึก | จะหาญฮึกรบพุ่งเอากรุงศรี |
ต่อรุ่งแจ้งแต่งทูตที่พูดดี | เอาสารศรีไปให้พระอนุชา ฯ |
๏ ทั้งสองนางต่างรับคำนับน้อม | เที่ยวตรวจป้อมปืนรายทั้งซ้ายขวา |
ให้ทหารขานยามตามเวลา | มิให้ข้าศึกเข้ามาเล้ารุม |
แล้วเกณฑ์กองป้องกันที่ชั้นนอก | ทั้งปืนหอกให้ระวังออกนั่งสุม |
มีกองกลางหว่างป้อมพร้อมชุมนุม | ระวังทุ่มยามเรียกเพรียกกันไป ฯ |
๏ ฝ่ายกองทัพยับยั้งอยู่ชายป่า | ต่างตรวจตราเตรียมกันอยู่หวั่นไหว |
พอลมแดงแรงเร็วเหมือนเปลวไฟ | พัดธงชัยสามทัพหักพับลง |
แล้วหอบหวนป่วนปั่นเป็นควันกลุ้ม | ผงคลีคลุ้มเวียนวุ่นทั้งฝุ่นผง |
พอลมหายสายรุ้งก็พลุ่งตรง | จำเพาะลงกลางค่ายแล้วหายไป ฯ |
๏ จอมกษัตริย์อัดอั้นให้หวั่นหวาด | ทั้งหน่อนาถนึกพรั่นให้หวั่นไหว |
ให้เปลี่ยนทรงคันธงขึ้นทันใด | แล้วรีบไปที่เฝ้าพระเจ้าอา |
พอสามพราหมณ์ตามหลังมาพรั่งพร้อม | ประณตน้อมนั่งฝ่ายทั้งซ้ายขวา |
จอมกษัตริย์ตรัสถามตามสงกา | ไฉนมาเป็นลางขึ้นอย่างนี้ ฯ |
๏ เจ้าพราหมณ์รู้อยู่ว่าร้ายแกล้งทายกลับ | กิตติศัพท์สรรเสริญเจริญศรี |
ซึ่งเสาธงยุทธนาเคยราวี | พายุตีหักยับทุกทัพชัย |
จะสำเร็จเสร็จสงบที่รบพุ่ง | เหมือนอย่างมุ่งมั่นคงไม่สงสัย |
ซึ่งสายรุ้งพลุ่งพร่างสว่างไป | พระจะได้บ้านเมืองรุ่งเรืองงาม |
เป็นนิมิตกฤษฎาอานุภาพ | จะเกิดลาภปราบเตียนที่เสี้ยนหนาม |
เชิญพระองค์ทรงตริดำริความ | ทำสงครามคราวนี้ให้มีชัย ฯ |
๏ พระฟังเตือนเอื้อนอรรถดำรัสสนอง | ฉันตริตรองกริ่งจิตคิดสงสัย |
อันพระพี่ชีวันไม่บรรลัย | จะมาได้ความสุขหรือทุกข์ทน |
ดูท่าทางนางละเวงวัณฬาเล่า | ก็เห็นเขาจะไม่รักเป็นพักผล |
ด้วยฆ่าพ่อพี่ชายเขาวายชนม์ | จึงแต่งกลแก้แค้นจะแทนทด |
บัดนี้เล่าเขาก็พาเอามาได้ | เกรงจะให้ย่อยยับอัปยศ |
จะรีบรบพบองค์พระทรงยศ | หรือจะงดรอรั้งคอยฟังความ ฯ |
๏ เจ้าพราหมณ์พร้อมน้อมนอบตอบสนอง | ดูทำนองนางละเวงก็เกรงขาม |
ด้วยสุจริตคิดอ่านการสงคราม | จึงทำตามตัวถนัดเป็นสตรี |
ไปลวงล่อพอได้พาเธอพาไว้ | หมายมิให้รบพุ่งเอากรุงศรี |
ถึงชิงชัยยังมิกล้าให้ฆ่าตี | เห็นท่วงทีจะผดุงบำรุงบำเรอ |
ฝ่ายพระพี่ผีปากที่ฝากรัก | ก็แหลมหลักเหลือดีไม่มีเสมอ |
ผู้หญิงคงงงงวยลงอวยเออ | จะฆ่าเธอที่ไหนได้คงไม่ตาย |
ด้วยวิสัยในประเทศทุกเขตแคว้น | ถึงโกรธแค้นความรักย่อมหักหาย |
อันความจริงหญิงก็ม้วยลงด้วยชาย | ชายก็ตายลงด้วยหญิงจริงดังนี้ |
แม้พระองค์หลงไปอยู่กับผู้หญิง | ไหนจะนิ่งเสียให้เราเข้ากรุงศรี |
จะห้ามปรามตามวิสัยเป็นไมตรี | ในพรุ่งนี้คงจะแจ้งที่แคลงใจ |
พระอนุชาว่าฉันเห็นก็เช่นนั้น | ถ้าแม่นมั่นเหมือนหนึ่งคำจะทำไฉน |
ต่างตรองตรึกนึกรำพึงคะนึงใน | จนมิได้นิทราในราตรี ฯ |
๏ ฝ่ายยุพาผกาเวลาเช้า | ชวนน้องสาวขึ้นพลับพลาหลังคาสี |
เรียกข้าเฝ้าเข้ามานั่งฟังคดี | ให้รู้ทีทางความจะห้ามทัพ |
แล้วเชิญราชสารใส่ลงในกล่อง | มีพานทองเรือนเก็จเพชรประดับ |
ทั้งเอมโอชโภชนาห้าสำรับ | ครั้นเสร็จสรรพยกขึ้นตั้งบัลลังก์รถ |
มีเกณฑ์แห่แตรสังข์ข้างหลังหน้า | ชักรถามากลางกางพระกลด |
ทูตฝรั่งทั้งสามแต่งตามยศ | แล้วนำรถตรงออกนอกบุรี |
ประโคมฆ้องกลองแตรเซ็งแซ่เสียง | เครื่องสูงเรียงแลระยับสลับสี |
ถึงกองทัพยับยั้งฟังคดี | พอโยธีออกมาถามตามสงกา ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งสั่งความให้ล่ามพูด | เราเป็นทูตของสมเด็จพระเชษฐา |
มาเยี่ยมทัพกับพระอนุชา | อย่ารอรารับเราจะเข้าไป |
ฝ่ายพวกทัพกลับถามได้ความชัด | ก็รีบรัดเข้าไปแจ้งแถลงไข |
จอมกษัตริย์ตรัสสั่งเสนาใน | ให้ออกไปรับทูตมาพูดจา ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งบังคมบรมนาถ | ทูลว่าราชสารสมเด็จพระเชษฐา |
กับของเครื่องเอมโอชโภชนา | ให้ข้ามาถวายองค์พระทรงธรรม์ |
ที่เครื่องทองของพระหน่อวรนาถ | สำหรับราชกษัตริย์ทรงจัดสรร |
กับสามพราหมณ์สามสำรับลำดับกัน | พระทรงธรรม์โปรดปรานประทานมา |
แล้วสั่งบอกนอกสารเป็นการลับ | ว่ากองทัพลำบากยากหนักหนา |
จะจำหน่ายจ่ายเสบียงเลี้ยงโยธา | ให้รีบล่ากองทัพยกกลับไป ฯ |
๏ ฝ่ายพระศรีสุวรรณวงศ์ดำรงราช | เชิงฉลาดแหลมปัญญาอัชฌาสัย |
ไม่ออกโอษฐ์พจมานประการใด | แต่สั่งให้พราหมณ์อ่านสารสุนทร |
ในสารทรงองค์อภัยมณีนาถ | บรมบาทบพิตรอดิศร |
เฉลิมวังลังกาสถาวร | กับบังอรอัคเรศเกศสตรี |
ทั้งกรุงไกรไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ | พึ่งพระบาทบงกชบทศรี |
นิคมคามร้อยเอ็ดเขตบุรี | ไม่ย่ำยีราษฎรให้ร้อนรน |
ไฉนพระอนุชาพาทหาร | มารอนราญรบพุ่งกรุงสิงหล |
ให้ลำบากยากใจแก่ไพร่พล | ทุกตำบลบ้านเมืองเคืองรำคาญ |
อันตัวเราเอาแต่ปากมาฝากรัก | ได้องค์อัคเรศประเทศสถาน |
จะบำรุงกรุงไกรให้สำราญ | อย่าเป็นภารธุระพระอนุชา |
จงเลิกทัพกลับไปอยู่ชมพูทวีป | ช่วยชูชีพชนชาติพระศาสนา |
อันพวกเราชาวฝรั่งเมืองลังกา | จะไปค้าขายบ้างทางไมตรี |
แม้นมิฟังหนังสือไม่ถือญาติ | จะหมายมาดรบพุ่งเอากรุงศรี |
ขอเชิญพระอนุชาเข้าราวี | ผู้ใดดีก็จะได้ดังใจจง |
พอจบความพราหมณ์กราบพระทราบเหตุ | ว่าพระเชษฐายังกำลังหลง |
จะเลิกทัพกลับไปไกลพระองค์ | ก็แสนสงสารพระพี่จะมีภัย |
จะขืนอยู่ดูดังไม่ฟังห้าม | จะมีความแคลงจิตคิดสงสัย |
ให้ขัดสนอ้นอั้นตันพระทัย | จึงเกลี่ยไกล่กล่าวคำเป็นท่ามกลาง |
แม้ทรงเดชเชษฐาบัญชาสั่ง | จะเชื่อฟังสารพัดไม่ขัดขวาง |
แต่ขอถามความขำอย่าอำพราง | ด้วยเดิมนางอยู่ที่เขาเจ้าประจัญ |
ให้ม้าใช้ไปแถลงบอกแจ้งเหตุ | ว่าจับเชษฐาจะฆ่าให้อาสัญ |
จึงหักด่านรานรุกไล่บุกบัน | มาโรมรันรบพุ่งกรุงลังกา |
ประเดี๋ยวนี้มีสารมาทานทัด | ว่าสมบัติของสมเด็จพระเชษฐา |
อย่างไรอยู่ผู้ถือหนังสือมา | จงพูดจาให้เราแจ้งที่แคลงใจ |
วานซืนนี้ตีทัพได้รับรบ | แล้วกลับคบเคียงชิดพิสมัย |
ภิเษกสองครองกันเมื่อวันใด | ช่วยเล่าให้เห็นจริงทุกสิ่งอัน ฯ |
๏ ฝรั่งทูตพูดตามเนื้อความสั่ง | เดิมก็หวังว่าจะฆ่าให้อาสัญ |
ครั้นลอบพามาถึงเขาเจ้าประจัญ | พอเกิดควันมืดมนสนธยา |
เทพเจ้าเข้าประคองสองกษัตริย์ | ใส่พระหัตถ์เหาะเร่ขึ้นเวหา |
มาส่งถึงในวังเมืองลังกา | ให้สองรารักใคร่เป็นไมตรี |
ชาวกรุงไกรไพร่นายฝ่ายฝรั่ง | จึงพร้อมพรั่งให้เป็นเอกภิเษกศรี |
ด้วยนายทัพกลับมาอยู่ธานี | พระจึงตีได้เขาเจ้าประจัญ |
ซึ่งสงสัยไม่ประจักษ์ตระหนักแน่ | จงดูแต่ลายพระหัตถ์ที่จัดสรร |
พระทรงเขียนมาให้เห็นเป็นสำคัญ | ทั้งตรานั้นชื่อราหูคู่นคร ฯ |
๏ พระฟังทูตพูดดีเป็นที่ยิ่ง | มันอ้างอิงเอาหลักที่อักษร |
เป็นความลับกลับกลอกแกล้งยอกย้อน | ไม่แน่นนอนนิ่งคิดพินิจดู |
ก็จำได้ลายพระหัตถ์กระจัดแจ้ง | กับตราแดงดวงหน้าพระราหู |
จึงแกล้งว่าตัวเราเจ้าชมพู | ยกมาอยู่ใกล้วังเมืองลังกา |
แม้จริงจังดังคำที่ร่ำเล่า | จงให้เราเฝ้าสมเด็จพระเชษฐา |
จะทูลความตามประสงค์จำนงมา | ให้ทราบฝ่าบาทบงสุ์พระทรงยศ |
แม้วันนี้มิได้เฝ้าเหมือนเราสั่ง | ฝ่ายฝรั่งราชทูตก็พูดปด |
จะรบพุ่งกรุงไกรมิได้งด | ตามกำหนดนัดกันในวันนี้ |
อันตัวเราเหล่าทหารกับหลานรัก | จะไปพักเพียงประตูบูรีศรี |
ท่านกลับไปในกำแพงแจ้งคดี | ให้พระพี่ทราบความตามกิจจา ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งฟังตรัสเห็นตัดขาด | แสนฉลาดแหลมหลักนั้นหนักหนา |
ต่างคำนับรับรสพจนา | แล้วทูลลากลับหลังเข้าวังใน |
ทูลแถลงแจ้งคดีบุตรีเลี้ยง | เหมือนไล่เลียงเล่าแจ้งแถลงไข |
เห็นไม่ฟังหนังสือที่ถือไป | ว่าแม้ไม่พบองค์จะสงคราม ฯ |
๏ ฝ่ายยุพาผกาสุดาสดับ | นางกำชับนายทหารชาญสนาม |
แม้มาเฝ้าเราจึงช่วยกันห้ามปราม | ให้ทำตามเยี่ยงอย่างวางสาตรา |
แม้ฟังคำนำไปแล้วให้นั่ง | ที่ตึกฝังคนตายข้างฝ่ายขวา |
ใส่ประแจแม่เหล็กแล้วลอบมา | เรียกโยธาไปให้พร้อมแล้วล้อมไว้ |
สั่งสำเร็จเสร็จสรรพมากับน้อง | เข้าเฝ้าสองกษัตราอัชฌาสัย |
แล้วทูลความตามหนังสือที่ถือไป | พระน้องไม่กลับจะเข้าเฝ้าพระองค์ ฯ |
๏ พระอภัยได้ฟังยิ่งคั่งแค้น | ด้วยสุดแสนรักใคร่อาลัยหลง |
ว่าครั้งนี้ก็เห็นขาดญาติวงศ์ | ในจะคงฆ่าฟันให้บรรลัย |
แล้วเล้าโลมละเวงวัณฬาราช | นุชนาฏนวลหงอย่าสงสัย |
แม้เขามาหาข้างนอกจะออกไป | หรือจะให้สงครามก็ตามที ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงเกรงสินสมุทร | จะรีบรุดรบพุ่งเอากรุงศรี |
ชลีกรวอนว่าเป็นอารี | จะฆ่าตีพี่น้องไม่ต้องการ |
เชิญเสด็จขึ้นพลับพลาหน้าหอรบ | ให้มาพบพูดจาได้ว่าขาน |
แม้ดื้อดึงขึงขัดที่ทัดทาน | จึงคิดอ่านปราบปรามตามทำนอง ฯ |
๏ พระฟังนางช่างดีอารีเหลือ | มิให้เชื้อวงศ์ผัวนั้นมัวหมอง |
จึงตอบความทรามสงวนนวลละออง | พวกพี่น้องของพี่ไม่ดีเอง |
แม่โอบอ้อมพร้อมพรักด้วยรักพี่ | ส่วนเขามีแต่จะรุมกันคุมเหง |
จะไปว่าถ้าทีนี้เขามิเกรง | แม่ละเวงวัณฬาอย่าอาลัย |
จะจับมาผ่าทรวงเอาดวงจิต | ออกเพ่งพิศให้เห็นว่าเป็นไฉน |
จริงนะเจ้าพี่ไม่ลวงแม่ดวงใจ | พลางลูบไล้เล้าโลมแม่โฉมยง |
นางแย้มยิ้มพริ้มพรายชม้ายหมอบ | ให้ชื่นชอบชั้นเชิงละเลิงหลง |
เจียนหมากดิบหยิบพระศรีบุหรี่ทรง | ถวายองค์พระอภัยอยู่ใกล้เคียง ฯ |
๏ ฝ่ายพระศรีสุวรรณครั้นฝรั่ง | กลับมาวังพอนาฬิกาเที่ยง |
จึงปรึกษากับพราหมณ์สามพี่เลี้ยง | จะบ่ายเบี่ยงแก้ไขไฉนดี |
เราไปเฝ้าเล่าก็เห็นจะห้ามทัพ | ให้คืนกลับไปสถานเหมือนสารศรี |
ครั้นจะละพระพี่ไว้กับไพรี | เห็นชีวีคงไม่รอดจะวอดวาย |
ครั้นจะอยู่ดูเหมือนเช่นเป็นขบถ | พระทรงยศยิ่งจะเดือดมิเหือดหาย |
ใครจะเห็นเป็นไฉนทั้งไพร่นาย | ช่วยอุบายบอกความให้งามใจ ฯ |
๏ ฝ่ายพระหน่อวรนาถราชบุตร | สินสมุทรมีปัญญาอัชฌาสัย |
ทูลพระอาว่าเห็นมิเป็นไร | เราอ้างเอาท้าวไทพระอัยกา |
กับองค์พระอัยกีให้มีสาร | มาด้วยการร้อนให้รีบไปหา |
มิไปตามความผิดอยู่บิดา | พระเจ้าอาอย่าฟังชั่งเป็นไร |
ศรีสุวรรณสรรเสริญเจริญจิต | พ่อช่างคิดแก้ดีจะมีไหน |
พระตรัสพลางทางให้หาเสนาใน | มาสอนให้เป็นทูตมาพูดจา |
แล้วแต่งสารลานทองใส่กล่องแก้ว | สำเร็จแล้วจึงให้จัดขึ้นรถา |
พร้อมกันชิงกลิ้งกลดรจนา | ทั้งซ้ายขวาจามรชอนตะวัน |
กระบวนแห่แต่ล้วนฝ่ายนายทหาร | เคยรอนราญเรี่ยวแรงแข็งขยัน |
กำชับสั่งครั้งนี้ที่สำคัญ | คอยดูชั้นเชิงฝรั่งชาวลังกา |
ให้เจ้าพราหมณ์สามนายอยู่ค่ายตั้ง | พร้อมสะพรั่งไพร่นายทั้งซ้ายขวา |
ถ้าเหะหะจะได้ยินปืนสัญญา | ยกโยธาหนุนกันให้ทันการ |
แล้วแต่งองค์ทรงเครื่องพิชัยยุทธ์ | สินสมุทรกับพระอาล้วนกล้าหาญ |
ทั้งสององค์พระยาอาชาชาญ | ให้แห่สารข้ามทุ่งเข้ากรุงไกร |
ประโคมทั้งสังข์แตรแซ่สนั่น | เสียงครื้นครั่นกลองชนะปี่ไฉน |
ฝ่ายฝรั่งลังกาให้ม้าใช้ | ไปห้ามให้หยุดประทับตรงพลับพลา ฯ |
๏ ศรีสุวรรณนั้นจึงว่าเหวยฝรั่ง | นิเวศน์วังของสมเด็จพระเชษฐา |
เปิดประตูกูจะเข้าในพารา | ถ้านิ่งช้าโทษมึงจะถึงตาย |
ฝ่ายฝรั่งลังกาพวกข้าเฝ้า | จึงว่าเราถือกำหนดพระกฎหมาย |
แม้จะเข้าเฝ้าข้างในได้แต่นาย | ไพร่ทั้งหลายนั้นให้อยู่นอกบูรี |
ตามเยี่ยงอย่างต้องวางสรรพาวุธ | บริสุทธิ์จึงเข้าเฝ้าเจ้ากรุงศรี |
พระอนุชาว่าเองห้ามปรามทั้งนี้ | ชอบแต่ที่ข้าบาทราชการ |
กูเป็นพระอนุชานรารักษ์ | ประเสริฐศักดิ์กษัตรามหาศาล |
ย่อมทรงรถคชบาทราชยาน | มีทหารแห่เข้าไปถึงในวัง |
ต่อจวนใกล้ได้เห็นองค์พระทรงยศ | จึงจะลดลงอย่างแต่ปางหลัง |
นี่เหตุใดจึงมาห้ามตามลำพัง | จะให้ยั้งหยุดช้าอยู่ว่าไร ฯ |
๏ ฝรั่งว่ามาทางต่างประเทศ | จะเข้าเขตราชวังยังไม่ได้ |
จะบอกกล่าวท้าวนางทูลข้างใน | ต่อโปรดให้เข้าเฝ้าจึงเข้ามา |
แล้วขุนนางต่างไปบอกบุตรีเลี้ยง | เหมือนทุ่มเถียงคึกคักกันหนักหนา |
ฝ่ายสองนางฟังแถลงแจ้งกิจจา | ไปวันทาทูลยุบลพระชนนี ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงวัณฬาราช | ให้หวั่นหวาดวิญญาณ์มารศรี |
แอบชะอ้อนวอนพระอภัยมณี | เชิญพระพี่ขึ้นพลับพลาบนปราการ |
จงแต่งองค์ทรงสำอางอย่างฝรั่ง | เป็นเจ้าลังกาเขตประเทศสถาน |
พวกเสนาข้าบาทในราชการ | จะสำราญรักใคร่พร้อมใจกัน |
ทั้งถือตราราหูคู่กษัตริย์ | ใครแข็งขัดเข่นฆ่าให้อาสัญ |
ทั้งห้ามแหนแสนสุรางค์นางกำนัล | ไม่หวงกันตามประสงค์จำนงใน |
น้องจะขอเป็นแต่เหล่านางเถ้าแก่ | ช่วยดูแลตามประสาอัชฌาสัย |
เชิญพระองค์สรงสนานสำราญใจ | เสด็จไปออกข้างหน้าพลับพลาทอง ฯ |
๏ พระฟังนางทางตอบให้ชอบชื่น | ไม่ขัดขืนคำเจ้าให้เศร้าหมอง |
ที่ปราบปรามห้ามทัพจะรับรอง | ผู้ใดข้องเคืองขัดจะตัดคอ |
ซึ่งน้องรักจักไปเข้าเป็นเถ้าแก่ | สงสารแต่จะต้องรับกำกับหมอ |
หม่อมห้ามออกนอกวังตามหลังวอ | พี่จะขอเข้าประสมเป็นกรมวัง |
ได้พบเห็นเย็นเช้ากับเฒ่าแก่ | ประจ๋อประแจ๋กว่าจะสมอารมณ์หวัง |
พระหยอกนางพลางเสด็จจากบัลลังก์ | ขึ้นนั่งตั่งสรงชลสุคนธา |
นางจัดเครื่องเมืองฝรั่งตั้งถวาย | ล้วนเพชรพรายพลอยระยับจับเวหา |
พระอภัยไม่เคยทรงให้สงกา | ถามวัณฬาทูลฉลองยิ้มย่องกัน |
พระสอดซับสนับเพลาเนาสำรด | รัตคตพรรณรายสายกระสัน |
ฉลององค์ทรงเสื้อเครือสุวรรณ | สลับชั้นเชิงหุ้มดุมวิเชียร |
สายปั้นเหน่งเปล่งเม็ดเพชรประดับ | สอดสลับซ้อนระบายล้วนลายเขียน |
ทัดพระมาลาทรงประจงเจียน | ดูแนบเนียนเนาวรัตน์ชัชวาล |
ใส่เกือกทองรองเรืองเครื่องกษัตริย์ | เพชรรัตน์รจนามุกดาหาร |
มีนวมนุ่มหุ้มพระชงฆ์อลงการ | สอดประสานสายสุวรรณกัลเม็ด |
ธำมรงค์วงรายพรายพระหัตถ์ | เนาวรัตน์วุ้งแววล้วนแก้วเก็จ |
ทรงกระบี่มีโกร่งปรุโปร่งเพชร | แล้วห้อยเช็ดหน้ากรองทองประจง |
มาหยุดยั้งนั่งที่เก้าอี้รัตน์ | นางกษัตริย์ชื่นชมสมประสงค์ |
ถวายตราราหูเป็นคู่องค์ | สำหรับทรงว่าขานการพารา |
ให้ลูกเลี้ยงเคียงคำนับคอยรับสั่ง | ใช้ฝรั่งไพร่นายทั้งซ้ายขวา |
แล้วเลือกเหล่าสาวสุรางค์สำอางตา | เชิญเครื่องชาชุดกล้องประคองพาน ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงกระบี่แล้วลีลาศ | ธิดานาฏนำมาข้างหน้าฉาน |
ขึ้นประทับพลับพลาตรงปราการ | พนักงานฆาตฆ้องกลองสัญญา |
พระหยุดยั้งนั่งที่เก้าอี้อาสน์ | ธิดานาฏเฝ้าฝ่ายทั้งซ้ายขวา |
ฝ่ายขุนนางข้างฝรั่งเมืองลังกา | ต่างก็มาเฝ้าฟังรับสั่งความ ฯ |
๏ พระผันแปลแลเล็งเพ่งพระพักตร์ | เห็นลูกรักกับพระน้องที่ท้องสนาม |
กับรถทรงราชสารตระหง่านงาม | ไม่ทราบความคิดอ่านประการใด |
จึงตรัสสั่งนางยุพาให้หาทัพ | นางน้อมรับพจนาอัชฌาสัย |
จึงโบกธงส่งภาษาให้ม้าใช้ | ไปบอกให้นายเข้ามาเฝ้าพลัน ฯ |
๏ ฝ่ายม้าใช้ไปแถลงให้แจ้งอรรถ | สองกษัตริย์เคลื่อนพหลพลขันธ์ |
มาปักธงตรงพลับพลาพร้อมหน้ากัน | ศรีสุวรรณพิศดูภูวไนย |
เห็นแต่งองค์ทรงสำอางอย่างฝรั่ง | ครั้นจะบังคมพระองค์ก็สงสัย |
สินสมุทรสุดแสนที่แค้นใจ | แกล้งทำไม่รู้จักเมินพักตรา ฯ |
๏ พระอภัยใหลหลงทรงพิโรธ | ตรัสคาดโทษน้องรักโอรสา |
มายืนดูอยู่ด้วยกันไม่วันทา | หรือจะมารบพุ่งเอากรุงไกร ฯ |
๏ ศรีสุวรรณพรั่นจิตคิดขยาด | เชิงฉลาดทูลแจ้งแถลงไข |
แม้มิโปรดโทษทัณฑ์ก็บรรลัย | ซึ่งมิได้กราบก้มบังคมคัล |
ด้วยถือสารการแผ่นดินปิ่นกษัตริย์ | บุรีรัตน์รัตนามหาศวรรย์ |
ให้ข้าพามาถึงองค์พระทรงธรรม์ | กับราชมัลมนตรีทั้งสี่นาย |
ขอพระองค์จงรับราชสาร | ตามโบราณอย่าให้ช้ำระส่ำระสาย |
แล้วตัวข้าสามนต์พลนิกาย | จะถวายวันทาฝ่าธุลี ฯ |
๏ พระอภัยได้สดับกลับได้คิด | เราหลงผิดพี่น้องพลอยหมองศรี |
โอ้สงสารพระชนกชนนี | ต้องให้มีสารแสดงมาแจ้งการ |
จึงลดองค์ลงจากเก้าอี้อาสน์ | น้อมคำนับอภิวาทราชสาร |
ให้เสนาอาลักษณ์พนักงาน | เชิญมาอ่านที่ตรงหน้าพลับพลาชัย |
สารสมเด็จบิตุราชมาตุรงค์ | สองพระองค์ทรงภพสบสมัย |
แสนคะนึงถึงโอรสยศไกร | พระอภัยมณีศรีโสภา |
แต่พลัดพรากจากเขตนิเวศน์สถาน | ก็เนิ่นนานตั้งแต่คอยละห้อยหา |
ไม่เห็นหายฝ่ายเราเฒ่าชรา | มีโรคาเยี่ยมเยือนทุกเดือนปี |
จะอาสัญวันใดก็ไม่รู้ | ไม่มีผู้จะบำรุงซึ่งกรุงศรี |
ถ้าศึกเหนือเสือใต้พวกไพรี | มาย่ำยีเขตแคว้นจะแค้นเคือง |
พวกไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินสิ้นทั้งหลาย | ทั้งหญิงชายทุกข์ตรอมจนผอมเหลือง |
เสียดายองค์ทั้งสงสารแก่บ้านเมือง | จึงแต่งเรื่องราชสารเป็นการร้อน |
ให้เสนีสี่นายมาพรายแพร่ง | หวังให้แจ้งลูกรักในอักษร |
แม้สงสารมารดากับบิดร | จงรีบร้อนเร็วมายังธานี |
จะรอใจไว้ท่ากว่าจะถึง | หวังจะพึ่งบุญเจ้าช่วยเผาผี |
แม้ธุระพระอภัยสิ่งไรมี | จงให้ศรีสุวรรณน้องอยู่ป้องกัน |
แม้มิมาครานี้เป็นที่สุด | เป็นขาดบุตรบิดาจนอาสัญ |
พอจบสารกรานก้มบังคมคัล | ศรีสุวรรณอัญชลีพระพี่ยา ฯ |
๏ พระอภัยใจขยับจะกลับหลัง | แต่มนต์คลั่งเคลิ้มรักนั้นหนักหนา |
ยิ่งเห็นลูกผูกพันถึงวัณฬา | จึงตรึกตราตรัสสนองพระน้องรัก |
ราชสารการร้อนมาเร่งรัด | ถ้าผ่อนผัดบิดพลิ้วจะกริ้วหนัก |
อันตัวพี่นี้ก็ป่วยระหวยนัก | จะผ่อนพักพอให้คลายก็หลายวัน |
เจ้ากับหลานภารธุระหามีไม่ | จงรีบไปรัตนามหาศวรรย์ |
เผื่อข้าศึกฮึกโหมมาโรมรัน | ช่วยป้องกันกรุงไกรทั้งไพร่นาย |
ช่วยกราบทูลมูลเหตุว่าเชษฐา | เป็นโรคาขุกไข้ยังไม่หาย |
พอโรคร้อนหย่อนลงจะทรงกาย | ไปถวายวันทาฝ่าธุลี ฯ |
๏ ศรีสุวรรณครั้นได้ฟังรับสั่งตรัส | จึงทานทัดทูลฉลองด้วยหมองศรี |
ซึ่งมีสารการรับสั่งมาครั้งนี้ | ให้พระพี่รีบรัดไปจัดการ |
อันตัวข้าว่าให้อยู่ดูข้างหลัง | มีรับสั่งสิทธิ์ขาดในราชสาร |
จะขืนไปให้เคืองเบื้องบทมาลย์ | เหมือนหม่อมฉานขัดรับสั่งไม่บังควร ฯ |
๏ พระฟังน้องข้องขัดตัดบังคับ | ด้วยเรื่องรับสั่งมีมาถี่ถ้วน |
จะตอบคำทำเป็นครางอย่างประชวร | เวลาจวนจับไข้ไม่สบาย |
พระอนุชาพาทูตไปหยุดพัก | แล้วจึงจักคิดอ่านการทั้งหลาย |
เป็นสำเร็จเสร็จศึกอย่านึกร้าย | ทั้งสองฝ่ายจะเป็นมิตรสนิทกัน |
แม้ผู้ใดไม่ฟังเราบังคับ | จะเฆี่ยนขับเข่นฆ่าให้อาสัญ |
แล้วหยิบสารลานทองของสำคัญ | จรจรัลจากพลับพลาเข้ามาวัง ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระอนุชาจึงพาหลาน | กับทหารกองทัพนั้นกลับหลัง |
มาอยู่ค่ายนายไพร่ให้ระวัง | จะคอยฟังข่าวที่พระพี่ยา ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระอภัยมณีนาถ | ขึ้นปราสาทสามชั้นด้วยหรรษา |
นั่งบนเตียงเคียงลูกสาวเจ้าลังกา | แจ้งกิจจาตามความที่ห้ามทัพ |
ศรีสุวรรณสินสมุทรก็หยุดยั้ง | พี่ซ้ำสั่งขาดเด็ดเป็นเสร็จสรรพ |
แม้ผู้ใดไม่ฟังพี่บังคับ | จะเฆี่ยนขับฆ่าฟันให้บรรลัย |
แต่สมเด็จพระบิดาให้หาพี่ | ใช้เสนีนำสารมาขานไข |
พี่บอกป่วยด้วยเป็นห่วงเจ้าดวงใจ | ไม่ขอไกลกลอยสวาทแล้วชาตินี้ |
วันนี้วันสัญญาแล้วหนาน้อง | อย่าขัดข้องคิดอางขนางหนี |
นางคมค้อนซ่อนหน้าแล้วพาที | ชะพระพี่เพทุบายได้หลายทาง |
พระบิตุราชมาตุรงค์ของทรงศักดิ์ | เป็นที่รักหรือจะตัดยังขัดขวาง |
แกล้งบอกป่วยด้วยจะหน่วงเป็นห่วงค้าง | แล้วจะร้างแรมวังเป็นรังกา |
พระกลับไปอาณาจักรถึงหลักแหล่ง | ไม่ขาดแคลงดอกที่เล่ห์เสน่หา |
กลัวจะหลงลืมเลยเชยวัณฬา | สงสารหน้าน้องจะคล้ำดังน้ำคราม |
หนึ่งพระน้องกองทัพไม่กลับหลัง | ก็สุดหวังว่าจะเตียนที่เสี้ยนหนาม |
แม้ศึกเงียบเรียบราบพระปราบปราม | จะยอมตามคำรับไม่กลับกลาย |
นี่ทัพยังตั้งล้อมอยู่พร้อมพรัก | สุดจะรักทูลกระหม่อมยอมถวาย |
พระไม่ไปไหนเลยพระน้องชาย | จะเคลื่อนคลายกองทัพถอยกลับไป |
ฉวยได้ทีตีตลบเข้ารบพุ่ง | จะเสียกรุงลังกาเลือดตาไหล |
หรือทรงฤทธิ์คิดอ่านประการใด | ที่จะให้กองทัพกลับโดยดี ฯ |
๏ พระฟังนางพลางว่านิจจาเอ๋ย | ไม่เชื่อเลยแม่วัณฬามารศรี |
ถึงกองทัพกลับกล้าเข้าราวี | จะผลาญชีวีมันให้บรรลัย |
น้องก็รู้อยู่ว่าท้าวเจ้าละมาน | ยังต่อต้านลมปี่พี่ไม่ไหว |
ถึงคนอื่นหมื่นแสนทุกแดนไตร | จะผลาญให้วอดวายตายทุกทัพ |
เว้นเสียแต่แม่ละเวงพี่เกรงฤทธิ์ | ด้วยสุดคิดเป่าปี่ก็มิหลับ |
ของ้อรักสักเท่าไรก็ไม่รับ | เฝ้าคอยจับผิดพี่ไปทีเดียว |
บอกว่าไม่ไปจากไม่อยากเชื่อ | น่าหยิกเนื้อหนักหนาจนขาเขียว |
สัญญาแน่แท้เที่ยงแล้วเลี่ยงเลี้ยว | เฝ้าหน่วงเหนี่ยวนึกระแวงแคลงวิญญาณ์ |
พระชนกชนนีของพี่นั้น | มิใช่ท่านยากไร้จะไปหา |
แต่แจ้งการสารศรีที่มีมา | ก็จำว่าเจ็บป่วยด้วยนิดน้อย |
พี่ไม่ไปใครจะกล้ามาว่ากล่าว | มิใช่บ่าวใช่ไพร่เช่นใช้สอย |
ซึ่งกองทัพรับสั่งมาตั้งคอย | นานเข้าหน่อยหนึ่งก็เหลือที่เบื่อใจ |
คงเลิกทัพกลับหมดเพราะอดอยาก | จะกรำกรากแรมปีอยู่ที่ไหน |
แต่ตัวพี่ชีวันมิบรรลัย | ก็มิให้นิ่มน้องเจ้าหมองนวล |
จนแก่เฒ่าเฝ้าแอบแนบถนอม | สู้อดออมอุส่าห์รักษาสงวน |
วันนี้วันสัญญาเวลาจวน | อย่าหยิกข่วนข้องขัดเสียสัจจา ฯ |
๏ นางแย้มยิ้มพริ้มพรายภิปรายสนอง | อันตัวน้องซื่อสุดไม่มุสา |
แม้กองทัพกลับไปไกลลังกา | สมสัญญาแล้วไม่ห้ามตามพระทัย |
แต่สมบัติพัสถานการทั้งหลาย | ขอถวายตามพระอัชฌาสัย |
ทั้งห้ามแหนแสนสนมกรมใน | ยังจัดไว้พร้อมเพรียงทั้งเวียงวัง |
โปรดให้เข้าเฝ้าแห่งตำแหน่งห้าม | ให้ต้องตามเยี่ยงอย่างแต่ปางหลัง |
แล้วหลีกออกนอกสุวรรณบัลลังก์ | เลี้ยวมานั่งตึกลมที่ชมจันทร์ |
จึงเรียกสองธิดารำภาสะหรี | มานั่งที่เงียบสงัดให้จัดสรร |
บรรดาเหล่าสาวสุรางค์นางกำนัล | จงแบ่งปันกะเกณฑ์เป็นเวรการ |
พวกสาวใหญ่ได้ระเบียบที่เรียบร้อย | สำหรับคอยเครื่องต้นสุคนธ์สนาน |
ที่เชิงชั้นสันทัดหัดชำนาญ | เป็นอยู่งานงามพร้อมละม่อมละไม |
ที่เวรจัดมัสการพานพระศรี | เลือกที่มีกิริยาอัชฌาสัย |
เจ้าพาเข้าเฝ้าดูพระภูวไนย | จะเห็นใจจริงจังในครั้งนี้ |
ถามถึงข้าว่าไปเที่ยวตรวจทหาร | ระวังการรบพุ่งนอกกรุงศรี |
ทั้งสามนางต่างรับพระเสาวนีย์ | ดูบาญชีเบี้ยหวัดจัดชาววัง |
ให้ท้าวนางตั้งเกณฑ์เวรหม่อมห้าม | เป็นโมงยามตามอย่างแต่ปางหลัง |
ที่เล่นเบี้ยเสียห้ามปรามไม่ฟัง | ส่งไปคลังราชการเป็นงานกลาง |
ที่สาวใหญ่ไม่สมัครรักไปบ้าน | ให้ลบบาญชีเบี้ยหวัดไม่ขัดขวาง |
ขรัวนายรับนับถ้วนจำนวนนาง | จัดสุรางค์รายนามตามบาญชี ฯ |
๏ ฝ่ายสนมกรมในทั้งใหญ่น้อย | บ้างเศร้าสร้อยบ้างก็เปรมเกษมศรี |
ด้วยว่างเว้นเป็นม่ายมาหลายปี | พึ่งจะมีเวรเฝ้าไม่เปล่าดาย |
บ้างอาบน้ำกุหลาบอาบน้ำกลั่น | กระแจะจันทน์เจือเนื้อให้เหงื่อหาย |
บ้างเข้าห้องส่องกระจกกระจ่างกาย | ลองชม้ายหมอบก้มประนมนิ้ว |
บ้างเรียกข้ามาสีขี้ไคลให้ | ขมิ้นใส่น้ำส้มระบมผิว |
บ้างหวีผมคมสันบ้างกันคิ้ว | บ้างบีบสิวใส่ยาผัดหน้าทับ |
บ้างปิดป้องห้องหับให้ลับลี้ | แล้วสีชี่ให้ฟันเป็นมันขลับ |
ที่ผมบิดติดขี้ผึ้งตรึงกระชับ | เอาหมึกจับเขม่าซ้ำให้ดำดี |
บ้างอบน้ำร่ำกลิ่นให้หอมฟุ้ง | เลือกผ้านุ่งผ้าห่มที่สมสี |
บ้างเข้าห้องลองหัดพัชนี | ทำท่วงทียิ้มพรายชายชำเลือง |
ที่มีมิตรคิดจะออกก็บอกป่วย | ทำระทวยทุกข์ตรอมจนผอมเหลือง |
ลอบบนบานท่านผู้ใหญ่มิให้เคือง | ช่วยปลดเปลื้องปล่อยตามความสบาย |
ที่ขัดสนจะใคร่ออกนอกตำแหน่ง | แต่คิดแคลงคนนอกจะหลอกขาย |
ทั้งเบี้ยหวัดจะไม่ได้ให้เสียดาย | จะสู้ตายอยู่กับรังที่วังใน |
พอเวลาห้าโมงพวกหม่อมห้าม | ต่างแต่งตามกิริยาอัชฌาสัย |
ตามท้าวนางย่างเยื้องชำเลืองไป | ชึ้นเฝ้าในมนเทียรวิเชียรพราย |
สะพรั่งพร้อมน้อมคำนับหมอบพับเพียบ | ได้ระเบียบมิให้สไบขยาย |
บ้างขวยเขินเมินเมียงบ้างเอียงอาย | บ้างชม้ายชม้อยดูพระภูวไนย |
เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมลักษณ์ | ให้นึกรักร่วมจิตหวิดหวิดไหว |
ดูยิ้มเยื้อนเหมือนจะชวนให้ยวนใจ | ตะลึงตะไลแลลืมปลื้มอารมณ์ |
เจ้าขรัวยายฝ่ายที่พระพี่เลี้ยง | ถวายเวียงวังสุรางค์นางสนม |
ทั้งเฝ้าเวรเกณฑ์ยามอยู่ตามกรม | แล้วบังคมคอยสดับรับบัญชา ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงโฉมประโลมสวาท | เชิงฉลาดแลชม้ายดูซ้ายขวา |
เห็นห้ามแหนแสนสุรางค์สำอางตา | แต่ละหน้านวลละอองเป็นยองใย |
บ้างพ่วงพีมีแต่เนื้อเหลือจะอ้วน | แต่เลือกล้วนลักขณาอัชฌาสัย |
บ้างเอวบางร่างน้อยน่ากลอยใจ | งามวิไลหลายอย่างต่างต่างกัน |
บ้างงามเกศเนตรรับกับขนง | พักตร์อนงค์เรือนผมก็คมสัน |
บ้างขาวผ่องสองสีฉวีวรรณ | ล้วนรู้ชั้นเชิงฉลาดในราชการ |
ชำเลืองสบหลบเลี่ยงเมียงชม้อย | ทั้งใหญ่น้อยน่ารักสมัครสมาน |
สักประเดี๋ยวเสียวมนต์ดลบันดาล | ให้ซาบซ่านโศกศัลย์ถึงวัณฬา |
แกล้งขับเหล่าสาวสุรางค์นางทั้งหลาย | เออเจ้านายอยู่ที่ไหนไม่ไปหา |
แม้พบองค์จงแถลงแจ้งกิจจา | ว่าเชิญมาปรางค์มาศปราสาททอง ฯ |
๏ ฝ่ายห้ามแหนแสนสุรางค์ต่างสดับ | รู้ว่าขับมิให้เฝ้าก็เศร้าหมอง |
ต่างนอบนบหลบเลี่ยงเที่ยวเมียงมอง | มาถึงท้องพระโรงหลังที่วังใน |
เห็นโฉมยงองค์ละเวงต่างเกรงกราบ | ทูลให้ทราบกิจจาอัชฌาสัย |
พระปิ่นเกล้าเจ้าลังกาบัญชาใช้ | ให้เชิญไปมนเทียรวิเชียรพราย ฯ |
๏ นางฟังเหล่าสาวสรรค์กลั้นพระสรวล | มารบกวนคนเหลือเบื่อใจหาย |
จะเอ็นหลังนั่งเล่นเย็นสบาย | นางทั้งหลายอย่าไปว่าพบข้าเลย |
แล้วตรัสเรียกนางยุพาเข้ามาใกล้ | รับสั่งให้หาแล้วลูกแก้วเอ๋ย |
มิอยากไปให้ปะเธอจะเคย | ทำเกินเลยล้ำเหลือน่าเบื่อใจ |
เจ้าเคยเฝ้าเข้าไปดูสักครู่หนึ่ง | ถ้าถามถึงทำไม่รู้ว่าอยู่ไหน |
นางน้อมรับกลับสนองให้ต้องใจ | เห็นจะให้ตามหาทุกตาปี |
แล้วทูลลามาปราสาทฉลาดเลี่ยง | ทำส่งเสียงเรียกเหล่านางสาวศรี |
ใครอยู่บ้างนั่งยามตามอัคคี | แกล้งพาทีเพทุบายภิปรายเปรย ฯ |
๏ พระอภัยได้ยินเสียงลูกเลี้ยงพูด | แหวกวิสูตรเรียกยุพาผกาเอ๋ย |
สายสุดใจไม่ช่วยพ่อด้วยเลย | แม้เฉยเมยเสียแล้วพ่อจะมรณา |
ประหลาดแท้แม่ละเวงยิ่งเกรงจิต | ยิ่งเบือนบิดห่างเหเสนหา |
จนค่ำพลบหลบไปเสียไม่มา | เจ้าช่วยพาพ่อไปตามนางทรามวัย ฯ |
๏ นางยุพานารีชลีกราบ | ลูกไม่ทราบว่าพระองค์อยู่ตรงไหน |
วานซืนนี้ที่พลับพลาลูกพาไป | เจียนจะได้ผิดด้วยก็ป่วยการ |
แต่ร่วมอาสน์คลาดเคลื่อนไม่เหมือนคิด | หรือจะติดตามออกไปนอกสถาน |
เหมือนคเชนทร์เจนขอเหลือหมอควาญ | ใครจะหาญขี่ขับช่วยจับกุม ฯ |
๏ พระฟังเปรียบเรียบร้อยค่อยค่อยว่า | เหมือนลมกล้ายาเย็นเป็นสุขุม |
ไม่หายโศกโรคจึงจำรึงรุม | ต้องหาพุมเสนประสมให้ลมคลาย |
เจ้าช่วยพ่อพอให้เสร็จสำเร็จรัก | จะรู้จักบุญคุณไม่สูญหาย |
ถ้าทีนี้มิได้มิใช่ชาย | จะสู้ตายเสียให้พ้นที่ทรมาน ฯ |
๏ นางนิ่งนั่งฟังคำพระร่ำตรัส | เห็นถือสัตย์ซื่อตรงก็สงสาร |
จึงทูลว่าข้าเห็นไม่เป็นการ | จะเนิ่นนานนับเดือนด้วยเชือนแช |
แม้ทรงฤทธิ์คิดทำเหมือนคำลูก | เป็นจะผูกศอม้วยลูกช่วยแก้ |
ไปทูลสารมารดาคงมาแท้ | ขอเสียแต่อย่าให้แจ้งว่าแต่งกล ฯ |
๏ พระสรวลพลางทางตอบชอบแล้วลูก | เอาผ้าผูกต่างเชือกเสลือกสลน |
แล้วพันเข้าไว้ทางที่ข้างบน | ทำเล่ห์กลเสร็จสรรพแล้วดับไฟ ฯ |
๏ ฝ่ายยุพาลาออกมานอกห้อง | ไปตึกทองทูลแจ้งแถลงไข |
เชิญเสด็จพระมารดารีบคลาไคล | พระภูวไนยผูกศอจะมรณา |
นางโฉมยงองค์สั่นให้หวั่นหวาด | มาปราสาททรงเดชพระเชษฐา |
เห็นทวารบานปิดเรียกธิดา | จุดเทียนมาทรงส่องที่ห้องใน |
เห็นพระองค์ทรงกระสันพันพระศอ | เข้ายุดข้อหัตถาชิงผ้าได้ |
พระยุดแย่งแกล้งสะบัดทำขัดใจ | นางกราบไหว้วอนว่าโศกาพลาง |
อย่ากริ้วโกรธโปรดเถิดทูลกระหม่อม | น้องจะยอมสารพัดไม่ขัดขวาง |
พระฟังวอนอ่อนหวานสงสารนาง | ค่อยช้อนคางเคียงน้องประคองเชย |
หากว่ารักหนักหนาแม้หาไม่ | ไม่เห็นใจพี่แล้วน้องแก้วเอ๋ย |
อย่าปัดมือดื้อดึงหน่อยหนึ่งเลย | พลางก่ายเกยกอดแอบไว้แนบทรวง |
ค่อยสอดกรช้อนชิดจุมพิตพักตร์ | นางพลิกผลักปิดป้องที่ของหวง |
แล้วตรองตรึกนึกแคลงหรือแกล้งลวง | ดูเห็นท่วงทีชื่นรื่นสำรวล |
ผิดสำเหนียกเรียกหาธิดาหาย | เอะดีร้ายรู้กันนางกลั้นสรวล |
พลางเสแสร้งแกล้งว่าพระเจ้ากระบวน | อย่าเฝ้ากวนไปเลยเขารู้เท่าทัน |
ความคิดใครไฉนหนอพ่อหรือลูก | มาแกล้งผูกคอได้ไม่น่าขัน |
ทำย้อนยักซักซ้อมสมยอมกัน | เถิดเช่นนั้นแล้วก็ไม่พอใจยอม |
พระยิ้มพลางทางว่านิจจาเอ๋ย | ไม่เห็นเลยรักนุชสุดถนอม |
จะผูกศอก็ว่าปดทำคดค้อม | จะไม่ยอมจริงจังหรืออย่างไร |
อย่าสำคัญมั่นหมายว่าทายถูก | นี่ก็ผูกอีกดอกจะบอกให้ |
นางว่าชะพระพี่มิผูกไย | น้องจะได้ดูเล่นให้เห็นจริง |
พระแกล้งว่าอย่าห้ามนะคราวนี้ | ตายเป็นผีจะมาอยู่เข้าสู่สิง |
แม้ชายใดใครล่วงมาช่วงชิง | เข้าแอบอิงน้องรักจะหักคอ |
แล้วเหลียวหาผ้าแพรทำแก้ขวย | เอะใครฉวยเอาไปไว้ข้างไหนหนอ |
แกล้งเหลียวหาหน้าหลังทำรั้งรอ | นางหัวร่อนี่แนะท่านเจ้ามารยา |
อะไรเล่าเฝ้าหัวเราะเยาะไปได้ | จะหยิกให้ห้อเลือดเดือดหนักหนา |
พลางแนบเน้นเคล้นพุ่มปทุมมา | นางค่อนว่าน่าเบื่อเหลือละอาย |
จะผูกศอก็ไม่ผูกจะถูกหยิก | ขืนจุกจิกหนีไปเสียให้หาย |
พระว่าพี่มิได้กอดจะวอดวาย | ได้กอดก่ายแล้วก็ฟื้นค่อยชื่นใจ |
พลางโอบอุ้มจุมพิตสนิทถนอม | งามละม่อมละมุนจิตพิสมัย |
ร่วมภิรมย์สมสองทำนองใน | แผ่นดินไหวจนกระทั่งหลังอานนท์ |
ในนทีตีคลื่นเสียงครื้นครึก | ลั่นพิลึกโลกาโกลาหล |
หีบดนตรีปี่พาทย์ระนาดกล | ไม่มีคนไขดังเสียงวังเวง |
อัศจรรย์ลั่นดังระฆังฆ้อง | เสียงกึกก้องเก่งก่างโหง่งหง่างเหง่ง |
ปืนประจำกำปั่นก็ลั่นเอง | เสียงครื้นเครงครึกโครมโพยมบน |
สุนีบาตฟาดเสียงเปรี้ยงเปรี้ยงเปรื่อง | กระดอนกระเดื่องดินฟ้าเป็นห่าฝน |
ทุกธารถ้ำน้ำพุทะลุล้น | ท่วมถนนแนวฝั่งเกาะลังกา |
สองสนิทชิดชมอารมณ์ชื่น | ระเริงรื่นเริ่มแรกแปลกภาษา |
พระลืมองค์พงศ์พันธุ์สวรรยา | นางลืมวังลังกาไม่อาลัย |
พระหลงรื่นชื่นกลิ่นดินถนัน | นางหลงชั้นเชิงชิดพิสมัย |
แต่คลึงเคล้าเย้ายวนรัญจวนใจ | จนระงับหลับไปในไสยา ฯ |