- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๔๔)
- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๒๙)
- คำนำเมื่อพิมพ์ครั้งแรก
- ประวัติสุนทรภู่
- บันทึกเรื่องผู้แต่งนิราศพระแท่นดงรัง
- อธิบาย ว่าด้วยเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่
- ปกิรณะกะประวัติของสุนทรภู่
- ตอนที่ ๑ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา
- ตอนที่ ๒ นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๓ ศรีสุวรรณเข้าเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๔ ศรีสุวรรณพบนางเกษรา
- ตอนที่ ๕ ศรีสุวรรณเกี้ยวนางเกษรา
- ตอนที่ ๖ ศรีสุวรรณรบท้าวอุเทน
- ตอนที่ ๗ ศรีสุวรรณพยาบาลนางเกษรา
- ตอนที่ ๘ อภิเษกศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๙ พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อ
- ตอนที่ ๑๐ พระอภัยได้นางเงือก
- ตอนที่ ๑๑ นางสุวรรณมาลีไปเที่ยวทะเล
- ตอนที่ ๑๒ พระอภัยมณีพบนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๓ พระอภัยมณีโดยสารเรือนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๔ พระอภัยมณีเรือแตก
- ตอนที่ ๑๕ สินสมุทรโดยสารเรือโจรสุหรั่ง
- ตอนที่ ๑๖ สินสมุทรพบศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๑๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๑๘ พระอภัยมณีโดยสารเรืออุศเรน
- ตอนที่ ๑๙ พระอภัยมณีพบศรีสุวรรณกับสินสมุทร
- ตอนที่ ๒๐ สินสมุทรรบกับอุศเรน
- ตอนที่ ๒๑ พระอภัยมณีเกี้ยวนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๒ พระอภัยมณีครองเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๓ พระอภัยมณีอภิเษกกับนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๔ กำเนิดสุดสาคร
- ตอนที่ ๒๕ สุดสาครเข้าเมืองการะเวก
- ตอนที่ ๒๖ อุศเรนตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๗ เจ้าละมานตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๘ สุดสาครตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๒๙ ศึกเก้าทัพตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๓๐ พระอภัยมณีตีเมืองใหม่
- ตอนที่ ๓๑ พระอภัยมณีพบนางละเวง
- ตอนที่ ๓๒ ศรีสุวรรณอาสาตีด่านดงตาล
- ตอนที่ ๓๓ ย่องตอดสะกดทัพ
- ตอนที่ ๓๔ นางละเวงคิดหย่าทัพ
- ตอนที่ ๓๕ พระอภัยติดท้ายรถ
- ตอนที่ ๓๖ พระอภัยมณีทำผูกคอตายได้นางละเวง
- ตอนที่ ๓๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๓๘ นางสุวรรณมาลีข้ามไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๓๙ นางสุวรรณมาลีมีสารตัดพ้อ
- ตอนที่ ๔๐ สุดสาครถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๔๑ นางสุวรรณมาลีหึงหน้าป้อม
- ตอนที่ ๔๒ หัสไชยแก้เสน่ห์
- ตอนที่ ๔๓ นางเสาวคนธ์ยิงแก้ม
- ตอนที่ ๔๔ กษัตริย์สามัคคี
- ตอนที่ ๔๕ นางเสาวคนธ์ขุดโคตรเพชร
- ตอนที่ ๔๖ พระอภัยมณีกลับเมือง
- ตอนที่ ๔๗ อภิเษกสินสมุทร
- ตอนที่ ๔๘ นางเสาวคนธ์หนี
- ตอนที่ ๔๙ นางเสาวคนธ์แปลงเป็นฤๅษี
- ตอนที่ ๕๐ นางเสาวคนธ์ได้เมืองวาหุโลม
- ตอนที่ ๕๑ สุดสาครตามนางเสาวคนธ์
- ตอนที่ ๕๒ พระอภัยมณีทำศพท้าวสุทัศน์
- ตอนที่ ๕๓ มังคลาครองเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๔ มังคลาชิงโคตรเพชร
- ตอนที่ ๕๕ มังคลาจับนางสุวรรณมาลีและท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๖ หัสไชยตีด่านเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๗ สุดสาครรบมังคลา
- ตอนที่ ๕๘ นางละเวงวัณฬาช่วยนางสุวรรณมาลีแลท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๙ พระอภัยมณีศรีสุวรรณไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๐ พระอภัยมณีรบกับมังคลา
- ตอนที่ ๖๑ สังฆราชบาทหลวงเผาเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๒ พระอภัยเข้าเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๓ อภิเษกหัสไชย
- ตอนที่ ๖๔ พระอภัยมณีออกบวช
- ตอนที่ ๖๕ พระบาทหลวงพาพระมังคลาหนีทัพไปเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๖๖ วลายุดาครองเมืองสินชัย
- ตอนที่ ๖๗ วายุพัฒน์เป็นอุปราชเมืองเซ็น
- ตอนที่ ๖๘ หัสกันครองเมืองสุลาลัย
- ตอนที่ ๖๙ พระอภัยมณีเยี่ยมศพนางมณฑา
- ตอนที่ ๗๐ พระมังคลายกทัพเรือมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๗๑ นางรำภา นางยุพาผกาและนางสุลาลีวันออกรบ
- ตอนที่ ๗๒ สุดสาคร สินสมุทรรบกับพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๓ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันเข้าเฝ้าศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๗๔ ทัพพันธมิตรเมืองกำพลเพชรยกมาช่วยพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๕ พระมังคลาล่าทัพไปถึงเกาะกาหวี
- ตอนที่ ๗๖ ทหารเมืองกำพลเพชรตามนางกฤษณาพบพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๗ พระมังคลาได้นางดวงแขลูกสาวเจ้าเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๗๘ อภิเษกพระกฤษณากับนางเทพินไปครองเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๗๙ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันลามารดากลับไปเมือง
- ตอนที่ ๘๐ พระมังคลายกทัพเมืองสำปันหนาไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๑ ศรีสุวรรณออกรับศึกพระมังคลา
- ตอนที่ ๘๒ โจรสลัดคุมกำปั่นปล้นเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๘๓ ศรีสุวรรณมาช่วยเมืองรมจักรรบโจรสลัด แล้วอภิเษกตรีพลำกับอัมพวันและเทวัญกับนิลกัณฐี
- ตอนที่ ๘๔ พระมังคลากับพระบาทหลวงแตกทัพไปเกลี้ยกล่อมเมืองต่าง ๆ
- ตอนที่ ๘๕ พระมังคลาไปถึงเมืองโรมพัฒน์ได้นางบุษบง
- ตอนที่ ๘๖ พระบาทหลวงกับพระมังคลายกทัพเรือเมืองโรมพัฒน์ไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๗ สุดสาครทราบข่าวศึก
- ตอนที่ ๘๘ พระมังคลากับพระบาทหลวงตีได้เมืองด่านลังกา
- ตอนที่ ๘๙ ทัพสุดสาครตีทัพพระมังคลาพ่าย จนเทวสินธุ์ตามไปถึงเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๙๐ ท้าวรายากับพระเทวสินธุ์ไปถึงเมืองกำพลเพชร แล้วยกทัพไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๙๑ หกกษัตริย์ยกทัพมาช่วยเมืองลังกาทำศึก
- ตอนที่ ๙๒ พระบาทหลวงรบศึกหกกษัตริย์จนลมแดงซัดเรือรบพลัดกัน
- ตอนที่ ๙๓ สุดสาครตีเมืองด่านแตก
- ตอนที่ ๙๔ พระเทวสินธุ์พบพระมังคลาจนเจ็ดกษัตริย์เตรียมรบ
- ตอนที่ ๙๕ พระมังคลากับพระบาทหลวงยกทัพเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๙๖ ทัพเจ็ดกษัตริย์ตีทัพพระบาทหลวงแตก
- ตอนที่ ๙๗ พระบาทหลวงเตรียมตีเมืองปากน้ำคืน
- ตอนที่ ๙๘ พระบาทหลวงขับท้าวรายากับนางบุษบงไปจากกองทัพ จนพระมังคลาหนี
- ตอนที่ ๙๙ พระบาทหลวงยกเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๑๐๐ สินสมุทรตีทัพพระบาทหลวงจนถูกยาเบื่อ
- ตอนที่ ๑๐๑ พระอภัยมณีเยือนลังกา
- ตอนที่ ๑๐๒ พระบาทหลวงปล่อยโคมไฟไปตกเมืองลังกา จนถึงพระอภัยมณีห้ามทัพ
- ตอนที่ ๑๐๓ หกกษัตริย์ตีโต้ทัพพระบาทหลวงล่าไปเมืองปตาหวี
- ตอนที่ ๑๐๔ พระอภัยมณีกลับไปเขาสิงคุตร
- ตอนที่ ๑๐๕ อภิเษกหัสกันกับนางวันชายา
- ตอนที่ ๑๐๖ พระอภัยมณีไปเยี่ยมนางเงือกที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๐๗ พระบาทหลวงเข้าเมืองปตาหวีแล้วตามไปพบพระมังคลาที่เมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๐๘ พระมังคลาและนางบุษบงออกมารับพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๐๙ ท้าวโกสัยบอกพระมังคลาให้รู้อุบายพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๐ พระบาทหลวงตีด่านเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๑๑ พระมังคลามีสารง้อศรีสุวรรณสุดสาครและสินสมุทร ให้มาช่วยรบพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๒ ทัพพระมังคลารบกับทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๓ ทัพศรีสุวรรณกับสี่กษัตริย์ตีกระหนาบทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๔ ทัพเรือพระบาทหลวงเข้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๕ ศรีสุวรรณกับพวกพาพระมังคลากลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๑๖ ท้าวกุลามาลีได้นางดวงประไพลูกสาวท้าวสินชัยเจ้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๗ พระมังคลาไปงานโสกันต์ระเด่นกินเรศ
- ตอนที่ ๑๑๘ เจ้าเมืองปตาหวีพานางดวงประไพกลับเมือง
- ตอนที่ ๑๑๙ สุดสาครไปเยี่ยมนางเงือกและพระฤๅษีที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๒๐ สุดสาครกลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๒๑ ศรีสุวรรณให้นรินทร์รัตน์ไปครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๒ อภิเษกนรินทร์รัตน์ครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๓ เจ็ดกษัตริย์ยกทัพมาตีเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๔ นรินทร์รัตน์ขอราเมศมาเป็นอุปราชกรุงรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๕ นรินทร์รัตน์กับราเมศมาช่วยเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๖ เจ็ดกษัตริย์ตายสี่หนีสาม
- ตอนที่ ๑๒๗ นรินทร์รัตน์หลงนางเกศพัฒน์เมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๘ อภิเษกพระราเมศกับนางดวงประภา
- ตอนที่ ๑๒๙ ภัทวงศ์ไปไหว้เทวรูปจนพบนางเกสรสุมาลัย
- ตอนที่ ๑๓๐ เจ้าเมืองวายุภักษ์ขอนางเกสรสุมาลัยให้ภัทวงศ์
- ตอนที่ ๑๓๑ พระสังฆราชบาทหลวงยกทัพมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๓๒ ตัดหางสุพรรณมัจฉาแล้วสถาปนาเป็นจันทวดีพันปีหลวง
ตอนที่ ๒๙ ศึกเก้าทัพตีเมืองผลึก
๏ ฝ่ายฝรั่งลังกาพวกข้าศึก | ล้วนเหิมฮึกห้าวหาญชาญสนาม |
กำเริบรักจักชิงผู้หญิงงาม | ต่างรีบข้ามเร็วมาไม่ราใบ |
ถึงเขตคุ้งกรุงผลึกเสียงครึกครื้น | ดูดังคลื่นข้ามมหาชลาไหล |
ด้วยหลายเมืองเนืองแน่นแล่นไรไร | พลไพร่โห่ลั่นสนั่นดัง ฯ |
๏ กองตระเวนเจนนาวาทั้งห้าร้อย | เที่ยวแล่นลอยแลเห็นทัพมาคับคั่ง |
เป็นหมื่นแสนแน่นหนาดาประดัง | ยังข้างหลังแล่นตามมาหลามทาง |
จึงปรึกษาว่าศึกเห็นฮึกหาญ | จะต่อต้านตีตัดก็ขัดขวาง |
แต่ลองสู้ดูหน่อยแล้วถอยพลาง | ไปปิดทางปากน้ำที่สำคัญ |
แล้วขานโห่โยธาสัญญารบ | แล่นตลบเลี้ยวลัดสกัดกั้น |
ต่างปล่อยปืนครื้นคลุ้มชอุ่มควัน | ถูกกำปั่นตูมตึงปึงปังปัง |
มันตอกปืนครื้นครึกเสียงกึกก้อง | ตระเวนล่องหลีกคล้อยปล่อยปืนหลัง |
ถูกสำเภาเสากระโดงผึงโผงพัง | พลฝรั่งล้มตายลงหลายพัน |
พวกกองหนุนขุนพลเมืองวิลาส | เข้ากลุ้มกลาดยิงแย้งล้วนแข็งขัน |
ตระเวนน้อยคอยรบบรรจบกัน | เสียงครื้นครั่นครึ้มฟ้าสุธาธาร ฯ |
๏ ฝ่ายพระหน่อบพิตรอดิศร | สุดสาครเข้มแข็งกำแหงหาญ |
กับองค์พระกนิษฐานุชาชาญ | ตั้งอยู่ด่านปากน้ำแต่ค่ำพลบ |
พอเช้าตรู่ดูเรือเห็นเหลือหลาม | ไล่ติดตามชาวบุรีตีตลบ |
ตระเวนด่านพานจะน้อยก็ถอยทบ | ไพรีรบรุมกันกระชั้นมา |
พระตกใจให้อำมาตย์ประกาศสั่ง | กำปั่นทั้งร้อยรายอยู่ซ้ายขวา |
ออกรบรับทัพฝรั่งเมืองลังกา | พวกโยธาหมดทั่วไม่กลัวเกรง |
ต่างจัดแจงแต่งกายทั้งนายไพร่ | แต่ล้วนใส่เสื้อเกราะดูเหมาะเหมง |
ออกกำปั่นลั่นปืนเสียงครื้นเครง | บ้างรำเพลงแหลนหลาวโห่ฉาวมา |
มหาดเล็กเด็กนั้นพันห้าร้อย | ล้วนใส่สร้อยสังวาลหาญอาสา |
ถือธนูคู่องค์พงศ์นรา | องค์ละห้าร้อยถ้วนล้วนเล็กเล็ก |
เคยเรียนรู้สู้รบถึงหลบฝน | ต่างราญรณเริงร่าประสาเด็ก |
บ้างม้วนจุกผูกกระสันพันหางเจ๊ก | ดาบเล็กเล็กเหน็บแนบเป็นแยบคาย |
สุดสาครสอนสองพระน้องน้อย | ให้สวมสร้อยสังวาลประสานสาย |
กุมารีพี่แต่งแปลงเป็นชาย | สอดสะพายลูกแล่งพระแสงทรง |
สุดสาครกรกุมไม้เท้าแก้ว | สำเร็จแล้วลีลาศดังราชหงส์ |
ขึ้นบนหลังถังน้ำทั้งสามองค์ | ให้โบกธงตีฆ้องเร่งกลองรบ ฯ |
๏ ฝ่ายเสนาการะเวกเอกอำมาตย์ | เห็นเรือลาดตระเวนแยกแตกตลบ |
ไม่หลีกเลี่ยงเรียงระดมเข้าสมทบ | ยิงปืนรบรับฝรั่งเสียงปังปึง |
พอลมหวนป่วนปะปะทะทัพ | เอาขอสับสายโซ่พอโล้ถึง |
กำปั่นปัดฟัดดังเสียงปังปึง | พลทะลึ่งโลดโผนโจนลงเรือ |
พวกฝรั่งอังกฤษโลหิตสาด | ใครไม่อาจต่อต้านทหารเสือ |
ขึ้นลำไหนไพร่นายตายเป็นเบือ | ที่หลอเหลือลงน้ำว่ายคล่ำไป |
พอทัพท้าวเจ้าวิลาสมากลาดกลุ้ม | เข้าห้อมหุ้มโห่ลั่นเสียงหวั่นไหว |
พลกุมารราญเริงเชิงชิงชัย | โดดขึ้นได้บนกำปั่นไล่ฟันแทง |
ล้วนเร็วรวดหวดฟาดเสียงฉาดฉับ | จะรบรับก็ไม่ทันล้วนขันแข็ง |
ฝรั่งร้ายวายปราณไม่ทานแรง | ลำอื่นแซงซอกซอนเข้ารอนราญ |
เจ้าวิลาสฆาตกลองเร่งกองรบ | ให้สมทบซ้ายขวาโยธาหาญ |
พอเภตราห้าพันประจัญบาน | จะหักด่านไปให้ได้ดังใจจง ฯ |
๏ ฝ่ายทัพท้าวเจ้าประเทศทุกเขตแคว้น | ต่างหลีกแล่นเข้าถึงฝั่งดังประสงค์ |
เห็นทัพบกยกทหารชาญณรงค์ | ทั้งเอกองค์เจ้าเมืองหนุนเนื่องมา |
ด้วยจะใคร่ได้ผู้หญิงชิงกันรบ | ไม่สมทบถ้อยทีประสีประสา |
เสียงทหารขานโห่เป็นโกลา | เดินโยธาข้ามทุ่งเข้ากรุงไกร ฯ |
๏ ฝ่ายพวกพลบนเชิงเทินเนินหอรบ | ล้วนเจนจบจ้องปืนยืนไสว |
เห็นกองทัพคับคั่งคอยชั่งใจ | พอจวนใกล้ปล่อยปืนเสียงครื้นครึก |
ลูกสายโซ่โยทะกาลงดาดาษ | ดูกลิ้งกลาดกลางทุ่งกรุงผลึก |
ปืนป้อมเปรี้ยงเสียงสนั่นลั่นพิลึก | ถูกข้าศึกล้มตายลงหลายพัน |
ที่เหลือตายนายต้อนเข้าถอนขวาก | บ้างแล่นลากปืนยิงวิ่งถลัน |
ด้วยหลายทัพนับแสนแน่นอนันต์ | เข้ากระชั้นเชิงเทินเนินกำแพง |
พวกรักษาหน้าที่ไม่หนีหลบ | ยิงปืนรบรำดาบกำซาบแผลง |
ถูกไพร่นายวายวางลงกลางแปลง | ที่เหลือแซงซอกซอนเข้ารอนราญ |
เมืองมะหุ่งกรุงเตนกุเวนฉวี | สำปะลีวิลยาล้วนกล้าหาญ |
ต่างยกอ้อมล้อมรอบขอบปราการ | ทัพละด้านอื้อวิ่งเข้าชิงแดน |
ถูกปืนตับยับย่อยผอยผอยล้ม | ยิงระดมดาษดื่นเป็นหมื่นแสน |
เสียงข้าศึกฮึกโห่ป้องโล่แพน | ถือหลาวแหลนรบพุ่งชาวกรุงไกร ฯ |
๏ ฝ่ายสุวรรณมาลีนารีราช | อยู่ปราสาทเสียงรบพิภพไหว |
อุตส่าห์กลั้นกันแสงแข็งพระทัย | ตรงเข้าไปแท่นรัตน์พระภัสดา |
บังคมทูลมูลความไปตามเรื่อง | บัดนี้เมืองใหญ่น้อยร้อยภาษา |
มาพรั่งพร้อมล้อมรอบขอบพารา | ยังรบรายิงปืนเสียงครื้นเครง |
พระอภัยได้ฟังว่าช่างเขา | ใครใช้เจ้ากับสนมมาข่มเหง |
จึงพวกพ้องของอนงค์องค์ละเวง | มาครื้นเครงคราวนี้ไม่มีใคร |
พระตรัสพลางทางสรวลสำรวลเย้ย | แล้วก็เลยลืมองค์ด้วยหลงใหล |
สงสารนางอย่างชีวันจะบรรลัย | สะอื้นไห้ทูลลาพระสามี |
น้องจะขอต่อยุทธ์จนสุดฤทธิ์ | เอาชีวิตแทนทดบทศรี |
ขอพระคุณบุญญาฝ่าธุลี | ให้ไพรีย่อยยับอัปรา |
แม้นสิ้นบุญทูลกระหม่อมจอมกษัตริย์ | จะสูญขัตติยราชพระศาสนา |
ขอม้วยมรณ์ก่อนกษัตริย์ภัสดา | พลางโศกากอดบาทไม่คลาดคลาย |
พอเสียงปืนครื้นครั่นสนั่นก้อง | กลับมาห้องมนเทียรวิเชียรฉาย |
รีบจัดองค์ทรงแต่งแปลงเป็นชาย | สะพักสายแสงศรเคยรอนราญ |
ทั้งสาวใช้ใหญ่น้อยห้าร้อยเศษ | ต่างแปลงเพศโพกศีรษะเหมือนทหาร |
ถือเกาทัณฑ์สันทัดหัดชำนาญ | มากราบกรานเตรียมเสร็จเสด็จจร |
ออกจากวังดังหนึ่งองค์พระทรงยศ | ขึ้นทรงรถเนาวรัตน์ประภัสสร |
ขุนนางแห่แลสล้างกลางนคร | อัสดรเดินรอบขอบกำแพง |
เที่ยวตรวจพลบนเชิงเทินเนินหอรบ | จนจวนพลบทินกรก็อ่อนแสง |
เห็นทหารด้านเหนือนั้นเหลือแรง | ข้าศึกแทงเจ็บป่วยลงม้วยมรณ์ |
ให้หยุดทัพขับพหลพลทหาร | ขึ้นรอนราญรบรับสลับสลอน |
แล้วโฉมยงลงจากรถบทจร | เที่ยวไล่ต้อนโยธาเข้าราวี |
แล้วแลดูผู้คนพลข้าศึก | ล้วนเหี้ยมฮึกหาญรบไม่หลบหนี |
บ้างถอนขวากลากล้อเข้าต่อตี | แต่ล้วนมีโซ่สำหรับสับกำแพง |
บ้างปีนป่ายบันไดไม้ไผ่พาด | ชาวเมืองฟาดฟันมันกันด้วยแผง |
ทั้งแหลนหลาวง้าวทวนเข้าสวนแทง | ต่างต่อแย้งยิงกันประจัญบาน |
นางดูศึกฮึกฮักเห็นหนักแน่น | ไม่ทดแทนถึงขนาดจะอาจหาญ |
ดำริพลางนางกษัตริย์มาจัดการ | จะต้านทานทัพหลวงทะลวงฟัน |
ทั้งพลโล่โตมรศรกำซาบ | ทหารดาบสองเล่มล้วนเข้มขัน |
กับทวนทองกองหน้าทั้งห้าพัน | ช้างน้ำมันกล้างานั่นห้าร้อย |
เปิดประตูพรูพรั่งออกคั่งคับ | เข้าตีทัพเมืองลยาไม่ล่าถอย |
เที่ยวลุยไล่ไพร่นายตายไม่น้อย | ทั้งกองร้อยรุมกันเข้าฟันแทง |
โยธาทัพรับรบจนพลบค่ำ | นางก็ซ้ำต้อนทหารชาญกำแหง |
เร่งรถทรงตรงออกนอกกำแพง | ทหารแซงซ้ายขวาล้วนนารี |
เข้าหักโหมโจมทัพไม่ยับยั้ง | ข้าศึกพังแพ้พ่ายกระจายหนี |
พลผลึกฮึกโหมกระโจมตี | ได้ท่วงทีแทงฟันกระชั้นไป |
เจ้ามะหุ่งกรุงเตนเผ่นตวาด | ไล่พิฆาตพลขันธ์เสียงหวั่นไหว |
จะชิงพลรบพุ่งเอากรุงไกร | พลไพร่โห่ลั่นสนั่นดัง |
พอพบกับทัพพระมเหสี | เข้ารุมตีซ้ายขวาทั้งหน้าหลัง |
เสียงครึกครื้นปืนตึงปึงปึงปัง | เพียงจะพังแผ่นพิภพด้วยรบกัน |
สงสารพระมเหสีอยู่ที่ล้อม | ข้าศึกห้อมหุ้มทัพไว้คับขัน |
จะเข้าประตูบูรีก็มิทัน | ต้องแยกกันรบรับทุกทัพชัย |
ทั้งช้างม้ากล้าหาญทะยานยุทธ์ | อุตลุดไล่กันเสียงหวั่นไหว |
จะผินพักตร์หักหาญออกด้านใด | ก็ไม่ได้เป็นเวลาเข้าราตรี |
แต่พวกข้าสาพิภักดิ์เพราะรักเจ้า | ทั้งนายบ่าวอุตส่าห์รบไม่หลบหนี |
จนดึกดื่นครื้นครั่นประจัญตี | จนซากผีพลตายก่ายอนันต์ ฯ |
๏ ฝ่ายทัพเรือเมื่อกุมารออกราญรบ | เลี้ยวตลบเข่นฆ่าให้อาสัญ |
ข้าศึกแตกแยกย้ายวายชีวัน | ได้กำปั่นปืนผาสารพัด |
มอบให้เหล่าชาวด่านเป็นการหลวง | ไม่แหนหวงห้ามปรามตามถนัด |
พอพลบค่ำน้ำขึ้นเป็นคลื่นซัด | ให้แล่นลัดเลียบคุ้งเข้ากรุงไกร |
ถึงปากน้ำสำเนียงเสียงสนั่น | ดังฟ้าลั่นโลกาสุธาไหว |
ศึกตลบรบพุ่งถึงกรุงไกร | พระตกใจจัดแจงแบ่งโยธา |
ให้น้องน้อยคอยรับทัพเรือรบ | ช่วยสมทบกองตระเวนเกณฑ์อาสา |
แต่พลโล่โตมรศรศัสตรา | เป็นหมื่นห้าพันยกขึ้นบกไป |
รีบเดินทัพขับนิลสินธพ | ด้วยเพลิงคบส่งทางสว่างไสว |
เป็นการด่วนจวนรุ่งถึงกรุงไกร | เห็นทัพใหญ่ล้อมรอบขอบกำแพง |
แต่พวกพลบนหน้าที่ไม่หนีหลบ | พอสู้รบรับกันด้วยขันแข็ง |
แต่ทหารด้านเหนือเห็นเหลือแรง | บนกำแพงพลไพร่มิใคร่มี |
จึงรีบยกวกทางมาข้างหลัง | เห็นฝรั่งรบพุ่งชาวกรุงศรี |
ให้ลั่นฆ้องร้องป่าวชาวบุรี | พลางโจมตีติดพันไล่ฟันแทง |
มหาดเล็กเด็กชาทั้งห้าร้อย | ต่างผลุนพลอยแล่นลั่นเกาทัณฑ์แผลง |
ฝรั่งแขกแตกพล่านไม่ทานแรง | ต่างพลัดแพลงผลุนวิ่งทิ้งอาวุธ |
ทั้งทัพเงาะเกาะวลำสำปะหลัง | พลอยแตกทั้งสามทัพรับไม่หยุด |
พระหน่อไทได้ทีเที่ยวตีรุด | อุตลุดรบพุ่งจนรุ่งราง ฯ |
๏ ฝ่ายทัพพระมเหสีพ้นที่ล้อม | รีบยกอ้อมมาถึงเนินเชิงเทินขวาง |
เห็นพวกพลคนหลามมาตามทาง | ให้ขุนนางถามดูว่าผู้ใด |
ทราบว่าองค์ทรงยศโอรสราช | พระนางนาฏยินดีจะมีไหน |
จึงหยุดยั้งสั่งมหาเสนาใน | ไปบอกให้ทูลแถลงแจ้งคดี ฯ |
๏ ฝ่ายพระหน่อบพิตรอดิศร | สุดสาครรู้ว่าพระมเหสี |
จึงรอรั้งยั้งหยุดพวกโยธี | ด้วยยินดีจะได้เข้าเฝ้าบิดา |
ลงจากหลังมังกรสอนทหาร | ให้หมอบกรานบังคมก้มเกศา |
ชวนเข้าเฝ้าชาวบุรีแล้วลีลา | ทั้งเสนาน้อยน้อยพลอยไปตาม ฯ |
๏ นางกษัตริย์ทัศนาพระหน่อนาถ | ยุรยาตรเยื้องย่างมากลางสนาม |
ไม่เพี้ยนผิดบิดาสง่างาม | ทหารตามแต่ล้วนเด็กเล็กทั้งนั้น |
ลงจากรถบทจรมาจูงหัตถ์ | หน่อกษัตริย์ทรุดคำนับนางรับขวัญ |
ประคององค์ตรงขึ้นรถสุวรรณ | ให้นั่งบัลลังก์รัตน์ชัชวาล |
แล้วโลมลูบจูบจอมถนอมพักตร์ | ยังเล็กนักเล็กหนาน่าสงสาร |
มาช่วยแก้แม่จึงได้พ้นภัยพาล | หาไม่มารดาหมายว่าวายชนม์ |
เพราะทรงฤทธิ์บิตุเรศของลูกรัก | ประชวรหนักสารพัดจะขัดสน |
ครั้นไพรีมีมาเข้าตาจน | ต้องคุมพลรบพุ่งกันกรุงไกร |
ซึ่งให้พ่อรอรั้งตั้งอยู่ด่าน | คอยภูบาลบิตุรงค์ยังหลงใหล |
พระลูกยาอย่าละห้อยน้อยพระทัย | แม่นี้ไม่เกียดกันด้วยฉันทา ฯ |
๏ สุดสาครร้อนจิตด้วยบิตุเรศ | น้ำพระเนตรพร่างพรายทั้งซ้ายขวา |
ศิโรราบกราบกรานพระมารดา | ซึ่งศึกมาตั้งล้อมป้อมปราการ |
จะขอรับดับเข็ญเป็นธุระ | มิให้พระภูวนาถเสียราชฐาน |
แต่ลูกรักหนักจิตคิดรำคาญ | ถึงภูบาลบิตุราชไม่คลาดคลาย |
ประชวรนั้นฉันใดมิได้เห็น | เสียแรงเป็นหน่อเนื้อในเชื้อสาย |
มาถึงวังยังมิได้เข้าใกล้กราย | พลางฟูมฟายชลนาโศกาลัย ฯ |
๏ นางกษัตริย์ตรัสปลอบให้ชอบชื่น | เมื่อวานซืนแม่ไม่เห็นเป็นไฉน |
เดี๋ยวนี้มาหาแม่แน่ในใจ | คงจะได้รักษาพยาบาล |
จงรั้งรอพอสงบที่รบรับ | ให้กองทัพออกไปไกลสถาน |
เดี๋ยวนี้เล่าเขาก็ล้อมป้อมปราการ | จะคิดอ่านชิงชัยฉันใดดี ฯ |
๏ พระหน่อไทได้สดับอภิวาท | ขอรองบาทบงกชบทศรี |
แต่พวกพ้องของข้าจะราวี | ให้ไพรีย่อยยับทุกทัพชัย |
เชิญพระองค์จงกลับไปยับยั้ง | อยู่ในวังอย่าได้พรั่นประหวั่นไหว |
แล้วกราบกรานมารดาลาครรไล | มาตรวจไพร่พลรบยังครบครัน |
ขึ้นทรงนั่งหลังม้าให้คลาเคลื่อน | โห่สะเทื้อนสะท้านทั่วทั้งไอศวรรย์ |
เห็นไพรีตีเมืองยิ่งเคืองครัน | เร่งกระชั้นพลนิกรเข้ารอนราญ |
พวกโยธาการะเวกเอกระ | เคยชนะทัพวิลาสด้วยอาจหาญ |
เข้าหักโหมโรมรันประจัญบาน | ใครไม่ทานแทงฟันกระชั้นชิด |
ฝรั่งรับสัประยุทธ์อาวุธสั้น | ทั้งแทงฟันก็ไม่ถูกลูกหนิดหนิด |
มันปลิ้นปล้อนรอนราญผลาญชีวิต | รอไม่ติดแตกพ่ายกระจายไป ฯ |
๏ เจ้ามะหุ่งกรุงเตนกุเวนลวาด | เห็นประหลาดลูกเล็กเด็กที่ไหน |
เป็นหลายร้อยพลอยวิ่งมาชิงชัย | จึงขัดใจวิ่งสมทบเข้ารบรับ |
พวกโยธีสี่เมืองมาเนืองแน่น | สักสิบแสนห้อมหุ้มรุมกันจับ |
พลกุมารต้านตีทั้งสี่ทัพ | ดูกลอกกลับกลางแปลงบ้างแทงฟัน |
เด็กน้อยน้อยพลอยรบตลบไล่ | ผลาญผู้ใหญ่โยธาให้อาสัญ |
ยิ่งฆ่าตายนายต้อนเข้ารอนรัน | โจนประจัญจับกุมตะลุมบอน ฯ |
๏ พระหน่อนาถอาจองทรงสินธพ | ควบเข้ารบนายทหารชาญสมร |
ไม้เท้าฟาดขาดสะบั้นดังฟันฟอน | ม้ามังกรกัดตายลงก่ายกอง |
ใครขวางกีดดีดผางเอาคางโขก | สะบัดโบกหางหันผันผยอง |
แต่โยธีสี่เมืองมาเนืองนอง | เข้าแซ่ซ้องสัประยุทธ์ยุทธนา ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระมเหสีอยู่ที่ป้อม | เห็นศึกล้อมลูกรักเป็นหนักหนา |
ให้อำมาตย์ฆาตฆ้องกลองสัญญา | ยกโยธาออกช่วยรบสมทบทัพ |
บ้างรำทวนสวนแทงแผลงกำซาบ | ทั้งดั้งดาบโดดฟาดเสียงฉาดฉับ |
ฝรั่งแขกแยกกันประจัญรับ | ตีสำทับรบรุมตะลุมบอน ฯ |
๏ ฝ่ายพวกเงาะเกาะวลำสำปะหลัง | ซึ่งแตกพังพ่ายแพ้ไปแต่ก่อน |
ต่างมั่วสุมคุมพหลพลนิกร | แล้วยกย้อนทางมาถึงธานี |
เห็นชาวเมืองเคืองแค้นแล่นตลบ | เข้ารุมรบทัพพระมเหสี |
ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังประดังตี | ชาวบุรีแตกพลัดกระจัดกระจาย |
แต่ขุนพลมนตรีเสนีใหญ่ | ยังคุมไพร่ต่อตีไม่หนีหาย |
ข้างฝ่ายหญิงยิงธนูช่วยผู้ชาย | อยู่เรียงรายรอบรถทั้งอดทน |
บ้างถูกง้าวหลาวแหลนแสนสาหัส | จนเลือดหยัดหยดชุ่มทุกขุมขน |
ไม่ทิ้งเจ้าคราวทัพถึงอับจน | สู้อดทนแทงฟันประจัญบาน |
พอทัพท้าวเจ้าวลำถลำไล่ | เข้ามาใกล้รถท้าตรงหน้าฉาน |
นางโฉมยงก่งศรเข้ารอนราญ | แล้วน้าวผลาญแผลงหมายนายโยธี |
พอลั่นลูกถูกท้าวเจ้าวลำ | ไม่ทันซ้ำเสนามันพาหนี |
โยธาทัพกลับกลุ้มเข้ารุมตี | ต้องราวีอยู่ในหว่างกลางสงคราม ฯ |
๏ ฝ่ายโยธาการะเวกเอกอำมาตย์ | กับหน่อนาถชิงชัยในสนาม |
เห็นทัพพระมเหสีออกตีตาม | พอทัพสามเมืองพร้อมเข้าล้อมรบ |
พระตกใจให้กลับทัพทหาร | หันออกด้านนางมาลีตีตลบ |
ทัพมะหุ่งกรุงเตนเกณฑ์สมทบ | เข้ากลุ้มกลบกลาดทางที่กลางแปลง |
เสียงทหารต่อทหารทะยานยุทธ์ | แกว่งอาวุธหอกดาบวะวาบแสง |
บ้างรับรองป้องกันบ้างฟันแทง | บ้างยิงแย้งเยียดยัดสกัดทาง |
แต่หน่อนาถอาจองทรงสินธพ | เข้าไล่ขบโขกดีดคนกีดขวาง |
ฝรั่งแขกแยกย้ายบ้างวายวาง | พอแหวกทางออกมาได้มันไล่ตาม |
แต่อำมาตย์มหาดเล็กเด็กผู้ใหญ่ | ออกไม่ได้ด้วยว่าคนนั้นล้นหลาม |
กุมารากล้าหาญชาญสงคราม | ใครติดตามตีตายลงก่ายกัน |
พอเห็นพระมเหสีเสียทีทัพ | รีบควบขับม้าที่นั่งดังกังหัน |
เข้าลุยไล่ไพรีทั้งตีรัน | คอยป้องกันนางพระยาอยู่หน้ารถ |
พวกข้าศึกฮึกโหมเข้าโจมจับ | พระรบรับตีแยกแตกไปหมด |
ไล่ข้างหน้ามาข้างหลังเหมือนดังมด | ต้องขับรถรับพลางอยู่กลางทัพ ฯ |
๏ ฝ่ายพี่น้องสองกุมารอยู่ด่านสมุทร | แต่คอยสุดสาครนอนไม่หลับ |
จนรุ่งเช้าเฝ้าชะแง้ยิ่งแลลับ | ไม่เห็นกลับคืนมายิ่งอาวรณ์ |
จึงจัดพลคนละหมื่นห้าร้อยถ้วน | ถือแต่ล้วนดั้งดาบกำซาบศร |
พระพี่น้องสองกษัตริย์ทรงอัสดร | แล้วรีบร้อนยกมายังธานี |
เห็นสมทบรบรับกันคับคั่ง | ดูแน่นทั้งท้องทุ่งริมกรุงศรี |
ข้างฝรั่งพรั่งพร้อมเข้าล้อมตี | ข้างพระพี่เคว้งขวางอยู่กลางทัพ |
ต่างตกใจให้ทหารเข้าราญรบ | ตีสมทบแทงฟันประจัญจับ |
ฝรั่งแขกแยกย้ายล้มตายยับ | พอพบทัพที่ขึ้นมาแต่ราตรี |
ถามถึงองค์ทรงเดชพระเชษฐา | เขาทูลว่าไปช่วยพระมเหสี |
ทั้งพี่น้องร้องเร่งขุนเสนี | ให้โจมตีตัดทางไปกลางพล |
เป็นสามทัพคับคั่งทั้งดั้งดาบ | ยิงกำซาบศัสตราดังห่าฝน |
พวกไพรีหนีพล่านไม่ทานทน | ต้องย่อย่นแยกย้ายกระจายไป ฯ |
๏ เจ้ามะหุ่งกรุงเตนกุเวนลวาด | ต้อนตวาดพลขันธ์เสียงหวั่นไหว |
ให้หันกลับรับรบสมทบไว้ | แล้วแลไปเห็นพี่น้องสองกุมาร |
นึกดูว่าลูกใครที่ไหนเล่า | เล็กสักเท่าตุ๊กตาทำกล้าหาญ |
ถ้าแม้ว่าฆ่านายให้วายปราณ | พวกทหารก็จะแยกแตกกระจาย |
ปรึกษาพลางต่างองค์ทรงสินธพ | ควบเข้ารบหน่อนาถประมาทหมาย |
กุมารีพี่นางขวางน้องชาย | ต่างลั่นสายศรซ้ำด้วยชำนาญ |
ถูกพระชงฆ์องค์ท้าวเจ้ามะหุ่ง | ตกม้าผลุงผลุนวิ่งทิ้งทหาร |
เจ้ากรุงเตนเผ่นโผนโจนทะยาน | เข้าตีต้านติดพันไม่ทันยิง |
นางแทงกักชักกริชโลหิตฉีด | ผวาหวีดเวทนาประสาหญิง |
พวกฝรั่งทั้งปวงบ้างช่วงชิง | แบกเจ้าวิ่งเลี้ยวลัดเที่ยวพลัดแพลง |
แต่องค์ท้าวเจ้าลวาดประมาทเด็ก | ถือหลาวเหล็กข้างละเล่มด้วยเข้มแข็ง |
ขับอาชาถาโถมเข้าโจมแทง | ก็พลาดแพลงพลั้งพลัดตกอัสดร |
หน่อกษัตริย์หัสไชยก็ไล่ซ้ำ | โดดลงปล้ำเจ้าลวาดฟาดด้วยศร |
ด้วยฤทธิ์แก้วแววตากล้าราญรอน | จับผู้ใดให้อ่อนทั้งอินทรีย์ |
พอวางมือรื้อแรงตะแคงผลุด | ทะลึ่งหลุดแล่นโลดกระโดดหนี |
พระขึ้นม้าพาไพร่เข้าไล่ตี | พวกโยธีแตกตายกระจายไป ฯ |
๏ องค์พระสุดสาครเข้ารอนรบ | ตีตลบหลีกออกข้างนอกได้ |
พามารดาล่าเลี่ยงเข้าเวียงชัย | พอแลไปเห็นพี่น้องสองกุมาร |
กวักพระหัตถ์ตรัสเรียกมาริมรถ | ต่างประณตพร้อมพรั่งทั้งทหาร |
พระน้องยาว่าฝรั่งมันจังฑาล | ฉันรอนราญรบรุกสนุกใจ ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์มิ่งมเหสี | เมื่อไพรีรุมจับรับไม่ไหว |
ถูกเกาทัณฑ์กลั้นแกล้งแข็งพระทัย | เอาสไบพันทับให้ลับตา |
ต่างหยุดรถลดองค์ดำรงนั่ง | โลหิตหลั่งไหลซาบอาบอังสา |
ให้เสียวซาบอาบจิตด้วยพิษยา | ยังอุตส่าห์สั่งความสามกุมาร |
แม่นี้ถูกลูกธนูอยู่ไม่ได้ | จะไปใส่ยาแก้แผลสมาน |
สักครู่หนึ่งจึงจะมาไม่ช้านาน | พ่อช่วยต้านตั้งมั่นกันพารา |
แล้วเอียงไหล่ให้แลดูแผลเจ็บ | ยังเมื่อยเหน็บจนกระทั่งถึงอังสา |
สุดสาครถอนสะอื้นกลืนน้ำตา | แล้ววันทาทูลองค์นางนงคราญ |
พระมารดาอย่าพะวงทรงวิตก | ลูกจะยกทัพไปไล่สังหาร |
มิให้เขาเข้าล้อมป้อมปราการ | เชิญพระมารดาไปอยู่ในวัง |
ให้หมอแก้แผลศรถอนยาพิษ | ให้สนิทหายแผลเหมือนแต่หลัง |
พอเสียงโห่โยธาประดาดัง | เห็นทัพทั้งเจ็ดเมืองมาเนืองนอง |
จึงทูลลาพาพระน้องสองกษัตริย์ | มาทรงอัศวราชผาดผยอง |
ต่างคุมพลคนละทัพออกรับรอง | ให้ตีฆ้องแข่งหน้าเข้าราวี ฯ |
๏ ฝ่ายพวกเงาะเกาะวลำสำปะหลัง | กุเวนทั้งวิลยาชวาฉวี |
เป็นเจ็ดทัพคับคั่งประดังตี | พวกโยธีแทงฟันประจัญบาน |
บ้างแกว่งง้าวหลาวแหลนโล่แพนโผน | เด็กมันโจนจับศีรษะฉะด้วยขวาน |
บ้างตายกลิ้งวิ่งซุกบ้างคลุกคลาน | พลกุมารมีแรงไล่แทงฟัน |
สุดสาครกรน้าวไม้ท้าวหวด | ดูเร็วรวดแรงดังว่ากังหัน |
พลนิกายนายทัพรับไม่ทัน | บ้างหักลันล้มตายลงก่ายกอง |
เจ้าวลำสำปะหลังประดังรับ | พระหวดพับลงกับดินสิ้นทั้งสอง |
เจ้าเมืองเงาะกระเดาะปากลากกระบอง | กับพวกพ้องเงาะป่าเข้าราวี |
อันองค์พระกนิษฐานุชาเล็ก | กับพวกเด็กกลัวเงาะละเลาะหนี |
แต่เชษฐากล้ากลับขับพาชี | เข้าโจมตีเงาะตายกระจายไป |
ทัพฉวีวิลยาชวาแขก | ก็พลอยแตกต่อต้านทานไม่ไหว |
ต่างวุ่นวิ่งทิ้งอาวุธทุกทัพชัย | กุมารไล่ตีตามทั้งสามทัพ |
บ้างโถมทันฟันแทงด้วยแรงเรี่ยว | บ้างลดเลี้ยวไล่ลัดสกัดจับ |
พวกไพรีหนีหลบไม่รบรับ | ต่างล่าทัพถอยหลังข้างคงคา |
พระหน่อไทไล่รบจนพลบค่ำ | เห็นหมอกคล้ำคลุ้มทะเลพระเวหา |
แล้วหยุดทัพยับยั้งสั่งโยธา | ให้ตรวจตราพร้อมทั่วทุกตัวคน |
แล้วยับยั้งตั้งรายอยู่ปลายทุ่ง | คอยรบพุ่งปิดทางไว้กลางหน |
อันข้าวน้ำลำเลียงเสบียงพล | วิเสทขนเอาไปเลี้ยงแต่เวียงชัย ฯ |
๏ ฝ่ายทัพท้าวเจ้าวลาชวาฉวี | พอราตรีตรงมาชลาไหล |
ให้ตั้งค่ายรายเรียงเคียงกันไป | คอยรับไพร่พลนิกรให้ผ่อนพัก |
ทั้งบกเรือเหลือตายยังหลายแสน | จะแก้แค้นคิดการเข้าหาญหัก |
ที่บอบช้ำลำบากยังมากนัก | ให้หมอรักษาทั่วทุกตัวคน |
บ้างปิดยาทาน้ำมันสามวันหาย | ที่เจ้าตายต่างกลับไปสับสน |
ที่ตั้งอยู่สู้รบสมทบพล | ต่างคิดกลการศึกยังตรึกตรา ฯ |
๏ ฝ่ายสุวรรณมาลีศรีสวัสดิ์ | ถึงปรางค์รัตน์เร้ารวดปวดอังสา |
ให้หมอแก้แผลกำซาบซึ่งอาบยา | เอามีดผ่าขูดกระดูกที่ถูกพิษ |
เป่าน้ำมันกันแก้ตรงแผลเจ็บ | เอาเข็มเย็บยุดตรึงขี้ผึ้งปิด |
ทั้งข้างนอกพอกยาสุรามฤต | ให้ถอนพิษผ่อนปรนพอทนทาน ฯ |
๏ จะกล่าวศรีสุวรรณวงศ์ทรงสวัสดิ์ | อยู่กรุงรัตนพารามหาสถาน |
ครั้นเรือใช้ไปแถลงให้แจ้งการณ์ | พากุมารสินสมุทรรีบรุดมา |
แวะเข้าส่งองค์อรุณที่รมจักร | พอผ่อนพักพบพงศ์พระวงศา |
แล้วรับพราหมณ์สามนายบ่ายนาวา | ออกแล่นมาตามคลื่นทุกคืนวัน |
พอจวนเย็นเป็นพายุพยับฝน | ให้มัวมนมืดสิ้นดินสวรรค์ |
คลื่นระดมลมกล้าสลาตัน | ตีกำปั่นซัดไปเป็นหลายคืน |
ครั้นลมหายสายแสงแจ้งกระจ่าง | เห็นเกาะกลางสมุทรไทใหญ่ทะมื่น |
ทอดสมอรอราสัญญาปืน | ขึ้นหาฟืนหาน้ำทั่วลำเรือ |
พอสิงโตโฮ่โฮกกระโชกไล่ | ทั้งสูงใหญ่มหึมายิ่งกว่าเสือ |
ตาถลนขนหุ้มดูคลุมเครือ | ทหารเรือรบสิงห์ยิงด้วยปืน |
เสียงดังตึงปึงถูกลูกลู่ล่อน | มันถีบถอนโถมถลาไล่ฝ่าฝืน |
คำรามร้องก้องกึกเสียงครึกครื้น | ทหารตื่นแตกวิ่งเป็นสิงคลี |
มันไล่คาบดาบหอกกระบอกน้ำ | ขบขย้ำย่อยยับดังสับสี |
เห็นผู้คนพลไพร่ไล่คะยี | ทหารหนีสิงโตโผลงน้ำ |
มันโดดตามหวามว่ายสายสมุทร | เห็นคนผุดโผนตบขบขย้ำ |
พวกโยธีรี้พลเที่ยวด้นดำ | จนถึงกำปั่นใหญ่ในคงคา |
สินสมุทรผุดลุกขึ้นแลเห็น | สิงโตเผ่นโผนไล่ไวหนักหนา |
มิทันเปลื้องเครื่องทรงอลงการ์ | โลดถลาลงในน้ำปล้ำสิงโต |
มันรับรบขบกัดพระฟัดฟาด | พระฉวยพลาดพลิ้วโจนกลับโผนโผ |
ขึ้นขี่หลังนั่งยองยองร้องโยโย | อ้ายสิงโตตัวฉลาดขึ้นหาดทราย |
โลดสลัดพลัดตกพระหกล้ม | มันกัดกลมกลิ้งคว่ำคะมำหงาย |
ทั้งเล็บเขี้ยวเคี้ยวขย้ำจนน้ำลาย | ลงโซมกายกอดปล้ำด้วยกำลัง |
พระดิ้นหลุดฉุดหางไม่วางหัตถ์ | กอดถนัดเหนี่ยวขนขึ้นบนหลัง |
สิงโตร้องก้องเสียงสำเนียงดัง | ทั้งลูกทั้งเมียสิงห์มันวิ่งมา |
เขย่งเต้นเผ่นโผนจะโจนกัด | หน่อกษัตริย์หลบโลดโดดถลา |
ลงในน้ำดำไล่จับได้ปลา | กลับขึ้นมาเสกทิ้งให้สิงโต |
มันกินหมดรสรื่นค่อยชื่นจิต | มิได้คิดทำร้ายหายโมโห |
พระเป่ามนต์ประสมจิตอิศโร | เรียกสิงโตเต้นเข้ามาหาทุกตัว |
จึงเสกน้ำซ้ำประศีรษะให้ | แล้วลูบไล้สารพางค์ทั้งหางหัว |
มันลามเลียเคลียเคล้าด้วยเมามัว | แต่ละตัวตาช่วงดังดวงดาว |
ลูกทั้งคู่ผู้เมียเตี้ยตุบหลุบ | มาหมอบฟุบฟอกสีสำลีขาว |
ตัวพ่อแม่แลลายดูพรายพราว | ล้วนเล็บยาวเป็นทองแดงยิ่งแรงครัน |
ทั้งเขียวสุกทุกตัวสลัวเหลือง | เอาไปเมืองจะได้ขี่ดีขยัน |
แล้วจูงลงคงคามาด้วยกัน | ขึ้นกำปั่นไปเฝ้าพระเจ้าอา |
ฉันได้สิงห์ยิงฟันมันไม่เข้า | จะพาเอาไปบุรีดีหนักหนา |
ศรีสุวรรณสรรเสริญพระนัดดา | พอเวลาลมดีให้คลี่ใบ |
ออกกำปั่นพันร้อยเที่ยวลอยแล่น | ไปตามแผนที่ทางหว่างไศล |
ทุกเช้าเย็นเห็นแต่ฟ้าชลาลัย | กำหนดได้เจ็ดเดือนไม่เคลื่อนคลา |
เข้าเขตคุ้งกรุงผลึกเสียงครึกครื้น | ยังดึกดื่นดูฝั่งก็กังขา |
ข้าศึกติดทิศใต้ชายชลา | เห็นสีฟ้าเผือดแดงดังแสงไฟ |
ถึงปากอ่าวเช้าตรู่ก็รู้เรื่อง | พวกชาวเมืองออกมาแจ้งแถลงไข |
ว่าศึกยังตั้งประชิดติดเวียงชัย | พระตกใจรีบมาถึงธานี |
หยุดประทับยับยั้งอยู่ข้างหน้า | แจ้งกิจจาไปถึงพระมเหสี |
ให้สุรางค์นางกำนัลไปอัญชลี | เชิญมาที่ปรางค์รัตน์กษัตรา |
ศรีสุวรรณนั้นคำนับนางรับหัตถ์ | หน่อกษัตริย์บังคมก้มเกศา |
นางเล่าความตามเรื่องเมืองลังกา | แต่ยกมาทำสงครามถึงสามครั้ง |
อันคราวนี้มิรู้จะสู้รบ | ศึกตลบซ้ายขวาทั้งหน้าหลัง |
พระปิ่นปักนัคเรศนิเวศน์วัง | ก็คลุ้มคลั่งเคล้ากระดาษไม่ขาดวัน |
ข้าออกรบพบทัพสัประยุทธ์ | ต้องอาวุธที่อังสาแทบอาสัญ |
หากโอรสยศยงของทรงธรรม์ | ช่วยป้องกันตัวข้าเข้าธานี |
แล้วเล่าความตามสุดสาครเล่า | จะขอเฝ้าประณตบทศรี |
เดี๋ยวนี้ยังตั้งทัพรับไพรี | อยู่ข้างที่ท้องทุ่งนอกกรุงไกร ฯ |
๏ สินสมุทรสุดรักพระอัคเรศ | ชลเนตรซึมโซมชโลมไหล |
แล้วทูลว่าข้าพระบาทประมาทใจ | หมายว่าไม่มีศัตรูจึงอยู่นาน |
จนพระองค์สงครามถึงสามครั้ง | แล้วต้องทั้งศัสตราน่าสงสาร |
กันแสงพลางนางพระยาบัญชาการ | ชวนกุมารกับพระน้องเข้าห้องใน |
เห็นทรงธรรม์บรรทมชมแต่รูป | จนซีดซูบเศร้าหมองไม่ผ่องใส |
เข้าหมอบเมียงเคียงบัลลังก์กระทั่งไอ | พระอภัยเหลียวมาเห็นหน้าน้อง |
กับลูกรักอัคเรศสังเกตแน่ | แต่แลแลหมกมุ่นให้ขุ่นหมอง |
กลับเคลิ้มเห็นเป็นว่าพากันมามอง | พิโรธร้องเรียกสาวใช้ให้ไสคอ ฯ |
๏ ศรีสุวรรณครั้นเห็นพี่วิปริต | ดังคมกริชกรีดฟาดให้ขาดศอ |
พระชลนัยน์ไหลหลั่งลงคั่งคลอ | ระทดท้อทุกข์ใจดังไฟกาฬ |
ศิโรราบกราบก้มบังคมบาท | เข้าแอบอาสน์อ้อนวอนด้วยอ่อนหวาน |
น้องลับเนตรเชษฐาไปช้านาน | จึงพาหลานกลับมาถึงธานี |
โอ้ไฉนไยองค์พระทรงยศ | ลืมโอรสลืมน้องทั้งสองศรี |
เฝ้าโลมลูบรูปนางอยู่อย่างนี้ | มิรู้ที่คิดอ่านประการใด |
โอ้พระองค์ทรงเดชเกศกษัตริย์ | เวรวิบัติบาปสร้างแต่ปางไหน |
เมื่อยังเยาว์เล่าก็พรากจากกันไป | ไม่บรรลัยก็ได้มาเห็นหน้ากัน |
แต่ครั้งนี้วิปริตผิดสังเกต | พระทรงเดชไม่รู้จักพักตร์หม่อมฉัน |
พระครวญคร่ำร่ำว่าสารพัน | สะอื้นอั้นอารมณ์ไม่สมประดี ฯ |
๏ สินสมุทรสุดแสนแค้นกระดาษ | เข้ากราบบาทบงกชบทศรี |
สะอื้นอ้อนวอนว่าฝ่าธุลี | จะฆ่าตีก็ไม่ห้ามตามพระทัย |
แต่รูปนางอย่างนี้วิปริต | เอาไว้ชิดกับพระองค์จึงหลงใหล |
ลูกแค้นนักจักเอาเข้าเผาไฟ | พอฉวยได้พระบิดาก็คว้าชิง |
แล้วชี้นิ้วกริ้วกราดตวาดว่า | น้อยหรือมาถูกต้องแม่น้องหญิง |
พลางผลักพลัดปัจถรณ์ฉวยหมอนอิง | ไล่ทุ่มทิ้งทุบพัลวันไป |
มเหสีหนีออกนอกปราสาท | ทั้งหน่อนาถน้องยาอัชฌาสัย |
ต่างหยุดยั้งนั่งสะท้อนถอนฤทัย | นางนึกได้จึงแถลงแจ้งกิจจา |
โหรเขาดูภูวไนยว่าไม่ม้วย | จะรอดด้วยเผ่าพงศ์พระวงศา |
อันองค์สุดสาครที่จรมา | ก็บอกว่าเป็นโอรสยศไกร |
ช่วยรบสู้กู้เมืองเมื่อเคืองเข็ญ | เห็นจะเป็นหน่อเนื้อในเชื้อไข |
แต่วงศ์วานมารดรนครใด | ไม่แจ้งใจจึงยังให้รั้งรา ฯ |
๏ ศรีสุวรรณนั้นไม่แจ้งยังแคลงจิต | ตะลึงคิดความหลังให้กังขา |
พระหน่อน้อยพลอยนึกนั่งตรึกตรา | แล้วทูลว่าทราบบ้างแต่อย่างนี้ |
เมื่ออยู่เกาะพิสดารพระผ่านเกล้า | ไปคลึงเคล้านางมัจฉาที่พาหนี |
ได้รักใคร่ไปมาอยู่กว่าปี | จนนางมีครรภ์แล้วจึงแคล้วมา |
จะไปถามความดูให้รู้แน่ | แม้ลูกแม่แน่ชัดนางมัจฉา |
จะมีธำมรงค์ครุฑบุษรา | กับจุฑามณีที่ประทาน ฯ |
๏ สองกษัตริย์ตรัสตอบว่าชอบแล้ว | แม้น้องแก้วก็จงพามาสถาน |
โอรสรับกลับออกมานอกพระลาน | นายทวารกราบก้มบังคมคัล |
พระพรายแพร่งแจ้งความตามรับสั่ง | แล้วขึ้นนั่งราชรถพระกลดกั้น |
ตั้งแห่แหนแทนองค์พระทรงธรรม์ | จรจรัลจากกรุงออกทุ่งนา |
ให้ม้าใช้ไปแถลงให้แจ้งก่อน | สุดสาครแจ้งเหตุว่าเชษฐา |
ความดีใจไปรับที่พลับพลา | เห็นเชษฐาลงจากรถบทจร |
สมสังเกตเนตรแดงดังแสงครั่ง | มีเขี้ยวปลั่งเปล่งจำรัสประภัสสร |
เหมือนคำปู่ดูแลเห็นแน่นอน | สุดสาครเชิญพระพี่ให้ลีลา ฯ |
๏ หน่อนรินทร์สินสมุทรเห็นนุชน้อง | พระพักตร์ผ่องผิวอย่างนางมัจฉา |
จึงหยุดยั้งนั่งประทับที่พลับพลา | พระน้องยานอบคำนับอภิวันท์ |
สินสมุทรสุดสวาทด้วยชาติเชื้อ | เหมือนหนึ่งเนื้อแล้วย่อมถนอมขวัญ |
ทั้งเห็นแหวนแม่นยำเป็นสำคัญ | ยิ่งแม่นมั่นมิได้หมางระคางแคลง |
เข้าสวมสอดกอดน้องประคองหัตถ์ | หน่อกษัตริย์สององค์ทรงกันแสง |
พระเชษฐาว่าพ่อดีมิเสียแรง | ช่วยต่อแย้งไพรีจนพี่มา |
แล้วปราศรัยไถ่ถามกันตามซื่อ | พ่อแล้วหรือลูกแม่สุวรรณมัจฉา |
น้องคำนับรับรสพจนา | พระเชษฐาซ้ำถามเนื้อความไป |
อันเสนีรี้พลพหลทหาร | กับกุมารสองราอยู่หาไหน |
พระน้องน้อยค่อยค่อยเล่าให้เข้าใจ | แล้วถามไถ่ถึงบิดาสารพัน ฯ |
๏ สินสมุทรสุดสนิทไม่ปิดป้อง | บอกพระน้องตามจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
ผีผู้หญิงสิงองค์พระทรงธรรม์ | ให้ป่วนปั่นเป็นบ้าถึงนารี |
ได้กระดาษวาดรูปมาจูบกอด | แล้วหลงพลอดเพลินจิตด้วยฤทธิ์ผี |
พี่ชิงองค์ทรงธรรม์มาวันนี้ | ฉีกขยี้มิอยากขาดประหลาดใจ ฯ |
๏ อนุชาว่ากระนั้นอย่าหวั่นหวาด | แม้ปีศาจสิงแท้จะแก้ไข |
ด้วยไม้เท้าเจ้าตาให้มาไว้ | สำหรับไล่ผีสางปะรางควาน |
แต่ผีดิบสิบโกฏิยังโดดวิ่ง | ผีผู้หญิงหรือจะอยู่สู้หม่อมฉาน |
แต่คอยฟังรั้งราอยู่ช้านาน | ไม่แจ้งการเลยว่าเป็นถึงเช่นนี้ ฯ |
๏ สินสมุทรยุดมือจริงหรือจ๊ะ | กระนั้นพระน้องเข้าไปช่วยไล่ผี |
ทั้งจะปะพระเจ้าอาในธานี | พร้อมอยู่ที่ปราสาททั้งมาตุรงค์ |
หน่อนรินทร์ยินดีชลีหัตถ์ | ชวนกษัตริย์ทั้งสองเข้าห้องสรง |
ประดับเครื่องเรืองอร่ามทั้งสามองค์ | ครั้นเสร็จทรงถือไม้เท้าของเจ้าตา |
พระชวนน้องสองศรีค่อยลีลาศ | มาเฝ้าบาทบทเรศพระเชษฐา |
สินสมุทรสุดสวาทนาถน้องยา | พากันมาขึ้นรถบทจร |
พวกเสนาการะเวกเอกอำมาตย์ | ทั้งมหาดเล็กตามหลามสลอน |
พวกขุนนางแลสล้างกลางนคร | พลนิกรตรงมาหน้าพระลาน |
ถึงที่เกยเคยประทับก็ยับยั้ง | พระลงยังชานชลาที่หน้าฉาน |
เป็นการด่วนชวนพระน้องสองกุมาร | เลี้ยวพระลานลัดทางไปปรางค์ทอง |
เห็นแสนสาวชาวแม่อยู่แออัด | กับกษัตริย์พร้อมพรั่งไปทั้งสอง |
สินสมุทรนำหน้าพาพระน้อง | เข้าในห้องปรางค์มาศปราสาทชัย |
ประณตนั่งบังคมก้มศิโรตม์ | ด้วยมาโนชญ์หน่อนราอัชฌาสัย |
นางรับขวัญสรรเสริญเจริญใจ | แล้วสอนให้ก้มเกล้าพระเจ้าอา |
ศรีสุวรรณนั้นเห็นหลานสงสารนัก | ไม่ผิดพักตร์ภูวเรศพระเชษฐา |
กอดประทับรับขวัญกลั้นน้ำตา | แล้วว่าอานี้ไม่รู้ด้วยอยู่ไกล |
พ่อมาถึงจึงได้เห็นว่าเป็นหลาน | นั่นกุมารสองรามาแต่ไหน |
เป็นลูกเต้าท้าวพระยาพาราใด | พระหน่อไททูลฉลองว่าน้องรัก |
แล้วเล่าความตามมาเมืองการะเวก | ได้เป็นเอกโอรสมียศศักดิ์ |
พระน้องน้อยสุจริตสนิทนัก | สามิภักดิ์ตามมาถึงธานี |
หน่อนรินทร์สินสมุทรเห็นพูดช้า | จึงวันทาทูลพระมเหสี |
พระน้องรักศักดาวิชาดี | จะไล่ผีมิให้อยู่ที่ภูวไนย |
นางพระยาว่ากระนั้นขยันนัก | เชิญลูกรักของแม่ช่วยแก้ไข |
เครื่องหยูกยาหาบ้างหรืออย่างไร | พระหน่อไททูลว่าของไม่ต้องการ |
จะขอตีที่กระดาษปีศาจอยู่ | ด้วยความรู้ราวกับไฟประลัยผลาญ |
ถึงยักษีผีสางปะรางควาน | ขอประทานแต่กระดาษรูปวาดมา |
นางดีใจใช้สินสมุทรน้อย | ให้ไปคอยลักกระดาษดังปรารถนา |
หน่อนรินทร์ยินดีชลีลา | แล้วแฝงมาเมียงมองที่ห้องใน |
เห็นหลับลอบหมอบเมียงเข้าเคียงอาสน์ | ลักกระดาษเลขาเอามาได้ |
แล้วคลี่กลางปรางค์ปราสาทประหลาดใจ | พระหน่อไทภาวนามหามนต์ |
เสกไม้เท้าดาบสจดกระดาษ | เสียงรูปวาดหวีดร้องสยองขน |
แล้วซ้ำตีผีร้ายก็วายชนม์ | กระดาษป่นเป็นประกายวุบหายไป |
สองกษัตริย์ทัศนาเห็นปรากฏ | คงจะปลดเปลื้องวิบัติปัถไหม |
นางพระยาพาพระน้องกับหน่อไท | เข้าห้องในนั่งดูพระภูธร ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระอภัยมณีนาถ | เมื่อปีศาจสร่างจิตอดิศร |
เคลิ้มพระทัยไหวหวิวหิวหาวนอน | สะท้อนถอนฤทัยทั้งไสยา |
จนยามค่ำฉ่ำชื่นระรื่นรส | มะลิสดแทรกกุหลาบอาบนาสา |
เสียงทหารขานโห่เป็นโกลา | ก็ผวาหวาดฟื้นตื่นบรรทม |
รู้สึกองค์ทรงนั่งกำลังน้อย | เนตรชม้อยไม่เห็นเหล่าสาวสนม |
เห็นลูกรักอัคเรศร่วมอารมณ์ | มาบังคมพร้อมพรั่งทั้งอนุชา |
เขม้นดูกุมารโอรสราช | เห็นผุดผาดผิวอย่างนางมัจฉา |
หวนรำลึกนึกสะอื้นกลืนน้ำตา | จึงบัญชาถามองค์นางนงลักษณ์ |
สามกุมารหลานลูกผู้ใดมั่ง | มาน้อมนั่งน่าเอ็นดูไม่รู้จัก |
นางทูลความตามเรื่องพระลูกรัก | ให้ทรงศักดิ์ทราบสิ้นด้วยยินดี |
พระเรียกบุตรสุดสวาทขึ้นอาสน์รัตน์ | หน่อกษัตริย์นอบนบซบเกศี |
พระโลมลูบจูบเกล้าพระเมาลี | พลางพาทีไต่ถามตามอาลัย |
นางสุวรรณมัจฉามารดาเจ้า | กำสรดเศร้าเคืองเข็ญเป็นไฉน |
หรืออยู่ดีศรีสวัสดิ์กำจัดภัย | พ่อเล่าให้บิตุเรศแจ้งเหตุการณ์ ฯ |
๏ สุดสาครร้อนจิตคิดถึงแม่ | มาเห็นแต่บิตุรงค์น่าสงสาร |
ทรงกันแสงแจ้งเรื่องเคืองรำคาญ | อันพระมารดาจนพ้นปัญญา |
ครั้นรุ่งเช้าเล่าก็ไปกินไคลน้ำ | ต่อเย็นค่ำจึงมาอยู่ในคูหา |
ให้กินนมชมลูกทุกเวลา | ตามประสายากจนของชนนี |
แต่ส้มสูกลูกน้อยที่สอยได้ | ก็แบ่งให้แม่มัจฉาตาฤๅษี |
จนลูกยาอายุได้สามปี | พระชนนีแนะความให้ตามมา |
แล้วเล่าเรื่องเมืองน้องสองกษัตริย์ | พูนสวัสดิ์หวังพระองค์เหมือนวงศา |
ช่วยชุบเลี้ยงเที่ยงธรรม์กรุณา | จึงได้มาอภิวาทบาทยุคล |
สงสารแต่แม่มัจฉานิจจาเอ๋ย | ลูกอยู่เคยหักหาผลาผล |
ไปให้ทานมารดาประสาจน | เป็นสองคนค่ำเช้าได้เคล้าคลึง |
ลูกจากมาน่าที่จะวิตก | ด้วยเปลี่ยวอกเปล่าใจอาลัยถึง |
จะง่วงเหงาเศร้าจิตคิดคะนึง | แสนรำพึงถึงลูกผูกอาลัย |
แล้วสั่งมาว่าแม้นพบพระภูวนาถ | ให้กราบบาททูลแจ้งแถลงไข |
ว่าชาตินี้มิได้มาเป็นข้าไท | แต่มีใจคิดถึงองค์พระทรงธรรม์ |
อันปิ่นทองของประทานของผ่านเกล้า | พระแม่เจ้ามอบไว้ให้หม่อมฉัน |
โอ้สงสารนานแล้วแต่แคล้วกัน | จะนับวันเวลาตั้งตาคอย ฯ |
๏ พระฟังคำร่ำว่าน่าสังเวช | ชลเนตรหยดเหยาะเผาะเผาะผอย |
เหลืออาลัยในคำเงือกน้ำน้อย | ให้เศร้าสร้อยสวมสอดกอดกุมาร |
ประโลมลูกผูกจิตคิดถึงแม่ | มาห่างแหเห็นแต่บุตรสุดสงสาร |
สะอื้นอ้อนถอนฤทัยอาลัยลาน | พระวงศ์วานใหญ่น้อยพลอยโศกี |
ครั้นโศกสร่างทางดำรัสตรัสประภาษ | เรียกหน่อนาถพี่น้องทั้งสองศรี |
มานั่งตักซักถามถึงเดือนปี | กุมารีพลอดรับอภิวันท์ |
ฉันกับพี่ปีเดียวกันเจียวจ๊ะ | แต่องค์พระอนุชาอ่อนกว่าฉัน |
พระเชษฐานั้นเป็นลูกได้ผูกพัน | กระหม่อมฉันจะเป็นด้วยช่วยเมตตา |
พระจูบกอดพลอดเพลินเจริญจิต | แสนสนิทนึกรักนั้นหนักหนา |
พระลูกน้อยสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา | พี่เลี้ยงพามาประณตบทมาลย์ |
พระสอนให้ไหว้พี่สี่กษัตริย์ | ต่างกอดรัดพูดจาน่าสงสาร |
นางเสาวคนธ์บ่นว่าน่ารำคาญ | เช่นนี้ฉานดูเฟือนช่างเหมือนกัน |
พระน้องนางต่างว่าฉันฝาแฝด | กษัตริย์แปดองค์ชวนกันสรวลสันต์ |
เสียงจ๋าจ๊ะคะขาจนสายัณห์ | ส่วนทรงธรรม์ตรัสถามความแผ่นดิน |
นางทูลว่าฝรั่งยังตั้งค่าย | อยู่เรียงรายตามมหาชลาสินธุ์ |
ทั้งยกเพิ่มเติมมาในวาริน | ไม่รู้สิ้นศึกเสือเหลือระอา |
แต่ละทัพนับแสนมาแน่นเนื่อง | ล้วนเจ้าเมืองใหญ่น้อยร้อยภาษา |
แม้ครั้งนี้มิได้สุดสาครมา | จะเป็นข้าแขกฝรั่งเสียทั้งเมือง ฯ |
๏ พระฟังคำร่ำเล่าเศร้าสลด | ยามระทดทุกข์ตรอมยังผอมเหลือง |
สู้ฝืนแรงแข็งพระทัยให้ประเทือง | ตรัสเรียกเครื่องพระกระยามาเหมือนเคย |
ชวนน้องรักอัคเรศโอรสราช | ร่วมพระภาชนะทองของเสวย |
รสระรื่นชื่นอารมณ์ด้วยนมเนย | เหมือนอย่างเคยคาวหวานสำราญใจ |
ครั้นอิ่มหนำสำเร็จเสด็จออก | พระโรงนอกนพรัตน์จำรัสไข |
สถิตแท่นแว่นฟ้าเสนาใน | ต่างดีใจกราบก้มบังคมคัล |
พระปรึกษาข้าเฝ้าเหล่าทหาร | ศึกมาต้านต่อแย้งด้วยแข็งขัน |
จงเร่งรัดจัดทัพสลับกัน | ให้เป็นปัญจเสนาสง่างาม |
พรุ่งนี้เช้าเราจะยกออกยงยุทธ์ | ให้สิ้นสุดศึกเตียนที่เสี้ยนหนาม |
สั่งกำชับสรรพเสร็จสำเร็จความ | พอย่ำยามเยื้องย่างขึ้นปรางค์ทอง ฯ |
๏ ฝ่ายเสนาข้าเฝ้าเหล่าทหาร | มาเกณฑ์การกันแต่ดึกเสียงกึกก้อง |
บ้างตรวจตราหน้าที่บ้างตีฆ้อง | เสียงจองหง่องจองหง่องป่องป่องดัง |
ศรีสุวรรณนั้นเกณฑ์เป็นกองหน้า | ล้วนโยธารมจักรคึกคักคั่ง |
พลทมิฬสินสมุทรมาหยุดยั้ง | อยู่พร้อมพรั่งปีกขวาสง่างาม |
พวกโยธาการะเวกเป็นปีกซ้าย | ทั้งไพร่นายล้วนชำนาญชาญสนาม |
เจ้าวิเชียรโมราสานนพราหมณ์ | เป็นกองหลังตั้งตามพยุหทัพ |
พวกพหลพลผลึกเป็นกองหลวง | เวลาล่วงตีสิบเอ็ดพอเสร็จสรรพ |
บ้างแกว่งกลอกหอกดาบดูวาบวับ | มาเตรียมรับเรียงหลามอยู่ตามทาง ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระอภัยตื่นไสยาสน์ | ชวนหน่อนาถนุชน้องมาห้องขวาง |
ต่างจัดแจงแต่งองค์ทรงสำอาง | ครั้นเสร็จย่างเยื้องมาหน้าพระลาน |
รถม้าเทียบเรียบรับอยู่คับคั่ง | ทั้งหน้าหลังแลล้วนทวนธงฉาน |
พอฤกษ์ดีตีฆ้องก้องกังวาน | ทหารขานโห่ฮึกเสียงครึกโครม |
ศรีสุวรรณนั้นขึ้นทรงรถที่นั่ง | ทั้งแตรสังข์เซ็งแซ่เสียงแห่โหม |
เดินธงทิวปลิวสล้างกลางโพยม | กลองประโคมเคียงรถบทจร |
สินสมุทรหยุดยั้งให้ตั้งโห่ | ขี่สิงโตตัวร้ายสะพายศร |
ข้างปีกซ้ายฝ่ายนุชาสุดสาคร | ทรงมังกรกุมไม้เท้าของเจ้าตา |
พระพี่น้องสองทัพขับทหาร | อลหม่านมากมายทั้งซ้ายขวา |
เสียงฆ้องกลองก้องสะท้านสะเทื้อนสุธา | ต่างเฮฮาโห่ร้องซ้องสำเนียง |
ครั้นเสร็จสรรพทัพหลวงล่วงลีลาศ | พระทรงราชรถทองกึกก้องเสียง |
แล้วกองหลังทั้งสามพราหมณ์พี่เลี้ยง | ขี่ม้าเคียงขับพลสกลไกร |
ออกจากกรุงทุ่งกว้างเป็นทางทัพ | แลสลับธงทิวปลิวไสว |
บ้างลากปืนครื้นครั่นสนั่นไป | จนมาใกล้ค่ายฝรั่งให้ตั้งทัพ |
ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังยับยั้งหยุด | ตั้งเป็นครุฑกระบวนนามตามตำรับ |
เห็นโยธาพวกฝรั่งออกคั่งคับ | เป็นแปดทัพทั้งเดิมและเติมมา |
ล้วนมีธงลงหนังสือชื่อประเทศ | เมืองละเมดมลิกันสำปันหนา |
กรุงกวินจีนตั๋งอังคุลา | ที่ยกมาทางบกอีกหกทัพ |
ที่อยู่เก่าเจ้าลยาชวาฉวี | แต่ล้วนตีเมืองไม่ได้ก็ไม่กลับ |
ต่างขี่ม้าพาทหารออกต้านรับ | ปะทะทัพดูทีกิริยา ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระอภัยวิไลลักษณ์ | เห็นศึกหนักนับแสนดูแน่นหนา |
จะเป่าปี่ให้สู้ดูศักดา | ก็เห็นว่าจะไม่ลือระบือยศ |
หนึ่งพวกเราเล่าก็รวมอยู่พร้อมพรั่ง | แต่ล้วนรังเรียนวิชาได้ปรากฏ |
จะดูดีพี่น้องสองโอรส | ให้มียศเกียรติไว้ในไตรภพ |
จึงตรัสใช้ให้ทูตไปพูดนัด | อย่างกษัตริย์สงครามตามขนบ |
ครั้นจะให้ไพร่พลเข้ารณรบ | จะตายทบทับยับเสียนับพัน |
ซึ่งจะชนะจะแพ้เพราะแม่ทัพ | ออกต่อรับรบสู้เป็นคู่ขัน |
ใครผลาญเราเจ้าบูรินทร์สิ้นชีวัน | คือคนนั้นได้ลูกสาวเจ้าลังกา ฯ |
๏ ทั้งเก้าทัพรับกันเป็นธรรมยุทธ์ | รำอาวุธเรียงรายทั้งซ้ายขวา |
แต่ม้าทรงองค์ท้าวเจ้าคุลา | ออกยืนหน้านายทหารถือขวานคลี |
บั้นเอวผูกลูกขลุบแล้วคลุมเสื้อ | ดูดังเสือโคร่งคร่ำดำหมิดหมี |
ทางร้องท้าว่าใครผู้ใดดี | มาต่อตีตามพนันเหมือนสัญญา |
สินสมุทรบุตรยักษ์มักโมโห | ขับสิงโตรำทวนสวนถลา |
เข้ารบรับทัพท้าวเจ้าคุลา | ปะทะท่าแทงฟันประจัญบาน |
หลายกระบวนทวนทบตลบเลี่ยง | พอแทงเพลี่ยงพลิ้วหันฟันด้วยขวาน |
ถูกหน่อนาถฉาดฉับกลับทะยาน | เข้าชิงขวานไขว่คว้ารบราวี |
เจ้าคุลากล้าหาญวางขวานให้ | เห็นโถมไล่เลี้ยวมาทำล่าหนี |
ชำเลืองเหลือบเกือบใกล้เห็นได้ที | ทิ้งลูกคลีถูอุระพระกุมาร |
พลัดตกสิงห์กลิ้งซบสลบหลับ | มันจะสับซ้ำเอาเลือดดังเชือดฝาน |
สุดสาครควบม้าถาทะยาน | เข้าต่อต้านตอบตีช่วยพี่ชาย |
ลืมระวังพลั้งเพลี่ยงมันเหวี่ยงขลุบ | ถูกอกอุบจุกอัดขัดไม่หาย |
พอพระอามาทันเข้ากันกาย | ช่วยหลานชายชิงชัยไวกระบอง |
มันรบพลางขว้างขลุบดูวุบวับ | พระควงรับรอนรันผันผยอง |
ทิ้งไม่ถูกลูกกระเด็นอยู่เป็นกอง | พระตีต้องเจ้าคุลาชีวาวาย ฯ |
๏ พอพี่น้องสองฟื้นตื่นทะลึ่ง | เปรียบเหมือนหนึ่งนอนหลับแล้วกลับหาย |
เจ้ากวินถิ่นเถื่อนเห็นเพื่อนตาย | กระหวัดสายกวินทรงเข้ายงยุทธ์ |
ศรีสุวรรณหันหวดเร็วรวดรับ | มันขว้างขวับไขว่คล้องกระบองหลุด |
แล้วซ้ำซัดรัดพระชงฆ์พอองค์ทรุด | สินสมุทรโผนมาช่วยอาทัน |
ถูกกวินผินผัดสลัดหลีก | มันทิ้งอีกโอบกายสายกระสัน |
สะบัดขาดผาดโผนโจนประจัญ | เอาขวานฟันเจ้ากวินสิ้นชีวา ฯ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้าละเมดวิเศษสุด | ถืออาวุธกายสิทธิ์ฤทธิ์หนักหนา |
ชื่อภุขันฟันใครเหมือนไฟฟ้า | มรณาเนื้อเผือดเลือดไม่มี |
ครั้นเห็นท้าวเจ้ากวินสิ้นชีวิต | เข้าต่อฤทธิ์รับรบไม่หลบหนี |
สินสมุทรยุดพลาดมันฟาดตี | ถูกอินทรีย์ซวนซบสลบไป ฯ |
๏ ศรีสุวรรณกับหลานทะยานยุทธ์ | ฤทธิรุทรรบกันเสียงหวั่นไหว |
เหล็กกระบองต้องภุขันสะบั้นไป | พระตกใจโจนหนีมันตีตาม |
สุดสาครกรทรงไม้เท้าโถม | เข้ารุกโรมรำคว้างอยู่กลางสนาม |
เหล็กภุขันฟันใครเป็นไฟวาม | เหตุด้วยความรู้ฤทธิ์พระสิทธา |
พอได้ทีตีท้าวเจ้าละเมด | ถูกพระเกศขาดดิ้นสิ้นสังขาร์ |
เหล็กภุขันนั้นก็เก็บเหน็บเอามา | พอเชษฐาฟื้นกายค่อยคลายใจ ฯ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวจีนตั๋งนั้นฝังเพชร | ไม่ขามเข็ดคงกระพันฟันไม่ไหว |
ทั้งสองมือถือทุรันน้ำมันไฟ | ฟาดผู้ใดไฟพิษติดเต็มกาย |
ควบอาชาม้าทรงเข้ายงยุทธ์ | สินสมุทรต่อตีไม่หนีหาย |
ชิงทุรันมันฟาดปราดประกาย | เป็นเพลิงร้ายพราวทั่วทั้งตัวตน |
สินสมุทรหยุดลูบยิ่งวูบวาบ | เป็นเปลวปลาบปวดแปลบแสบเส้นขน |
ติดแขนขาผ้าเสื้อจนเหลือทน | เหมือนเพลิงลนล้มซบสลบไป |
ท้าวทมิฬจีนตั๋งขึ้นหลังม้า | พอสุดสาครถึงทะลึ่งไล่ |
กระโจนจับกลับพลาดมันฟาดไฟ | ถูกกายไหม้ม้วนซบสลบลง |
มันขึ้นม้าท้าทายเหวยนายทัพ | จงเร่งรับแพ้ตามความประสงค์ |
ศรีสุวรรณหันกระบองที่รองทรง | เข้ารณรงค์รบท้าวเจ้าจีนตั๋ง |
ได้ท่วงทีตีอกพลัดตกม้า | ลุกถลาไล่รบตลบหลัง |
จะฟาดไฟไม่ต้องกระบองบัง | พระตีดังผลุงผลุงกระทุ้งแทง |
ด้วยฤทธิ์เพชรเม็ดใหญ่ไม่ไหวหวาด | มันกลับฟาดไฟพรายกระจายแสง |
ถูกนิ้วมือถือกระบองก็พองแดง | พระอ่อนแรงรอรบถอยหลบมา ฯ |
๏ พอพี่น้องสองกษัตริย์สกัดกั้น | ยิงเกาทัณฑ์ถูกกระดอนดังก้อนผา |
มันฟาดไฟไม่ต้องทั้งสองรา | ด้วยฤทธิ์แก้วแววตารักษากาย |
ถูกแต่ม้าผ่าโผนโจนสะบัด | กุมารพลัดแพลงตกผงกหงาย |
กุมารีพี่คล่องกว่าน้องชาย | กระหวัดสายศรลั่นไปทันที |
จำเพาะถูกลูกตาข้างขวาขวับ | ตกม้าผลับโผนโลดกระโดดหนี |
พอโพล้เพล้เวลาจะราตรี | จีนตั๋งตีกลองสัญญาเป็นหย่าทัพ ฯ |
๏ ฝ่ายพวกบ่าวเจ้าตายพอวายรบ | รับแต่ศพใส่กำปั่นพากันกลับ |
แต่จีนตั๋งสั่งให้ไปกำชับ | บรรดาทัพอยู่อย่าเพ่อราวี |
เรารบค้างร้างไว้ยังไม่ทิ้ง | ใครอย่าชิงรบพุ่งเอากรุงศรี |
แล้วปวดตามาในค่ายไม่สมประดี | ให้เห็นผีเสื้อสางปะรางควาน |
จีนแสเข้าเป่ายานัยน์ตาแตก | น้ำมันแทรกใส่แก้แผลสมาน |
ทั้งห้าเมืองเนืองมาถามอาการ | พยาบาลบอกยารักษากัน ฯ |
๏ สงสารพระอภัยฤทัยระทด | กลัวโอรสสองราจะอาสัญ |
ไม่เห็นฟื้นขึ้นบ้างเหมือนกลางวัน | พระทรงกันแสงประคองสองโอรส |
ศรีสุวรรณนั้นก็พองทั้งสองหัตถ์ | สองกษัตริย์สุริย์วงศ์ทรงกำสรด |
เร่งให้หามาออกสอทั้งหมอมด | บางพวกบดยาชโลมโซมน้ำมัน |
ถึงพรมพรำน้ำฟักไม่ยักฟื้น | จนเที่ยงคืนฆ้องตรวจกันกวดขัน |
ขึงผ้าขาวราวกับค่ายเป็นหลายชั้น | กำกับกันตีฆ้องกองอัคคี |
ตำรวจตั้งหลังคาเอาผ้าขึง | เปรียบเหมือนหนึ่งพลับพลาหลังคาสี |
ปูผ้าขาวราวกับเสื่อล้วนเนื้อดี | พวกเสนีนายหมวดตรวจตระเวน ฯ |
๏ สองกษัตริย์ขัตติย์วงศ์ทรงกันแสง | จนโรยแรงเรอลมดมพิมเสน |
ด้วยหาหมดมดหมอในบริเวณ | เห็นสิ้นเกณฑ์แก้ไขก็ไม่ฟื้น |
พระประคองสองบุตรสุดที่รัก | ขึ้นวางตักข้างละองค์ทรงสะอื้น |
โอ้เย็นฉ่ำน้ำค้างในกลางคืน | เจ้าไม่ฟื้นขึ้นมาสั่งพ่อบ้างเลย |
ประหลาดเหลือเนื้อละมุนยังอุ่นอ่อน | สินสมุทรสุดสาครของพ่อเอ๋ย |
เคยกลับเป็นก็ไม่เห็นเหมือนเช่นเคย | กระไรเลยแน่นิ่งไม่ติงกาย |
พระครวญคร่ำร่ำรักโอรสราช | ใจจะขาดคิดไปก็ใจหาย |
พระชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย | ทั้งขวาซ้ายกอดศพสลบลง ฯ |
๏ ศรีสุวรรณกันแสงสงสารพี่ | กุมารีร้องเรียกจนเสียงหลง |
ทั้งน้องชายหมายหมดว่าปลดปลง | ต่างกอดองค์พี่ยาสุดสาคร |
กนิษฐาว่าพระพี่มาหนีน้อง | ใครจะครองคุ้มขังช่วยสั่งสอน |
ยังแต่น้องสองราอนาทร | นางทุกข์ร้อนร่ำว่าน้ำตากระเด็น |
จะกลับเล่าเปล่าจิตคิดถึงพี่ | อยู่ที่นี่พ่อแม่แลไม่เห็น |
โอ้แต่นี้พี่เจ้าทุกเช้าเย็น | มิได้เล่นกันกับน้องทั้งสองรา |
เรียกเท่าไรไม่ฟื้นสะอื้นอั้น | ต่างปลุกสั่นโศกีพระพี่จ๋า |
ยิ่งเรียกนิ่งยิ่งสะอื้นกลืนน้ำตา | กุมาราแรงน้อยล้มผอยไป |
พวกข้าเฝ้าเข้าประคองสองกษัตริย์ | ไม่ออกอรรถเซ็งแซ่เข้าแก้ไข |
บ้างนวดเคล้นเส้นพระศอสองหน่อไท | ก็กลับได้สมประดีค่อยมีมา ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งตั้งรายอยู่หลายค่าย | วิสัยชายชิงชู้คู่อิจฉา |
ต่างไต่ถามไพร่ทุรันจำนรรจา | ครั้นรู้ยายามดึกนั่งตรึกความ |
เจ้าจีนตั๋งครั้งนี้ออกตีทัพ | ชาวเมืองรับพ่ายพังไปทั้งสาม |
เขามีชัยได้เมียเราเสียงาม | จึงคิดความยอกย้อนซอกซ้อนกล |
ค่อยลอบใช้ให้บ่าวบอกชาวทัพ | ว่าจะดับพิษไฟได้แต่ฝน |
ชาวบุรีดีใจทั้งไพร่พล | แจ้งยุบลบอกข่าวทูลเจ้านาย |
พระอภัยให้เที่ยวหาเป็นหน้าแล้ง | ทุกหนแห่งมิได้สมอารมณ์หมาย |
พอนึกได้ให้หาพราหมณ์ทั้งสามนาย | พี่เลี้ยงฝ่ายอนุชาชื่อสานน |
ทำพิธีพลีบวงสรวงพระเวท | ศักดาเดชดินฟ้าโกลาหล |
พิรุณร้องก้องกระหึ่มครึ้มคำรน | เป็นสายฝนฟุ้งฟ้าลงมาดิน |
ให้ประคองสององค์ออกสรงน้ำ | ค่อยชื่นฉ่ำชีวาตม์ด้วยธาตุสินธุ์ |
ถอนน้ำมันอันเป็นกรดหมดมลทิน | หน่อนรินทร์รู้สึกลุกคึกคัก |
คิดว่าสู้อยู่กับแขกจะแหวกออก | พอเขาบอกมองดูจึงรู้จัก |
ฝ่ายบิดาพาบุตรมาหยุดพัก | ที่สำนักกลางทัพเหมือนพลับพลา |
แล้วเล่าความตามรบสลบหลับ | พลางกำชับลูกรักนั้นหนักหนา |
ชาติฝรั่งอังกฤษเป็นอิสรา | มีศัสตราสำหรับตัวทั่วทุกคน |
ถึงชนะจะจับจงยับยั้ง | คอยระวังสังเกตดูเหตุผล |
โอรสรับกลับนึกรู้สึกสกนธ์ | ทั้งสองคนแค้นใจจะใคร่รบ |
จึงทูลว่าข้าขอตีแต่พี่น้อง | ให้พวกพ้องพลทมิฬตื่นตลบ |
พระบิดาว่าฝรั่งตั้งสมทบ | จะรุมรบเราน้อยถอยกำลัง |
คอยรับแต่แม่ทัพให้ยับย่อย | พลก็พลอยพ่ายแพ้เหมือนแต่หลัง |
อย่าอาจหาญการณรงค์จงรอรั้ง | พระสอนสั่งสิ้นเสร็จด้วยเมตตา ฯ |
๏ ฝ่ายสานนมนต์เวทวิเศษชะงัด | ได้ฟังตรัสกราบคำนับรับอาสา |
จะเรียกฝนปนลมระดมมา | ให้พวกข้าศึกหนาวทั้งบ่าวนาย |
เราแยกยกวกอ้อมออกพร้อมพรัก | เข้าโหมหักเห็นจะได้ดังใจหมาย |
แม้นละไว้ไม่กำจัดให้พลัดพราย | จะมากมายมาสมทบเฝ้ารบกวน |
พระฟังความพราหมณ์คิดด้วยวิทย์เวท | อาศัยเหตุฝนลมระดมหวน |
จึงตรัสตอบขอบจิตว่าคิดควร | กระนั้นส่วนตัวท่านจงอ่านมนต์ |
เราจะขับทัพใหญ่ออกไล่ซ้ำ | เห็นเพลี่ยงพล้ำพลอยระดมด้วยลมฝน |
แล้วสั่งฝ่ายนายหมวดเร่งตรวจพล | จะปลอมปล้นค่ายแขกให้แตกแตน |
ทั้งโยธาการะเวกเมืองรมจักร | เสียงคึกคักคั่งคับอยู่นับแสน |
บ้างถือปืนยืนสะพรั่งทั้งโล่แพน | ด้วยคิดแค้นแขกฝรั่งทั้งแผ่นดิน ฯ |
๏ ฝ่ายมหาสานนพระมนต์ขลัง | เรียกกำลังลมประสาททั้งธาตุสินธุ์ |
วลาหกตกใจไขเมฆิน | เป็นวารินร่วงโรยอยู่โกรยกราว |
ทั้งเทวามารุตก็ผุดพุ่ง | เป็นควันพลุ่งโพลงสว่างขึ้นกลางหาว |
เสียงครึกครื้นพื้นแผ่นดินทั้งแดนดาว | อากาศราวกับจะพังกำลังมนต์ ฯ |
๏ ฝ่ายทมิฬจีนตั๋งฝรั่งร้าย | เห็นวุ่นวายเวหาเป็นฟ้าฝน |
ทั้งหนาวเหน็บเจ็บตาอุตส่าห์ทน | ออกตรวจพลถ้วนทั่วทุกตัวนาย |
จะก่อไฟไม่ติดผิดประหลาด | ทั้งฝนสาดลูกเห็บเจ็บใจหาย |
ถูกพลับพลาฝรั่งพังทลาย | ทั้งขอบค่ายลู่ล้มด้วยลมแรง ฯ |
๏ พระอภัยได้ทีให้ตีฆ้อง | แล้วยกกองทัพทหารชาญกำแหง |
เข้าหักโหมโรมรันไล่ฟันแทง | บ้างน้าวแผลงเกาทัณฑ์บ้างลั่นปืน |
พลฝรั่งอังกฤษไม่คิดรบ | แตกตลบลงชลาไม่ฝ่าฝืน |
บ้างล้มตายวายวางในกลางคืน | บ้างวิ่งตื่นแตกป่วนอยู่รวนเร |
บ้างลงเรือเหลือตายทั้งนายไพร่ | พายุใหญ่ปั่นป่วนให้หวนเห |
บ้างแตกล่มลมพัดเที่ยวซัดเซ | จนถึงเวลารุ่งรบพุ่งกัน ฯ |
๏ พระอภัยได้ชนะเพราะพระเวท | แสนวิเศษสานนคนขยัน |
ฝรั่งแขกแตกตายเสียหลายพัน | ที่เหลือนั้นจับได้ทั้งไพร่นาย |
ให้เลิกทัพกลับหลังเข้าวังหลวง | ค่อยสร่างทรวงเสร็จศึกเหมือนนึกหมาย |
เสนานายใหญ่น้อยพลอยสบาย | ทั้งหญิงชายชาวบุรินทร์ก็ยินดี ฯ |