ตอนที่ ๖๙ พระอภัยมณีเยี่ยมศพนางมณฑา

๏ จะกล่าวเรื่องเมืองผลึกเมื่อศึกหยุด สินสมุทรครองวังรั้งรักษา
ถึงเดือนยี่ปีขาลพระมารดา องค์มณฑาเสด็จสวรรคครรไล
พระญาติวงศ์พงศาทั้งข้าเฝ้า กำสรดเศร้าแซ่ซ้องร่ำร้องไห้
หน่อกษัตริย์จัดโกศแก้วประไพ เชิญศพใส่ไว้ปราสาทกั้นราชวัติ
ฉัตรเงินทองรองเรืองเครื่องประดับ มีสำหรับยศอย่างนางกษัตริย์
นิมนต์มุนีที่บำเพ็งบวชเคร่งครัด มาสวดมนต์ปรนนิบัติตามศรัทธา
แล้วแต่งสารการศพสวรรคต ตามกำหนดจดวันชันษา
ให้เสนีที่ชำนาญการพูดจา ไปลังกาทูลสนองทั้งสององค์
เสนาในได้หนังสือถือรับสั่ง ลงที่นั่งกำปั่นสุวรรณหงส์
พร้อมต้นหนคนประจำเป็นลำทรง ออกอ่าวตรงข้ามฝั่งไปลังกา
ขึ้นเฝ้าสุดสาครบวรนาถ ถวายพระราชสารสมเด็จพระเชษฐา
พระอ่านแจ้งแข็งขืนกลืนน้ำตา พาเสนาผู้ถือหนังสือไป
ถึงอารามสามองค์ที่ทรงพรต น้อมประณตทูลแจ้งแถลงไข
เหมือนเรื่องความตามสวรรคครรไล แล้วอ่านให้ทราบความตามคดี ฯ
๏ ในสาราว่าพระหน่อวรนาถ บังคมบาทบงกชบทศรี
ด้วยแรกเริ่มเดิมพระอัยกี หาฉันนี้ไปเฝ้าพร้อมเผ่าพงศ์
ทรงขาวผ่องยองใยสไบเฉียง ตรัสสั่งเสียงแจ่มใสไม่ใหลหลง
ฝากสุรางค์นางนาฏพระญาติวงศ์ ว่าพระองค์นั้นถึงสวรรคต
แจกเงินทองของประทานวงศ์วานพร้อม ทั้งเตี้ยค่อมข้าหลวงทั้งปวงหมด
แล้วอวยชัยให้พระองค์ซึ่งทรงพรต เป็นดาบสบวชจำเริญอยู่เนิ่นนาน
แล้วเข้าที่ตีสามยามสงัด ตื่นบรรทมประนมหัตถ์อธิษฐาน
พอนาทีตีสิบเอ็ดสำเร็จการ พระนิพพานนิ่งสนิทเหมือนนิทรา ฯ
๏ ทั้งสามองค์ปลงเห็นเป็นสำเร็จ ท่านสิ้นเสร็จชาติทุกข์ถึงสุขา
แล้วถือพัดขัดสมาธิ์มาติกา ได้พร้อมพรั่งทั้งวัณฬาสุมาลี
ครั้นจบสวดตรวจน้ำร่ำอุทิศ เป็นนักสิทธ์อยากใคร่พบซากศพผี
เห็นสมควรชวนสองดาบสินี เข้ากุฎีห่มดองครองเครื่องพรต
ชฎากลีบจีบเฉลิมเสริมพระเศียร หนังสือเฉวียนวระชาตามดาบส
เสร็จทั้งสามตามกันลงบรรพต ถือพัดป้องจ้องจดบทจร ฯ
๏ ฝ่ายหน่อนาถราธนาพระดาบส ขึ้นทรงรถเนาวรัตน์ประภัสสร
เข้าดงเดินเนินผาพนาดร ประทับรอนแรมทางมากลางดง
ไม่เข้าวังลังกาไปท่าน้ำ แล้วลงลำกำปั่นสุวรรณหงส์
ออกร่องน้ำท่ามกลางตัดทางตรง พอพลบลงลมแดงดั่งแสงเพลิง
ดูมืดกลุ้มคลุ้มคลื่นเสียงครืนครั่น โดนกำปั่นหันระเหิดเตลิดเหลิง
ใบขาดแตกแฉกฉีกเป็นปีกเปิง น้ำเข้าเจิ่งดาดฟ้าคงคาเค็ม
คนจะยืนขึ้นก็ล้มด้วยลมคลื่น เหลือจะฝืนฝ่าข้ามไปตามเข็ม
สุดสังเกตเขตแดนจะแล่นเล็ม ด้วยลมเค็มตึงใบลดไม่ทัน
ต้องเอามีดกรีดแหวะแฉละโล่ง ให้เปล่าโปร่งปลดห่วงที่ควงขัน
ไม่เห็นหนมนมืดเป็นหมอกควัน ตีกำปั่นไปทิศอาคเนย์
พวกต้นหนคนงานซมซานซบ คลื่นกระทบกระแทกป่วนให้หวนเห
ลมไม่หยุดรุดไปในทะเล ออกมเหสระตินสายสินธู
ไปสามเดือนเหมือนหนึ่งเหาะสิ้นเกาะแก่ง จนสุดแสงสุริเยนทร์เห็นรุบหรู่
เป็นขอบจักรวาลาตำราครู ไม่เห็นสูริยันดวงจันทรา
เห็นเงื้อมเงาเขาขวางกีดกางกั้น ชื่อละเมาะเกาะกัลปังหา
กว้างร้อยโยชน์โขดนิลเหมือนศิลา เป็นที่อารักษ์อยู่แต่บูราณ
พวกจีนจามพราหมณ์ทั้งฝรั่งแขก เรือมาแตกที่ทะเลเทวฐาน
อารักษ์ช่วยด้วยฤทธิ์พิสดาร สืบลูกหลานเหล่ากอต่อต่อมา ฯ
๏ พวกหญิงชายฝ่ายชนทะเลนั้น อยู่เขตแคว้นแดนกัลปังหา
เมื่อลงน้ำดำว่ายคล้ายคล้ายปลา ไม่นุ่งผ้านุ่งแต่ใบไม้กำบัง
เป็นหัวพริกหยกแดงเรี่ยวแรงมาก ตัวเหมือนกลากเกลื้อนปลิวลอกผิวหนัง
บ้างอยู่บกตกกล้าทำนาปรัง บ้างอยู่ฝั่งสาชลล้วนคนทะเล
ทำสุมทุมพุ่มไม้อยู่ในป่า เสียงพูดจาว้าโว้ปะโหรปะเหร
จะแปลภาษามนุษย์สุดคะเน มันเที่ยวเร่รายกันขุดมันกลอย
บ้างลงน้ำดำหากุ้งปลาได้ เอาเผาไฟกินอยู่ทั้งปูหอย
มีลูกเต้าเหล่าเด็กเล็กเล็กน้อย ลงว่ายลอยเล่นน้ำด้วยชำนาญ
แขกฝรั่งทั้งพราหมณ์อยู่ตามเพื่อน ปลูกเหย้าเรือนตามทะเลเทวฐาน
ด้วยกว้างขวางอยู่หว่างจักรวาล เป็นกิ่งก้านซ้อนซับสลับกัน
มีลูกงอกออกที่รากหลากประหลาด แดงดั่งชาดกลมกลิ่นดั่งดินถนัน
ลูกลอยฟูอยู่ในน้ำของสำคัญ คือลูกกัลปังหาในวารี
กินเข้าไปใจชื้นระรื่นกลิ่น ตัวก็สิ้นโรคาเป็นราศี
ที่เกาะนั้นบรรดาเป็นนารี ใครอยากมีผัวก็ไปไหว้เทวา
เทพไทให้เห็นเช่นมนุษย์ รูปงามสุดสมเล่ห์เสนหา
ครั้นลูกมีสีเหมือนนิลดั่งจินดา ท่านเทวาพาไปในคีริน
กินลูกกัลปังหาเป็นอาหาร อยู่สถานถ้ำทองในห้องหิน
พี่สาวสองน้องชายกายเหมือนนิล ล้วนหอมกลิ่นมังสาเหมือนมาลี
เกิดเรียงปีพี่น้องสองสังเขป ชื่อนางเทพเทพินนิลกัณฐี
อนุชาอายุสิบสี่ปี ชื่อเจ้าตรีพลำมีกำลัง
รู้ภาษามนุษย์สุดประเทศ ด้วยเทเวศร์แกมกับคนมนต์ดลขลัง
รู้สึกลับคลับคล้ายกายกำบัง นุ่งห่มหนังนาคราชผุดผาดงาม
วันนั้นออกจากถ้ำว่ายน้ำเล่น เห็นปลาเผ่นขึ้นหลังได้ทั้งสาม
จะขับซ้ายย้ายขวาปลาไปตาม ด้วยมีความรู้ฤทธิ์วิทยา ฯ
๏ ฝ่ายองค์พระอภัยในกำปั่น เห็นเงื้อมเงาเขากัลปังหา
ฝูงปลาใหญ่ในน้ำว่ายคล่ำมา ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังดั่งคีรี
พวกฝรั่งนั่งยืนยิงปืนสู้ มันยิ่งพรูกันมาอีกไม่หลีกหนี
กดกำปั่นนั้นจนเปลี้ยจะเสียที จึ่งหยิบปี่เป่าเสียงสำเนียงดัง
ฝูงปลาใหญ่ได้ยินลืมกินเหยื่อ ที่หนุนเรือเคลื่อนคล้อยกลับถอยหลัง
ขึ้นลอยล่องฟ่องฟูเงี้ยหูฟัง วิเวกวังเวงแว่วแจ้วจับใจ
เสียงฉอดฉ่ำร่ำว่าเทพารักษ์ ซึ่งสำนักเนินผาชลาไหล
ขอเชิญช่วยด้วยเถิดพระเลิศไกร ให้พ้นภัยฝูงปลาในวารี
แล้วเป่าบวงสรวงถวายฉุยฉายเอ๋ย เชิญชมเชยจันทร์จำรัสรัศมี
ดารากรร่อนเร่ในเมฆี จะช่วยชี้ชมดาวสาวสาวเอย
ไม่มีคู่อยู่เดียวเปล่าเปลี่ยวอก ไม่เหมือนกกกอดพระทองนะน้องเอ๋ย
จะชมอื่นคืนกลับลิบลับเลย ไม่เหมือนเชยโฉมน้องประคองเคียง
เสนาะดังวังเวงเป็นเพลงพลอด เสียงฉอดฉอดเฉื่อยฉ่ำด้วยน้ำเสียง
ก้องกังวานหวานแว่วแจ้วจำเรียง ส่งสำเนียงนิ้วเอกวังเวกใจ ฯ
๏ ฝ่ายนางเทพเทพินนิลกัณฐี ทั้งเจ้าตรีพลำเล่นน้ำไหล
ยินสำเนียงเสียงเพราะเสนาะใน จับจิตใจเจียนจะหลับนั่งตรับฟัง
เห็นกำปั่นนั้นแล้วแจ้วแจ้วจอด เสียงฉอดฉอดพลอดสัมผัสประหวัดหวัง
จึงขับปลามาในน้ำด้วยกำลัง พูดภาษาฝรั่งร้องถามไป
นี่แน่คนบนลำเรือกำปั่น ท่านพากันมาแต่หนตำบลไหน
เมื่อตะกี้นี้สำเนียงเสียงอะไร ใครทำไมไพเราะเสนาะดี ฯ
๏ พระอภัยได้ฟังดูทั้งสิ้น ผิวเหมือนนิลนวลละอองผุดผ่องศรี
งามทั้งสามทรามรุ่นดรุณี มาเที่ยวที่ท้องทะเลหรือเทวา
จึ่งปราศรัยไพเราะเสนาะสนอง เหมือนพี่น้องน่ารักนั้นหนักหนา
เชิญขึ้นลำกำปั่นจำนรรจา ที่สงกาก็จะเล่าให้เจ้าฟัง ฯ
๏ ฝ่ายสามองค์ทรงฟังสังรเสริญ ทั้งเชื้อเชิญชื่นชมด้วยสมหวัง
จึ่งขึ้นลำกำปั่นนั่งบัลลังก์ มุนีนั่งทั้งสามบอกตามตรง
เป่าที่เรือเมื่อตะกี้นั่นปี่แก้ว ให้ดูแล้วปลอบถามตามประสงค์
ดูรูปร่างช่างงามทั้งสามองค์ เป็นเชื้อวงศ์เทวาหรือมานุษย์
อยู่สำนักหลักแหล่งตำแหน่งไหน มาเที่ยวในคงคงมหาสมุทร
ล้วนน่ารักศักดิ์สิทธิ์ฤทธิรุทร ขอเชิญสุดสวาทเล่าให้เข้าใจ
อันตัวเราเจ้านายฝ่ายฝรั่ง ครองเมืองลังกาจิตคิดเลื่อมใส
ละสมบัติวัตถาไม่อาลัย ไปอยู่ไพรสร้างสมพรหมจรรย์
เป็นฤๅษีมีศีลทั้งกินบวช จะไปสวดศพเขาให้ไปสวรรค์
ออกจากฝั่งลังกาสลาตัน ตีกำปั่นมาในน้ำถึงสามเดือน
ทั้งเชือกเสาเพลาใบตีไปหมด ทุกข์ระทดท้อใจใครจะเหมือน
ถิ่นประเทศเขตขัณฑ์ก็ฟั่นเฟือน มาลอยเลื่อนกลางทะเลว้าเหว่ใจ
ขอถามความสามองค์เจ้าจงแจ้ง นี่ตำแหน่งแขวงเขตประเทศไหน
ที่แลเลื่อมเงื้อมเงาเขาอะไร เหมือนต้นไม้ในทะเลเทียมเมฆิน ฯ
๏ พี่น้องนั่งฟังคำที่ร่ำถาม จึงบอกสามพระฤๅษีที่มีศีล
ข้านี้คือชื่อเทพเทพิน น้องชื่อนิลกัณฐีตรีพลำ
อันประเทศเขตแขวงตำแหน่งนี้ ไม่เห็นรวีดาวเดือนเหมือนจะค่ำ
แลเขม้นเห็นแจ้งเพราะแสงน้ำ ที่ดูดำดั่งหนึ่งนิลศิลา
มิใช่เขาเงาไม้สูงใหญ่นั้น คือมณฑลต้นกัลปังหา
เป็นคีรีที่สถิตท่านบิดา สิ้นสุธาท่ามกลางหว่างจักรวาล
พวกเสียเรือเหลือตายทั้งชายหญิง อาศัยสิงสิขรินทร์เป็นถิ่นฐาน
เหมือนเรือท่านฉันก็เห็นไม่เป็นการ น่าสงสารท่านฤๅษีจะมีภัย
จงเลื่อนลากำปั่นไปวันนี้ ริมคีรีที่บิดาได้อาศัย
ไปหรือจ๊ะพระฤๅษีหรือมิไป พระอภัยภิญโญโมทนา
ทั้งสามองค์ทรงช่วยฉันด้วยเถิด จะได้เกิดการบุญคุณหนักหนา
ทั้งสามรับกลับนั่งบนหลังปลา รุนกำปั่นเข้ามาหน้าคีรี
แกล้งขึ้นเขาเข้าในห้องช่องสิงขร บอกบิดรดั่งได้ถามสามฤๅษี
ฝ่ายเทพไทให้เห็นเป็นอินทรีย์ เรียกมุนีขึ้นมานั่งหลังบรรพต
แล้วปราศรัยไต่ถามสามมนุษย์ ซึ่งบอกบุตรของเราว่าเป็นดาบส
เหาะเหินได้ไปสวรรค์ชั้นโสฬส หรือปรากฏยศถาในสามัญ ฯ
๏ พระมุนีมีประโยชน์โปรดเทเวศร์ จึงตรัสเทศนาคำธรรมขันธ์
ประนมหัตถ์ขัดสมาธิ์ขึ้นสองชั้น แล้วรำพันพจนาตามบาลี
จะกำเนิดเกิดกายทั้งชายหญิง ตายแล้วกลิ้งกลิ่นเหม็นกลับเป็นผี
ถึงเทพบุตรครุฑาวาสุกรี ก็ย่อมมีทุกข์โศกมีโรคภัย
ไม่พ้นพระอนิจจังยังไม่ลุ ถึงอายุยืนยงอสงไขย
เหมือนแผ่นดินถิ่นทะเลเมรุไกร เพลิงประลัยมาทำลายก็วายปราณ
เป็นนิสัยไตรภพจบจังหวัด ย่อมเวียนว่ายในวัฏสงสาร
ที่พ้นทุกข์สุขโขมโหฬาร คือนิพพานพูนสวัสดิ์วัฒนา
เหมือนหลับใหลไม่ฝันนั้นเป็นสุข ตื่นแล้วทุกข์ผูกพันเพราะตัณหา
เราเล็งเห็นเป็นวิบัติแล้วศรัทธา ถือศีลห้าเหตุจะใคร่ไปนิพพาน
คือปาณาอทินนาไม่ฆ่าสัตว์ ไม่นิยมสมบัติพัสถาน
บทสามว่ากาเมมิจฉาจาร ผัวเมียท่านชายหญิงไม่ชิงเชย
ที่มุสาวาทีมิได้ปด สุรารสเมรัยมิได้เสวย
คือศีลห้าสิ่งใดไม่เปรียบเลย จะได้เชยชมพระนฤพาน
จึงถือศีลกินบวชสวดกุศล ผู้ใดนิมนต์ปรนนิบัติอัธิษฐาน
คนผู้นั้นครั้นดับขันธสันดาน ได้วิมานเมืองฟ้าสุราลัย
วิสัชนามาก็ครบจบศีลห้า จงอุตส่าห์อย่าให้เสื่อมที่เลื่อมใส
สละสลัดตัดบ่วงที่ห่วงใย จึงจะได้ไปถึงที่นีรพาน ฯ
๏ เทพไทไหว้ว่าสาธุสะ คำของพระมั่นแม่นเป็นแก่นสาร
จะถือศีลจินตนาสมาทาน ต่างกราบกรานเกรงบุญพระมุนี
ส่วนสามองค์ปลงใจเลื่อมใสพร้อม ประณตน้อมนับถือพระฤๅษี
ขอพากเพียรเรียนสิกขาทั้งบาลี พระมุนีไปไหนจะไปตาม
พระอภัยได้สดับรับจะสอน พลางอวยพรเทพพ่อของทั้งสาม
เขาจะเพียรเรียนสิกขาพยายาม จงโปรดตามใจให้เหมือนใจจง
เทพารักษ์ภักดีมุนีนาถ อนุญาตยอมตามความประสงค์
แล้วลาพระละกายหายรูปทรง ต่างดำรงรักษาสมาทาน ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงนามสามฤๅษี อยู่คิรีที่ทะเลเทวฐาน
ส่วนสองนางต่างถามสามกุมาร ดูชั้นชานภูผานั้นน่าชม
เหมือนมณฑลต้นกัลปังหา โตใหญ่กว่าโยชน์ตั้งครั้งประถม
อยากจะใคร่ไปเดินเนินพนม นำไปชมเชิงชานสำราญใจ ฯ
๏ ฝ่ายนารีพี่สาวทูลดาวบส บนบรรพตพระดำเนินเดินไม่ไหว
ขึ้นบนบ่าข้าจะเชิญเที่ยวเดินไป เห็นพร้อมใจกับพระน้องทั้งสองรา
ตรีพลำกำลังดั่งสิงหะ แบกองค์พระอภัยเดินไปหน้า
นางเทพินยินดีมีศรัทธา กราบสุมาลีก้มประนมนิ้ว
ค่อยสอดกรช้อนพระองค์ให้ทรงนง ประคองทั้งสองพระเพลาแบกเบาหวิว
กัณฐีช้อนวัณฬาแบกพาปลิว ไปตามทิวไม้ร่มพนมเนิน ฯ
๏ ภูเขานั้นอันคนอื่นจะขึ้นยาก เชิงชะวากวุ้งเวิ้งเป็นเพิงเผิน
ฤๅษีพับเพียบงามสามองค์เดิน ชมโตรกเตริ่นตรวยโตรกชะโงกชะง้ำ
บ้างงุ้มเงื้อมเลื่อมเหลือบเหมือนเคลือบขลับ บ้างวาบวับวามแสงดูแดงก่ำ
บ้างเหมือนแม้นแท่นแท่งดังแกล้งทำ มีธารล้ำน้ำพุโปรยปรุปรอย
ลางแห่งเห็นเย็นเยียบเงียบสงัด เป็นน้ำหยัดหยดเหยาะเผาะเผาะผอย
มีต้นไม้ใหญ่ยิ่งก้านกิ่งช้อย ฝักเหมือนนกหกห้อยย้อยระย้า
เป็นรอกแตแลเห็นเป็นต่างต่าง มีทุกอย่างสารพัดสัตว์ปักษา
โตสักร้อยอ้อมเศษสังเกตตา สูงสักห้าสิบเส้นพึ่งเห็นมี
ข้างโคนโตโปปุ่มเปลือกหุ้มอยู่ เหมือนเม่นหมูงูเนื้อเหมือนเสือหมี
เหมือนสิงโตโคถึกมฤคี พระมุนีพินิจพิจารณา
แต่ก้มเงยเลยดูเป็นครู่พัก มีแต่ฝักไม่มีใบใหญ่หนักหนา
จึงตรัสถามสามองค์ด้วยสงกา กุมารารู้บ้างหรือไม้ชื่อไร ฯ
๏ นางเทพินนิลกัณฐีตรีพลำ ต่างตอบคำทูลแจ้งแถลงไข
แต่ก่อนกาลท่านบิดาบอกข้าไว้ ชื่อต้นไม้สัตบรรณบนบรรพต
ครั้นฝักแก่กระแตกระรอกก็ออกสิ้น แตกทุกฝักปักษิณบินไปหมด
ที่โคนตุ่มปุ่มโป่งตะโคงคด ถึงกำหนดสามปีจะมีตัว
ปุ่มเปลือกแตกแยกแยะแพะแกะกระโดด เขย่งโขยดโดนกันมันคันหัว
ทั้งสิงห์เสือเนื้อทรายแรดควายวัว เที่ยวไปทั่วเขตป่าพนาดร
แล้วพาเดินเนินโขดขึ้นโสดสุด ยืนยั้งหยุดยอดกิ่งบนสิงขร
ชมมหาสาคโรชโลธร ล้วนนาคีมีหงอนสลอนลอย
เป็นปล่องนาคมากมายขึ้นว่ายคล่ำ บางพ่นน้ำพลุ่งพลุ่งฟูฟุ้งฝอย
ล้วนยาวเฟื้อยเลื้อยลายเลื่อมพรายพรอย ทั้งใหญ่น้อยลอยเลี้ยวกอดเกี่ยวพัน
อินทรีฉาบถาบถาร่อนราปีก ฉวยโฉบฉีกนาคราชเผ่นผาดผัน
ครุฑก็ลากนาคจิกเหยียบหยิกยัน เวียระวันว้าว่อนราร่อนลอย
แลบนสูงฝูงคนทะเลเล่า เล็กเล็กเท่ามดไรไต่ร่อยร่อย
กำปั่นยาวเก้าเส้นเห็นน้อยน้อย เท่ากิ่งก้อยลอยอยู่ท่าหน้าคีรี
แล้วลงเนินเดินในดงไม้ร้อง เสียงแซ่ซ้องเอื้อยอ้อเหมือนซอสี
รู้หุบใบไกวกิ่งเป็นสิงคลี ดอกมันมีวันเดียวก็เหี่ยวโรย
ลูกพฤกษาหน้านั้นดูเหมือนผู้หญิง ใครหักกิ่งร้องกรีดหวาดหวีดโหวย
เถาวัลย์มีที่ในถิ่นร้องดิ้นโดย เรียกขานโวยเฮฮาภาษาไม้
มีพร้อมพรักผักหญ้าในป่านั้น ใครเด็ดฟันฉะเชือดเป็นเลือดไหล
เสียงกู่ก้องร้องเรียกกันเพรียกไพร ตามวิสัยไม้ผลักขอบจักรวาล ฯ
๏ ครั้นเย็นพยับกลับมาหน้าสิงขร ประทับร้อนริมทะเลเทวฐาน
คนที่เขาเข้าเป็นศิษย์สิทธาจารย์ มากประมาณพันเศษหลายเพศพรรณ
พระฤๅษีดีใจปราศรัยถาม ถึงชื่อนามนัคเรศขอบเขตขัณฑ์
สามิภักดิ์จักได้ไปด้วยกัน แต่กำปั่นเล็กไปจะไม่สบาย
มีท่อนกัลปังหาที่ท่าน้ำ เจ้าตรีพลำว่าจะทำกำปั่นถวาย
เรียกไพร่พลคนทะเลมามากมาย มอบให้นายฝรั่งชาวลังกา
เครื่องมือเล่าเอาเหล็กดีตีทั้งนั้น ขุดถากทำกำปั่นกัลปังหา
กำลังกลางกว้างเส้นกับสิบวา โดยยาวห้าเส้นครึ่งอากึ่งทำ
ท้องลึกห้าสิบวาหนาสองศอก บ้างขุดตอกตึงตังไปยังค่ำ
ลากกิ่งกัลปังหานั้นมาทำ เสาประจำสามเสาทั้งเพลาใบ
แล้วสำเร็จเจ็ดเดือนเลื่อนออกอู่ ลอยลำฟูฟ่องดีจะมีไหน
ขัดเงาวาวราวกับแก้วดูแววไว ข้างหน้าใส่รูปครุฑยุดนาคา
กราบสองข้างช่างสลักรูปเงาะแขก ขัดดาบแบกหอกยืนถือปืนผา
มีลวดลายท้ายที่นั่งทำหลังคา ล้วนแต่กัลปังหามีฝาบัง ฯ
๏ ถึงเดือนสี่มีลมพัดซัดขึ้นเหนือ กำปั่นใหญ่ให้เป็นเรือพระที่นั่ง
ลำที่ไปใส่ลำเลียงเสบียงกรัง กับคนทั้งตามมานั้นสักพันคน
ต่อเรือใช้ไม้ระกำลำละเส้น ทำเหมือนเช่นเรือสลักไม่ขัดสน
ยี่สิบลำสำหรับเมื่ออับจน เลือกเอาคนเหล่านั้นไปพันปลาย
ลมไม่มีตีกระเชียงเสบียงให้ จะได้ใช้ตักน้ำท่ามาถวาย
สามกุมารท่านฤๅษีอยู่ที่ท้าย แสนสบายบัลลังก์ที่นั่งนอน
จะออกลำกำปั่นกัลปังหา เป่าปี่ลาเทพเจ้าเขาสิงขร
สั่งสำเนียงเสียงเอกวิเวกวอน เจริญพรภูมิทะเลทุกเทวา
บริบูรณ์พูนสุขทุกทุกสิ่ง ทั้งมณฑลต้นกิ่งกัลปังหา
ได้ยินทุกรุกขเทพฉายา ยืนเยี่ยมหน้าให้เห็นเหมือนเช่นเคย
แล้วร้องช่วยอวยชัยไปเป็นสุข อย่ามีทุกข์ร่อนเร่ระเหระหน
พอลมมีดีใจใช้ใบบน หมายมณฑลทิศพายัพแล่นลับเลย ฯ
๏ ทั้งสามองค์ทรงนั่งให้วังเวก เอกเขนกแหงนนิ่งอิงเขนย
ขอเดชะพระพายช่วยชายเชย มารำเพยพัดส่งให้ตรงไป
เป่าทุ้มปี่มิให้คนไพร่พลหลับ พอให้จับจำเรียงส่งเสียงใส
กำปั่นทรงหงส์บัลลังก์ทั้งเรือใช้ สำราญใจไปด้วยกันทุกวันคืน
พระคงคาสาธุพายุเงียบ คลื่นราบเรียบลมเรื่อยแล่นเฉื่อยชื่น
มาเดือนหนึ่งจึงค่อยสร่างนภางค์พื้น ในกลางคืนแลเขม้นพอเห็นดาว
เดือนตะวันนั้นไม่เห็นเป็นแต่แสง แดดไม่แข็งคนทั้งหลายไม่หายหนาว
อีกเดือนครึ่งจึงเห็นจันทร์ตะวันวาว ถึงเกาะคังคาวโขดเขาสำเภาทลาย
ถนนขวางกลางสมุทรเสมอน้ำ ไปยังค่ำก็ไม่สิ้นเนินหินหาย
สำเภาเกยเลยค้างคนวางวาย คังคาวร้ายมันก็บินมากินคน
สำเภาเป็นเช่นกับหินสิ้นทั้งนั้น ดูเรียงรันไปตามแนวแถวถนน
เหมือนโขดเขาเสาสล้างอยู่กลางชล ไกลเขตคนเขานั้นอยู่ข้างบูรพา
เป็นถิ่นที่ปีศาจร้ายกาจสุด เห็นคนผุดล้อมรายทั้งซ้ายขวา
จะพลิกคว่ำลำทรงตรงเข้ามา กลับกลัวกัลปังหาสง่ามี
แต่พวกพลคนทะเลที่เรือใช้ ไม่ตกใจโจนลงน้ำลงปล้ำผี
ถือสาตราพร้ามีดทั้งกริชตรี ไล่ฆ่าผีปีศาจเที่ยวฟาดฟัน
พวกลำทรงหงส์ที่นั่งคนทั้งหลาย ช่วยรบรายยิงปืนเสียงครื้นครั่น
ปีศาจสางต่างมัวด้วยกลัวควัน ก็กลับอันตรธานหนีพล่านไป
แต่คังคาวราวกับพ้อมปีกกรอมกว้าง ดูเกลื่อนกลางเวหาถลาไถล
พวกกำปั่นฟันแทงแกว่งคบไฟ มันเฉี่ยวได้คนทะเลขึ้นเมฆา
บ้างอกฉีกปีกขาดตายกลาดเกลื่อน ยังพวกเพื่อนมาเป็นยืดมืดเวหา
เหลือสู้รบหลบลงไปในดาดฟ้า บ้างเข้าฝาท้ายบังนั่งประชุม
ทั้งพวกพลคนทะเลลงในน้ำ ป้างแอบกำปั่นไปไม้กระทุ่ม
ล่มเรือใช้ไม้ระกำลงคว่ำคลุม คนเข้าซุ้มเสียทั้งสิ้นมันบินคอย
คังคาวตามสามคืนนับหมื่นแสน จนสิ้นแดนเดือนดับจึงกลับถอย
คนทะเลนั้นก็หายไปหลายร้อย ยังเหลือน้อยกว่าพันตามกันมา ฯ
๏ ถึงเจ็ดเดือนเฟือนแดนดูแผนที่ ก็ไม่มีที่จะหวังเห็นฝั่งฝา
ไม่มีเรือเหนือใต้ในคงคา ทุกเช้าเย็นเห็นแต่ฟ้าปลากับน้ำ
พระอภัยได้สามกุมารน้อย อยู่ใช้สอยค่อยชื่นทุกคืนค่ำ
สอนเทพินนิลกัณฐีตรีพลำ ให้รู้ธรรมทศพิธไม่ปิดบัง
สามพระองค์ทรงรักพระนักสิทธ์ อยู่ใกล้ชิดชื่นชมด้วยสมหวัง
เมื่อเข้าที่ศรีสุวรรณบัลลังก์ อุตส่าห์นั่งนวดฟั้นให้บรรทม
ทั้งวัณฬานารีบุตรีน้อย ให้ใช้สอยสุจริตสนิทสนม
ถึงดำนิลกลิ่นก็รื่นชื่นอารมณ์ ต่างเชยชมเหมือนพงศ์ในวงศ์วาน ฯ
๏ จะกล่าวถึงสินสมุทรสุดสงสัย ตั้งแต่ใช้ให้อำมาตย์ถือราชสาร
ไปฟากฝั่งลังกาก็ช้านาน คอยประมาณสามเดือนไม่เคลื่อนคลา
จึงแต่งเรือเร็วใช้ไปไต่ถาม ก็ว่าสามพระองค์ทรงสิกขา
เสด็จจากฟากฝั่งเกาะลังกา ไม่รู้ว่าจะไปหนตำบลใด
สินสมุทรสุดสลดกำสรดเศร้า หาโหรเฒ่าเข้ามาถามตามสงสัย
หรือเรือซัดขัดขวางเป็นอย่างไร จะสูญไปหรือจะมาถึงธานี ฯ
๏ โหรชำระพระเคราะห์เฉพาะร้าย แต่ข้างปลายลาภเลิศประเสริฐศรี
จะกราบทูลมูลความตามคดี พระตกที่พิเภกอสุรา
ต้องขับไล่ได้พระรามเป็นที่พึ่ง ยังไม่ถึงชีวังสิ้นสังขาร์
เมื่อปลายมือรื้อสำราญผ่านลังกา สามปีครึ่งจึ่งจะมาถึงธานี ฯ
๏ สินสมุทรสุดเศร้าเปลี่ยวเปล่าจิต รำคาญคิดขุ่นข้องมัวหมองศรี
จึงตรัสสั่งเสนาอย่าช้าที จัดเรือยี่สิบลำที่กำลัง
ให้แยกย้ายรายไปทั้งใต้เหนือ เที่ยวถามเรือลูกค้าแขกฝาหรั่ง
ถึงการะเวกแวะเข้าเล่าให้ฟัง กราบทูลทั้งรมจักรนัครา ฯ
๏ อำมาตย์รับอภิวาทหน่อกษัตริย์ บ้างเร่งจัดกองตระเวนเกณฑ์อาสา
ยี่สิบลำกำปั่นแต่บรรดา เที่ยวติดตามถามหาในวารี
สุดสาครอ่อนจิตคิดฉงน ทั้งเสาวคนธ์หม่นหมองทั้งสองศรี
คิดถึงพระชนกชนนี แต่งเรือยี่สิบให้เที่ยวไปตาม
พวกฝรั่งลังกาพาราผลึก ออกแล่นลึกแลเห็นใครก็ไต่ถาม
แขกฝรั่งอังกฤษมุหงิดพราหมณ์ ไม่ได้ความมาดูข้างบูรพา
อรอบหรุ่มรุมวิสัยไซร้สุหรัด โรมพัฒน์กาหลังมังกะหล่า
เมืองมัดชะกะละเงาะเกาะชวา บ้างไปการะเวกทูลมูลความ
ไปประเทศเขตระแงะต้องแวะเข้า กราบทูลท้าวรมจักรตรัสซักถาม
ครั้นรู้ชัดจัดเรือใช้ให้ไปตาม ถึงจีนจามจบจังหวัดปัถพี ฯ
๏ จะกล่าวจีนถิ่นทะเลชื่อเจเจี๋ยว มีแรงเรี่ยวร้ายเหลือเหมือนเสือหมี
อยู่เรือใหญ่ไม้ชำฉาในวารี ยาวสักยี่สิบเส้นมันเป็นนาย
มีเรือตามสามร้อยเที่ยวลอยล่อง จับพวกพ้องเภตราเที่ยวค้าขาย
ได้ข้าวของทองนากมีมากมาย อยู่สุดปรายแดนจีนมีสินทรัพย์
พอเห็นเรือพระอภัยในสมุทร ทั้งเรือครุฑเรือหงส์ธงสำหรับ
เรือเล็กมียี่สิบลำสองสำรับ ให้หยุดยับยั้งอยู่จะดูเรือ
ทั้งเรือตามสามร้อยลอยสล้าง สะกัดทางที่จะไปทั้งใต้เหนือ
ถือทวนยาวง้าวขวานกระหง่านเงื้อ ล้วนใส่เสื้อเกราะทั่วทุกตัวคน ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงสวัสดิ์ถือสัตย์ศีล เห็นโจรจีนล้อมสกัดคิดขัดสน
จะหลบหลีกแล่นไปเห็นไม่พ้น จึงขึ้นบนครุฑาร้องพาที
ท่านทั้งหลายนายไพร่ผู้ใหญ่น้อย จงโปรดปล่อยเรานี้ถือเป็นฤๅษี
พวกเรือแตกแขกฝรั่งไม่มั่งมี มาทั้งนี้แต่ล้วนจนคนเข็ญใจ
จงเอาบุญคุณพระจะได้ลุ สืบอายุยืนยงอสงไขย
รูปบิณฑบาตญาติโยมทั้งปวงไป จงโปรดให้หนทางอย่าขวางเรือ
เจเจี๋ยวอ้ายนายใหญ่ร้องไอย่า สั่งโยธาถือขวานทหารเสือ
ไม่มีทรัพย์จับเอาของข้าวเกลือ ต่างเงือดเงื้อง้าวขวานทะยานยืน ฯ
๏ ฝ่ายฝรั่งลังกาล้วนกล้าศึก ทั้งพวกผลึกกรูมาจับฟ้าฝืน
เห็นโจรใกล้ไม่ถอยต่างปล่อยปืน บ้างออกยืนรบรับขยับคอย
พอเรือโดนโจรจีนปีนกำปั่น ถูกแทงฟันหันหกตกผอยผอย
ยิงปืนรายหลายตับตายนับร้อย ต่างราถอยหลีกทางออกห่างกัน
เรือครุฑทรงตรงเรียงเข้าเคียงชิด ผูกพวนติดแปดเปลาะชะเนาะขัน
เรือเล็กพร้อมล้อมรอบเป็นขอบคัน คอยช่วยกันรบรับสู้กับโจร ฯ
๏ คนทะเลลงน้ำดำไม่ผุด ผ้าผ่อนหลุดยุดเรือจีนปีนเผ่นโผน
แย่งอาวุธฉุดชิงเหมือนลิงโลน ฆ่าพวกโจรจีนตายลงก่ายกัน
ที่ยังเหลือเรือตามมาหลามหลัง เสียงตึงตังตามปืนเสียงครื้นครั่น
ด้วยเดชะพระกุมารเชี่ยวชาญครัน เป่าลมกันปืนลูกไม่ถูกคน
ถึงสิบวันสิบคืนเกิดคลื่นกล้า พัดเภตรากลอกกลับอยู่สับสน
เรือโจรแตกแยกย้ายตามสายชล ทั้งเรือคนทะเลหายไปหลายลำ
แต่ลำทรงหงส์ทองฟูฟ่องคลื่น สิ้นเสียงปืนเงียบสงบพอพลบค่ำ
เป็นลมกล้ามาทางบูรพ์พัดหนุนน้ำ ทั้งคลื่นซ้ำส่งมาเจ็ดราตรี
ยิ่งเร็วรี่รีบแล่นเข้าแดนเทศ เป็นขอบเขตกะเลหวังรุ่งรังสี
เห็นเขาเอกเมฆพัดในนัทที ดูแผนที่มีแจ้งตำแหน่งทาง ฯ
๏ พวกต้นหนคนท้ายสบายจิต สังเกตทิศทางสันทัดไปขัดขวาง
ไม่เข้าแดนแล่นร่ำมาท่ามกลาง พบขุนนางพวกตามสามพารา
ต่างปราศรัยไต่ถามไปตามเรื่อง ทั้งสามเมืองเศร้าสร้อยละห้อยหา
ต่างได้ความสามฤๅษีชุลีลา ไปพาราแจ้งข่าวทูลเจ้านาย
แต่ลำทรงตรงเข้าอ่าวผลึก อึกทึกชื่นชมด้วยสมหมาย
หน่อนรินทร์สินสมุทรสุดสบาย มาถวายบังคมก้มกราบกราน
ทางปราศรัยไต่ถามได้ความเสร็จ เชิญเสด็จขึ้นปราสาทราชฐาน
บรรดาเหล่าเผ่าพงศ์พระวงศ์วาน มากราบกรานพร้อมสิ้นด้วยยินดี ฯ
๏ สามนักสิทธ์พิจารณาศพ สวดมนต์จบมาติกาชักผ้าผี
ปลงอนิจจังบังสุกุลตามมุนี ตรวจวารีแบ่งบุญกรุณา
ส่วนสุวรรณมาลีฤๅษีสินธิ์ ปลงอนิจทุกขังเห็นสังขาร์
ไม่เศร้าโศกโลกกรรมธรรมดา อันเกิดมาแล้วก็ตายสูญหายไป ฯ
๏ พวกวงศาข้าเฝ้าสาวสนม ชวนกันชมพระพี่น้องผุดผ่องใส
ดำก็จริงพริ้งพร้อมละม่อมละไม ต่างกราบไหว้นับถือเลื่องลือชา
พวกชาวบ้านร้านถิ่นสิ้นทั้งนั้น มาชมรำกำปั่นกัลปังหา
เป็นแท่งเดียวเจียวดั่งนิลจินดา ต่างซ้องสาธุทั่วทุกตัวคน
บรรดาเหล่าชาวทะเลพลัดเผลไพล่ ต่างพลัดไปเขตแขวงทุกแห่งหน
ทั้งทิศใต้ชายน้ำทุกตำบล จึ่งมีคนทะเลอยู่ทุกบูรี ฯ
๏ พระศรีสุวรรณวงศ์พงศ์กษัตริย์ ทั้งพระหัสไชยกับพระมเหสี
ทั้งเวียงวังลังกาสามธานี ต่างยินดีด้วยพระองค์คงพารา
ต่างจัดแจงแต่งสลุบเรือกำปั่น ของช่วยศพครบครันเลือกสรรค์หา
โหมดตาดต่วนล้วนแต่ดีมีราคา ใส่เรือห้าสิบงามทั้งสามเมือง
พระอนุชาพาบุตรกับนุชนาฏ ลงเรือราชสีห์ทรงปักธงเหลือง
ทหารแห่แซ่ซ้องมานองเนือง ออกจากเมืองแล่นมาในสาคร
พระหัสไชยไม่มีวงศ์เผ่าพงศา กับสร้อยสุวรรณจันทร์สุดาดวงสมร
ลงทรงเรือพระพี่นั่งลำมังกร ทหารแห่แลสลอนสล้างมา
หน่อนรินทร์ปิ่นเกล้าเจ้าสิงหล กับนงเยาว์เสาวคนธ์ขนิษฐา
ตั้งกระบวนล้วนฝรั่งเมืองลังกา ตั้งแห่แหนแน่นมาในวารี ฯ
๏ ซึ่งกล่าวความสามเมืองมาช่วยศพ ต่างนอบนบนับถือพระฤๅษี
ต่างคำนับรับกันอัญชุลี ต่างน้องพี่เผ่าพงศ์พวกวงศ์วาน
ด้วยมากมายหลายองค์วงศ์กษัตริย์ สถิตรัตน์ปรางค์ปราสาทราชฐาน
หน่อนรินทร์สินสมุทรเป็นแม่งาน คิดทำเมรุเกณฑ์งานการระดม
หมายไปทั่วหัวเมืองมาเนืองแน่น นับหมื่นแสนสามพารามาประสม
บ้างฉุดลากถากเสากล่อมเกลากลม ทุกหมู่กรมสมทบทำครบครัน
เมื่ออยู่วังพรั่งพร้อมพงศ์กษัตริย์ ปรนนิบัติพระสิทธาเวลาฉัน
ต่างนบนอบหมอบเมียงเลี้ยงนักธรรม์ ศรีสุวรรณเอ็นดูสามกุมาร
จึงเรียกหามาให้นั่งใกล้ชิด แล้วเพ่งพิศผิวพรรณในสัณฐาน
พลางตรัสชมสมทรงสมวงศ์วาน ได้ลูกหลานเช่นนี้แล้วดีนัก
ตรีพลำนวลเนื้อเหลือหวนหอม พลางโอบอ้อมอุ้มขึ้นวางไว้กลางตัก
ประคองแอบแนบชิดจุมพิตพักตร์ ล้วนน่ารักรูปโฉมประโลมใจ ฯ
๏ สามกุมารกรานกราบล้วนราบเรียบ หมอบพับเพียบทูลว่าอัชฌาสัย
พระการุญคุณลบภพไตร จะรับใส่เศียรสิ้นด้วยยินดี
ฝ่ายพระกฤษณานุชารุ่น เกิดต่างท้องน้องอรุณรัศมี
ชื่อเทวัญชันษาสิบห้าปี น้องสาวมีคมขำชื่ออัมพวัน
ตามบิดามาเฝ้าพระดาวบส ทั้งโอรสบุตรีทรงศรีสรรพ์
กับสามองค์วงศ์เทวาพูดจากัน ดูผิวพรรณผ่องศรีมณีนิล
ล้วนรุ่นราวคราวเดียวเสียวเสียวจิต ให้หวิดหวิดไหวไหวฤทัยถวิล
ฝ่ายพี่ชายหมายเสน่ห์นางเทพิน น้องรักนิลกัณฐีด้วยปีเดียว
เจ้าตรีพลำเห็นอัมพวาน้อย เนตรชม้อยช้อยดูประเดียวประเดี๋ยว
จนฉันแล้วแคล้วคลาดลีลาศเลี้ยว ต่างเหลียวเหลียวแลหาด้วยอาวรณ์ ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ