ตอนที่ ๘๒ โจรสลัดคุมกำปั่นปล้นเมืองรมจักร

๏ ฝ่ายบทเบื้องเรื่องนี้ขอยกก่อน จะกล่าวย้อนถึงโจรป่าพนาสณฑ์
อยู่เขตแคว้นแดนชวาริมสาชล เที่ยวตีปล้นแต่บรรดาลูกค้าเรือ
ได้สินทรัพย์นับถังสร้างกำปั่น แล้วชวนกันแล่นไปข้างใต้เหนือ
มีปืนใหญ่ไว้ประจำทุกลำเรือ ทหารเสือเล่าก็มีถึงสี่พัน
แต่กำปั่นนั้นมีถึงสี่ร้อย เที่ยวแล่นลอยไปทุกแห่งเพราะแข็งขัน
แต่ล้วนพวกแขกดำทุกลำมัน ตัวนายนั้นชื่อคุลาปะตาวี
ปะสำเภกเภตราเที่ยวค้าขาย มันแล่นรายล้อมไว้มิให้หนี
ขึ้นเก็บเอาสินค้าบรรดามี แม้นต่อตีมันก็ฆ่าชีวาวาย
กำเริบจิตคิดเข้าตีตามเมืองเกาะ ทุกละเมาะมันเที่ยวริบเอาฉิบหาย
เป็นโจรใหญ่อยู่ในน้ำตามสบาย เที่ยวแล่นรายสืบข่าวทุกอ่าวไป ฯ
๏ เมื่อวันหนึ่งนายโจรเผอิญเจ็บ ให้เมื่อยเหน็บจับสั่นจิตหวั่นไหว
โภชนาอาหารประการใด กินไม่ได้ข้าวปลาสารพัน
หมอให้กินหยูกยาสารพัด ไม่บำบัดโรคาก็อาสัญ
ฝ่ายพวกโจรแต่บรรดาทั้งห้าพัน มาพร้อมกันถ้วนทั่วทุกตัวนาย
ทำการศพนายใหญ่เอาไปฝัง ที่ขอบฝั่งวังวนชลสาย
ครั้นเสร็จสรรพยับยั้งจะตั้งนาย แทนผู้ตายจะได้ว่าคนห้าพัน
แต่บรรดานายรองทั้งสองร้อย มานั่งคอยทั้งพหลพลขันธ์
ใครเป็นนายก็จะยอมลงพร้อมกัน ไม่เดียดฉันท์จะได้ไปในคงคา ฯ
๏ ฝ่ายเสมียนที่สำหรับเก็บทรัพย์สิน เป็นเชื้อจีนพวกหมาเก๊าเข้าภาษา
มาเข้ารีตแขกดำเรียนตำรา ดูฤกษ์พาดีร้ายบอกนายโจร
จะตีเรือเหนือใต้คอยให้ข่าว รู้ดูดาวแจ้งใจคล้ายกับโหร
จึงลุกมาว่ากล่าวแก่เหล่าโจร เราเป็นโหรรู้สิ้นอย่ากินใจ
แต่บรรดามาพร้อมอยู่ที่นี่ ใครจะมีปัญญาอัชฌาสัย
เราเห็นอยู่แต่มะหุดวุฒิไกร ควรจะให้เป็นใหญ่ด้วยใจดี
ทั้งแกล้วกล้าสามารถฉลาดเฉลียว เคยท่องเที่ยวรู้หนทางกลางวิถี
แล้วเป็นผู้รู้วิชาปัญญาดี ควรเป็นที่นายใหญ่ได้ใช้การ
ท่านจะเห็นเป็นอย่างไรอย่าได้นิ่ง ไม่เห็นจริงอย่างไรเร่งไขขาน
แม้นเห็นชอบแล้วคำนับเร่งกราบกราน อย่านิ่งนานจะได้สั่งให้ตั้งพลัน ฯ
๏ ฝ่ายพวกโจรเห็นพร้อมยอมคำนับ จึงว่ากับวุฒิไกรใจมหันต์
จะขอสาบานตัวทั่วหน้ากัน ทำการนั้นมิได้คิดชีวิตเลย ฯ
๏ ฝ่ายเสมียนหยิบกระบี่ที่ผู้ใหญ่ มาส่งให้ถือเชิดให้เปิดเผย
อาญาสิทธิ์ปราบปรามไปตามเคย เสร็จแล้วเลยเลี้ยงดูทุกผู้คน
เป็นเยี่ยงอย่างตั้งนายแล้วอย่างนี้ ประสงค์ที่ไปข้างหน้าจะหาผล
มันนับถือว่าเป็นงานการมงคล แล้วต่างคนต่างตรงไปลงเรือ ฯ
๏ พอฤกษ์ดีคลี่ใบขึ้นใส่รอก ให้เร่งออกรีบไปข้างฝ่ายเหนือ
เครื่องอาวุธเตรียมประจำทุกลำเรือ ทหารเสือโห่เร้าจะเอาชัย
แต่แล่นมาห้าเดือนไม่หยุดยั้ง ดูเกาะฝั่งตามมหาชลาไหล
ต้นหนส่องกล้องสว่างดูทางไป จนเกือบใกล้รมจักรนัครินทร์
พอขาดข้าวเครื่องเสบียงเลี้ยงทหาร เห็นถิ่นฐานสมจิตคิดถวิล
จำจะเข้ารบราเอาธานินทร์ ตีแต่ถิ่นปากน้ำทำเสบียง
ถึงปากอ่าวเราไปรายกันทอด เมื่อเรือจอดด้วยกันมากห้ามปากเสียง
ไม่อื้ออึงปราบปรามห้ามสำเนียง คอยฟังเสียงเล่าลืออย่าอื้ออึง ฯ
๏ จะกล่าวฝ่ายนายด่านเมืองปากน้ำ เวลาค่ำใช้ใบแล่นไปถึง
พบกำปั่นจอดสล้างพลางรำพึง แล่นไปถึงสั่งล่ามให้ถามพลัน
ว่าเรือมาทอดอยู่นี่ดีหรือร้าย จงภิปรายตามจริงทุกสิ่งสรรพ์
โจรได้ฟังคั่งใจร้องไปพลัน มาถามกันว่ากระไรไม่ใช่นาย
เร่งกลับไปรักษาอาณาเขต ถิ่นประเทศกูจะริบให้ฉิบหาย
อย่าอยู่ช้าถ้ารู้ถึงตัวนาย เองจะตายเสียเปล่าเปล่าไม่เข้ายา
เรือตระเวนรีบมาหานายด่าน จึ่งแจ้งการสิ้นฟังไม่กังขา
มันท้าทายหลายลิ้นสิ้นตำรา ฟังพูดจาหยาบคายหลายประการ ฯ
๏ ฝ่ายตาเฒ่าเจ้าพระยารักษาสมุทร ให้รีบรุดออกไปในราชฐาน
ว่าข้าศึกจะมาล้อมป้อมปราการ เรือประมาณห้าร้อยลอยประดัง ฯ
๏ ขุนนางทราบราวเรื่องเมืองปากน้ำ แล้วจึงนำเข้าไปดั่งใจหวัง
ทูลท่านท้าวทศวงศ์ดำรงวัง ใท้ทราบยังบาทาฝ่าธุลี ฯ
๏ ฝ่ายไทท้าวเจ้าบุรินทร์ปิ่นพิภพ คิดปรารภเศร้าหมองไม่ผ่องศรี
จึ่งตรัสเรียกพระนัดดามาพาที ว่าไพรีมาประชิดติดบุรินทร์
เจ้าจงเกณฑ์จัตุรงค์ลงไปปราบ ให้ราบคาบเสี้ยนหนามตามถวิล
จงไปตั้งคอยรับทัพทมิฬ ให้ไพรินย่อยยับอัปรา
ครั้นสั่งเสร็จท้าวเสด็จยุรยาตร ขึ้นปราสาทข้างในแล้วให้หา
มเหสีกับบุตรีเกษรา ให้ขึ้นมาตรัสแถลงแจ้งเนื้อความ
นางพระยายิ่งวิตกตบอกผลุง มาเกิดยุ่งทัพศึกให้นึกขาม
แม้นเขยอยู่จะได้สู้ศึกสงคราม พยายามปราบอมิตรไม่คิดเกรง
แน่ะท่านตาว่ากระไรภัยมาถึง มานั่งอึ้งดั่งเขาเกาะเห็นเหมาะเหมง
ใจของตาดีแต่รักข้างนักเลง ท่าโฉงเฉงเกี้ยวชู้ไม่รู้วาย
เห็นอีสาวเข้าไม่ได้ใจริกริก กระซ้อกระซิกเพราะตัณหาพาฉิบหาย
นี่บ้านเมืองเคืองขุ่นเกิดวุ่นวาย จะยักย้ายตรองการสถานใด ฯ
๏ ท้าวทศวงศ์ทรงฟังมเหสี ว่ายายนี่ค่อยว่าไม่ปราศรัย
อย่าวิตกไปเลยหนาข้าจะไป คอยชิงชัยรบรับกับทมิฬ ฯ
๏ จะกล่าวฝ่ายนายโจรใจฉกาจ ภาณุมาศเยี่ยมโพยมสมถวิล
เร่งเรือรบเข้ามาหน้าบุรินทร์ พร้อมกันสิ้นสี่ร้อยลอยประดัง
ลากปืนใหญ่ขึ้นจังกาทั้งหน้าท้าย ให้ตั้งรายกันประดาทั้งหน้าหลัง
จะตีด่านสาชลริมวนวัง พร้อมสะพรั่งแต่ล้วนโจรโผนลำพอง
ข้างฝ่ายพวกตาพระยารักษาด่าน เกณฑ์ทหารพลฉกรรจ์ได้พันสอง
ให้ขึ้นป้อมขัดตาทัพไว้รับรอง ปืนจุกช่องลากไปใส่เสมา
ทั้งปืนใหญ่ลากขนขึ้นบนป้อม ทหารล้อมยืนรายทั้งซ้ายขวา
พอพวกโจรถึงกระทั่งฝั่งชลา ส่งภาษาบอกกล่าวชาวนคร
ว่านายกูผู้เป็นใหญ่ในไตรจักร จะมาหักเอาด่านชานสิงขร
แม้นรบสู้กูมิฟังทั้งนคร ถ้าโอนอ่อนโดยดีมิเป็นไร
แม้นดึงดื้อถือดีมีมานะ จะจับฉะคอเชือดให้เลือดไหล
แล้วร้องเร่งพวกทหารอันชาญชัย ยิงปืนใหญ่ที่ประจำทุกลำเรือ
เสียงตูมตึงผึงผางถูกข้างป้อม ชาวเมืองพร้อมยิงลงไปทั้งใต้เหนือ
ถูกเชือกเสาเพลาใบที่ในเรือ ทหารเสือขึ้นบกยกเข้าตี
ล้อมปราการด่านใต้ริมชายหาด ดูเกลื่อนกลาดทั้งชวากะลาสี
ล้อมกำแพงแซงกันมาจะราวี ชาวบุรีคั่วทรายปรายลงไป
มันมีโล่บังกายทรายไม่ถูก กันทั้งลูกปืนสาดพลาดไถล
ชาวพาราราญรอนจนอ่อนใจ มันตัดไม้เกลื่อนกลาดพาดกำแพง
ปีนขึ้นได้ไล่คนที่บนป้อม มันพรักพร้อมใจกันล้วนขันแข็ง
ตีเอาด่านได้พลันไล่ฟันแทง ใครต่อแย้งมันก็ฆ่าชีวาวัง ฯ
๏ จะกล่าวฝ่ายในบุรีเร่งกรีทัพ มาคั่งคับแสนยาทั้งหน้าหลัง
พระกฤษณาทรงพระยาพลายจำบัง ออกจากวังรีบเดินดำเนินพล
มาเกือบกึ่งถึงทางเมืองปากน้ำ หนังสือซ้ำบอกแจ้งแห่งนุสนธิ์
ว่าเสียด่านวานนี้ไม่มีคน พากันร่นย่อยยับอัปรา
ขอพระองค์ยับยั้งตั้งอยู่นี่ พวกไพรีเรี่ยวแรงแข็งนักหนา
ทูลแล้วรีบเข้าไปในพารา เอากิจจาทูลท้าวเจ้านคร ฯ
๏ สมเด็จท้าวทศวงศ์ทรงสดับ ให้คั่งคับในจิตดั่งพิษศร
จึ่งสั่งพวกเสนาพลากร เราจะจรลงไปรับทัพทมิฬ
เกณฑ์กระบวนจัตุรงค์เคยยงยุทธ์ เครื่องอาวุธดั้งดาบปืนคาบหิน
เร่งผูกช้างมาบรรทุกทั้งลูกดิน ให้พร้อมสิ้นเช้าตรู่กูจะไป
แล้วจึงสั่งเสนาพวกข้าเฝ้า เฮ้ยออเจ้ารีบไปแจ้งแถลงไข
แก่สามพราหมณ์ทุกนครอย่านอนใจ ว่าพวกไพรีมาชิดติดบุรินทร์ ฯ
๏ ขุนนางรับอภิวันท์แล้วผันผาย มาเขียนหมายตามรับสั่งดั่งถวิล
ให้ม้าใช้ไปถึงพราหมณ์สามบุรินทร์ ประเทศถิ่นบอกให้ทั่วทุกตัวนาย
ครั้นสั่งเสร็จท้าวเสด็จยุรยาตร ขึ้นจากอาสน์นพรัตน์จำรัสฉาย
ขุนเสนาเตรียมพหลพลนิกาย ตามบาดหมายครบถ้วนกระบวนแซง ฯ
๏ จะกล่าวข้างทรงฤทธิ์พระกฤษณา พร้อมบรรดาพวกทหารชาญกำแหง
ให้ตั้งค่ายยับยั้งอยู่กลางแปลง แล้วจัดแจงจะออกรบสมทบพล
ทหารปืนยืนสะพรั่งทั้งดั้งดาบ ศรกำซาบหอกง้าวเหล่าพหล
จัดเอาพวกจัตุรงค์ทั้งคงทน พร้อมพหลโห่เร้าจะเอาชัย
พระแต่งองค์ทรงเครื่องเรืองระยับ ตาบประดับพลอยแดงสุกแสงใส
พาหุรัดเรืองรองทองอุไร แล้วสอดใส่สังวาลทรงอลงกรณ์
เจียระบาดคาดปักเป็นรูปครุฑ ใส่มงกุฎเนาวรัตน์ประภัสสร
ฉลององค์พื้นแดงแย่งมังกร กรรเจียกจรธำมรงค์อลงการ์
เหน็บกระบี่สีสลับประดับเพชร แต่ละเม็ดพลอยพรายทั้งซ้ายขวา
ทรงพระแสงของ้าวแวววาวตา ขึ้นพระยาพลายจำบังที่นั่งทรง
พอฤกษ์ดีคลี่คลายขยายทัพ เดินคั่งคับทิวทวนกระบวนหงส์
ไปถึงด่านชาญสมุทรให้หยุดธง เอาปักลงโห่ร้องก้องสำเนียง ฯ
๏ ฝ่ายพวกโจรเตรียมถ้วนกระบวนทัพ ออกตั้งรับตีกลองกึกก้องเสียง
ให้ทหารชำนาญปืนออกยืนเรียง หอกคู่เคียงคั่งคับทัพทมิฬ
ทั้งสองข้างต่างยิงปืนคาบชุด อุตลุดกึกก้องท้องกระสินธุ์
นายโจรใหญ่ใส่หมวกประดับนิล ถือกะวินขัดกระบี่ขี่อาชา
เร่งพหลพลขันธ์เข้าบรรจบ ตีตลบเข้าไปทั้งซ้ายขวา
ข้างพวกไทยได้ทีตีประดา จนถึงอาวุธสั้นเข้าฟันแทง
ยิงปืนตับคับคั่งไม่ยั้งหยุด อุตลุดรบกันด้วยขันแข็ง
ทั้งสองข้างตายกลาดเลือดสาดแดง พวกแขกแทงไทยฟันประจัญบาน ฯ
๏ ฝ่ายมะหุดวุฒิไกรเอาไฟกรด สาดไปรดพวกไทยไล่ประหาร
ถูกแขนขาไหม้ป่นเหลือทนทาน พวกทหารล้มตายลงหลายพัน
พอเย็นย่ำสนธยาต่างล่าทัพ พากันกลับเข้าค่ายรีบผายผัน
โจรก็เข้าอยู่ในด่านสำราญครัน ปรึกษากันที่จะรับกองทัพไทย ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงฤทธิ์กฤษณา เสียบรรดาพลขันธ์ให้หวั่นไหว
จะคิดอ่านป้องกันน้ำมันไฟ จึงสั่งให้แต่บรรดาเสนานาย
มาปรึกษาหารือใครรู้บ้าง แก้ในทางเรื่องไฟเสียให้หาย
ใครจะมีแยบยลกลอุบาย ทั้งไพร่นายอย่าได้พรางเอารางวัล
ไม่มีใครที่จะรับดับไฟกรด ให้ระทดพวกพหลพลขันธ์
ถึงใครมีมนต์เวทวิเศษครัน จะป้องกันดับไฟเห็นไม่มี
แต่ปรึกษาหารือกันจนดึก เห็นข้าศึกจะทำยับดั่งสับสี
จะกำเริบโรมรุกมาทุกที เห็นบุรีเราจะป่นไม่ทนทาน ฯ
๏ จะกล่าวฝ่ายในบุรินทร์ปิ่นกษัตริย์ ครั้นไตรตรัสสุริยาออกหน้าฉาน
แต่งพระองค์ทรงเครื่องอลังการ พร้อมทหารยกออกนอกบุรินทร์
พระเสด็จทรงรถาเทียมม้าต้น ดำเนินพลลงไปท่าชลาสินธุ์
ยิงปืนใหญ่ก้องกังวานสะท้านดิน ประโคมพิณพาทย์แตรแซ่สำเนียง
เดินกระบวนทวนธงเครื่องยงยุทธ์ ได้นามครุฑโห่ร้องกึกก้องเสียง
พวกกองหลังคุมพหลขนเสบียง เดินเรียบเรียงตามกันเป็นหลั่นไป
ถึงค่ายใหญ่ใกล้ปราการชานสมุทร ก็ยั้งหยุดพลขันธ์เสียงหวั่นไหว
พระกฤษณามาเชิญเสด็จไป เข้าค่ายในกราบทูลประมูลความ
ว่าไพรีมีชัยเพราะไฟกรด มันสาดรดทิ้งขว้างกลางสนาม
ถูกเสื้อผ้าเกิดเป็นไฟเที่ยวไหม้ลาม ติดไปตามเนื้อตัวทั่วทั้งกาย
เอาน้ำดับกลับลุกขึ้นรุ่งโรจน์ เป็นแสงโชติทำอย่างไรก็ไม่หาย
เหลือกำลังทั้งพหลพลนิกาย พากันตายย่อยยับลงนับพัน ฯ
๏ ท้าวทศวงศ์ทรงฟังให้สังเวช ผิดสังเกตกว่าแต่ก่อนจงผ่อนผัน
จำจะคิดรับรองคอยป้องกัน อย่าเพ่อหวั่นหวาดใจทั้งไพร่พล ฯ
๏ ฝ่ายพวกโจรยกมาถึงหน้าค่าย ร้องเข้าไปบอกให้แจ้งแห่งนุสนธิ์
เฮ้ยใครเป็นตัวนายทั้งไพร่พล จงรีบร้นออกมารบอย่าหลบกัน ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงฤทธิ์กฤษณา สั่งบรรดาพวกพหลพลขันธ์
ให้แต่งกายรับรองคอยป้องกัน ยกให้ทันมันมาท้าจะราวี
พวกพหลพลทหารชำนาญรบ มิได้หลบข้าศึกไม่นึกหนี
พลางร่ายเวทวิทยาวิชามี ล้วนคนดีสารพัดทั้งจัดเจน ฯ
๏ ฝ่ายทรงฤทธิ์กฤษณาทรงม้าต้น ยกพหลพร้อมพรั่งทั้งดั้งเขน
เกณฑ์กองปืนมาบรรจบครบทุกเวร ทั้งโล่เขนหอกง้าวทั้งหลาวทวน
พอฤกษ์ดีคลี่คลายขยายทัพ ยกออกรับรบกันกลมดั่งลมหวน
โจรก็ทำยักย้ายหลายกระบวน เห็นจวบจวนหมุนวิ่งทั้งอัคคี
น้ำมันไฟไหม้พหลพลรบ ทหารหลบแอบอิงบ้างวิ่งหนี
ที่กำลังรบรับทัพทวี เปลวอัคคีไหม้ตายลงก่ายกอง
พอเวลาสายัณห์ตะวันพลบ ต่างเลิกรบกลับไปค่ายทั้งสอง
แขกกระหยิ่มยิ้มในน้ำใจปอง มันตรึกตรองแต่จะเข้าเอาบุรินทร์ ฯ
๏ จะกล่าวพราหมณ์สามนายได้หนังสือ แล้วกลับรื้อร้อนในใจถวิล
ว่าข้าศึกมาประชิดติดบุรินทร์ ประเทศถิ่นรมจักรนัครา
ทั้งสามนายใจร้อนดั่งศรพิษ มาปักจิตเหมือนชีวังจะสังขาร์
พลางเกณฑ์พลคนละพันสั่งภรรยา แล้วขึ้นม้ารีบมาพบประสบกัน
ทั้งสามนายเร่งพหลพลทหาร มาถึงด่านนคเรศขอบเขตขัณฑ์
ได้ทราบความว่าพระองค์ผู้ทรงธรรม์ จากเขตขัณฑ์ไปตั้งรับทัพทมิฬ
ทั้งสามพราหมณ์รีบตามไปเมืองด่าน เฝ้าพระผ่านภพไกรดั่งใจถวิล
ป่างพระองค์ทรงจังหวัดปัถพิน จึงผันผินเบือนพักตร์มาทักพราหมณ์
แล้วตรัสเล่าราวเรื่องพวกโจรแขก เมืองด่านแตกเกิดยุ่งกรุงสยาม
นัดดายกจัตุรงค์ออกสงคราม ก็ได้ความอัปรามาทุกที
เสียพหลพลไพร่ตายออกกลาด ถูกมันสาดน้ำมันไฟตายเป็นผี
เหลือแก้ไขในฤทธิ์พิษอัคคี ยกออกตีครั้งไรตายเป็นเบือ
ถึงเวลามารบมิได้เว้น ราวกะเช่นเสือป่ามันกล้าเหลือ
ทั้งพูดจาหยาบคายไอ้นายเรือ คล้ายผีเสื้อเช่นเขาว่านัยน์ตาแดง ฯ
๏ เจ้าพราหมณ์ฟังบังคมบรมนาถ ทูลว่าชาติแขกชวามักกล้าแข็ง
แต่จะดูกำลังรบกลางแปลง จะต่อแย้งทำการสถานใด
เจ้าโมราสานนพราหมณ์วิเชียร เคยเล่าเรียนไตรเวทข้างเพทไสย
จำจะดูท่าทางมันอย่างไร ขอแก้ไขตามตำราพระอาจารย์ ฯ
๏ ท้าวทศวงศ์ทรงฟังค่อยสร่างทุกข์ จึงสั่งมุขมนตรีสี่ทหาร
เร่งกะเกณฑ์พลขันธ์ให้ทันการ ออกรอนราญรบสู้ดูอีกที
เชิญเจ้าพราหมณ์สามนายไปกำกับ จะได้รับแก้ไขในวิถี
ถ้าแม้นได้ฤกษ์พาเวลาดี จึ่งค่อยกรีธาทัพออกรับรอง ฯ
๏ จะกล่าวฝ่ายนายโจรใจฉกาจ มีอำนาจถือดีไม่มีสอง
คิดจะทำการศึกนั่งตรึกตรอง เรียกโจรรองมาปรึกษาหาอุบาย
ใครจะเห็นเป็นอย่างไรให้เร่งว่า จวนเวลาสุริยันตะวันฉาย
จึงว่าข้าไม่เห็นทางข้างอุบาย สุดแต่นายกล่าวคำจะทำตาม ฯ
๏ ฝ่ายมะหุดวุฒิไกรลุกไปสั่ง ให้เร่งตั้งกระบวนไว้ในสนาม
ได้ฤกษ์ดีเราจะตีตัดสงคราม แล้วจะข้ามทุ่งไปเผาค่ายดู
จะรบรับทัพไทยด้วยไฟกรด เผาให้หมดทั้งแผ่นดินพวกกินหมู
พวกพหลพลชวามลายู ถือหอกคู่เตรียมการจะราญรอน
ใส่เสื้อดำกำมะหลิดเหน็บกริชสั้น ถือกั้นหยั่นยืนเรียงเคียงสลอน
พร้อมสะพรั่งทั้งพหลพลนิกร อัสดรผูกไว้เสร็จสำเร็จการ ฯ
๏ ฝ่ายนายโจรแต่งกายกรายกระบี่ มาขึ้นขี่ม้าดำนำทหาร
ยกพหลพลไกรอันชัยชาญ ออกจากด่านเมืองท่าชลาลัย
โห่สนั่นครั่นครื้นยิงปืนตับ เดินคั่งคับธงทิวปลิวไสว
ถึงที่รบหยุดพหลพลไกร ไอ้นายใหญ่นึกหวังอหังการ
ให้ร้องว่าท้าทายเป็นหลายอย่าง พูดต่างต่างอิศโรตามโวหาร
ทั้งหยาบคายร้ายกาจเพราะชาติพาล มันว่าขานประสาโจรโลนลำพอง ฯ
๏ จะกล่าวกลับทัพไทยเตรียมไว้พร้อม ให้ยกอ้อมออกไปรับทัพทั้งสอง
เจ้าพราหมณ์คอยดูตรวจทุกหมวดกอง คอยรับรองดูกำลังระวังภัย
พระกฤษณาทรงม้าเป็นแม่ทัพ พราหมณ์กำกับดูแลคอยแก้ไข
ทหารโห่ครึกครื้นยิงปืนไฟ โห่เอาชัยฆ้องลั่นสนั่นดัง
พวกทัพหน้ากล้าหาญเข้าราญรบ เร่งกระทบตีประดาทั้งหน้าหลัง
โจรก็เร่งโยธาดาประดัง บ้างแกว่งทั้งอาวุธยุทธนา
ชาวบุรีพุ่งหลาวเอาง้าวฟาด พวกโจรสาดไฟแรงถูกแข้งขา
น้ำมันกรดรุ่งโรจน์โชตินา ถูกบรรดาพวกทหารล้มซานเซ
ติดผ้าเสื้อเหลือทนเที่ยววนวิ่ง บ้างล้อมกลิ้งทับกันวิ่งหันเห
พระกฤษณาเห็นกระบวนเที่ยวรวนเร เดินโซเซซานซบสลบไป
พระชักม้าถาโถมเข้าโจมจับ นายโจรรับกระบี่ฟาดพลาดไถล
พระกฤษณากวัดแกว่งพระแสงไป เข้าชิงชัยรับรองทั้งป้องกัน
พระกฤษณากล้าหาญในการรบ เลี้ยวตลบต่อแย้งด้วยแข็งขัน
โจรสามารถอาจองคงกระพัน แต่รบกันก็จนหย่อนอ่อนกำลัง
โจรขยับขับม้าออกมาห่าง แล้วก็ขว้างน้ำมันไฟดั่งใจหวัง
ถูกกายกรร้อนรนพ้นกำลัง ม้าที่นั่งเล่าก็ไฟติดไหม้พอง
สลบลงที่ทางกลางสนาม ทั้งสามพราหมณ์ชักม้าพาผยอง
เข้ารบรับแก้ไขในทำนอง ไอ้โจรร้องวิ่งเข้าไปเอาไฟโยน
ถูกวิเชียรโมราม้าที่ขี่ ก็วิ่งรี่โลดเต้นทั้งเผ่นโผน
เหลือกำลังร้อนเริงด้วยเพลิงโชน วิ่งลงโคลนดิ้นหรบสลบไป
แต่สานนนั้นไฟมิได้ต้อง นิ่งตรึกตรองผันแปรคิดแก้ไข
พระสุริยงเย็นพยับลงลับไพร ต่างเลิกไปมิได้รบพอพลบลง
พวกที่กลับไปค่ายทูลไขขาน ว่าพระหลานถูกอัคคีมีพิษสง
ทั้งอาชาม้าที่นั่งบัลลังก์ทรง สลบลงทั้งทหารชำนาญปืน
กับสามพราหมณ์ตามไปก็ถูกด้วย เห็นจะม้วยชีวาไม่ฝ่าฝืน
เหลือแต่พราหมณ์สานนเป็นคนยืน ไม่ถูกปืนถูกไฟพวกไพรี ฯ
๏ สมเด็จท้าวทศวงศ์ได้ทรงทราบ ดั่งเอาดาบเข้ามาฟันบั่นเกศี
เห็นบ้านเมืองจะได้แก่ไพรี ไม่รู้ที่ตรองการสถานใด ฯ
๏ ฝ่ายสานนเข้าไปเฝ้าเล่าแถลง ทูลชี้แจงขอพระองค์อย่าสงสัย
ข้าตรองตรึกนึกเหมือนอย่างเมื่อครั้งไป รบที่ในเมืองผลึกนึกขึ้นมา
อ้ายจีนตั๋งมันก็ใช้ไฟอย่างนี้ ต้องบัดพลีขอฝนมนต์คาถา
ให้ตกต้องเย็นใจในอุรา ขออาสาแก้ไขไฟน้ำมัน ฯ
๏ ท้าวทศวงศ์ทรงฟังจึงสั่งว่า ตามวิชาครูสอนเร่งผ่อนผัน
ช่วยแก้ไขให้ตลอดรอดชีวัน แต่พวกบรรดาไปถูกไฟฟอน
พระตรัสว่าข้าก็จะไปด้วย จะได้ช่วยกันระวังช่วยสั่งสอน
พระสั่งเสร็จแล้วเสด็จบทจร กับนิกรเสนาพร้อมสานน
ไปถึงที่ท่าข้ามสนามรบ เห็นแต่ศพนอนกราดดาดถนน
ท้าวจึงหยุดเสนาพลาพล พราหมณ์สานนตั้งศาลการบูชา
แล้วบวงสรวงเทพไทในสวรรค์ ที่ในชั้นดาวดึงส์ไตรตรึงสา
เข้ามณฑลบริกรรมตามตำรา ประเดี๋ยวฟ้าครางครึมกระหึมครวญ
มหาเมฆตั้งมาในอากาศ ด้วยอำนาจอาคมเป็นลมหวน
ฝนก็โรยโปรยต้องละอองนวล สุนีครวญน้ำนองท้องสุธา
พวกที่ถูกไฟกรดหมดทั้งนั้น ก็พากันพลิกฟื้นตื่นผวา
พร้อมทั้งหมดปลดปลอดรอดชีวา พระกฤษณาสองพราหมณ์พ้นความตาย
ทั้งอาชาม้าที่นั่งสิ้นทั้งนั้น ไม่ดับขันธ์ไฟดับระงับหาย
ได้ความสุขทุกข์ร้อนผ่อนสบาย ทั้งเจ้านายมาประนมบังคมคัล ฯ
๏ ท้าวทศวงศ์ยินดีเป็นที่สุด พระทรงภุชปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ชวนนัดดาสามพราหมณ์ตามจรัล มาตั้งมั่นอยู่ในค่ายทั้งไพร่พล
ถึงเวลามารบมิได้ขาด ไม่พลั้งพลาดตีตลบรบด้วยฝน
พราหมณ์วิเชียรโมราเจ้าสานน เข้ามณฑลโดยตำราวิชาการ ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ