- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๔๔)
- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๒๙)
- คำนำเมื่อพิมพ์ครั้งแรก
- ประวัติสุนทรภู่
- บันทึกเรื่องผู้แต่งนิราศพระแท่นดงรัง
- อธิบาย ว่าด้วยเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่
- ปกิรณะกะประวัติของสุนทรภู่
- ตอนที่ ๑ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา
- ตอนที่ ๒ นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๓ ศรีสุวรรณเข้าเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๔ ศรีสุวรรณพบนางเกษรา
- ตอนที่ ๕ ศรีสุวรรณเกี้ยวนางเกษรา
- ตอนที่ ๖ ศรีสุวรรณรบท้าวอุเทน
- ตอนที่ ๗ ศรีสุวรรณพยาบาลนางเกษรา
- ตอนที่ ๘ อภิเษกศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๙ พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อ
- ตอนที่ ๑๐ พระอภัยได้นางเงือก
- ตอนที่ ๑๑ นางสุวรรณมาลีไปเที่ยวทะเล
- ตอนที่ ๑๒ พระอภัยมณีพบนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๓ พระอภัยมณีโดยสารเรือนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๔ พระอภัยมณีเรือแตก
- ตอนที่ ๑๕ สินสมุทรโดยสารเรือโจรสุหรั่ง
- ตอนที่ ๑๖ สินสมุทรพบศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๑๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๑๘ พระอภัยมณีโดยสารเรืออุศเรน
- ตอนที่ ๑๙ พระอภัยมณีพบศรีสุวรรณกับสินสมุทร
- ตอนที่ ๒๐ สินสมุทรรบกับอุศเรน
- ตอนที่ ๒๑ พระอภัยมณีเกี้ยวนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๒ พระอภัยมณีครองเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๓ พระอภัยมณีอภิเษกกับนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๔ กำเนิดสุดสาคร
- ตอนที่ ๒๕ สุดสาครเข้าเมืองการะเวก
- ตอนที่ ๒๖ อุศเรนตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๗ เจ้าละมานตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๘ สุดสาครตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๒๙ ศึกเก้าทัพตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๓๐ พระอภัยมณีตีเมืองใหม่
- ตอนที่ ๓๑ พระอภัยมณีพบนางละเวง
- ตอนที่ ๓๒ ศรีสุวรรณอาสาตีด่านดงตาล
- ตอนที่ ๓๓ ย่องตอดสะกดทัพ
- ตอนที่ ๓๔ นางละเวงคิดหย่าทัพ
- ตอนที่ ๓๕ พระอภัยติดท้ายรถ
- ตอนที่ ๓๖ พระอภัยมณีทำผูกคอตายได้นางละเวง
- ตอนที่ ๓๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๓๘ นางสุวรรณมาลีข้ามไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๓๙ นางสุวรรณมาลีมีสารตัดพ้อ
- ตอนที่ ๔๐ สุดสาครถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๔๑ นางสุวรรณมาลีหึงหน้าป้อม
- ตอนที่ ๔๒ หัสไชยแก้เสน่ห์
- ตอนที่ ๔๓ นางเสาวคนธ์ยิงแก้ม
- ตอนที่ ๔๔ กษัตริย์สามัคคี
- ตอนที่ ๔๕ นางเสาวคนธ์ขุดโคตรเพชร
- ตอนที่ ๔๖ พระอภัยมณีกลับเมือง
- ตอนที่ ๔๗ อภิเษกสินสมุทร
- ตอนที่ ๔๘ นางเสาวคนธ์หนี
- ตอนที่ ๔๙ นางเสาวคนธ์แปลงเป็นฤๅษี
- ตอนที่ ๕๐ นางเสาวคนธ์ได้เมืองวาหุโลม
- ตอนที่ ๕๑ สุดสาครตามนางเสาวคนธ์
- ตอนที่ ๕๒ พระอภัยมณีทำศพท้าวสุทัศน์
- ตอนที่ ๕๓ มังคลาครองเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๔ มังคลาชิงโคตรเพชร
- ตอนที่ ๕๕ มังคลาจับนางสุวรรณมาลีและท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๖ หัสไชยตีด่านเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๗ สุดสาครรบมังคลา
- ตอนที่ ๕๘ นางละเวงวัณฬาช่วยนางสุวรรณมาลีแลท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๙ พระอภัยมณีศรีสุวรรณไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๐ พระอภัยมณีรบกับมังคลา
- ตอนที่ ๖๑ สังฆราชบาทหลวงเผาเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๒ พระอภัยเข้าเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๓ อภิเษกหัสไชย
- ตอนที่ ๖๔ พระอภัยมณีออกบวช
- ตอนที่ ๖๕ พระบาทหลวงพาพระมังคลาหนีทัพไปเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๖๖ วลายุดาครองเมืองสินชัย
- ตอนที่ ๖๗ วายุพัฒน์เป็นอุปราชเมืองเซ็น
- ตอนที่ ๖๘ หัสกันครองเมืองสุลาลัย
- ตอนที่ ๖๙ พระอภัยมณีเยี่ยมศพนางมณฑา
- ตอนที่ ๗๐ พระมังคลายกทัพเรือมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๗๑ นางรำภา นางยุพาผกาและนางสุลาลีวันออกรบ
- ตอนที่ ๗๒ สุดสาคร สินสมุทรรบกับพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๓ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันเข้าเฝ้าศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๗๔ ทัพพันธมิตรเมืองกำพลเพชรยกมาช่วยพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๕ พระมังคลาล่าทัพไปถึงเกาะกาหวี
- ตอนที่ ๗๖ ทหารเมืองกำพลเพชรตามนางกฤษณาพบพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๗ พระมังคลาได้นางดวงแขลูกสาวเจ้าเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๗๘ อภิเษกพระกฤษณากับนางเทพินไปครองเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๗๙ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันลามารดากลับไปเมือง
- ตอนที่ ๘๐ พระมังคลายกทัพเมืองสำปันหนาไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๑ ศรีสุวรรณออกรับศึกพระมังคลา
- ตอนที่ ๘๒ โจรสลัดคุมกำปั่นปล้นเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๘๓ ศรีสุวรรณมาช่วยเมืองรมจักรรบโจรสลัด แล้วอภิเษกตรีพลำกับอัมพวันและเทวัญกับนิลกัณฐี
- ตอนที่ ๘๔ พระมังคลากับพระบาทหลวงแตกทัพไปเกลี้ยกล่อมเมืองต่าง ๆ
- ตอนที่ ๘๕ พระมังคลาไปถึงเมืองโรมพัฒน์ได้นางบุษบง
- ตอนที่ ๘๖ พระบาทหลวงกับพระมังคลายกทัพเรือเมืองโรมพัฒน์ไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๗ สุดสาครทราบข่าวศึก
- ตอนที่ ๘๘ พระมังคลากับพระบาทหลวงตีได้เมืองด่านลังกา
- ตอนที่ ๘๙ ทัพสุดสาครตีทัพพระมังคลาพ่าย จนเทวสินธุ์ตามไปถึงเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๙๐ ท้าวรายากับพระเทวสินธุ์ไปถึงเมืองกำพลเพชร แล้วยกทัพไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๙๑ หกกษัตริย์ยกทัพมาช่วยเมืองลังกาทำศึก
- ตอนที่ ๙๒ พระบาทหลวงรบศึกหกกษัตริย์จนลมแดงซัดเรือรบพลัดกัน
- ตอนที่ ๙๓ สุดสาครตีเมืองด่านแตก
- ตอนที่ ๙๔ พระเทวสินธุ์พบพระมังคลาจนเจ็ดกษัตริย์เตรียมรบ
- ตอนที่ ๙๕ พระมังคลากับพระบาทหลวงยกทัพเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๙๖ ทัพเจ็ดกษัตริย์ตีทัพพระบาทหลวงแตก
- ตอนที่ ๙๗ พระบาทหลวงเตรียมตีเมืองปากน้ำคืน
- ตอนที่ ๙๘ พระบาทหลวงขับท้าวรายากับนางบุษบงไปจากกองทัพ จนพระมังคลาหนี
- ตอนที่ ๙๙ พระบาทหลวงยกเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๑๐๐ สินสมุทรตีทัพพระบาทหลวงจนถูกยาเบื่อ
- ตอนที่ ๑๐๑ พระอภัยมณีเยือนลังกา
- ตอนที่ ๑๐๒ พระบาทหลวงปล่อยโคมไฟไปตกเมืองลังกา จนถึงพระอภัยมณีห้ามทัพ
- ตอนที่ ๑๐๓ หกกษัตริย์ตีโต้ทัพพระบาทหลวงล่าไปเมืองปตาหวี
- ตอนที่ ๑๐๔ พระอภัยมณีกลับไปเขาสิงคุตร
- ตอนที่ ๑๐๕ อภิเษกหัสกันกับนางวันชายา
- ตอนที่ ๑๐๖ พระอภัยมณีไปเยี่ยมนางเงือกที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๐๗ พระบาทหลวงเข้าเมืองปตาหวีแล้วตามไปพบพระมังคลาที่เมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๐๘ พระมังคลาและนางบุษบงออกมารับพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๐๙ ท้าวโกสัยบอกพระมังคลาให้รู้อุบายพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๐ พระบาทหลวงตีด่านเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๑๑ พระมังคลามีสารง้อศรีสุวรรณสุดสาครและสินสมุทร ให้มาช่วยรบพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๒ ทัพพระมังคลารบกับทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๓ ทัพศรีสุวรรณกับสี่กษัตริย์ตีกระหนาบทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๔ ทัพเรือพระบาทหลวงเข้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๕ ศรีสุวรรณกับพวกพาพระมังคลากลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๑๖ ท้าวกุลามาลีได้นางดวงประไพลูกสาวท้าวสินชัยเจ้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๗ พระมังคลาไปงานโสกันต์ระเด่นกินเรศ
- ตอนที่ ๑๑๘ เจ้าเมืองปตาหวีพานางดวงประไพกลับเมือง
- ตอนที่ ๑๑๙ สุดสาครไปเยี่ยมนางเงือกและพระฤๅษีที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๒๐ สุดสาครกลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๒๑ ศรีสุวรรณให้นรินทร์รัตน์ไปครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๒ อภิเษกนรินทร์รัตน์ครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๓ เจ็ดกษัตริย์ยกทัพมาตีเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๔ นรินทร์รัตน์ขอราเมศมาเป็นอุปราชกรุงรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๕ นรินทร์รัตน์กับราเมศมาช่วยเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๖ เจ็ดกษัตริย์ตายสี่หนีสาม
- ตอนที่ ๑๒๗ นรินทร์รัตน์หลงนางเกศพัฒน์เมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๘ อภิเษกพระราเมศกับนางดวงประภา
- ตอนที่ ๑๒๙ ภัทวงศ์ไปไหว้เทวรูปจนพบนางเกสรสุมาลัย
- ตอนที่ ๑๓๐ เจ้าเมืองวายุภักษ์ขอนางเกสรสุมาลัยให้ภัทวงศ์
- ตอนที่ ๑๓๑ พระสังฆราชบาทหลวงยกทัพมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๓๒ ตัดหางสุพรรณมัจฉาแล้วสถาปนาเป็นจันทวดีพันปีหลวง
ตอนที่ ๔๑ นางสุวรรณมาลีหึงหน้าป้อม
๏ ส่วนสุวรรณมาลีศรีสมร | สุดสาครคลาดคล้อยเฝ้าคอยหา |
แต่ราตรีมิได้วายฟายน้ำตา | อยู่พลับพลาริมทุ่งจนรุ่งเช้า |
นั่งชะแง้แลตะลึงรำพึงคิด | หรือไปติดปมเชือกตามเถือกเถา |
หรือพระจะแกล้งพรากไปจากเรา | ยิ่งคิดเศร้าเสียใจอาลัยแล |
ไม่แต่งองค์ทรงเสวยให้เลยอิ่ม | ความแค้นปริ่มเป็นฝีเขาตีแผล |
แต่กลืนน้ำช้ำพระศอให้ท้อแท้ | เหมือนอยู่แต่กายสิ้นซึ่งวิญญาณ์ ฯ |
๏ พอเหลือบเห็นหัสไชยมาใกล้ทัพ | นางแลรับลูกเธอชะเง้อหา |
ไม่เห็นหนจนกุมารคลานเข้ามา | บนพลับพลากราบก้มบังคมคัล |
แล้วทูลความตามเข้าไปมิได้แก้ | พระพี่แพ้ผู้หญิงทิ้งหม่อมฉัน |
ไปสมสู่อยู่กับอีลาลีวัน | แล้วรำพันถึงเสน่ห์ทำเล่ห์กล ฯ |
๏ มเหสีตีทรวงเสียงผางผาง | น้ำเนตรพร่างพรายพร้อยดังฝอยฝน |
ชิชะอีฝรั่งมันขลังมนต์ | เหมือนผูกคนขังไว้ที่ในกรง |
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณของเมียเอ๋ย | กระไรเลยฟั่นเฝือเห็นเหลือหลง |
ให้พลอยทุกข์ลูกเต้าทั้งเผ่าพงศ์ | ทั้งเสียองค์ไอศวรรย์เพราะวัณฬา |
ทีนี้หมดมดหมอไม่หลอเหลือ | เห็นสิ้นเชื้อสุริย์วงศ์เผ่าพงศา |
แม้มิห่วงดวงจิตด้วยธิดา | จะกลืนยาพิษให้บรรลัยลาญ |
อยู่เป็นคนทนอายนั้นหลายอย่าง | ธุระพ่างเพียงระบมด้วยคมขวาน |
ยิ่งคิดแค้นแม้นกายจะวายปราณ | คำโบราณว่าเอาชื่อให้ลือชา |
จะดื้อดึงถึงสถานพระผ่านเกล้า | ตบอีเจ้ายาแฝดแพศยา |
มิให้ปะก็จะพังเมืองลังกา | เข้าไปหาให้ได้พบประสบองค์ |
แม้ไม่เลี้ยงเที่ยงแท้แล้วแม่นี้ | ถวายชีวีตามความประสงค์ |
จะเชือดคอให้ตายทำลายลง | จำเพาะตรงพักตราพระสามี ฯ |
๏ แล้วสั่งพราหมณ์สามนายอยู่ค่ายใหญ่ | เราจะไปรบพุ่งชาวกรุงศรี |
ทหารเราชาวผลึกล้วนฝึกดี | ช่วยกันตีชาวลังกาอย่าช้านาน |
พวกผู้หญิงยิงธนูเคยสู้รบ | แต่งสมทบทัพด้วยช่วยทหาร |
ทั้งสาวสาวเหล่ากำนัลพนักงาน | ที่จัดจ้านเอาไปด้วยได้ช่วยกู |
จะฝีมือหรือฝีปากไม่อยากพรั่น | มึงช่วยกันรุมทะเลาะให้เพราะหู |
ให้เลื่องลือชื่อเราชาวชมพู | คงจะสู้ทนเจ็บจนเย็บตา ฯ |
๏ ฝ่ายหญิงชายชาวพหลพลผลึก | อึกทึกแต่งกายทั้งซ้ายขวา |
ถือทวนง้าวหลาวแหลนแสนสาตรา | แล้วผูกม้าพระที่นั่งบัลลังก์รถ |
อภิรุมชุมสายลายจำรัส | มยุรฉัตรกรรชิงทั้งกลิ้งกลด |
พวกสตรีสี่ร้อยคอยประณต | อยู่ริมรถถือธนูเป็นคู่เคียง |
ทั้งสามสาวเจ้าคารมหาส้มเปรี้ยว | ไปขับเคี่ยวคอแห้งได้แต่งเสียง |
ล้วนจ้านจัดหัดซ้อมไว้พร้อมเพรียง | ทหารเรียงรายริ้วเป็นทิวธง ฯ |
๏ ฝ่ายสุวรรณมาลีศรีสวัสดิ์ | ให้กษัตริย์สามพี่น้องเข้าห้องสรง |
ประดับเครื่องเรืองอร่ามทั้งสามองค์ | ส่วนนางทรงเครื่องเก่าเศร้าวิญญาณ์ |
ชวนบุตรีพี่น้องกับหน่อนาถ | ขึ้นทรงราชรถแก้วแววเวหา |
พระหน่อน้อยสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา | นั่งอยู่หน้ารถก้มประนมกร |
ให้เดินทัพขับพลพหลโห่ | ทหารโล่เขนดั้งหน้าหลังสลอน |
ประโคมฆ้องกลองแห่สังข์แตรงอน | เสียงสะท้อนสะท้านทุ่งมากรุงไกร ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งลังกาบนหน้าที่ | เห็นโยธีธงทิวปลิวไสว |
เป็นทัพศึกกึกก้องมีกลองชัย | พวกนายไพร่ขึ้นพร้อมป้อมเสมา |
ปิดประตูบูรีคลี่ธงรบ | เตรียมอยู่ครบครั่นครื้นเครื่องปืนผา |
คอยรับสู้หมู่หมวดเที่ยวตรวจตรา | ให้เขามารบก่อนจึงรอนราญ ฯ |
๏ ฝ่ายทัพพระมเหสีถึงที่ป้อม | สะพรั่งพร้อมซ้ายขวาโยธาหาญ |
หยุดรถทรงตรงพลับพลานอกปราการ | สั่งกุมารหน่อกษัตริย์หัสไชย |
พ่อเคยเข้าเฝ้าองค์พระทรงฤทธิ์ | ช่วยทูลกิจจาแจ้งแถลงไข |
จะขอเข้าเฝ้าพระภูวไนย | แม้นมิให้พบพระองค์จะสงคราม ฯ |
๏ กุมาราว่าขอรับอภิวาท | ลงจากราชรถเสด็จไม่เข็ดขาม |
บอกฝรั่งนั่งประตูต่างรู้ความ | ไม่ห้ามปรามเปิดให้เข้าในวัง |
ตรงขึ้นบนมนเทียรทูลฉลอง | ให้ทราบสองกษัตริย์ตามเนื้อความหลัง |
ไม่ให้เฝ้าคราวนี้ก็มิฟัง | จะรบพังประตูเข้าบูรี |
พระอภัยใหลหลงทรงพระสรวล | เฝ้ารบกวนเกเรมเหสี |
ให้พวกเราเข้าสู้ดูสักที | ไหนจะตีเข้ามาได้ในประตู ฯ |
๏ นางละเวงเกรงศึกที่ฮึกหึง | จะอื้ออึงอัปยศให้อดสู |
คิดผ่อนปรนกลศึกฝึกต่อครู | จะลองสู้ศึกรักให้หักทบ |
ออกรับหน้าพาผัวไปยั่วเล่น | ขี้หึงเห็นใจจะหมองต้องสลบ |
แล้วเสแสร้งแกล้งว่าเขามารบ | จะใคร่พบภูวไนยจงไปรับ |
แม้จะรักครองสัตย์จงตัดเขา | มิโปรดเกล้ายั่งยืนจงคืนกลับ |
จะตามไปให้เห็นกายนางนายทัพ | ได้ยินกับสองหูดูกับตา |
หรือว่าพระจะไม่ไปอย่างไรเล่า | พลางหยิกเพลาเป่ามนต์ดลคาถา |
พระโอนอ่อนผ่อนผันตามวัณฬา | ไปสิพากันไปล้อให้พอการ ฯ |
๏ นางรับสั่งบังคมประนมน้อม | มาสั่งพร้อมแสนสาวชาวทหาร |
ข้าหลวงเหล่าเจ้าคารมมานมนาน | ไปออกงานเสียด้วยกันประชันโรง |
แล้วก็มาอ่าองค์สรงน้ำกลั่น | เจิมน้ำมันจันทน์ทาให้อ่าโถง |
มุ่นกระหมวดกวดเกล้าเป็นเงาโง้ง | ปักปิ่นโปร่งกระจ่างจับประดับพลอย |
ทรงภูษาค่าเมืองเรืองจำรัส | คาดเข็มขัดเพชรพริ้งเหมือนหิ่งห้อย |
ฉลององค์ทรงนางเสื้ออย่างน้อย | แล้วสอดสร้อยสังวาลประสานทรง |
เฉลิมช้องป้องพักตร์จำหลักเพชร | กรรเจียกเก็จนกอย่างเช่นหางหงส์ |
ทองกรเพชรเตร็จตรัจกระหวัดวง | ธำมรงค์รายพระหัตถ์จำรัสเรือง |
แล้วร่ายมนต์ดลจิตให้พิศเพ่ง | ดูปลั่งเปล่งผิวผ่องละอองเหลือง |
เสร็จแต่งองค์เอี่ยมอร่ามงามประเทือง | แล้วย่างเยื้องมายังองค์พระทรงยศ ฯ |
๏ เข้าหมอบเมียงเอียงแก้มแล้วแย้มยิ้ม | พระเชยชิมชื่นใจดอกไม้สด |
นางเชิญองค์สรงชลสุคนธรส | ทรงเครื่องยศอย่างฝรั่งเจ้าลังกา |
ล้วนเครื่องดำสำคัญวันอาทิตย์ | ตามจริตศักราชพระศาสนา |
อร่ามเรืองเครื่องสำหรับประดับประดา | พระมาลาสวมสอดใส่ยอดเพชร |
ทรงรองบาทชาติฝรั่งนวมหนังนุ่ม | พระชงฆ์หุ้มคลุมสนับแล้วสรรพเสร็จ |
กระบี่ทรงองค์กุดั่นกัลเม็ด | แล้วเสด็จนำนางจากปรางค์ทอง |
พวกห้ามแหนแสนสุรางค์นางเชิญเครื่อง | ค่อยยาตรเยื้องยอบก้มประนมสนอง |
ข้าหลวงเหล่าเถ้าแก่ออกแซ่ซ้อง | มาตามท้องทางใหญ่ที่ในวัง |
ขึ้นตรวจพลบนเชิงเทินพระเดินหน้า | นางวัณฬาเหล่าหม่อมห้ามเดินตามหลัง |
ท่านท้าวนางกางกลดให้บดบัง | จนกระทั่งถึงประทับที่พลับพลา |
เห็นกองทัพนับหมื่นดูดื่นดาษ | วรนาฏนางกษัตริย์ทรงรถา |
เห็นลูกน้อยสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา | พระชลนาแนวนองจะร้องทัก |
กลับเคลิ้มองค์หลงลืมพระลูกแก้ว | รู้จักแล้วแล้วก็ดูไม่รู้จัก |
นางเสแสร้งแกล้งเมียงเข้าเคียงพักตร์ | ทำชี้ชักชวนให้ดูหมู่โยธา |
แกล้งเยาะเย้ยมเหสีที่ทรงรถ | ยุดทรงยศเหยียดกรป้อนสลา |
แล้วยืนดูอยู่ตรงทัพที่พลับพลา | แกล้งรอเรียงเคียงหน้าพระสามี ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงนงลักษณ์อัคเรศ | ทอดพระเนตรบนพลับพลาหลังคาสี |
ไม่รู้จักพักตร์พระอภัยมณี | ด้วยภูมีเหมือนฝรั่งเมืองลังกา |
นึกว่าใครไหนหนอมาคลอหญิง | ดูเย่อหยิ่งกั้นกลดมียศถา |
สองนงเยาว์เข้าชิดทูลกิจจา | พระบิดานะพุคะพระชนนี |
นางสงสัยให้เคลื่อนรถพระที่นั่ง | ไปหยุดยั้งใกล้พลับพลาหลังคาสี |
เห็นประจักษ์พักตราพระสามี | อัญชลีแล้วสะอื้นกลืนน้ำตา |
ยิ่งแสนแค้นแน่นอัดตรัสไม่ออก | เหมือนเสี้ยนยอกเนตรสลายทั้งซ้ายขวา |
สุดจะขืนกลืนกลั้นตันอุรา | ทรงโศกากรรมเอ๋ยไม่เคยเป็น |
รู้ฉะนี้มิเป็นคนทนเทวษ | จะควักเนตรเสียมิให้ได้มาเห็น |
พระชลนัยน์ไหลซกตกกระเซ็น | เจียนจะเป็นบ้าหลังคลั่งอารมณ์ ฯ |
๏ พระอภัยได้เห็นพักตร์อัคเรศ | ยังชื่นเนตรนึกคิดสนิทสนม |
พอลูกสาวเจ้าลังกาเป่าอาคม | เคลิ้มอารมณ์รื้อค้อนว่างอนเกิน |
กระต่ายแก่แร่ข้ามมาตามติด | ช่างไม่คิดขวยอายระคายเขิน |
เขาเบื่อใจไม่อยู่จนสู้เมิน | มาก้ำเกินดูเบาเพราะเมามัว |
มาตามข้าว่ากระไรใครเป็นหนี้ | หรือเดิมทีช่วยไถ่ไว้เป็นผัว |
หรือข้าเป็นขอเฝ้ามาเอาตัว | ข้านี้กลัวเจ้าแล้วเจ้านางเฒ่ารึง |
ได้เริศร้างต่างคนก็ต่างอยู่ | ยังมิรู้สึกตัวมามัวหึง |
ชะร้องไห้ไม่ฟื้นสะอื้นอึง | ชาติหน้าจึงจะช่วยปลอบให้ชอบใจ ฯ |
๏ มเหสีตีทรวงเข้าฮักอัก | อกมิหักแล้วหรือกรรมจะทำไฉน |
นางแสนแค้นแสนละห้อยน้อยพระทัย | สลบไปเป็นครู่แล้วรู้องค์ |
สะอื้นพลางทางว่านิจจาเอ๋ย | กระไรเลยภูวไนยช่างใหลหลง |
เสียแรงน้องปองจิตเหมือนบิตุรงค์ | รักพระองค์อุสาห์ตามข้ามคงคา |
ไม่มีโทษโกรธตรัสถึงตัดขาด | เหมือนพระบาทฟาดฟันบั่นเกศา |
แต่ลูกน้อยสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา | มาวันทาพระไม่ทักเลยสักคำ |
เคยพึ่งบุญทูลกระหม่อมเหมือนฉัตรแก้ว | ไม่มีแล้วใครจะชุบอุปถัมภ์ |
จะสู้ตายมิให้เป็นซึ่งเวรกรรม | แต่อย่าซ้ำแนมเหน็บให้เจ็บใจ |
อันฝรั่งลังกาเป็นข้าศึก | ไม่เคยนึกว่าพระองค์จะหลงใหล |
แม้พวกอื่นหมื่นแสนทั้งแดนไตร | น้องมิได้ข้องขัดพระอัชฌา |
นี่ศัตรูงูพิษมันคิดคด | ให้เสียยศเสียชาติพระศาสนา |
เสียโอรสหมดทั้งพระอนุชา | แต่ธิดาเด็กนิดยังคิดชัง ฯ |
๏ พระฉุนรักพักตร์สลดกำสรดเศร้า | ละเวงเป่ามนต์เสียวกลับเหลียวหลัง |
หลงรักข้างนางวัณฬาว่าไม่ฟัง | น้อยหรือนั่งร่ำไห้พิไรครวญ |
จนแก่เฒ่าเง้างอดทำออดแอด | ลูกฝาแฝดของเจ้าจงเฝ้าสงวน |
เขาไม่มาดปรารถนาอย่ามากวน | เจ้ากระบวนล้นเหลือจนเบื่อฟัง ฯ |
๏ ส่วนลูกสาวเจ้าลังกาออกมาขวาง | ชิชะนางโฉมงามลืมความหลัง |
แกล้งใส่หน้าว่าเสียดน่าเกลียดชัง | ชาติฝรั่งนี่แลเจ้าเขาเล่าลือ |
ว่าคบชู้สู่หาแกล้งฆ่าผัว | อันความชั่วตัวปิดสนิทหรือ |
มาเลียมลามปามไปดังไฟฮือ | แต่ก่อนถือว่าเป็นพี่ศรีสะใภ้ |
ประเดี๋ยวนี้ดีแตกแหลกแล้วคะ | เขาไม่ละลดดอกจะบอกให้ |
พระตัดขาดศาสนาไม่อาลัย | อย่าร่ำไรสำออยตะบอยวอน ฯ |
๏ นางฟังคำซ้ำแค้นยิ่งแสนแสบ | ความเจ็บแทบถึงกระดูกดังลูกศร |
น้อยหรือเสียงเปรี้ยงแปร้นมันแสนงอน | กลับมาค่อนขอดขุดถึงอุศเรน |
พระพานเกล้าเคล้าคลึงถึงขนาด | จนเลือดฝาดขึ้นหน้าดังทาเสน |
มายืนดูคู่เคียงส่งเสียงเกน | เห็นเอียงเอนสมนึกแล้วฮึกไป |
ว่าเดิมทีพี่ตัวเป็นผัวรัก | ไม่รู้จักน้ำหน้าว่าคนไหน |
พระชนนีภิเษกให้ภูวไนย | ข้ามิได้ดื้อตะครุบเอางุบงิบ |
แต่รุ่นราวสาวแส้จนแก่เฒ่า | ไม่เหมือนเจ้าองค์เอกภิเษกดิบ |
ได้สุคนธ์มนต์เจือดังเนื้อทิพย์ | ขึ้นจนลิบลอยเหลิงกว่าเชิงเทิน |
แต่ก่อนไรไม่หลงก็ทรงโปรด | ไม่พิโรธเริศร้างระคางเขิน |
เหตุเพราะมึงพระจึงได้ละเมิน | ถึงก้ำเกินก็ไม่ว่าเป็นสามี |
มาแต้มเติมเสริมความตามพระโอษฐ์ | นางตัวโปรดเปรื่องประสิทธิ์เพราะฤทธิ์ผี |
แต่กระดาษวาดรูปจูบเป็นปี | ประเดี๋ยวนี้องค์เธอบำเรอเอง |
ถึงออกโรงโจ่งครึ่มเป็นทึมทึก | แต่สาวฝึกฉอเลาะไว้เหมาะเหมง |
ร้อยภาษามาสู่เคยรู้เพลง | นางละเวงแต่ละว่าชาละวัน |
แต่เพียงพี่แล้วมิหนำยังซ้ำน้อง | โอรสสองแทรกเจือเหลือขยัน |
เหมือนไหมย้อมปลอมเส้นเบญจพรรณ | จึงต้องฟั่นเฝือผดุงบำรุงบำเรอ |
ข่มเหงเขาเจ้าของจองหองเหิม | ยุส่งเสริมสารพันอีปั้นเจ๋อ |
ไม่เจียมกายอายเหนียมทำเทียมเธอ | ขึ้นเสมอแม่เจ้าเอ๋ยเคยเคล้าคลอ |
มิเกรงพระจะไปจับมาสับเชือด | ให้สิ้นเลือดสิ้นเนื้อไม่เหลือหลอ |
ถึงตัวตายก็จะหมายมาหักคอ | เป็นคนขอแก้แค้นอีแสนเพลง ฯ |
๏ นางวัณฬาว่าเหม่มเหสี | ขึ้นอ้ายอีออกทะเลาะล้วนเหมาะเหมง |
เพราะปากกล้าว่าผัวไม่กลัวเกรง | จึงเท้งเต้งต้องอดเหมือนมดตะนอย |
ชะจะเชือดเลือดเนื้อเถือกระดูก | อย่าดูถูกชาวลังกาไม่ล่าถอย |
สักหน่อยหนึ่งก็จะพาเลือดตาย้อย | กูก็คอยจะใคร่เชือดเอาเลือดเนื้อ |
ไปเซ่นศพอุศเรนกับบิตุเรศ | ใครต้นเหตุอยู่ที่ไหนมิให้เหลือ |
ชะลูกสาวเจ้าผลึกทึมทึกเทื้อ | มิเต็มเรื้อหรือจึงข้ามมาตามทวง |
ประทานโทษโปรดปรานเถิดผ่านเกล้า | ช่วยคลึงเคล้าคลอเคลียเหมือนเสียขวง |
ได้ดับทุกข์ยุคเข็ญให้เย็นทรวง | อย่าให้ง่วงงุ่นง่านทะยานทะเยอ ฯ |
๏ นางโฉมยงทรงฟังยิ่งคั่งแค้น | มันตอบแทนทับทวีตีเสมอ |
เพราะผ่านเกล้าเข้าด้วยพลอยอวยเออ | ได้ท้ายเธอปรักปรำยิ่งซ้ำเติม |
กันแสงพลางทางว่าอีฝาหรั่ง | มึงขึ้นซังสมนึกทำฮึกเหิม |
อันข้อพ่อพี่ชายตายแต่เดิม | ว่ากูเริ่มเหตุผลแต่ต้นมือ |
แค้นแต่กูภูวไนยมึงไม่แค้น | เธอทดแทนถึงที่กลับดีหรือ |
อีแสนกลคนเขาออกเล่าลือ | ไม่พ้นมือกูดอกวะอีละเวง |
แล้วโศกาว่าพระทูลกระหม่อมแก้ว | ไม่เลี้ยงแล้วให้เมียน้อยคอยข่มเหง |
เพราะให้ท้ายหมายได้จึงไม่เกรง | อีละเวงมันจองหองกับน้องนัก |
มิเมตตาฆ่าเมียเสียให้ม้วย | แต่อย่าช่วยเสริมซ้ำมาปรำปรัก |
เสียแรงน้องรองบาทาสาพิภักดิ์ | พระเหมือนหลักโลกเที่ยงอย่าเอียงเอน ฯ |
๏ พระอภัยใหลหลงทรงพระสรวล | ถึงบทครวญแล้วหรือเจ้าไม่กราวเขน |
เมื่อตะกี้นี้ออกเปรี้ยงขึ้นเสียงเกน | เดี๋ยวนี้เบนเบือนหน้ามาหารือ |
ช่างเป็นไรไยมิตายอยู่ขายหน้า | เดี๋ยวนี้ข้าได้เป็นผัวของตัวหรือ |
เจ้ากับข้าสารพัดไม่ฟัดครือ | ข้าก็ถือเมียของข้าว่าไม่แพ้ |
นางวัณฬาว่าชอบเขาตอบโต้ | ตัวโมโหที่เขาถากถูกปากแผล |
ยิ่งแสนงอนอ่อนคอทำท้อแท้ | ไม่เจียมแก่เกะกะเที่ยวระรั้ว ฯ |
๏ นางฟังคำซ้ำแค้นยิ่งแสนเจ็บ | เมียน้อยเหน็บแล้วมิหนำยังซ้ำผัว |
ส่วนฝ่ายข้างนางละเวงพระเกรงกลัว | เห็นเมามัวมนต์มันอีวัณฬา |
ทั้งลูกเต้าเล่าก็พลอยขาดลอยหมด | ใครจะปลดเปลื้องมนต์ดลคาถา |
จะลืมองค์หลงคลั่งอยู่ลังกา | สุดปัญญายิ่งระย่อท้อระทด |
ด้วยทุกข์ร้อนซ้อนซมระดมทับ | จนลมจับนงลักษณ์พักตร์สลด |
ล้มสลบทบทับอยู่กับรถ | เจียนจะปลดเปลื้องชีวานิคาลัย ฯ |
๏ สร้อยสุวรรณจันทร์สุดาผวาหวีด | ร้องกราดกรีดกอดแม่เข้าแก้ไข |
ต่างนวดฟั้นสั่นเพลาสักเท่าไร | มิหวาดไหวกายายิ่งจาบัลย์ |
นางกรีดก้องร้องทูลพระบิตุเรศ | พระทรงเดชโปรดด้วยช่วยหม่อมฉัน |
เร็วเร็วพระชนนีสิ้นชีวัน | พลางทรงกันแสงสงสารพระมารดา ฯ |
๏ นางละเวงเกรงองค์จะสงสาร | แกล้งว่าขานด้วยจิตริษยา |
มเหเสือเหลือการเจ้ามารยา | พระพลอยว่าจริงหนอเจ้าเฝ้าสำออย |
เธอร้องตอบบุตรีว่าขี้หึง | นั่นแหละจึงลมจับลงพับผอย |
ชักไปเผาเอากระดูกเถิดลูกน้อย | อย่ามาพลอยเรียกพ่อมิขอพบ |
นางวัณฬาหน้าเปรมเป็นเหมฮึก | เห็นสมนึกนิ่งเกลือกเสือกสลบ |
แกล้งเชิญองค์ลงมาหน้าหอรบ | พอจวนพลบกลับเข้าไปเสียในวัง ฯ |
๏ สองบุตรีตีทรวงสะอื้นอ้อน | โอ้บิดรเด็ดเดี่ยวไม่เหลียวหลัง |
เรียกเท่าไรไม่หยุดสุดกำลัง | ทรุดลงนั่งนวดเพลาพระเสาวนีย์ |
ร้องเรียกเหล่าสาวสุรางค์ขึ้นข้างรถ | ต่างกำสรดด้วยพระมเหสี |
ทั้งโยธาข้าเฝ้าเศร้าโศกี | พระบุตรีกรีดกราดเพียงขาดใจ |
เจ้าประคุณทูลกระหม่อมของลูกแก้ว | สิ้นเสียแล้วลมริกริกไม่พลิกไหว |
พอเหลียวเห็นหน่อกษัตริย์หัสไชย | ยืนบนใบเสมาร้องว่าวอน |
ลมจับพระชนนีเจ้าพี่จ๋า | รู้หยูกยาอย่างไรมั่งช่วยสั่งสอน |
พระพี่ช่วยด้วยเถิดคะพระบิดร | ท่านตัดรอนเสียแล้วไม่เห็นใครเลย ฯ |
๏ หน่อกษัตริย์หัสไชยตกใจวิ่ง | ด้วยรักจริงอยากจะใคร่ได้เป็นเขย |
มาสั่งให้ไขประตูเขารู้เคย | ไม่ห้ามเผยให้เธอออกนอกกำแพง |
ขึ้นรถทรงตรงเข้านวดพระเพลาพลาง | เห็นสองนางจาบัลย์พลอยกันแสง |
จนโพล้เพล้เวลาท้องฟ้าแดง | ค่อยมีแรงริกริกนางพลิกฟื้น |
พิมเสนผงทรงดมรอลมถวาย | ระทวยกายกัลยาไม่ฝ่าฝืน |
ด้วยเจ็บช้ำน้ำจิตดังพิษปืน | ถอนสะอื้นวรองค์ทรงฤทัย |
ให้เลิกทัพกลับมาพลับพลาพัก | แต่นงลักษณ์ลุกนั่งยังไม่ไหว |
ยุดพระศอหน่อกษัตริย์หัสไชย | ค่อยแข็งใจจากที่นั่งบัลลังก์รถ |
สร้อยสุวรรณจันทร์สุดาอยู่ขวาซ้าย | เจ้าขรัวนายห้อมล้อมมาพร้อมหมด |
ขึ้นพลับพลาอาศัยฤทัยระทด | โศกกำสรดไสยาสน์เหนืออาสน์ทอง |
พอมืดค่ำคล้ำคลุ้มชอุ่มฝน | ยิ่งมัวหม่นมุ่นในฤทัยหมอง |
ประโคมขับตรับฟังแตรสังข์ซ้อง | เสียงฆ้องกลองกลุ้มใจกระไรเลย |
ให้สาวใช้ไปปรามห้ามแซ่เสียง | สะอื้นเอียงอ่อนองค์ไม่สรงเสวย |
ให้ร้อนรนคนผลัดพัดรำเพย | ด้วยไม่เคยขัดข้องให้หมองมัว |
อันโศกอื่นหมื่นแสนในแดนโลก | มันไม่โศกลึกซึ้งเหมือนหึงผัว |
ถึงเสียทองของรักสักเท่าตัว | ค่อยยังชั่วไม่เสียดายเหมือนชายเชือน |
ถึงสมบัติวัตถาบรรดาศักดิ์ | ลูกที่รักร่วมใจก็ไม่เหมือน |
ทั้งแสนแค้นแสนรักคอยตักเตือน | จนฟั่นเฟือนใฝ่ฝันถึงวัณฬา |
ละเมอเห็นเป็นว่าพบนางตบต่อย | ข่วนเป็นรอยร้องกรีดหวีดผวา |
ร้องเรียกเหล่าสาวใช้ริมไสยา | จิกหัวมาตบซ้ำให้หนำใจ ฯ |
๏ ฝ่ายสาวสาวเจ้าสั่งระวังผิด | ใครนั่งชิดฉุดคร่าไม่ปราศรัย |
บ้างทุ่มเถียงเสียงก้องทั้งห้องใน | นางกลับได้คิดห้ามปรามทั้งปวง |
จะบรรทมกรมฤทัยมิใคร่หลับ | ด้วยทุกข์ทับเทียมเท่าภูเขาหลวง |
เหมือนเสี้ยนยอกชอกช้ำระกำทรวง | ให้งุบง่วงงีบสะดุ้งจนรุ่งราง |
กำเริบโรคโศกรักสลักจิต | ด้วยสุดคิดสารพัดจะขัดขวาง |
เห็นบุตรีพี่น้องทั้งสองนาง | นั่งอยู่ข้างแท่นรัตน์กับหัสไนย |
จึงตรัสถามความองค์พระทรงศักดิ์ | ซึ่งลูกรักได้ไปเห็นเป็นไฉน |
ทั้งเชษฐาอานั้นทำฉันใด | พ่อเล่าให้ฟังความแต่ตามจริง ฯ |
๏ กุมาราว่ายังกำลังหลง | แต่ละองค์แอบอยู่กับผู้หญิง |
อีฝรั่งนั่งชะอ้อนเฝ้าวอนวิง | ทำพาดพิงพูดยั่วให้ผัวรัก |
ทุกเวลานาทีไม่มีอื่น | สำรวลรื่นเริงริกเสียงขิกขัก |
แค้นทรงฤทธิ์บิดาหนักหนานัก | ช่างแสนรักเรียกมันแม่วัณฬา ฯ |
๏ นางฟังคำร่ำเล่าเศร้าสะอื้น | เหมือนจะฟื้นความแค้นให้แสนสา |
เสียดายองค์ทรงสวัสดิ์ภัสดา | พระชลนาคลอคลอท้อพระทัย |
จึงว่าแม่แลเหลียวให้เปลี่ยวจิต | สุดจะคิดผันแปรที่แก้ไข |
พ่อจัดแจงแต่งสารแจ้งการไป | ถึงท้าวไทบิตุราชมาตุรงค์ |
เผื่อหมอมนต์คนดีจะมีมั่ง | มาแก้คลั่งเคลิ้มคลายให้หายหลง |
มิช่วยแก้แม่นี้เห็นไม่เป็นองค์ | จะปลดปลงลงกระดูกด้วยถูกยา ฯ |
๏ พระคำนับรับสั่งมานั่งนอก | เป็นที่ออกขุนนางพร้อมข้างหน้า |
ให้อาลักษณ์นักการแต่งสารตรา | ไปกรุงการะเวกทูลมูลความ |
ครั้นเสร็จสรรพพับให้ม้าใช้รับ | ขึ้นควบขับม้าระเห็จไม่เข็ดขาม |
ไปฝั่งน้ำตำบลถนนพระราม | ลงเรือข้ามตัดมาตรงธานี ฯ |
๏ จะกลับกล่าวเจ้าบุรีรมจักร | กับองค์อัครชายามารศรี |
ทั้งโฉมแก้วเกษราปิ่นนารี | องค์อรุณรัศมีศรีโสภา |
ต่างเศร้าสร้อยคอยศรีสุวรรณราช | ทั้งพระญาติใหญ่น้อยละห้อยหา |
แต่ปีขาลป่านนี้ถึงปีระกา | ยังหามาเมืองไม่ทั้งไพร่พล |
จะเคืองเข็ญเป็นไฉนก็ไม่รู้ | ให้หมอดูบ่อยบ่อยสักร้อยหน |
บนอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ฤทธิรณ | แขวนเบี้ยบนเป็นระนาวทุกเจ้านาย |
ข้างครอบครัวตัวไพร่ที่ไปทัพ | ผัวหากลับมาไม่ก็ใจหาย |
จะนั่งนอนร้อนรนกระวนกระวาย | ต่างขวนขวายเช้าค่ำด้วยจำเป็น |
ที่หญิงดีมีศักดิ์รู้รักผัว | ก็ซ่อนตัวมิให้ชายทั้งหลายเห็น |
ถึงยามนอนหมอนฟูกกระดูกเย็น | น้ำตากระเด็นดังหนึ่งกายจะวายวาง |
ที่เช่นชั่วผัวต้องไปกองทัพ | พอผัวลับแล้วก็เต้นออกเล่นหาง |
ที่กินลึกฝึกลูกเลี้ยงไว้เคียงข้าง | ถึงผัวร้างสามปีไม่มีชู้ |
ท่านผู้หญิงริงเรือที่เหลือโศก | กลายเป็นโรคเรอหาวลมผ่าวหู |
ให้บ่าวนวดปวดกระดูกถูกเส้นครู | กลายเป็นงูพันกันประชันโรง |
ที่ผัวไปหลายปีจึงมีท้อง | เหลือจะป้องปิดกันเหมือนควันโขมง |
บ้างคิดถึงหึงผัวกลัวจะโกง | ไปลงโรงเรือนใหม่เหมือนไฟรุม |
ด้วยเมียผัวทั่วโลกที่โศกถึง | เปรียบเหมือนหนึ่งเรือร้างค้างมรสุม |
ถึงตัวไปใจอยู่เป็นคู่คุม | ทั้งแก่หนุ่มนึกเห็นก็เช่นกัน |
พอรู้ข่าวราวเรื่องเมืองผลึก | อึกทึกถามเหตุทั้งเขตขัณฑ์ |
บ้างว่าทัพกลับมาเวลานั้น | ต่างตื่นกันวิ่งพลอยมาคอยรับ |
พวกห้ามแหนแสนสุรางค์นางสนม | ต่างอบรมคอยเสด็จไว้เสร็จสรรพ |
จนสารตรามาถึงวังคนคั่งคับ | ขุนนางรับสารเข้าเฝ้าพระองค์ ฯ |
๏ อ่านแถลงแจ้งความสามกษัตริย์ | ซึ่งข้องขัดเข้าเชิงละเลิงหลง |
เหมือนเรื่องหลังฟังหมดท้าวทศวงศ์ | หยิบสารตรงขึ้นปราสาทนั่งอาสน์ทอง |
อยู่พร้อมพรั่งมเหสีบุตรีหลาน | ให้อ่านสารฟังความตามสนอง |
ว่าพระองค์หลงเชิงละเลิงลอง | ไปครอบครองนางรำภาเจ้าป่าตาล |
มเหสีมิรู้หึงตะลึงนึก | ชนะศึกเสียองค์น่าสงสาร |
นางฝรั่งยังจะรู้จักอยู่งาน | ให้สำราญหรือจะยากลำบากองค์ |
โอ้พระคุณทูลกระหม่อมต้องถ่อมศักดิ์ | เพราะผีชักผูกไว้จึงใหลหลง |
จะมัวมอมผอมซูบทั้งรูปทรง | ให้แสนสงสารสะอื้นกลืนน้ำตา ฯ |
๏ พระชนนีขี้หึงเหมือนหนึ่งเสือ | จึงว่าเบื่อเสียแล้วรักนั้นหนักหนา |
เขาชิงผัวกลัวเขาเฝ้าโศกา | ไม่รู้ด่ามันให้มั่งมานั่งเซา |
อีฝรั่งลังกาอีหน้าด้าน | มันคิดอ่านพันพัวลูกผัวเขา |
หน่อนรินทร์สินสมุทรเหมือนบุตรเรา | ล้วนพงศ์เผ่าภัสดาเจ้าอย่ากลัว |
แม่มาลีพี่สะใภ้หล่อนไปแล้ว | พาลูกแก้วไปกับแม่ได้แก้ผัว |
แล้วทูลท้าวคราวนี้มันตีครัว | ลูกเขยมัวเมียฝรั่งคิดยังไร ฯ |
๏ สมเด็จท้าวทศวงศ์ทรงวิตก | ว่าเอออกเอ๋ยกรรมจะทำไฉน |
ข้าจะพาลูกยานัดดาไป | ช่วยแก้ไขเขยขวัญตามปัญญา |
ท่านยายอยู่บูรีเถิดขี้หึง | ไปอื้ออึงวุ่นวายจะขายหน้า |
แต่แรกสาวราวกับเสือเหลือระอา | นึกจะหย่าเสียกับยายก็หลายครั้ง |
แม่เกษราอย่าเชื่อยายเสือเฒ่า | ผัวของเจ้าจะระคายเมื่อภายหลัง |
ถึงหยาบช้าด่าทอค่อยรอรั้ง | เมื่อหายคลั่งแล้วคงกลับมากับเรา ฯ |
๏ นางพระยาว่าแม่เอ๋ยไม่เลยแล้ว | ผัวเหมือนแก้วตาใครจะให้เขา |
เหมือนท้าวตรัสตัดคำว่าทำเนา | ให้เหมือนเต่าต้มสุกสนุกจริง |
แม้มีผัวกลัววิวาทแล้วชาตินี้ | มิได้มีผัวเหมือนเพื่อนผู้หญิง |
สุดแต่มีอีทั้งปวงมันช่วงชิง | ให้นั่งนิ่งเป็นม่ายน่าอายใจ ฯ |
๏ ท้าวทศวงศ์ทรงพระสรวลว่าจวนค่ำ | ยังจะร่ำรื้อหึงไปถึงไหน |
พระตรัสพลางทางให้หาเสนาใน | มาสั่งให้จัดแจงแต่งเภตรา |
ทั้งเรือใช้ใหญ่น้อยสักร้อยถ้วน | ตั้งกระบวนปีกหางอย่างปักษา |
จะข้ามชลวนวังไปลังกา | ในเวลาตีสิบเอ็ดให้เสร็จการ ฯ |
๏ เสนาทราบกราบลารีบมาสั่ง | ให้เกณฑ์ทั้งมหาดไทยฝ่ายทหาร |
กรมท่าพาต้นหนพวกคนงาน | ลงแต่งกว้านเสารอกสายนอกใน |
ที่นั่งหงส์องอาจดูผาดเผ่น | เหมือนอย่างเป็นปีกหางระยางไสว |
ผ้าโมรีสีชาดเอาดาดใบ | มีปืนใหญ่หน้าท้ายปืนรายเรียง |
มีห้องกั้นบัลลังก์ที่นั่งเล่น | ประดับเป็นช่องกั้นชั้นเฉลียง |
พวกเสนีรี้พลขนเสบียง | ลงพร้อมเพรียงไพร่นายรายระวาง |
ทอดประจำลำทรงตรงฉนวน | ตั้งกระบวนแบบหัดไม่ขัดขวาง |
เป็นทัพหงส์องอาจผาดนภางค์ | มีปีกหางครบถ้วนกระบวนบิน ฯ |
๏ ฝ่ายห้ามแหนแสนสุรางค์นางสนม | ถ้วนทุกกรมรู้ทั่วเตรียมตัวสิ้น |
เสื่อที่นอนหมอนรองเครื่องของกิน | ล้วนใส่ปิ่นโตตั้งกำบังมิด |
ขี้เกียจกล่าวชาววังล้วนรังแต่ง | กระแจะแป้งเป็นต้นด้วยสนจิต |
แหนบมีดพับกับหวีคู่ชีวิต | ไปไหนติดตัวนางไม่ห่างกาย |
ท่านท้าวนางต่างหาสินค้าของ | ใส่สำรองปากเรือไว้เผื่อขาย |
จะซื้อเครื่องเมืองฝรั่งทั้งผ้าลาย | มาจำหน่ายเมืองเราเอากำไร |
ต่างเรียกหาข้าคนมาขนของ | จนย่ำฆ้องคบกระจ่างสว่างไสว |
บ้างลืมเสื่อเสื้อผ้าบ้างมาไป | ออกขวักไขว่แซ่เสียงจนเที่ยงคืน ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมแก้วเกษราเวลาค่ำ | ยิ่งโศกซ้ำโศกาไม่ฝ่าฝืน |
คิดถึงองค์ทรงธรรม์สู้กลั้นกลืน | ทุกค่ำคืนเคยอยู่เป็นคู่ครอง |
โอ้ครั้งนี้อีฝรั่งมันขังรัก | ให้ลับพักตร์ผ่านเกล้าจะเศร้าหมอง |
เมื่อไรพระจะได้มาเห็นหน้าน้อง | แต่ตรึกตรองตรมจิตไม่นิทรา |
จนสิบทุ่มรุ่มร้อนอาวรณ์เทวษ | น้ำพระเนตรพร่างพรายทั้งซ้ายขวา |
สู้ฝืนองค์นงลักษณ์สรงพักตรา | มาเตรียมคอยพระบิดาจะคลาไคล ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์อรุณรัศมี | พระบุตรีมัวหมองไม่ผ่องใส |
ด้วยบิตุเรศเชษฐาที่อาลัย | ไปหลงใหลล้นเหลือเบื่ออารมณ์ |
ไปครั้งนี้อีฝรั่งช่างชะอ้อน | จะขอดค่อนด่าว่าให้สาสม |
แต่สู้ขืนกลืนแค้นด้วยแสนตรม | นิ่งบรรทมมิใคร่หลับนึกอับอาย |
จนจวนแจ้งแต่งองค์สรงสนาน | พนักงานเครื่องต้นสุคนธ์ถวาย |
สำอางองค์ทรงเครื่องแล้วเยื้องกราย | เจ้าขรัวนายพี่เลี้ยงเคียงประคอง |
ข้าหลวงเหล่าสาวสุรางค์นางน้อยน้อย | เชิญเครื่องคอยกราบก้มประนมสนอง |
เสด็จมาสู่หน้ามนเทียรทอง | คอยท่าสองภูบาลกับมารดา ฯ |
๏ สมเด็จท้าวทศวงศ์ดำรงราชย์ | ตื่นไสยาสน์โสรจสรงทรงภูษา |
ประดับเครื่องเรืองงามตามชรา | ทรงมหามงกุฎแก้วดูแวววาว |
มเหสีมียศยังสดชื่น | นุ่งลายพื้นเขียวตองห่มกรองขาว |
พระธำมรงค์วงรายพรอยพรายพราว | ดูเหมือนสาวสุดสะอาดระวาดระไว |
ครั้นพร้อมเสร็จเสด็จออกมานอกห้อง | ตรัสชวนสองกษัตราอัชฌาสัย |
พร้อมห้ามแหนแสนสนมกรมใน | พระคลาไคลไปลงเรือหงส์ทอง |
พระธิดานารีบุตรีนั้น | อยู่ห้องกั้นบัลลังก์มีทั้งสอง |
พร้อมแสนสาวชาวแม่ต่างแซ่ซ้อง | อยู่ตามห้องหีบหมอนที่นอนเรียง |
พอได้ฤกษ์เบิกอรุณขุนทหาร | ตีฆ้องขานโห่ลั่นสนั่นเสียง |
ทั้งหน้าหลังสังข์แตรแซ่สำเนียง | ออกรายเรียงลำสล้างมากลางชล |
ทั้งเรือใช้ใหญ่น้อยแปดร้อยถ้วน | เดินกระบวนเป็นลำดับไม่สับสน |
ออกชะวากปากมหาชลาวน | พวกต้นหนหันเข็มตั้งไปลังกา |
พอลมดีคลี่ใบขึ้นใส่รอก | ต่างแล่นออกอ่าวรายทั้งซ้ายขวา |
ถึงน้ำเขียวเปลี่ยวใจนัยนา | เห็นแต่ฟ้าสุดสูงสิ้นฝูงนก |
ออกน้ำลึกครึกครื้นด้วยคลื่นคลุ้ม | กลิ้งมาทุ่มเรือกำปั่นให้หันหก |
ที่นั่งหงส์กงวานสะท้านสะทก | ท้าวเธอตกพระทัยกระไรเลย |
เข้าในห้องร้องเตือนนางห้ามว่า | ภาวนานะชาววังอย่านั่งเฉย |
สาวสนมกรมในล้วนไม่เคย | แม่เจ้าเอ๋ยลูกไม่รอดลงทอดตัว |
บ้างซบเซาเมาทะเลโซเซล้ม | พะอืดพะอมอาเจียนวิงเวียนหัว |
ต่างเข้าห้องร้องไห้ด้วยใจกลัว | แม้มีผัวแล้วจึงตายไม่อายเลย |
มาทะเลเหลืออายต้องตายดิบ | จะลอยลิบไปในน้ำแล้วกรรมเอ๋ย |
เขาว่ายวางอย่างไรเราไม่เคย | ที่ไหนเลยลูกจะได้กลับไปวัง |
บ้างตัวสั่นงันงกตกประหม่า | ภาวนาในใจจะไม่ขลัง |
คุณพระช่วยด้วยเจ้าข้าว่าดังดัง | ด้วยกำลังกลัวตายไม่อายใคร |
พอพลบค่ำคล้ำมัวทั่วทุกทิศ | ยิ่งมืดมิดมิ่งขวัญประหวั่นไหว |
น้ำกระจายพรายแดงดังแสงไฟ | แล่นมาในแนวคลื่นทุกคืนวัน ฯ |
๏ จะกลับกล่าวเจ้าพาราการะเวก | อดิเรกเรืองเดชทุกเขตขัณฑ์ |
ออกอมาตย์มาตยาเวลานั้น | พอราชมัลนำผู้ถือหนังสือมา |
ทูลแถลงแจ้งข่าวว่าหน่อนาถ | บังคมบาทบอกเหตุพระเชษฐา |
ทั้งสี่องค์หลงคลั่งอยู่ลังกา | ทราบสาราร้อนใจดังไฟฮือ |
ชะความรู้ผู้หญิงดีจริงหนอ | หน่วงเอาหมอไปได้มิใช่หรือ |
เราเห็นเหตุเภทผลแต่ต้นมือ | ลูกอ่อนถือหนังเสือเหลืองเครื่องสิทธา |
เมื่อหนุ่มสาวราวกับไฟใกล้ดินหู | สุดจะสู้ศึกรักนั้นหนักหนา |
พระตรัสพลางทางถามขุนโหรา | ให้ชำระพระชาตาสุดสาคร ฯ |
๏ โหรบังคมก้มตรึกรำลึกโฉลก | ลงเลขโชควิภังค์เข้าสังหรณ์ |
อังคารรึงตรึงทับพระจันทร | ชลีกรกราบก้มบังคมทูล |
พระเคราะห์องค์ทรงยศโอรสร้าย | ถึงอับอายอานุภาพเพียงสาบสูญ |
ผู้ทรงธรรมสมณะจะอนุกูล | ให้เพิ่มพูนภิญโญเดโชชัย ฯ |
๏ พระฟังคำทำนายเคยทายแน่ | สงสารแต่เดี๋ยวนี้กรรมจะทำไฉน |
ยิ่งตรึกตราอาวรณ์ร้อนฤทัย | กลับเข้าในมนเทียรวิเชียรพราย |
จึงบอกองค์นงลักษณ์อัคเรศ | เหมือนอย่างเหตุหนหลังสิ้นทั้งหลาย |
มเหสีดังชีวีจะวางวาย | แสนเสียดายลูกยาสุดสาคร |
อยู่ที่นี่ดีจริงหล่อนนิ่งเฉย | แม่เจ้าเอ๋ยอีฝรั่งมันช่างสอน |
แม้ภูวไนยไม่ช่วยคงม้วยมรณ์ | จะผันผ่อนโปรดปรานประการใด ฯ |
๏ พระฟังนางทางว่าพี่ปรารภ | ไม่เคยพบเคยเห็นเป็นไฉน |
นึกจะข้ามตามไปเองก็เกรงใจ | ด้วยพระอภัยเข้าไปอยู่ในบูรี |
แต่นงลักษณ์อัคเรศอยู่เขตค่าย | เราเป็นชายไปถึงพระมเหสี |
จะพูดจาปราศรัยก็ไม่ดี | ครั้นจะมิเจรจาก็น่าชัง |
ซึ่งดีชั่วทั่วโลกไม่เล็งเห็น | เกลือกจะเป็นรอยร้ายไปในภายหลัง |
จะแต่งให้ใครข้ามตามไปฟัง | ก็คิดยังไม่เห็นใครจะไปเลย ฯ |
๏ ฝ่ายนางจันทวดีโศกีร่ำ | โอ้กรรมกรรมใครจะแก้เจ้าแม่เอ๋ย |
จะคลุ้มคลั่งอย่างไรเจ้าไม่เคย | เมื่อไรเลยลูกยาจะมาวัง |
แม่รักเท่าเสาวคนธ์มาจนใหญ่ | หรือจะไปลิบลับไม่กลับหลัง |
สะอื้นอ้อนอ่อนองค์ทรงกำลัง | คิดความหลังขึ้นมาทูลสามี |
ท่านทิศาปาโมกข์โลกเชษฐ์ | ผู้วิเศษสัตย์ซื่อเหมือนฤๅษี |
ชันษากว่าร้อยยี่สิบปี | เห็นท่วงทีท่านจะรู้เรื่องบูราณ |
เชิญไปด้วยช่วยพระหน่อวรนาถ | ให้หายขาดคืนเขตนิเวศน์สถาน |
พระตรัสตอบชอบอยู่ครูอาจารย์ | ท่านเชี่ยวชาญชาวเมืองย่อมเลื่องลือ |
แล้วเป็นครูสืบวงศ์พงศ์กษัตริย์ | จนถัดถัดมาถึงเราเล่าหนังสือ |
อายุยืนตื้นลึกได้ฝึกปรือ | ทั้งสัตย์ซื่อไม่สอพลอพูดล่อลวง |
ครั้งแผ่นดินปิ่นเกล้าพระเจ้าปู่ | ให้ตึกอยู่ตามควรในสวนหลวง |
จะไปหามาเหมือนเหล่าเขาทั้งปวง | เป็นที่ล่วงเกินครูรู้วิชา |
พี่จะไปให้ถึงจึงจะชอบ | ได้นบนอบตามจริตเป็นศิษย์หา |
วันนี้ไปไม่ควรจวนเวลา | ต่อรุ่งพระสุริยาจึงคลาไคล ฯ |
๏ ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์ยิ่งหม่นหมอง | คิดถึงน้องถึงพี่ป่านนี้ไฉน |
นางนึกแค้นอีฝรั่งยิ่งคลั่งใจ | สะอื้นไห้ฮักฮักซบพักตรา |
แล้วทูลองค์ทรงฤทธิ์บิตุเรศ | ลูกฟังฟังสังเวชพระเชษฐา |
ได้เป็นพี่มีคุณขอทูลลา | ไปพามาเสียให้พ้นพวกคนพาล ฯ |
๏ ทั้งสององค์ทรงฟังพระลูกรัก | ไม่รู้จักเดียงสาน่าสงสาร |
ดูสัตย์ซื่อถือเหมือนสาวคราวโบราณ | จะทัดทานก็เหมือนสอนให้งอนความ |
อนึ่งแก้วแคล้วคลาดก็คาดอยู่ | เคยรบสู้ศึกเสร็จไม่เข็ดขาม |
ถ้าครั้งนี้มิให้ไปก็ไม่งาม | ต้องปล่อยตามวาสนาประสาเคย |
ดำริพลางทางว่าบิดานี้ | มิรู้ที่พูดถูกเลยลูกเอ๋ย |
ตามแต่ใจพ่อไม่ห้ามดอกทรามเชย | ด้วยเจ้าเคยไปไหนไปด้วยกัน |
แต่ครั้งนี้พี่เขาเห็นว่าเป็นสาว | จึงว่ากล่าวแกล้งให้อยู่ไอศวรรย์ |
จะตามไปไกลเนตรต่างเขตคัน | พ่อคิดพรั่นเพราะเป็นหญิงนี้สิ่งเดียว |
จะวอนวานท่านปาโมกข์โลกเชษฐ์ | ผู้วิเศษไสยศาสตร์ฉลาดเฉลียว |
ไปด้วยเจ้าคราวนี้ก็ดีเจียว | ร่วมลำเดียวจะได้ถามความโบราณ |
แล้วท้าวหาข้าเฝ้าเข้ามาสั่ง | เร่งจัดทั้งนาวาโยธาหาญ |
ที่นั่งใหญ่ให้ธิดากับอาจารย์ | ไปแก้การกลฝรั่งเมืองลังกา ฯ |
๏ มนตรีกราบทราบความตามรับสั่ง | ออกจากวังนั่งริมโรงทิมขวา |
ให้เสมียนเขียนหมายจ่ายโยธา | ทั้งข้างหน้าข้างในตามใหญ่น้อย |
พวกขุนนางต่างทำตามตำแหน่ง | บ้างเปลี่ยนแปลงเชือกใบเครื่องใช้สอย |
ที่เรือใช้ไพร่ประจำลำละร้อย | บ้างรีบถอยเรือแพออกแซ่ซ้อง |
ทั้งนายไพร่พร้อมหน้ากันว้าวุ่น | ชุลมุนเอิกเกริกเบิกข้าวของ |
ที่คร่ำคร่ายาชันกันใต้ท้อง | ที่เป็นช่องตอกหมันกันข้อเกร็ง |
ทำห้องหับจับรั่วต่างตั้งสิว | โซมตั้งอิ้วเขียนฝาหลังคาเก๋ง |
ที่บ่าวไพร่ไม่มาด่าระเบง | ระดมเร่งสารวัตรรีบจัดการ |
ที่นั่งครุฑบุษบกยาวหกเส้น | ดูผาดเผ่นเรี่ยวแรงกำแหงหาญ |
ห้องสุวรรณบัลลังก์ดังวิมาน | สูงตระหง่านงามสง่าในสาคร |
ทั้งเรือน้อยร้อยถ้วนกระบวนแห่ | มาลอยแลคั่งคับสลับสลอน |
เหล่าล้าต้าต้นหนพลนิกร | ล้วนเคยจรเจนทางกลางทะเล |
มาทอดท่าหน้าฉนวนพอจวนค่ำ | ที่ลางลำลมปั่นให้หันเห |
บ้างน้ำเชี่ยวเหนี่ยวพวนอยู่รวนเร | เสียงฮาเฮโห่ร้องก้องโกลา ฯ |
๏ จนรุ่งสายฝ่ายพระองค์ดำรงราชย์ | ตื่นไสยาสน์โสรจสรงทรงภูษา |
พร้อมสุรางค์นางนาฏราชธิดา | เครื่องบูชาจานทองล้วนรองพาน |
ทั้งแก้วแหวนแทนข้าวตอกกับดอกไม้ | ตามวิสัยกษัตรามหาศาล |
ครั้นสรรพเสร็จเสด็จมาหน้าพระลาน | มนตรีกรานกราบก้มบังคมคัล |
พระทรงอาสน์ราชยานทหารแห่ | พระแสงแส้เครื่องยศพระกลดกั้น |
สองพระองค์ทรงวอจรจรัล | ฝูงกำนัลแวดล้อมมาพร้อมเพรียง |
มาตามทางหว่างฉนวนถึงสวนหลวง | ไพร่ทั้งปวงอยู่ต่างหากห้ามปากเสียง |
นางสาวสาวชาววังเที่ยวนั่งเมียง | ตำรวจเรียงรายห้ามตามทำนอง ฯ |
๏ จอมกษัตริย์ตรัสชวนนางนงลักษณ์ | กับลูกรักพนักงานเชิญพานของ |
เข้าในสวนล้วนแผ่นศิลารอง | พระพาสองนางเดินดำเนินชม ฯ |
๏ ฝ่ายทิศาปาโมกข์โลกเชษฐ์ | เป็นพราหมณ์เทศเทวฤทธิ์อิศยมภ์ |
มีสมบัติพัสถานพานอุดม | แต่อารมณ์ไม่สู้รักด้วยมักน้อย |
ตึกประทานบ้านตั้งหลังสวนหลวง | ทาสทั้งปวงจัดไว้พอใช้สอย |
แต่ท่านยายขายเพชรเมล็ดพลอย | อายุร้อยสิบเก้าแก่คราวกัน |
ดูรูปเห็นเป็นชราแต่หน้าอ่อน | ฟันไม่คลอนเลยทีเดียวเคี้ยวขยัน |
แต่ผมหงอกดอกจึงแลดูแก่ครัน | นอกกว่านั้นดีอยู่ทั้งหูตา ฯ |
๏ ออกหน้าหอตึกก่อใต้ต้นสน | เสียงผู้คนมากมายมองซ้ายขวา |
เห็นองค์ท้าวเจ้าประเทศเสด็จมา | พราหมณ์พฤฒาดีใจลงไปรับ |
เชิญพระองค์ตรงขึ้นบนตึกขวาง | มีหนทางทอดทำไว้สำหรับ |
พนักงานพานทองของคำนับ | ตั้งลำดับเรียงกันบนบัลลังก์ ฯ |
๏ สามกษัตริย์มัสการอาจารย์เฒ่า | แล้วท้าวเล่าเรื่องต้นแต่หนหลัง |
สุดสาครหล่อนประมาทจนพลาดพลั้ง | ไปงวยงงหลงฝรั่งเมืองลังกา |
ข้างบุตรีนี้เป็นน้องเฝ้าร้องไห้ | จะลาไปฟังเหตุพระเชษฐา |
ไม่มีใครไปช่วยคิดกับธิดา | เห็นแต่อาจารย์เจ้าเหมือนเผ่าพงศ์ |
แม้สบายหมายจะเชิญไปด้วยหลาน | ช่วยแก้การคุณไสยด้วยใหลหลง |
ช่วยดูทีพี่น้องทั้งสององค์ | จะสืบวงศ์ได้บ้างหรืออย่างไร ฯ |
๏ ฝ่ายทิศาปาโมกข์โลกเชษฐ์ | ทรงไตรเพทพิทยาภาษาไสย |
สังเกตยามตามนวางศ์เป็นทางใน | เห็นจะได้คืนคงสืบพงศ์พันธุ์ |
จึงเคารพนบนอบตอบสนอง | พระคุณของสองกษัตริย์ดังฉัตรกั้น |
ได้อยู่เย็นเป็นสุขทุกคืนวัน | เพราะพระองค์ทรงธรรม์ทศพิธ |
เสด็จมาหาหม่อนฉานถึงบ้านช่อง | พระคุณของทรงศักดิ์เป็นอักนิษฐ์ |
ข้าพเจ้าเล่าก็มีแต่ชีวิต | ย่อมคงคิดกตัญญูรู้พระคุณ |
แต่ฝรั่งครั้งนี้ใช้ผีหญิง | เข้าแทรกสิงเสียทีเดียวให้เฉียวฉุน |
ลงลึกซึ้งถึงกระดูกดังถูกคุณ | นี่หากบุญของพระหน่อไม่มรณา |
อยู่ในวังรังควานประมาณมาก | เห็นแสนยากยิ่งนักจะรักษา |
แก้ไม่หายฝ่ายหมอจะมรณา | จะอุสาห์สาพิภักดิ์ไปสักครั้ง |
กับท่านยายฝ่ายวิชามารยาหญิง | ทราบทุกสิ่งมาแต่สาวเมื่อคราวหลัง |
ไปด้วยกันนั้นจะได้เข้าในวัง | ดูกำลังลมเล่ห์เสน่ห์ใน |
แล้วเพ่งพิศธิดาเจ้าการะเวก | เป็นองค์เอกเอี่ยมอ่องดูผ่องใส |
นรลักษณ์อัคเรศเกศกรุงไกร | แต่เป็นไฝแฝงโอษฐ์จะโกรธร้าย |
ดูราศรีปีหน้าชาตาตก | จะกระกรกกระกรำระส่ำระสาย |
จึงทูลความตามตำราพฤฒาทาย | พระเคราะห์ร้ายครั้งนี้ทั้งพี่น้อง |
จึงเผอิญเหินห่างให้ร้างเริศ | ประดักประเดิดเดินหนต้องหม่นหมอง |
เมื่อปลายมือรื้อกระเดื่องจะเรืองรอง | ได้ครอบครองสุริย์วงศ์สืบพงศ์พันธุ์ ฯ |
๏ ท้าวฟังคำทำนายค่อยวายเศร้า | ด้วยครูเฒ่าถึงเอกไม่เสกสรร |
จึงว่าผู้รู้วิชาที่สามัญ | ไม่เทียมทันชันษาท่านอาจารย์ |
จะเปรียบรู้ผู้ใดไม่มีเทียบ | ปัญญาเปรียบสมุทรไทอันไพศาล |
จึงรู้รอบขอบฟ้าจักรวาล | ช่วยตามหลานรับมาอยู่ธานี |
คุณยายได้ไปด้วยช่วยหลานสาว | พึ่งรุ่นราวไม่รู้ว่าประสาประสี |
ช่วยสั่งสอนหล่อนให้เรียบระเบียบดี | เย็นวันนี้เชิญไปลงลำทรงนาง |
แล้วโอภาปราศรัยอภัยโทษ | เหมือนได้โปรดทั้งสองเมื่อหมองหมาง |
แล้วท้าวลาตาพราหมณ์อวยพรพลาง | พาสองนางกลับหลังเข้าวังใน ฯ |
๏ ฝ่ายสาวสาวเหล่าข้าหลวงที่เลือกจัด | ล้วนเคร่งครัดกิริยาอัชฌาสัย |
จะได้ตามพระบุตรีต่างดีใจ | บ้างลงไปคอยท่าอยู่หน้าแพ |
พอบ่ายคล้อยหน่อยหนึ่งจะถึงฤกษ์ | เสียงเอิกเกริกเรียกเร่งกันเซ็งแซ่ |
เรือที่นั่งตั้งขนัดอยู่อัดแอ | ต่างคอยแลดูเสด็จให้เสร็จการ ฯ |
๏ ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์วิมลโฉม | สระสรงโซมมุรธากระยาสนาน |
ประดับเครื่องเรืองจำรัสชัชวาล | เหมือนชายชาญเชิงณรงค์ทรงสำอาง |
แล้วลงมาหน้าโรงสิงโตเลี้ยง | ด้วยอยู่เคียงปรางค์รัตน์ไม่ขัดขวาง |
เคยป้อนข้าวเช้าเย็นไม่เว้นวาง | ร้องเรียกนางสิงโตวิ่งโผมา |
เข้าเคล้าเคลียเลียชงฆ์นางนงลักษณ์ | ด้วยรู้จักแจ้งความตามภาษา |
นางรับมิ่งสิ่งขวัญจำนรรจา | น้องจะพาไปเป็นเพื่อนเหมือนชีวัน |
อย่าเศร้าสร้อยน้อยใจไปกับน้อง | นางสิงห์ร้องเหมือนจะรับขยับหัน |
นางเรียกมาหน้าปรัศว์อัฒจันทร์ | พร้อมกำนัลน้อยน้อยคอยธิดา ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงศักดิ์กับอัคเรศ | บ่ายโมงเศษสระสรงทรงภูษา |
พร้อมพระวงศ์พงศ์กษัตริย์ขัตติยา | กับธิดามาหยุดพักตำหนักชล |
คอยอาจารย์ท่านครูเป็นผู้ใหญ่ | จะมาให้ฤกษ์พาสถาผล |
สิงโตทรงนงเยาว์เสาวคนธ์ | เข้าปะปนหมอบเมียงอยู่เคียงนาง ฯ |
๏ ฝ่ายทิศาปาโมกข์ทั้งเมียผัว | ต่างแต่งตัวสระหวีเกศีสาง |
ถึงผมขาวเกล้ามวยสวยสำอาง | ประพฤติอย่างพราหมณ์พรตดาบสนี |
สวมประคำสำหรับร่ายพระเวท | ห่มเศวตพัสตร์ผ่องละอองศรี |
แล้วเจิมพักตร์อักขระพระศุลี | เด็กถือกลี่กล่องย่ามมีสามคน |
ออกเดินตามงามสง่าประสาแก่ | ขึ้นขี่แคร่คนหามตามถนน |
ลงฉนวนส่วนสมเด็จพระภูวดล | เชิญนั่งบนเจียมรองทั้งสองรา |
ต่างอำนวยอวยพรถาวรสวัสดิ์ | ทั้งกษัตริย์สุริย์วงศ์เผ่าพงศา |
พอฤกษ์ดีตีฆ้องสองพฤฒา | นำธิดาลงบัลลังก์ที่นั่งครุฑ |
ประโคมฆ้องกลองแตรอยู่แซ่เสียง | ออกเรือเรียงรายสล้างกลางสมุทร |
เสียงโห่ร้องก้องบุรินทร์เพียงดินทรุด | ต่างล่องรุดเรียงมาตามวารี ฯ |
๏ พอออกจากปากอ่าวลมว่าวส่ง | ที่นั่งทรงล้วนแต่ใบแพรสี |
ทั้งเรือน้อยลอยลำได้ลมดี | ต่างก็คลี่ใบแล่นตามแผนทาง |
พวกนายท้ายหมายเกาะลังกาทวีป | ออกแล่นรีบเร็วรัดไม่ขัดขวาง |
ข้าหลวงเหล่าสาวสรรค์กำนัลนาง | นั่งท้าวคางบ้างก็เอกเขนกพิง |
บ้างแอบเพื่อนเหมือนหนึ่งน้องประคองปลอบ | ชวนชื่นชอบชมชลาประสาหญิง |
บ้างเบียดผลักควักค้อนชะอ้อนอิง | บ้างช่วงชิงที่นั่งทำรังแก ฯ |
๏ ฝ่ายทิศาปาโมกข์อยู่ห้องท้าย | ข้างท่านยายเคียงข้างไม่ห่างแห |
เห็นกุ้งกั้งมังกรสลอนแล | ประสาแก่กอดเข่านั่งเฝ้ามอง ฯ |
๏ ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์วิมลโฉม | งามประโลมเลิศสตรีไม่มีสอง |
เมื่อจากพี่วิบัติพลัดพระน้อง | พระพักตร์ผ่องมัวเหมือนเดือนพยับ |
อยู่แท่นทองห้องกลางกระจ่างกระจก | บุษบกบัลลังก์บังสลับ |
พอเวลาภานุมาศลีลาศลับ | ดูดังดับดวงลงในคงคา ฯ |
๏ โอ้เมื่อครั้งพรั่งพร้อมพระน้องพี่ | เคยชวนชี้ชมสัตว์หมู่มัจฉา |
เคยคิดบอกดอกสร้อยสักวา | คราวนี้มาเหงาเงียบระเยียบเย็น |
น้องแลรอบขอบฟ้าสาคเรศ | ทุกขอบเขตแขวงแควไม่แลเห็น |
นี่เนื้อเคราะห์เพราะกรรมให้จำเป็น | ต้องยากเย็นแยกย้ายพลัดพรายกัน ฯ |
๏ นางครวญคร่ำรำลึกดึกสงัด | น้ำค้างหยัดหยิมหยิมเมื่อคิมหันต์ |
โอ้อกเอ๋ยยามหนาวเมื่อคราวนั้น | เคยเบียดกันบรรทมเมื่อลมเชย |
นี่หนาวใจไม่มีที่จะพลอด | ใครจะกอดน้องเล่าลมว่าวเอ๋ย |
อย่าพัดต้องน้องรักนี้หนักเลย | น้องไม่เคยนอนหนาวให้เปล่าใจ |
ถึงผู้คนอักนิษฐ์ในจิตเปลี่ยว | เหมือนมาเดียวดังจะพาน้ำตาไหล |
โอ้พระจันทร์ดั้นฟ้าขึ้นมาไย | น้องมิได้ชมจันทร์แล้ววันนี้ |
น้อยหรือดาววาววามอร่ามแสง | กระจ่างแจ้งแจ่มฟ้าทั่วราศี |
น้องอยากดูอยู่แต่ไม่มีใครชี้ | โอ้พระพี่เอ๋ยช่างไม่อาลัยน้อง |
ป่านฉะนี้พี่จะนึกรำลึกเหมือน | หรือมีเพื่อนปรีดิ์เปรมเกษมสอง |
พระเชษฐาน่าจะอยู่กับคู่ครอง | แต่พระน้องจะอยู่ไหนก็ไม่รู้ |
แค้นพระพี่มีเมียเสียแต่เล็ก | ดูดังเด็กแข็งคดไม่อดสู |
อีคนไรใครที่รักกับพี่กู | จะได้ดูน้ำหน้าด่าให้ยับ |
ยิ่งแค้นคั่งนั่งนึกสะอึกสะอื้น | จนดึกดื่นดาวเคลื่อนทั้งเดือนดับ |
ไม่หลับใหลไสยาสน์ให้หวาดวับ | จนฟ้าจับแสงทองผ่องโพยม ฯ |
๏ นางฟื้นองค์สรงชลสุคนธรส | นั่งชั้นลดร่มรื่นให้ชื่นโฉม |
คอยแลดูสุริยงดังวงโคม | แย้มโพยมปริ่มน้ำขึ้นรำไร |
ประเดี๋ยวหนึ่งครึ่งดวงขึ้นช่วงแสง | เป็นดวงแดงวงกระจ่างสว่างไสว |
เห็นอื่นอื่นรื่นเริงบรรเทิงใจ | ชวนสาวใช้ชมปลาประสาสบาย |
ด้วยสาวรุ่นฉุนเฉียวประเดี๋ยวหนึ่ง | ครั้นตรัสถึงเล่นสนุกก็ทุกข์หาย |
ไม่เหมือนตัวผัวเมียเขาเสียดาย | บ่นน้ำลายฟูมปากด้วยอยากพบ |
แล่นเภตรามากับครูผู้วิเศษ | จึงหายเหตุคลื่นลมระงมสงบ |
ถึงฟากฝั่งลังกามหรณพ | พอบรรจบรมจักรนัครา ฯ |
๏ ท้าวทศวงศ์ตรงขึ้นตั้งอยู่วังใหม่ | ทั้งนายไพร่รมจักรอยู่รักษา |
นางเสาวคนธ์ขึ้นประทับอยู่พลับพลา | ต่างรู้ว่าวงศ์วานสำราญใจ |
โฉมเฉลาเสาวคนธ์วิมลพักตร์ | องค์เอกอัครธิดาอัชฌาสัย |
จึงชวนเหล่าสาวสรรค์กำนัลใน | เสด็จไปอัญชลีทั้งสี่องค์ ฯ |
๏ สมเด็จท้าวเจ้าเมืองรมจักร | เห็นนงลักษณ์เลิศล้วนนวลหง |
จึงปราศรัยไต่ถามถึงนามวงศ์ | ครั้นทราบสงสารนางอย่างนัดดา |
ยังเด็กนักรักพี่เป็นที่ยิ่ง | ไม่ทอดทิ้งทุกข์เทวษด้วยเชษฐา |
ฝ่ายนงลักษณ์อัคเรศเกษรา | ขยับมานั่งชิดด้วยคิดรัก |
แม่อ่อนกว่าอรุณรัศมี | จงเป็นพี่น้องกันเถิดประเสริฐศักดิ์ |
พลางโลมลูบจูบจอมถนอมพักตร์ | ด้วยความรักร่วมจิตเหมือนธิดา |
ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์วิมลสมร | รู้โอนอ่อนฝากองค์เหมือนวงศา |
ขอพึ่งบุญชนนีพระพี่ยา | กรุณาสั่งสอนด้วยอ่อนความ ฯ |
๏ ฝ่ายอรุณรัศมีอารีรัก | ด้วยสมศักดิ์สุภาพไม่หยาบหยาม |
ต่างปราศรัยไพเราะเสนาะความ | ด้วยสองทรามรุ่นรักรู้จักกัน |
จนเย็นจวนชวนน้องเข้าห้องหับ | อยู่นอนหลับชื่นชวนกันสรวลสันต์ |
สมทบเหล่าสาวสุรางค์นางกำนัล | อยู่ด้วยกันเมืองใหม่ใกล้ทรงยศ ฯ |
๏ ฝ่ายห้ามแหนแสนสนมเมืองรมจักร | แต่ล้วนนักเลงเพื่อนเหมือนกันหมด |
ด้วยเมื่ออยู่บูรีภิรมย์รส | เพราะท้าวทศวงศาไม่ว่าไร |
จนเคยเล่นเป็นธรรมเนียมนางรมจักร | ทั้งร่วมรักร่วมชีวิตพิสมัย |
กลางคืนเที่ยวเกี้ยวเพื่อนออกเกลื่อนไป | เป็นหัวไม้ผู้หญิงลอบทิ้งกัน |
เห็นสาวสาวชาวเมืองการะเวก | ที่เอี่ยมเอกต้องใจจนใฝ่ฝัน |
แกล้งพูดพลอดทอดสนิทเข้าติดพัน | ทำเชิงชั้นชักชวนให้ยวนใจ ฯ |
๏ พวกพาราการะเวกไม่รู้เล่น | คิดว่าเช่นซื่อตรงไม่สงสัย |
ต่อถูกจูบลูบต้องทำนองใน | จึงติดใจไม่หมายให้ชายเชย |
หนุ่มหนุ่มเกี้ยวเบี้ยวบิดไม่คิดคบ | เหตุเพราะสบเชิงเพื่อนจึงเชือนเฉย |
แต่เมืองเราชาวบุรีนี้ไม่เคย | อย่าหลงเลยเล่นเพื่อนไม่เหมือนจริง |
อันรมจักรนัครากับการะเวก | อภิเษกเสนหาประสาหญิง |
ออกอื้ออึงหึงหวงเพราะช่วงชิง | ถึงลอบทิ้งทุบตีเพราะที่รัก ฯ |
๏ สมเด็จท้าวทศวงศ์ทรงวิตก | จะรีบยกไปลังกาอาณาจักร |
สั่งนายหมวดตรวจไพร่ให้พร้อมพรัก | ชวนลูกรักนัดดาสรงวารี |
แล้วแต่งองค์ทรงเครื่องเรืองระยับ | กระจ่างจับผิวผ่องละอองศรี |
พร้อมสุรางค์นางกำนัลพวกขันที | เสด็จลีลาเลยมาเกยลา ฯ |
๏ ท้าวทศวงศ์ทรงรถกับอัคเรศ | แล้วรถเกษราทรงกับวงศา |
ส่วนบุตรีพี่น้องสองสุดา | ร่วมรถาที่นั่งอลังกรณ์ |
พวกหม่อมห้ามงามยศขึ้นรถประเทียบ | นั่งพับเพียบพิงพนักเยี่ยมพักตร์สลอน |
ทั้งหน้าหลังตั้งถ้วนกระบวนจร | เดินนิกรกองทัพสลับพล ฯ |
๏ ท่านทิศาปาโมกข์กับเมียแก่ | ขึ้นขี่แคร่นำทางไปกลางหน |
สิงโตทรงนงเยาว์เสาวคนธ์ | พลอยเดินปนชาววังตามหลังรถ |
ทหารแห่แตรสังข์ประดังเสียง | เครื่องสูงเรียงฉัตรกรรชิงทั้งกลิ้งกลด |
ต้องขึ้นเนินเดินหว่างกลางบรรพต | เสียงกงรถเหล็กดังกึงกังโกง |
กระทบหินบิ่นบิบ้างลิแหลก | งอนแปรกเพลาพนักแตกหักโผง |
ถึงโกรกลงกงกลิ้งวิ่งโกรงโกรง | ต้องแย่งโยงเชือกด้วยช่วยกำลัง |
พอเข้าป่าสาลวันจักจั่นแจ้ | เสียงระเบงเซงแซ่กลบแตรสังข์ |
สุธาพื้นรื่นร่มพนมบัง | เป็นป่ารังรุกขชาติประหลาดมี |
บ้างผลิตดอกออกผลทุกต้นกิ่ง | บ้างตูมติ่งแตกประทับสลับสี |
ประดู่ออกดอกระย้าสารภี | มะลุลีลำดวนรำจวนใจ |
นางสาวสาวน้าวกิ่งชิงกันเก็บ | ให้นายเหน็บริมรถสดไสว |
นางห้ามแหนแสนสนมกรมใน | ต่างคว้าไขว่ปริงปรางไปข้างรถ |
พวกขอเฝ้าเจ้าข้างในแบกไม้สอย | ออกวิ่งร่อยรายหาบุปผาสด |
มาส่งให้พี่เลี้ยงเคียงประณต | อยู่ท้ายรถส่งถวายสายสุดใจ ฯ |
๏ ฝ่ายพระนุชบุตรีทั้งพี่น้อง | นั่งร้อยกรองตามประสาอัชฌาสัย |
อรุณร้อยสร้อยอ่อนซ้อนดอกไม้ | ประทานให้โฉลมเฉลาเสาวคนธ์ |
กนิษฐ์น้อยร้อยสังวาลแลบานพับ | ถวายกับเฟื่องห้อยแลสร้อยสน |
นางโฉมยงองค์อรุณร้อยกุณฑล | นางเสาวคนธ์ร้อยจอนซ้อนดอกจันทน์ |
อรุณน้อยร้อยตาบเป็นกาบกิ่ง | ประสาหญิงตรึงกลัดช่างจัดสรร |
ต่างประจงทรงอวดประกวดกัน | แล้วชมพรรณพฤกษาระย้าย้อย |
พวงพะยอมหอมรื่นดูชื่นสด | ลงระรถรวบหักไม่พักสอย |
ที่สูงลิบกลีบหล่นเวียนวนลอย | นกน้อยน้อยจับจิกดูพลิกแพลง |
ทั้งพลับพลวงม่วงปรางลูกลางสาด | มะตูมตาดแต่ละต้นพวงผลแฝง |
หญ้าฝรั่นจันทน์อินส่งกลิ่นแรง | สมุลแว้งแจงจวงร่วงเรณู |
ฝูงนกหกผกโผนโจนโจมจับ | บ้างขันรับร้องเรียกกันเพรียกหู |
นกโนรีสัตวาน่าเอ็นดู | เป็นคู่คู่เคล้าคลอจ้อเจรจา ฯ |
๏ ทั้งสองนางต่างคะนึงถึงพระพี่ | เคยพาทีไต่ถามนามปักษา |
มาจากน้องต้องข้ามติดตามมา | ชลนาคลอคลองทั้งสององค์ |
ทั้งอัคเรศเกษรามาบนรถ | โศกกำสรดเศร้าจิตพิศวง |
เหมือนมาเดียวเปลี่ยวใจอยู่ในดง | เฝ้าซบทรงโศกาถึงสามี ฯ |