๏ ฝ่ายฝรั่งมังคลาคิดปรารภ |
ศึกสมทบหลายทัพเห็นคับขัน |
จึงปรึกษาฝรั่งสิ้นทั้งนั้น |
จะผ่อนผันคิดอ่านประการใด |
พวกคนเก่าเหล่าขุนนางแต่ปางก่อน |
เคยราญรอนรู้เห็นเป็นไฉน |
ที่ยกเพิ่มเติมมาคือว่าใคร |
หมวกเสื้อใส่ปีกปกเหมือนนกกา ฯ |
๏ ฝ่ายผู้เฒ่าเฝ้าฟังรับสั่งถาม |
จึงทูลตามความหลังที่กังขา |
ซึ่งขี่หลังมังกรตีต้อนมา |
คือสุดสาครรณรงค์คงกระพัน |
กันนงเยาว์เสาวคนธ์วิมลมิ่ง |
ซึ่งทรงสิงห์เหมือนพราหมณ์สงครามขยัน |
แต่พวกหนึ่งซึ่งเหมือนนกวิหคนั้น |
แต่ก่อนมันมิได้มาช่วยราวี |
ดูเหมือนแขกแปลกหน้าถีบถาโถม |
โจนกระโจมโหมหักดังปักษี |
แต่ปางหลังครั้งเมื่อพระชนนี |
มารบที่เมืองใหม่ทำไกกล |
สินสมุทรจุดไฟเที่ยวไล่จับ |
เราจุดรับรอบกำแพงทุกแห่งหน |
ปัจจามิตรติดกับถึงอับจน |
พอเกิดฝนตกระงับเพลิงดับไป |
พระบิตุรงค์ทรงปี่โยธีทัพ |
พากันหลับกลิ้งกลาดไม่หวาดไหว |
พระชนนีปรีชาช่วยข้าไท |
ล่อลวงพระอภัยหลงใหลรัก |
จึงปลุกทัพกลับให้นายไพร่ตื่น |
ได้กลับคืนไปลังกาอาณาจักร |
อันครั้งนี้ทีศึกดูฮึกฮัก |
เห็นจะหนักกว่าแต่หลังระวังภัย ฯ |
๏ พระมังคลาว่าทหารพาลประมาท |
จึงพลั้งพลาดเสียทัพเพราะหลับใหล |
ซึ่งข้าศึกฮึกหาญประการใด |
จะแก้ไขคิดล้างให้วางวาย |
อันแยบยลกลหนูสู้พยัคฆ์ |
เขารู้จักจึงไม่ได้ดังใจหมาย |
ที่แปลกอย่างต่างหากมีมากมาย |
จะยักย้ายแก้ไขผลาญไพรี |
เราเห็นว่าข้าศึกจะนึกคาด |
ว่าไม่อาจรบรับถอยทัพหนี |
ทั้งพวกเพิ่มเติมมาเวลานี้ |
เห็นท่วงทีจะประมาทองอาจใจ |
จะให้พวกชาวละหม่านทหารเสือ |
ลอบเผาเรือขึ้นที่ท่าชลาไหล |
ให้พวกพ้องกองทัพลงดับไฟ |
เราล้อมไล่ให้มันลงข้างคงคา |
ชิงเอาค่ายชายฝั่งออกตั้งมั่น |
จงเกณฑ์กันออกสักแสนให้แน่นหนา |
พวกฝรั่งบังคมชมปัญญา |
จัดโยธาห้าหมื่นถือปืนรบ |
ทั้งทวนยาวหลาวแหลนเป็นแสนหนึ่ง |
ไม่อื้ออึงเอะอะเงียบสงบ |
เห็นเพลิงไหม้ให้ระดมออกสมทบ |
เข้ารุมรบพร้อมกันตามสัญญา ฯ |
๏ ฝ่ายพวกพ้องกองละหม่านทหารยักษ์ |
เกลี้ยกล่อมมาสาพิภักดิ์รักอาสา |
ออกหลังป้อมอ้อมลงข้างคงคา |
ต่างประดาน้ำทนดำด้นไป |
ขึ้นเรือรบครบร้อยค่อยค่อยย่อง |
เห็นพวกกองเรือระงับนอนหลับใหล |
ค่อยเลี่ยงหลีกฉีกชุดแล้วจุดไฟ |
เผาให้ไหม้เชื้อชันน้ำมันยาง |
แล้วฆ่าคนบนลำลงน้ำโพล่ง |
เพลิงก็ลามพลามโพลงเสียงโผงผาง |
บ้างไหม้เพลาเสากระโดงระโยงระยาง |
บ้างติดกลางติดท้ายลุกรายเรียง ฯ |
๏ ฝ่ายพวกพลบนค่ายทั้งนายไพร่ |
เห็นเพลิงไหม้เรือเรียกกันเพรียกเสียง |
ลงช่วยดับสับสนขนเสบียง |
บ้างแบกเหวี่ยงวิ่งสะพรั่งริมฝั่งชล ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งลังกาเห็นข้าศึก |
อึกทึกทุกทัพวิ่งสับสน |
เปิดทวารด้านใต้ต้อนไพร่พล |
ออกเกลื่อนกล่นกลางคืนยิงปืนไฟ |
บ้างรุมกันฟันแทงบ้างแกว่งขวาน |
ไล่ประหารโห่ลั่นเสียงหวั่นไหว |
พวกทัพล้อมป้อมค่ายพลัดพรายไป |
พระหัสไชยเชษฐาสุดสาคร |
ทั้งนงเยาว์เสาวคนธ์ขับพลรบ |
ศึกสมทบหลายทัพสลับสลอน |
พวกวาโหมโรมรันช่วยฟันฟอน |
ฝรั่งซ้อนแทรกกันประจัญบาน |
ทั้งสามองค์ทรงพาหนะที่นั่ง |
ฟันฝรั่งมอดม้วยช่วยทหาร |
ที่เหลือตายนายต้อนเข้ารอนราญ |
ต่างต่อต้านตีรันฟาดฟันแทง |
ทั้งซ้ายขวาฝรั่งออกคั่งคับ |
พอเพลิงดับมืดเขม้นไม่เห็นแสง |
ทหารตามสามกษัตริย์ต่างพลัดแพลง |
พระอ่อนแรงรอลงข้างคงคา ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งทั้งหลายชิงค่ายได้ |
ทั้งนายไพร่พร้อมพรักเข้ารักษา |
ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์ถอยพลมา |
พบเชษฐากับทั้งพระหัสไชย |
ทั้งโยธาวาหุโลมวาโหมนั้น |
ถึงเสียทีมิได้พรั่นประหวั่นไหว |
ต่างตีฆ้องกลองสำหรับเรียกทัพชัย |
ประชุมไพร่พร้อมพรั่งริมฝั่งชล |
ยังเหลือตายหลายหมื่นดูดื่นดาษ |
ยกเลียบหาดขึ้นไปตั้งหลังถนน |
แล้วโฉมยงนงเยาว์เสาวคนธ์ |
รู้ผ่อนปรนปราบศึกตรองตรึกการ |
ได้ตำราปาโมกข์โลกเชษฐ์ |
ปราบประเทศท้าวทมิฬได้ถิ่นฐาน |
จึงว่าจะละเมินไว้เนิ่นนาน |
สงสารทหารหิวโหยโรยกำลัง |
จะยกทัพกลับไปตีพรุ่งนี้เช้า |
เข้าชิงเอาเมืองใหม่เหมือนใจหวัง |
บอกอุบายนายไพร่เล่าให้ฟัง |
แต่งตัวเป็นฝรั่งได้ตั้งพัน |
ต่างแอบอ้อมปลอมเข้าไปแต่ในดึก |
กำลังศึกสับสนพลขันธ์ |
เข้าเมืองมั่งบ้างอยู่ค่ายเรี่ยรายกัน |
ใครไม่ทันเพ่งพิศไม่คิดแคลง ฯ |
๏ ส่วนนงเยาว์เสาวคนธ์แบ่งพลทัพ |
นายกำกับกองละพันล้วนขันแข็ง |
ห้าสิบสองกองสกัดคัดจัดแจง |
ตามตำแหน่งหนุนกันให้ทันที |
พระเชษฐาพาทหารไปชานเขา |
คอยจับเจ้ามังคลาจะล่าหนี |
พวกกองหน้าวาหุโลมเข้าโจมตี |
เหล่าเสนีน้อยใหญ่เข้าในเมือง |
สกัดฆ่าฝรั่งสิ้นทั้งหลาย |
ถึงมิตายรอดบ้างก็คางเหลือง |
พอจวนแจ้งแสงทองขึ้นรองเรือง |
ต่างยกเนื่องหนุนตามกันหลามไป |
ถึงค่ายรายชายฝั่งต่างตั้งโห่ |
กึกก้องโกลาลั่นเสียงหวั่นไหว |
ฝรั่งรายค่ายละหมื่นยิงปืนไฟ |
ทั้งปืนใหญ่ยิงลั่นเสียงครั่นครึก |
ฝ่ายพวกแต่งแปลงปลอมอยู่พร้อมพรั่ง |
ฟันฝรั่งร้องว่าพวกข้าศึก |
ต่างหันเหเซปะทะอึกทึก |
ทหารฮึกหักโหมรุกโรมรัน |
ฝรั่งวิ่งทิ้งค่ายทั้งนายไพร่ |
กองทัพไล่เลี้ยวลัดสะพัดผัน |
พวกปีกป้องกองแซงรุมแทงฟัน |
ค่อยหนุนกันกั้นสกัดตามจัดแจง |
จนรุ่งเช้าเจ้าวลาวายุพัฒน์ |
พบพวกหัสไชยรบหลีกหลบแฝง |
ต่างถอยทัพกลับเข้าไปในกำแพง |
ทั้งพวกแปลงปลอมพลพลอยปนไป |
พวกนั่งป้อมล้อมวังสิ้นทั้งนั้น |
ระดมปืนครื้นครั่นเสียงหวั่นไหว |
พวกวาโหมโรมรบขว้างคบไฟ |
ที่เข้าในกำแพงปลอมแทงฟัน |
ไล่ฆ่าเหล่าเฝ้าประตูผู้กำกับ |
เปิดรับทัพทั้งปวงทะลวงถลัน |
ต่างเข้าได้ในเมืองหนุนเนื่องกัน |
ไล่ฆ่าฟันไฟจุดไม่หยุดยั้ง |
พระมังคลาข้าเฝ้าเหล่าทหาร |
เหลือต้านทานทัพล้อมเข้าพร้อมพรั่ง |
ขึ้นทรงม้าพาสนมกรมวัง |
ออกทางหลังเมืองใหม่พลัดไพร่พล ฯ |
๏ พระหัสไชยไล่จับรอรับรบ |
หลีกไปพบพวกทัพถอยสับสน |
อ้อมออกทางข้างเขาพบเสาวคนธ์ |
ไล่ฆ่าพลพวกฝรั่งมังคลา |
พอพบน้องสองหลานช่วยราญรบ |
เลี้ยวตลบหลีกทางไปข้างขวา |
สาวสุรางค์นางห้ามตามหลามมา |
พบสุดสาครขวางหนทางไว้ |
ตวาดถามความว่าเหวยฝรั่ง |
ตัวชื่อมังคลาหรือชื่อไฉน ฯ |
ลงจากม้ามาดีดีอย่าหนีไป |
จึงจะไว้ชีวาไม่ฆ่าฟัน ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งมังคลาควบม้าหนี |
นางสุนีติดไปในไพรสัณฑ์ |
พระหน่อไทไล่ลัดสกัดกัน |
พอมาทันโถมจับกลับรับรบ |
ด้วยฤทธาตราแก้วให้แคล้วคลาด |
ต่างฟันฟาดพลาดเพลี่ยงหลีกเลี่ยงหลบ |
เห็นห่างหันผันผินขับสินธพ |
ครั้นทันรบรับประจัญฟาดฟันฟอน |
มังกรกัดฟัดม้าเจ้าฝรั่ง |
สิ้นกำลังล้มกลิ้งริมสิงขร |
พระมังคลาอาวุธหลุดจากกร |
สุดสาครโจนจับล้มทับกัน |
กอดกระหวัดรัดแน่นรวบแขนเข้า |
จะทึ้งเถาวัลย์มัดรัดกระสัน |
พอนางสุนีที่มาด้วยเข้าช่วยทัน |
พ่นเป็นควันออกมาจากปากสตรี |
เหมือนเพลิงพรายสายรุ้งพลุ่งพลุ่งพลั่ง |
สุดสาครอ่อนกำลังถอยหลังหนี |
พอฟ้าแลบแวบสว่างนางสุนี |
หายจากที่ไปทั้งพระมังคลา ฯ |
๏ สุดสาครร้อนรนร่ายมนต์เป่า |
หายมึนเมามีกำลังคิดกังขา |
อีคนนี้มีพิษตามติดมา |
มันช่วยพาผัวหนีได้ดีจริง |
แล้วขึ้นนั่งหลังนิลสินธพ |
เลี้ยวตลบลัดป่าเที่ยวหาหญิง |
ไม่เห็นหนจนจิตคิดประวิง |
รีบขับมิ่งม้ามาพบวายุพัฒน์ |
เห็นเหมือนพี่สีเขียวมีเขี้ยวแฝง |
ทั้งเนตรแดงดูพลางขวางสกัด |
ฝ่ายฝรั่งยั้งหยุดยืนเยียดยัด |
พอเห็นหัสกันมาเหมือนลาลี |
จึงร้องห้ามตามภาษาข้างฝรั่ง |
กูมาตั้งคอยจับอย่ากลับหนี |
อ้ายนายทัพขับพลสองคนนี้ |
ลูกลาลีนางยุพาหรือว่าไร ฯ |
๏ พี่น้องดูรู้ว่าอารู้ว่าพ่อ |
แกล้งลวงล่อเคลือบแคลงแถลงไข |
ท่านแลดูรู้จักแกล้งซักไซ้ |
จงบอกให้รู้บ้างอย่าพรางนาม ฯ |
๏ สุดสาครฟังคำทำหัวร่อ |
กูเป็นพ่อไม่รู้จักมาซักถาม |
แม่ไม่บอกดอกหรือไม่เข้าใจความ |
กูนี้นามชื่อว่าสุดสาคร |
มึงลูกหลานว่านเครือไม่เผื่อแผ่ |
นับถือแต่ฝรั่งมันสั่งสอน |
ทำก่อศึกฮึกหาญไปราญรอน |
เผานครการะเวกโหยกเหยกครัน |
ไปรบพุ่งกรุงผลึกรมจักร |
ไม่รู้รักวงศาจะอาสัญ |
อันองค์พระมเหสีบุตรีนั้น |
ล้วนพงศ์พันธุ์พี่อาปู่ย่าเอง |
ทั้งสองท้าวสาวสนมรมจักร |
จับมากักขังไว้ไล่ข่มเหง |
ทำโอหังตั้งตัวไม่กลัวเกรง |
โทษของเองสู้พ่อพวกทรชน |
ถึงฆ่าตายภายหน้าเกิดมาอีก |
จะสับซีกเล็กน้อยสักร้อยหน |
ไม่สาจิตคิดดูผิดผู้คน |
ช่างมืดมนมิได้รู้จักผู้ใด |
กูพบปะจะสังหารผลาญชีวิต |
ก็ยังคิดอายเหลือว่าเนื้อไข |
จะรั้งรอพอให้หัวติดตัวไว้ |
จับส่งไปถวายพระชนกา |
ตามจะโปรดโทษมึงที่ดึงดื้อ |
ไม่นับถือซื่อตรงต่อวงศา |
อย่าเกะกะจะลำบากลงจากม้า |
ให้กูพาไปดีดีทั้งพี่น้อง ฯ |
๏ วายุพัฒน์หัสกันพรั่นพรั่นจิต |
มิได้คิดนบนอบตอบสนอง |
ซึ่งชั่วดีมีสติต้องตริตรอง |
ไม่ฟังฟ้องฝ่ายโจทก์กล่าวโทษทัณฑ์ |
ถ้าแม้ไม่ไล่เลียงให้เที่ยงแล้ว |
ใครว่าแก้วในอุราก็อาสัญ |
จะผ่าแผ่แล่เนื้อด้วยเชื่อกัน |
ไม่สัตย์ธรรม์ธรรมดาปรึกษาความ |
ว่าเป็นพ่อข้อนี้ก็มิรู้ |
อย่าจู่ลู่จ้วงจาบทำหยาบหยาม |
แม้จริงจิตบิดรจะผ่อนตาม |
นี่ฟังความขวางหูอดสูใจ |
จะมัดผูกลูกเต้าให้เขาอื่น |
ไม่ผิดขืนจะว่าผิดคิดไฉน |
ส่วนพวกพ้องของท่านเข้ากันไป |
ผิดวิสัยธรรมดาในฟ้าดิน |
แม้พ่อแม่แลเห็นลูกเหลนหลาน |
ย่อมสงสารมีจิตคิดถวิล |
แต่ร้ายกาจชาติเสือเหลือทมิฬ |
ก็ไม่กินลูกหลานวงศ์ว่านเครือ |
นี่ว่าพ่อก็จะมาฆ่าลูกหลาน |
ผิดโบราณร้ายกล้ายิ่งกว่าเสือ |
จะนอบน้อมยอมตายเสียดายเนื้อ |
กินข้าวเกลือเปลืองมากไม่อยากตาย |
แม้จริงจังดังว่าเมตตาบุตร |
เหมือนมนุษย์ในแผ่นดินสิ้นทั้งหลาย |
อย่ากีดขวางกางกั้นทำอันตราย |
ให้ไพร่นายฝ่ายฝรั่งไปลังกา ฯ |
๏ สุดสาครอ่อนใจอาลัยบุตร |
ทั้งแสนสุดสังเวชลูกเชษฐา |
แล้วกลับคิดผิดพลั้งแต่หลังมา |
จึงตอบว่าลูกดีเป็นที่รัก |
แม้ลูกชั่วหัวดื้อทำซื้อรู้ |
จนพี่ป้าย่าปู่ไม่รู้จัก |
ผลาญพงศ์เผ่าเหล่ากอทรลักษณ์ |
ชื่อว่าอกตัญญูชาติงูพิษ |
เหมือนพวกมึงซึ่งไม่รู้จักกูนี้ |
ดังทรพีวัดรอยจะคอยขวิด |
ถึงเหล่ากอหน่อเนื้อที่เชื้อชิด |
เหมือนโลหิตที่ในกายเกิดร้ายแรง |
ก็ต้องกลอกออกให้สิ้นมลทินโทษ |
ถ้าลูกโฉดชาติชั่วเช่นหัวแข็ง |
ใจจองหองข้องขัดเหลือดัดแปลง |
ไม่ควรแต่งต้องทำลายให้วายวาง |
แล้วขับม้าถาโถมเข้าโจมจับ |
ฝรั่งรับรบสกัดคอยขัดขวาง |
พระฟันฟาดกลาดเกลื่อนลงกลางทาง |
บ้างตายบ้างครางล้มเสือกซมซบ |
วายุพัฒน์หัสกันหนีดั้นป่า |
ต่างขับม้าพลัดแพลงลัดแลงหลบ |
พระหน่อไทไล่จับขับสินธพ |
ตามไม่พบพอเวลาจะราตรี |
จึงกลับม้าพาพหลพลไพร่ |
มาเมืองใหม่พบพระน้องทั้งสองศรี |
ให้รวมรอมพร้อมสิ้นต่างยินดี |
เข้าอยู่ที่ตึกรามตามสำราญ |
ได้ปืนผาสารพันกำปั่นรบ |
หอกดาบครบเครื่องเสบียงเลี้ยงทหาร |
พวกพาราการะเวกเลกรองงาน |
ต่างพบพานเจ้านายสบายใจ |
จับฝรั่งลังกาได้กว่าหมื่น |
ใช้ผ่าฟืนตักน้ำตามวิสัย |
คนสามพันบรรดาพวกข้าไท |
ส่งคืนไปพาราด้วยปรานี ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งลังกาพวกล่าทัพ |
ต่างแตกยับแยกย้ายพลัดพรายหนี |
บุกรกเรี้ยวเลี้ยวหลงในพงพี |
เข้าราตรีมิได้เห็นเขม้นมอง |
บ้างเดินโดนโคนตอยองย่อยอบ |
ลงฟุบหมอบมือนวดปวดขมอง |
บ้างบุกหนามความกลัวหนังหัวพอง |
ตุ๊กแกร้องบ้างล้มกลิ้งบ้างวิ่งโทง |
บ้างออกทุ่งมุ่งเมินเดินโก้งเก้ง |
เสื้อกางเกงก็ไม่มีเหมือนผีโป่ง |
บ้างล้าเลื่อยเหนื่อยบอบหิ้วหอบโครง |
ลงโก้งโค้งคลานตามหนีความตาย |
ครั้นกลางวันบรรดาโยธาหาญ |
ต่างพบพานพวกฝรั่งสิ้นทั้งหลาย |
ต่างติดตามถามข่าวถึงเจ้านาย |
แล้วมุ่งหมายรีบมาเมืองป่าตาล ฯ |
๏ ฝ่ายวายุพัฒน์หัสกันหนีดั้นด้น |
พบพวกพลไพร่นายฝ่ายทหาร |
เห็นห่างศึกนึกหมายไม่วายปราณ |
รีบไปด่านกลางได้ดังใจจง ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งมังคลานราราช |
สุนีบาตอุ้มเที่ยวลดเลี้ยวหลง |
พระเหนื่อยอ่อนซอนซบสลบลง |
ระทวยองค์แอบอังสาข้างขวานาง |
นางสุนีหนีมาเวลาค่ำ |
ถึงธารน้ำลำเนาภูเขาขวาง |
ยิ่งดึกดื่นชื่นฉ่ำด้วยน้ำค้าง |
เดือนกระจ่างแจ่มฟ้าดาราเรียง |
จังหรีดร้องลองไนก้องไพรสัณฑ์ |
จักจั่นเจื้อยแจ้วแว่วแว่วเสียง |
ไก่กระชั้นขันเร้าริมเขาเคียง |
เสียงผึ้งเพียงฆ้องลั่นหวั่นวิญญาณ์ |
ยามพระพายชายเชยระเหยหวน |
หอมลำดวนดอกไม้ไพรพฤกษา |
ค่อยแช่มชื่นฟื้นองค์คิดสงกา |
เห็นแต่หน้านางสุนีไม่มีใคร |
คิดเป็นครู่รู้ว่าหนีข้าศึก |
แล้วนิ่งนึกนางนี้เยาว์อุ้มเราไหว |
ช่วยชีวิตชิดชอบคิดขอบใจ |
จึงปราศรัยไต่ถามดูตามแคลง |
เจ้าพาพี่หนีมาพ้นข้าศึก |
กำดัดดึกเดือนสว่างกระจ่างแสง |
หยุดเสียบ้างข้างเขาค่อยเบาแรง |
ต่อรุ่งแจ้งจึงค่อยพากันคลาไคล |
แล้วให้นางวางองค์ชวนนงลักษณ์ |
เข้าหยุดพักเพิงผาพออาศัย |
ตรัสถามทางกลางป่าพนาลัย |
ไกลเมืองใหม่มาแล้วหรือแก้วตา ฯ |
๏ นางสุนีอัญชลีทูลแถลง |
ข้าลัดแลงเลียบเดินตามเนินผา |
ไม่เห็นทางกลางคืนสู้ฝืนมา |
ไม่ทราบว่าแห่งหนตำบลใด ฯ |
๏ พระฟังนางวังเวงเกรงจะหลง |
ดูแดนดงดาษดาพฤกษาไสว |
เสียทีศึกนึกสะท้อนถอนฤทัย |
ทั้งนายไพร่พลัดพรายล้มตายครัน |
เป็นคราวเคราะห์เพราะประมาทจึงพลาดพลั้ง |
ถึงสองครั้งดังชีวาจะอาสัญ |
อนุชาวายุพัฒน์หัสกัน |
จะหลบลี้หนีทันหรือบรรลัย |
ยิ่งระลึกตรึกตรมอารมณ์เทวษ |
น้ำพระเนตรคลอคลอชะลอไหล |
ทั้งหิวโหยโรยแรงแข็งพระทัย |
ปูสไบลงบนแท่นแผ่นศิลา ฯ |
๏ แล้วเอนองค์ลงบรรทมพนมมาศ |
สุนีบาตนั้นอุส่าห์หาบุปผา |
มาโรยรายถวายพระมังคลา |
แล้วอุส่าห์นวดฟั้นให้บรรทม |
เห็นทุกข์ร้อนถอนฤทัยมิใคร่หลับ |
จึงกล่อมขับคำประดิษฐ์สนิทสนม |
โอ้เย็นฉ่ำน้ำค้างพร่างพรายพรม |
ระรื่นร่มรังสล้างเหมือนปรางค์ทอง |
บรรทมแท่นแผ่นผาศิลาอ่อน |
ต่างบรรจถรณ์ทูลเกล้าอย่าเศร้าหมอง |
ฟังสำเนียงเสียงผึ้งหึ่งหึ่งร้อง |
เหมือนเสียงฆ้องยามย่ำประจำวัง |
จักจั่นหวั่นแว่วแจ้วแจ้วเจื้อย |
ลองไนเรื่อยแร่แร่ดังแตรสังข์ |
เสียงสินธุพุลั่นสนั่นดัง |
เหมือนกลองระฆังกังสดาลขานประโคม |
ขอเดชะพระพายช่วยชายกลิ่น |
มารวยรินเรื่อยรื่นให้ชื่นโฉม |
ดวงดาวเดือนเกลื่อนกลางนภางค์โพยม |
เหมือนอย่างโคมชวาลาระย้าระยับ |
เสียงเป็ดผีปี่แก้วแว่วแว่วหวีด |
จังหรีดกรีดเกรียวกริ่งดังฉิ่งกรับ |
ทั้งไก่แก้วแว่วเสียงจำเรียงรับ |
เหมือนโทนทับขับกล่อมทูลหม่อมเอย ฯ |
๏ พระทรงฟังวังเวงวิเวกเสียง |
หวนสำเนียงเสนาะน้ำคำเฉลย |
ฉลาดขับจับใจกระไรเลย |
น่าใคร่เชยชมโฉมประโลมลาน |
แต่ดูเด็กเล็กเหลือหรือเนื้อน้อย |
กระจ้อยร่อยรูปทรงน่าสงสาร |
แล้วคิดแหนงแรงล้นพ้นประมาณ |
เมื่อเสียด่านเดินมาตามม้าทัน |
เห็นท่วงทีมีฤทธิ์นิมิตไว้ |
ตามวิสัยสารพางค์นางสวรรค์ |
แล้วอุ้มเราเข้าป่ามากว่าวัน |
เห็นแม่นมั่นมิใช่ว่ากุมารี |
ดำริพลางทางดำรงพระองค์นั่ง |
ค่อยลูบหลังเลียบประโลมนางโฉมศรี |
พี่แสนยากจากวังมาครั้งนี้ |
เห็นสุนีบาตเหมือนเพื่อนชีวิต |
มิม้วยมอดวอดวายไปภายหน้า |
จะอุส่าห์โอบอ้อมถนอมสนิท |
อย่านบนอบหมอบเมียงมาเคียงชิด |
ให้ชื่นจิตพี่บ้างเหมือนอย่างใจ ฯ |
๏ ส่วนพิกลสตรีสุนีบาต |
เมื่อหน่อนาถมังคลาเธอปราศรัย |
จึงนบนอบตอบตามเนื้อความใน |
พระเป็นใหญ่ในฝรั่งทั้งลังกา |
ที่คู่บุญรุ่นราวสาวสนม |
ควรภิรมย์สมรักนั้นหนักหนา |
ฉันลูกเด็กเล็กน้อยติดต้อยมา |
ช่วยรักษาฝ่ายุคลให้พ้นภัย |
เสร็จธุระจะต้องลาไม่ช้านัก |
อย่ารื้อรักชักชิดพิสมัย |
เชิญพระองค์จงไปชมสนมใน |
ฉันมิใช่คนชนิดน่าชิดเชย ฯ |
๏ พระฟังนางคลางแคลงใคร่แจ้งจิต |
ถนอมสนิทนางสุนีเจ้าพี่เอ๋ย |
ขอถามความตามซื่ออย่าถือเลย |
เจ้าคุ้นเคยอยู่ด้วยกันทุกวันมา |
ช่วยอุ้มพี่หนีได้จึงใจพี่ |
ให้ปรานีนึกรักเจ้าหนักหนา |
จะปลูกฝังหวังสวาทไม่คลาดคลา |
มิควรหนีพี่ยาให้อาวรณ์ |
ไฉนเล่าเจ้าจึงว่าจะลาจาก |
ประหลาดหลากเหลือเสียดายสายสมร |
อย่าปละเปลื้องเคืองขัดถึงตัดรอน |
จะผันผ่อนหย่อนตามแต่ทรามวัย ฯ |
๏ นางฟังปลอบขอบคุณการุญโปรด |
สมาโทษทูลแจ้งแถลงไข |
ด้วยองค์พระมหาสุราลัย |
บัญชาให้ฉันลงมาเป็นทารก |
ช่วยธุระพระองค์ให้คงชีพ |
แล้วกลับรีบไปรักษาพลาหก |
แม้มีผัวชั่วช้าอุลามก |
จะต้องตกอยู่แผ่นดินสุดสิ้นฤทธิ์ |
ซึ่งอุ้มแอบแนบกายแต่ภายนอก |
ก็ได้ดอกด้วยบัญชาประกาศิต |
ซึ่งออกโอษฐ์โปรดเกล้าให้เข้าชิด |
เป็นจนจิตจำขัดพระอัธยา ฯ |
๏ พระฟังคำร่ำว่านิจจาเอ๋ย |
จะกลับเลยละให้อาลัยหา |
เคยอยู่ด้วยช่วยพี่รอดชีวา |
ทุกเวลาเช้าเย็นเคยเห็นกัน |
แม้จากไปไหนพี่จะมีสุข |
จะแสนทุกข์แทบชีวาจะอาสัญ |
ถึงสตรีมีดื่นสักหมื่นพัน |
ไม่เหมือนขวัญเนตรพี่เพื่อนชีวิต |
จงอยู่วังลังกาเถิดอย่ากลับ |
จะประคับประคองถนอมเป็นจอมจิต |
ประการหนึ่งถึงมิได้เหมือนใจคิด |
ขอชื่นชิดเชยชมให้สมรัก |
พระปลอบนางพลางแอบแนบถนอม |
ค่อยโอบอ้อมอุ้มนางขึ้นวางตัก |
ประคองกอดสอดสนิทจุมพิตพักตร์ |
นางกระดักกระดิกกระเดียมอายเหนียมชาย |
พระยียวนชวนชิดนางบิดพลิ้ว |
แต่เพียงผิวพอจะน้อมยอมถวาย |
จะสิ้นฤทธิ์คิดเฉลียวเสียวเสียดาย |
ต่อศึกวายวันอื่นจึงชื่นชม |
จะได้เดินเชิญพระองค์ไปส่งด่าน |
เป็นทหารแล้วจึงจะเป็นสนม |
พลางแอบองค์ทรงธรรม์ให้บรรทม |
เคลิ้มหลับในไพรพนมใต้ร่มรัง ฯ |
๏ พอเช้าตรู่รู้สึกนึกวิตก |
ศึกจะยกวกทางมาข้างหลัง |
พอเห็นทางนางสุนีมีกำลัง |
เชิญขึ้นนั่งบนบ่าแบกพาเดิน |
ผินพักตร์ต่อหรดีวิถีทิศ |
สำแดงฤทธิ์เร็วเราะดังเหาะเหิน |
ข้ามละหานชานเขาลำเนาเนิน |
พระเพลิดเพลินพลอยสบายเคลื่อนคลายใจ |
ให้นางอุ้มจุมพิตสนิทแนบ |
ชะอ้อนแอบอุ่นจิตพิสมัย |
สัพยอกหยอกนางมากลางไพร |
ชมนกไม้ต่างต่างสล้างเรียง |
ต้นร้อยลิ้นอินทร์จันทน์ขนันขนุน |
หอมกลิ่นกรุ่นตูมตาดมะหาดเหียง |
ฝางฝาหรั่งทั้งอินทนิลพะเนียง |
เสลาเสลี่ยงแสลงพันกรวยกันเกรา |
กระถินกระทุ่มตูมกามณฑาเทศ |
ตะโกเกดแก้วงอกตามซอกเขา |
เคี่ยมคล้อเขลงเต็งตะเคียนกระเบียนกระเบา |
เข็มคัดเค้าสาวหยุดพุดพะยอม |
พระชมชื่นยื่นเล็บเก็บนางคลี่ |
ให้สุนีบาตชมแซมผมหอม |
นางเก็บจันทน์คันธรสประณตน้อม |
ถวายจอมกษัตริย์ตรัสชมเชย |
เห็นนมนางข้างเขาเต่งเต้าตั้ง |
พระรอรั้งเรียกสุนีเจ้าพี่เอ๋ย |
มันน่ารักจักใคร่ได้กระไรเลย |
นางขวยเขินเมินเฉยแกล้งเลยเดิน |
ดูไม้สูงฝูงนกวิหคจับ |
บ้างเรียกรับร้องเร้าริมเขาเขิน |
นกแซงแซวแก้วกรอดพูดพลอดเพลิน |
ที่หว่างเนินนกยูงเป็นฝูงฟ้อน |
ทั้งไก่ฟ้าพระยาลอขันจ้อเสียง |
เค้าโมงเมียงมาจับสลับสลอน |
กระลุมพูคู่เคียงประเอียงอร |
ขมิ้นอ่อนป้อนลูกยอดมูกมัน |
ฝูงสร้อยร้าบ้าระบุ่นนกขุนแผน |
กระเหว่ากระแวนสัตวากระทาขัน |
กระลิงกระลางกางเขนเบญจวรรณ |
นกนวลจันทร์จิบจาบคุ่มขาบเคียง |
บนเขาสูงฝูงหงส์บุหรงร้อง |
ดังพิณก้องกังวานประสานเสียง |
ระวังไพรไก่แก้วแจ้วจำเรียง |
วิเวกเพียงพิณพาทย์สวาทวอน ฯ |
๏ ต่างชมเพลินเดินมาเวลาพลบ |
พอพานพบพวกตามหลามสลอน |
เชิญพระองค์ทรงรถบทจร |
จากดงดอนด่วนมาเมืองป่าตาล |
ขึ้นประทับพลับพลาฝ่ายฝรั่ง |
มาพร้อมพรั่งทั้งพระน้องกับสองหลาน |
พระเล่าตามความหลังแล้วสั่งการ |
ให้ทหารตรวจตราเตรียมอาวุธ |
ทั้งนายไพร่ให้พร้อมทุกป้อมค่าย |
หอรบรายเรียงรับสัประยุทธ์ |
แล้วคิดอ่านการรณรงค์จะยงยุทธ์ |
เราเสียด่านชานสมุทรสุดเสียดาย |
ด้วยเดิมทีตีได้ดังใจนึก |
พวกข้าศึกเสียทีแตกหนีหาย |
ทหารเราเบาใจทั้งไพร่นาย |
จึงเสียค่ายเมืองใหม่แก่ไพรี |
เราแตกยับอัปราฝ่ายข้าศึก |
จะเหิมฮึกรบพุ่งถึงกรุงศรี |
จะผันแปรแก้ไขอย่างไรดี |
จึงจะตีคืนได้เมืองใหม่มา ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งฟังถามสิ้นความรู้ |
ไม่มีผู้สามารถอาจอาสา |
แต่องค์พระวลายุดานุชา |
จึงทูลว่าไพรีมีกำลัง |
ครั้นตีแตกแยกยับกลับตลบ |
สมทบรบเราได้ดังใจหวัง |
อย่าโดยด่วนข้าขอให้รอรั้ง |
บอกพระสังฆราชครูให้รู้ความ |
ท่านเคยศึกลึกล้ำช่วยกำจัด |
จึงจะตัดศึกเตียนที่เสี้ยนหนาม |
เห็นชนะจะได้ตรงออกสงคราม |
คิดปราบปรามไพรีให้มีชัย ฯ |
๏ พระมังคลาว่าชอบท่านรอบรู้ |
เคยรบสู้ดูแลคิดแก้ไข |
ให้เขียนบอกลอกฉบับแล้วฉับไว |
ให้ม้าใช้ไปลังกาบอกอาจารย์ |
แล้วตรัสสั่งบังอลูคนรู้รอบ |
รีบไปลอบสั่งเวรเกณฑ์ทหาร |
ยี่สิบหมื่นปืนผาอย่าช้าการ |
มาเมืองด่านได้สมทบรบไพรี ฯ |
๏ บังอลูผู้ถือหนังสือลับ |
ต่างกำชับเรียกหากะลาสี |
สะพายย่ามตามออกนอกบุรี |
ขึ้นม้าขี่ควบตรงเข้าดงดาน |
ถึงระยะประทับหยุดยับยั้ง |
มีตึกตั้งโต๊ะเรียงเลี้ยงทหาร |
อิ่มแล้วไปไม่ขาดราชการ |
เป็นย่านย่านเรียดทางไปกลางไพร |
ถึงเวียงวังลังกาเข้าอาวาส |
กราบพระบาทหลวงแจ้งแถลงไข |
พระอาจารย์อ่านอักษรแล้วถอนใจ |
จึงว่าอ้ายนอกครูทำจู่โจม |
จับพวกพ้องของตัวมามั่วสุม |
ศึกจึงรุมพร้อมพรักมาหักโหม |
ไม่จัดแจงแบ่งเบาค่อยเล้าโลม |
เที่ยวรุกโรมสงครามทั้งสามเมือง |
เออกระนั้นมันจึงได้ดินไหวหวั่น |
เป็นหมอกควันทุกเวลาท้องฟ้าเหลือง |
อ้ายลูกถ่อยพลอยให้ผู้ใหญ่เคือง |
ไม่ได้เรื่องราวทำระยำบอน |
จะเกิดทุกข์ยุคเข็ญเสียเป็นแน่ |
หน่อยหนึ่งแม่มันจะมาว่ากูสอน |
แกกอดเข่าเจ่าจุกเป็นทุกข์ร้อน |
แล้วลุกถอนใจใหญ่เข้าในกุฎี |
ดูตำรับทัพศึกที่ลึกซึ้ง |
เห็นบทหนึ่งชื่อทวาทศราศรี |
ผูกผนิดปิดตราไม่ช้าที |
ให้เสนีมึงเอาไปส่งให้นาย ฯ |
๏ ฝ่ายม้าใช้ได้ตำรับไม่ยับยั้ง |
เรียกบ่าวทั้งปวงนั้นรีบผันผาย |
ออกหน้าวัดจัดแจงตกแต่งกาย |
ขึ้นม้าหมายมุ่งมาเมืองป่าตาล ฯ |