- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๔๔)
- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๒๙)
- คำนำเมื่อพิมพ์ครั้งแรก
- ประวัติสุนทรภู่
- บันทึกเรื่องผู้แต่งนิราศพระแท่นดงรัง
- อธิบาย ว่าด้วยเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่
- ปกิรณะกะประวัติของสุนทรภู่
- ตอนที่ ๑ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา
- ตอนที่ ๒ นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๓ ศรีสุวรรณเข้าเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๔ ศรีสุวรรณพบนางเกษรา
- ตอนที่ ๕ ศรีสุวรรณเกี้ยวนางเกษรา
- ตอนที่ ๖ ศรีสุวรรณรบท้าวอุเทน
- ตอนที่ ๗ ศรีสุวรรณพยาบาลนางเกษรา
- ตอนที่ ๘ อภิเษกศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๙ พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อ
- ตอนที่ ๑๐ พระอภัยได้นางเงือก
- ตอนที่ ๑๑ นางสุวรรณมาลีไปเที่ยวทะเล
- ตอนที่ ๑๒ พระอภัยมณีพบนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๓ พระอภัยมณีโดยสารเรือนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๔ พระอภัยมณีเรือแตก
- ตอนที่ ๑๕ สินสมุทรโดยสารเรือโจรสุหรั่ง
- ตอนที่ ๑๖ สินสมุทรพบศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๑๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๑๘ พระอภัยมณีโดยสารเรืออุศเรน
- ตอนที่ ๑๙ พระอภัยมณีพบศรีสุวรรณกับสินสมุทร
- ตอนที่ ๒๐ สินสมุทรรบกับอุศเรน
- ตอนที่ ๒๑ พระอภัยมณีเกี้ยวนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๒ พระอภัยมณีครองเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๓ พระอภัยมณีอภิเษกกับนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๔ กำเนิดสุดสาคร
- ตอนที่ ๒๕ สุดสาครเข้าเมืองการะเวก
- ตอนที่ ๒๖ อุศเรนตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๗ เจ้าละมานตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๘ สุดสาครตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๒๙ ศึกเก้าทัพตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๓๐ พระอภัยมณีตีเมืองใหม่
- ตอนที่ ๓๑ พระอภัยมณีพบนางละเวง
- ตอนที่ ๓๒ ศรีสุวรรณอาสาตีด่านดงตาล
- ตอนที่ ๓๓ ย่องตอดสะกดทัพ
- ตอนที่ ๓๔ นางละเวงคิดหย่าทัพ
- ตอนที่ ๓๕ พระอภัยติดท้ายรถ
- ตอนที่ ๓๖ พระอภัยมณีทำผูกคอตายได้นางละเวง
- ตอนที่ ๓๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๓๘ นางสุวรรณมาลีข้ามไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๓๙ นางสุวรรณมาลีมีสารตัดพ้อ
- ตอนที่ ๔๐ สุดสาครถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๔๑ นางสุวรรณมาลีหึงหน้าป้อม
- ตอนที่ ๔๒ หัสไชยแก้เสน่ห์
- ตอนที่ ๔๓ นางเสาวคนธ์ยิงแก้ม
- ตอนที่ ๔๔ กษัตริย์สามัคคี
- ตอนที่ ๔๕ นางเสาวคนธ์ขุดโคตรเพชร
- ตอนที่ ๔๖ พระอภัยมณีกลับเมือง
- ตอนที่ ๔๗ อภิเษกสินสมุทร
- ตอนที่ ๔๘ นางเสาวคนธ์หนี
- ตอนที่ ๔๙ นางเสาวคนธ์แปลงเป็นฤๅษี
- ตอนที่ ๕๐ นางเสาวคนธ์ได้เมืองวาหุโลม
- ตอนที่ ๕๑ สุดสาครตามนางเสาวคนธ์
- ตอนที่ ๕๒ พระอภัยมณีทำศพท้าวสุทัศน์
- ตอนที่ ๕๓ มังคลาครองเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๔ มังคลาชิงโคตรเพชร
- ตอนที่ ๕๕ มังคลาจับนางสุวรรณมาลีและท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๖ หัสไชยตีด่านเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๗ สุดสาครรบมังคลา
- ตอนที่ ๕๘ นางละเวงวัณฬาช่วยนางสุวรรณมาลีแลท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๙ พระอภัยมณีศรีสุวรรณไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๐ พระอภัยมณีรบกับมังคลา
- ตอนที่ ๖๑ สังฆราชบาทหลวงเผาเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๒ พระอภัยเข้าเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๓ อภิเษกหัสไชย
- ตอนที่ ๖๔ พระอภัยมณีออกบวช
- ตอนที่ ๖๕ พระบาทหลวงพาพระมังคลาหนีทัพไปเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๖๖ วลายุดาครองเมืองสินชัย
- ตอนที่ ๖๗ วายุพัฒน์เป็นอุปราชเมืองเซ็น
- ตอนที่ ๖๘ หัสกันครองเมืองสุลาลัย
- ตอนที่ ๖๙ พระอภัยมณีเยี่ยมศพนางมณฑา
- ตอนที่ ๗๐ พระมังคลายกทัพเรือมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๗๑ นางรำภา นางยุพาผกาและนางสุลาลีวันออกรบ
- ตอนที่ ๗๒ สุดสาคร สินสมุทรรบกับพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๓ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันเข้าเฝ้าศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๗๔ ทัพพันธมิตรเมืองกำพลเพชรยกมาช่วยพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๕ พระมังคลาล่าทัพไปถึงเกาะกาหวี
- ตอนที่ ๗๖ ทหารเมืองกำพลเพชรตามนางกฤษณาพบพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๗ พระมังคลาได้นางดวงแขลูกสาวเจ้าเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๗๘ อภิเษกพระกฤษณากับนางเทพินไปครองเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๗๙ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันลามารดากลับไปเมือง
- ตอนที่ ๘๐ พระมังคลายกทัพเมืองสำปันหนาไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๑ ศรีสุวรรณออกรับศึกพระมังคลา
- ตอนที่ ๘๒ โจรสลัดคุมกำปั่นปล้นเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๘๓ ศรีสุวรรณมาช่วยเมืองรมจักรรบโจรสลัด แล้วอภิเษกตรีพลำกับอัมพวันและเทวัญกับนิลกัณฐี
- ตอนที่ ๘๔ พระมังคลากับพระบาทหลวงแตกทัพไปเกลี้ยกล่อมเมืองต่าง ๆ
- ตอนที่ ๘๕ พระมังคลาไปถึงเมืองโรมพัฒน์ได้นางบุษบง
- ตอนที่ ๘๖ พระบาทหลวงกับพระมังคลายกทัพเรือเมืองโรมพัฒน์ไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๗ สุดสาครทราบข่าวศึก
- ตอนที่ ๘๘ พระมังคลากับพระบาทหลวงตีได้เมืองด่านลังกา
- ตอนที่ ๘๙ ทัพสุดสาครตีทัพพระมังคลาพ่าย จนเทวสินธุ์ตามไปถึงเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๙๐ ท้าวรายากับพระเทวสินธุ์ไปถึงเมืองกำพลเพชร แล้วยกทัพไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๙๑ หกกษัตริย์ยกทัพมาช่วยเมืองลังกาทำศึก
- ตอนที่ ๙๒ พระบาทหลวงรบศึกหกกษัตริย์จนลมแดงซัดเรือรบพลัดกัน
- ตอนที่ ๙๓ สุดสาครตีเมืองด่านแตก
- ตอนที่ ๙๔ พระเทวสินธุ์พบพระมังคลาจนเจ็ดกษัตริย์เตรียมรบ
- ตอนที่ ๙๕ พระมังคลากับพระบาทหลวงยกทัพเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๙๖ ทัพเจ็ดกษัตริย์ตีทัพพระบาทหลวงแตก
- ตอนที่ ๙๗ พระบาทหลวงเตรียมตีเมืองปากน้ำคืน
- ตอนที่ ๙๘ พระบาทหลวงขับท้าวรายากับนางบุษบงไปจากกองทัพ จนพระมังคลาหนี
- ตอนที่ ๙๙ พระบาทหลวงยกเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๑๐๐ สินสมุทรตีทัพพระบาทหลวงจนถูกยาเบื่อ
- ตอนที่ ๑๐๑ พระอภัยมณีเยือนลังกา
- ตอนที่ ๑๐๒ พระบาทหลวงปล่อยโคมไฟไปตกเมืองลังกา จนถึงพระอภัยมณีห้ามทัพ
- ตอนที่ ๑๐๓ หกกษัตริย์ตีโต้ทัพพระบาทหลวงล่าไปเมืองปตาหวี
- ตอนที่ ๑๐๔ พระอภัยมณีกลับไปเขาสิงคุตร
- ตอนที่ ๑๐๕ อภิเษกหัสกันกับนางวันชายา
- ตอนที่ ๑๐๖ พระอภัยมณีไปเยี่ยมนางเงือกที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๐๗ พระบาทหลวงเข้าเมืองปตาหวีแล้วตามไปพบพระมังคลาที่เมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๐๘ พระมังคลาและนางบุษบงออกมารับพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๐๙ ท้าวโกสัยบอกพระมังคลาให้รู้อุบายพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๐ พระบาทหลวงตีด่านเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๑๑ พระมังคลามีสารง้อศรีสุวรรณสุดสาครและสินสมุทร ให้มาช่วยรบพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๒ ทัพพระมังคลารบกับทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๓ ทัพศรีสุวรรณกับสี่กษัตริย์ตีกระหนาบทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๔ ทัพเรือพระบาทหลวงเข้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๕ ศรีสุวรรณกับพวกพาพระมังคลากลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๑๖ ท้าวกุลามาลีได้นางดวงประไพลูกสาวท้าวสินชัยเจ้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๗ พระมังคลาไปงานโสกันต์ระเด่นกินเรศ
- ตอนที่ ๑๑๘ เจ้าเมืองปตาหวีพานางดวงประไพกลับเมือง
- ตอนที่ ๑๑๙ สุดสาครไปเยี่ยมนางเงือกและพระฤๅษีที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๒๐ สุดสาครกลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๒๑ ศรีสุวรรณให้นรินทร์รัตน์ไปครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๒ อภิเษกนรินทร์รัตน์ครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๓ เจ็ดกษัตริย์ยกทัพมาตีเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๔ นรินทร์รัตน์ขอราเมศมาเป็นอุปราชกรุงรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๕ นรินทร์รัตน์กับราเมศมาช่วยเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๖ เจ็ดกษัตริย์ตายสี่หนีสาม
- ตอนที่ ๑๒๗ นรินทร์รัตน์หลงนางเกศพัฒน์เมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๘ อภิเษกพระราเมศกับนางดวงประภา
- ตอนที่ ๑๒๙ ภัทวงศ์ไปไหว้เทวรูปจนพบนางเกสรสุมาลัย
- ตอนที่ ๑๓๐ เจ้าเมืองวายุภักษ์ขอนางเกสรสุมาลัยให้ภัทวงศ์
- ตอนที่ ๑๓๑ พระสังฆราชบาทหลวงยกทัพมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๓๒ ตัดหางสุพรรณมัจฉาแล้วสถาปนาเป็นจันทวดีพันปีหลวง
ตอนที่ ๒๑ พระอภัยมณีเกี้ยวนางสุวรรณมาลี
๏ สินสมุทรวิ่งมาหาแม่เลี้ยง | เข้านั่งเคียงข้างกายสายสมร |
แล้วเล่าความตามคิดกับบิดร | จะรีบจรไปรักษาพาราไว้ |
ถึงแม้นว่าข้าศึกจะนึกร้าย | มิให้อายชาวลังกาอย่าสงสัย |
นางฟังคำทำเป็นตอบว่าขอบใจ | นั่นมิใช่หรือแม่คิดไม่ผิดเลย |
น่าหัวร่อพ่อเจ้าเธอเคล่าคล่อง | เห็นได้ช่องแล้วก็เกี้ยวเอาเฉยเฉย |
ถ้าทีหลังสั่งความพ่อทรามเชย | อย่ารับเลยทีเดียวนะแม่จะตี |
แล้วนางเรียกสาวใช้ให้มาพร้อม | ให้ขับกล่อมดุริยางค์อยู่ข้างที่ |
พอโพล้เพล้เวลาจะราตรี | จุดอัคคีโคมสว่างดังกลางวัน ฯ |
๏ สงสารองค์พระอภัยวิไลโลก | ค่อยเคลื่อนคลายวายวิโยคที่โศกศัลย์ |
อยู่เก๋งใหญ่ท้ายบาหลีกับศรีสุวรรณ | เห็นแสงจันทร์แจ่มฟ้านภาลัย |
ได้ยินเสียงดีดสีดนตรีกล่อม | ประสานซ้อมมโหรีปี่ไฉน |
พระนั่งฟังวังเวงวิเวกใจ | หวนอาลัยรำลึกนึกถึงนาง |
มาพานพบสบสมอารมณ์คิด | แต่จนจิตจำวิบัติให้ขัดขวาง |
เพราะนิ่มน้องหมองเมินเขินระคาง | จะทำอย่างไรดีกระนี้นา |
พระนิ่งนึกสะทึกสะท้อนอก | แสนวิตกเต็มคิดพิศดูผ้า |
อารมณ์รักอักอ่วนป่วนวิญญาณ์ | จะปรึกษากับน้องชายก็อายใจ |
ลงเอนอิงพิงเอกเขนกเขนย | พระกรเกยพระนลาฏไม่หวาดไหว |
ศรีสุวรรณกลั้นยิ้มอยู่ในใจ | ด้วยรู้ในท่วงทีพระพี่ยา |
อันทุกข์ร้อนนอนหงายก่ายหน้าผาก | เพราะชู้จากใจมาดปรารถนา |
จะทูลความคร้ามเกรงจะโกรธา | แกล้งทูลลาเลยไปเสียให้ลับ |
เที่ยวตรวจดูหมู่พหลพลไพร่ | มิให้ใครซุกซ่อนเที่ยวนอนหลับ |
ทุกหมู่หมายนายหมวดตรวจกำชับ | คอยรบรับไพรีจะบีฑา |
ทั้งเรือใช้ใหญ่น้อยแปดร้อยถ้วน | เดินกระบวนเรียงรายทั้งซ้ายขวา |
ทุกหน้าที่ตีฆ้องก้องโกลา | เป็นสัญญารับกันสนั่นดัง ฯ |
๏ สงสารองค์พระอภัยวิไลลักษณ์ | กำเริบรักรุ่มร้อนอาวรณ์หวัง |
เงียบสำเนียงเสียงขับคอยตรับฟัง | ให้คลุ้มคลั่งคล้ายคล้ายว่าสายใจ |
มายืนยิ้มพริ้มอยู่ประตูเก๋ง | พระแลเล็งลืมองค์ด้วยหลงใหล |
ขยับเขยื้อนเลื่อนลุกลีลาไป | ยิ้มละไมมองหายุพาพาล |
ไม่พบองค์หลงหาข้างหน้าหลัง | พอฝรั่งเดินมาข้างหน้าฉาน |
เห็นพระองค์ลงนั่งจะกราบกราน | นฤบาลเคลิ้มคล้ายหมายว่านาง |
ลงนั่งเรียงเคียงข้างทางประภาษ | นุชนาฏนวลน้องอย่าหมองหมาง |
มานั่งอยู่นี่ไยใกล้หนทาง | ขอเชิญนางนุชน้องเข้าห้องใน |
พระว่าพลางทางพยุงจูงฝรั่ง | มันถอยหลังคุกเข่าไม่เข้าใกล้ |
พอมือหลุดผลุดผลุนวิ่งหมุนไป | พระหลงไล่เลี้ยวลัดสกัดสแกง |
เห็นแต่คนพลรบเขาหลบนั่ง | ยิ่งแค้นคั่งเคืองในพระทัยแหนง |
เที่ยวค้นคว้าหานางด้วยคลางแคลง | ทุกตำแหน่งหน้าที่มิได้พบ |
ยังสงสัยไล่มองทุกห้องหับ | เป็นหลายกลับลดเลี้ยวเที่ยวตลบ |
ถึงห้องนางสว่างแจ้งด้วยแสงคบ | เห็นสงบเงียบเสียงค่อยเมียงมอง |
เขาทักถามขามเขินทำเมินเฉย | ลีลาเลยเลี้ยวไปเข้าในห้อง |
ทอดพระองค์ลงบรรทมบนเตียงทอง | กรประคองกอดหมอนถอนฤทัย |
โอ้สุวรรณมาลีเจ้าพี่เอ๋ย | ไม่เห็นเลยที่พี่คิดพิสมัย |
มาหมองหมางห่างเหินสะเทิ้นใจ | สิ้นอาลัยแล้วหรือนางจึงอย่างนี้ |
แม้นโฉมยงนงนุชสุดสวาท | เจ้าตัดขาดคิดอางขนางหนี |
ไม่หลอเหลือเยื่อใยเป็นไมตรี | ชีวิตพี่ไหนจะรอดตลอดไป |
พระตรึกตราอาดูรพูนเทวษ | น้ำพระเนตรคลอคลอจะหล่อไหล |
หวนรำลึกนึกสะอื้นขืนอาลัย | เหมือนจิตใจจะวินาศหวาดระวัง ฯ |
๏ จะกล่าวฝ่ายอุศเรนเกณฑ์ยกทัพ | ได้เสร็จสรรพซ้ายขวาทั้งหน้าหลัง |
แล้วเลี้ยงเหล้าเมาตึงเต็มกำลัง | จึงตรัสสั่งสารวัดหัศเกน |
รบคราวนี้ตีทัพเหมือนจับเสือ | ถึงเสียเกลือแต่ให้ได้พิมเสน |
ทหารเราเล่าก็หัดไว้จัดเจน | หัศเกนเห็นใครถอยมึงคอยแทง ฯ |
๏ พวกนายทัพรับคำซ้ำกินเหล้า | กำลังเมามึนหน้าต่างกล้าแข็ง |
ให้เรือใช้ไปสืบด้วยคลางแคลง | กลังมาแจ้งว่าเรือใหญ่นั้นไคลคลา |
เห็นใช้ใบไปทางทิศพายัพ | กระบวนทัพล้อมแล่นไปแน่นหนา |
อุศเรนเจนทางกลางคงคา | จึงตรัสว่ามันยังไม่ไปเมืองมัน |
เห็นจะไปเมืองผลึกเหมือนนึกแน่ | กูจะแก้แค้นฆ่าให้อาสัญ |
เราตามไปได้อยู่เหนือลมมัน | คงเผาลำกำปั่นได้มั่นคง |
แล้วสั่งให้ไพร่นายรายเรือรบ | พอค่ำพลบชื่นชมสมประสงค์ |
ให้กางใบได้ลมอุตราตรง | ออกแล่นนำลำทรงมาพร้อมเพรียง |
จันทร์กระจ่างกลางคืนเป็นคลื่นคลั่ง | ทั้งหน้าหลังแล่นลัดตัดเฉลียง |
ตามเรือนำสำคัญโคมคู่เคียง | จนเดือนเที่ยงก็พอทันกำปั่นนาง |
พอลมตรงส่งท้ายหมายชนะ | แล่นปะทะเลี้ยวเรียงเข้าเคียงข้าง |
ปล่อยปืนหลักยักกะตราขานกยาง | ปืนใหญ่วางวับผึงเสียงปึงปัง ฯ |
๏ ฝ่ายพหลพลรบพวกเรือใหญ่ | ไม่หลีกไกลรบรับอยู่คับคั่ง |
ปืนจังกาขวาซ้ายรายประดัง | ช่วยรบทั้งโยธีศรีสุวรรณ |
ทั้งเสียงคลื่นปืนรบสมทบทัพ | ดูแวบวับเสียงสะเทื้อนเหมือนฟ้าลั่น |
ฝ่ายพระอภัยมณีศรีสุวรรณ | ออกช่วยกันตรวจตราทั้งหน้าท้าย |
สินสมุทรผลุดลุกปลุกแม่เลี้ยง | แล้วว่าเสียงข้าศึกฮึกใจหาย |
ฉวยดาบโดดโลดแล่นกำลังกาย | มาถึงท้ายพบปะพระบิดา |
ตะโกนก้องร้องเรียกทหารรบ | ซ้ายสมทบรบด้วยช่วยข้างขวา |
แล้วแกว่งดาบเดินหวดเที่ยวตรวจตรา | ให้รักษาเรือใหญ่ระไวระวัง ฯ |
๏ อุศเรนเห็นทัพเข้ารับรบ | เร่งสมทบโยธาทั้งหน้าหลัง |
ตีระดมลมกล้าดาประดัง | จนกระทั่งเรือใหญ่เอาไฟโยน |
บ้างทิ้งผ้าน้ำมันยางบ้างขว้างคบ | บ้างตลบปีนป่ายตะกายโหน |
จนเพลิงพลุ่งรุ่งโรจน์ขึ้นโชติโชน | ทหารโจนรบรับบ้างดับไฟ |
บ้างอุดช่องสองข้างเอาวางถัง | ให้น้ำขังดาดฟ้าชลาไหล |
ถึงจะทิ้งเพลิงเผาสักเท่าไร | ก็ไม่ไหม้สำเภาเสากระโดง |
ด้วยทองหุ้มชุ่มน้ำแล้วซ้ำสาด | ข้าศึกฟาดไฟน้ำมันควันโขมง |
ติดแต่ใบสายระยางสว่างโพลง | เสียงผางโผงพลขันธ์ประจัญรบ |
พระอภัยศรีสุวรรณสินสมุทร | อุตลุดขับไพร่มิให้หลบ |
อุศเรนรุกร้นพลสมทบ | เข้ารุกรบเรือใหญ่ไฟประดัง |
พอเพลิงไหม้ใบกลางสว่างฟ้า | อังกุหร่าแลเห็นลำเรือที่นั่ง |
ให้พลขึ้นยืนเยื้องยิงประดัง | ถูกพลลังกาตายเสียหลายพัน |
ทั้งพระชงฆ์องค์อุศเรนหัก | เลือดทะลักล้มถลาแทบอาสัญ |
พอเกิดคลื่นลมกล้าสลาตัน | ตีกำปั่นพลัดพรายกระจายไป |
พอเดือนดับลับฟ้าภาณุมาศ | ก็โอภาสแผ้วสางสว่างไสว |
ศึกสำเร็จเสร็จสรรพทั้งดับไฟ | กำปั่นใหญ่ลอยลำอยู่ท่ามกลาง |
ฝ่ายพวกเรือเหลือตายที่พรายพลัด | แต่เลี้ยวลัดแล่นวนอยู่จนสว่าง |
บ้างก็ล่มจนตายลงวายวาง | บ้างขึ้นค้างเกาะแก่งทุกแห่งไป |
ฝ่ายโยธีศรีสุวรรณสินสมุทร | ต้องอาวุธเจ็บป่วยม้วยตักษัย |
ที่ยังเหลือเรือรบสำหรับใช้ | ให้นับได้ห้าร้อยมาลอยเรียง |
บ้างเปลี่ยนใบใส่เสาหางเสือเสร็จ | แล้วสำเร็จสารพันไม่ทันเที่ยง |
ตั้งแห่แหนแล่นล้อมมาพร้อมเพรียง | สนั่นเสียงขานโห่เป็นโกลา |
ไปตามเข็มเล็มเลี้ยวแหลมสุหรัด | แล้วแล่นตัดปากน้ำสำปันหนา |
อ้อมถนนพ้นกำแพงลังกามา | หมายพาราผลึกแล่นตามแผนทาง ฯ |
๏ สงสารสุดอุศเรนครั้นรุ่งเช้า | เสียพระเพลาพลิกแพลงตะแคงข้าง |
ด้วยถูกยิงฟื้นองค์ก็ทรงคราง | พวกขุนนางเข้าประคองนองน้ำตา |
มาวางไว้ไสยาสน์บนอาสน์รัตน์ | หมอเข้าปัดเป่าแก้แผลรักษา |
เปลวสุกรถอนพิษพอกใบชา | ขี้ผึ้งยาปิดแผลแก้ปวดร้อน |
แล้วหยุดจอดทอดสมอรอประทับ | จะคอยรับเรือทหารชาญสมร |
ที่เหลือตายพรายพลัดกำจัดจร | บ้างไปก่อนบ้างอยู่หลังเที่ยวซังเซ |
ยังคงเรือเหลือตามสามสิบเศษ | พอเกิดเหตุลมป่วนให้หวนแห |
อุศเรนเอนเอกเขนกคะเน | คิดถ่ายเทจะทำศึกให้นึกอาย |
จึงปรึกษาฝรั่งนายทหาร | เราทำการพลั้งพลาดประมาทหมาย |
ใครเห็นเหตุเภทผลกลอุบาย | จะแก้อายอัประมาณประการใด ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งฟังว่าน่าสงสาร | ต่างกราบกรานตรึกตรองแล้วร้องไห้ |
ว่าพระองค์ก็ทรงฤทธิไกร | เคยเป็นใหญ่กว่ากษัตริย์ขัตติยา |
ได้ปกเกล้าชาวเกาะลังกาทวีป | ให้รอดชีพชุบเลี้ยงไม่เดียงสา |
มาครั้งนี้ตีทัพอัปรา | จนศัสตราต้องพระชงฆ์องค์โอรส |
ข้าทั้งหลายตายเสียดีกว่าอยู่ | จะรบสู้นั้นไม่คิดชีวิตหมด |
ซึ่งทรงฤทธิ์คิดแค้นจะแทนทด | ขอเงือดงดการก่อนได้ผ่อนปรน |
ด้วยเราน้อยถอยทั้งกำลังทหาร | จะทำการไม่ถนัดเห็นขัดสน |
ทั้งประชวรควรระงับให้กลับพล | ไปสิงหลเกาะลังการักษาองค์ |
ให้แผลหายภายหลังจึงเกณฑ์ทัพ | มารบสับเลือดเนื้อไม่เหลือหลง |
จะหนีไปไหนพ้นบาทบงสุ์ | เขาก็คงไปนครคอยรอนราญ |
จะสงครามตามตีบัดนี้เล่า | เหมือนโฉดเขลาเฉโกด้วยโวหาร |
ฉวยเพลี่ยงพล้ำซ้ำร้ายเสียดายการ | จงโปรดปรานกลับหลังไปลังกา ฯ |
๏ อุศเรนเห็นจริงนิ่งอนาถ | ใจจะขาดเสียเพราะแค้นนั้นแสนสา |
ทั้งเสียดายสายสมรร้อนอุรา | จึงตอบว่าเสียเมียเหมือนเสียกาย |
แม้นปล่อยปละละวางไว้ข้างเขา | ที่ไหนเราจะได้สมอารมณ์หมาย |
เขาคงได้กันเป็นเมียกูเสียดาย | เมื่อจะตายเพราะนางงามก็ตามที ฯ |
๏ ฝ่ายเสนาฝรั่งได้ฟังตรัส | บ้างทูลขัดจะให้อางขนางหนี |
อันรูปทรงองค์พระอภัยมณี | ดูท่วงทีเธอทายาดชาติเจ้าชู้ |
อนึ่งนางอ้างเอาเขาเป็นผัว | เหมือนหญิงชั่วช่างกระไรไม่อดสู |
ทั้งลูกเขาเข้าสนิทข้าคิดดู | คงเป็นชู้กันเสียแล้วไม่แคล้วเลย |
พระเป็นคู่สู่ขอนางก็รับ | มากลายกลับแกล้งอยู่กับชู้เฉย |
พระอภัยใช่เช่นเป็นกะเทย | จะละเลยไว้หรือนานจนป่านนี้ |
แม้นนงลักษณ์รักพระองค์เหมือนทรงรัก | ควรสมัครแลกชีวิตไม่คิดหนี |
จะมาม้วยด้วยนางเหมือนอย่างนี้ | จะเป็นที่ครหาในสามัญ ฯ |
๏ อุศเรนฟังคำให้อ้ำอึ้ง | โมโหหึงเห็นจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
สะอื้นพลางทางว่าถ้าเช่นนั้น | กูจะฟันฟาดฝานให้ทานกา |
ต่อจับได้ไล่เลียงให้เที่ยงแท้ | ถ้าดีแน่แล้วจะรักให้หนักหนา |
จงเลิกทัพกลับหลังไปลังกา | จะได้มาแก้แค้นทำแทนทด |
ให้เรือใช้ไปเมืองผลึกก่อน | เลิกนิกรกองทัพกลับให้หมด |
กันแสงสั่งคั่งแค้นแสนรันทด | โศกกำสรดซบหน้าโศกาลัย ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งทั้งหลายนายทหาร | พลอยสงสารเศร้าหมองไม่ผ่องใส |
ต่างรีบร้อนถอนสมอขันช่อใบ | ต้นหนให้หันมุ่งกรุงลังกา |
แล้ววางเข็มเล็มแล่นตามแผนที่ | ออกอ่าวนาควารีเร็วหนักหนา |
เข้าขอบคุ้งกรุงผลึกเลิกโยธา | ไปลังกาสิงหลทั้งพลไกร ฯ |
๏ จะกล่าวลำกำปั่นสินสมุทร | ช้ากว่าอุศเรนเหลือด้วยเรือใหญ่ |
ทุกคืนค่ำร่ำมาไม่ราใบ | พระอภัยทุกข์ร้อนนอนรำพึง |
ด้วยเทวีมิให้เห็นทุกเย็นเช้า | ยิ่งนานเข้าก็ยิ่งนึกรำลึกถึง |
ประดักประเดิดเถิดหรือจะดื้อดึง | ถึงร้องอึงก็เป็นชายจะอายใคร |
แต่ลูกเราเจ้ากรรมนี่ทำเข็ญ | ฉวยพบเห็นก็จะว่าไม่ปราศรัย |
ด้วยเด็กนักรักเขาไม่เข้าใจ | ทำกระไรจะได้สมอารมณ์ปอง |
จำจะทำคำถามทรามสงวน | ฟังสำนวนนงคราญสารสนอง |
แล้วเอนเอกเขนกนึกนั่งตรึกตรอง | แต่ยามสองจนสางสว่างแล้ว |
เขียนประจงลงกระดาษไม่คลาดถ้อย | ดูเรียบร้อยลายพระหัตถ์ประทัดแถว |
พับลิขิตมิดเม้นไม่เห็นแนว | พอลูกแก้วเข้ามาหาจึงพาที |
เจ้าช่วยถือหนังสือไปให้พระแม่ | อย่าเซ็งแซ่ซ่อนเข้าไปให้ในที่ |
โอรสรับกลับมาหาเทวี | แจ้งคดีว่าลิขิตของบิดา ฯ |
๏ นางฟังคำทำพิโรธเหมือนโกรธเกรี้ยว | จะก่อเกี้ยวด้วยกระดาษไม่ปรารถนา |
สินสมุทรพูดชะอ้อนวอนวันทา | แม่เมตตาช่วยอ่านให้ฉันฟัง |
นางยิ้มพลางทางคลี่ดูลิขิต | นิ่งพินิจนึกในพระทัยหวัง |
กุมาราว่าพระแม่อ่านให้ดัง | นางผินหลังคลี่สารออกอ่านกลอน ฯ |
๏ กระดาษแทนแผ่นทองประคองเขียน | ด้วยพากเพียรพยายามตามสมร |
จนเรือแตกแยกย้ายกระจายจร | แต่อาวรณ์หวังสวาทไม่ขาดวัน |
ถึงตายแล้วแคล้วคลาดในชาตินี้ | ขอให้พี่ขึ้นไปปะบนสวรรค์ |
เป็นบุญปลอดรอดมาเห็นหน้ากัน | ไฉนขวัญนัยนาไม่ปรานี |
หรืองามปลื้มลืมคำที่ร่ำว่า | พอเห็นหน้าน้องก็เดินทำเมินหนี |
เหมือนแค้นเคืองเปลื้องปลดหมดไมตรี | เมื่อไม่มีความผิดสักนิดเดียว |
ไม่ไต่ถามความจริงมานิ่งโกรธ | ประทานโทษเถิดแม่คุณอย่าฉุนเฉียว |
ไม่ลวงหลอกดอกสักสิ่งจริงจริงเจียว | อย่าโกรธเกรี้ยวให้ช้ำระกำกรอม |
แม่ขวัญเมืองเคืองแค้นพี่แสนทุกข์ | ไม่มีสุขโศกรูปจนซูบผอม |
ทุกเช้าค่ำกำสรดสู้อดออม | หวังถนอมเสน่ห์นวลสงวนงาม |
นึกจะใคร่ไปเยือนเหมือนหนึ่งญาติ | เห็นกริ้วกราดเกรงใจจึงไต่ถาม |
ถ้าโทษพี่นี้ผิดอย่างปิดความ | จงตอบตามใจจริงทุกสิ่งเอย ฯ |
๏ นางรู้แจ้งแกล้งว่าน่าบัดสี | มิพอที่พ่อลิ้นทองของน้องเอ๋ย |
แล้วว่าเจ้าอย่าเอามาให้ข้าเลย | ข้าไม่เคยเป็นนักเลงเล่นเพลงยาว |
สินสมุทรหยิบสารมาอ่านบ้าง | แล้วว่าอย่างนี้หรือมาอื้อฉาว |
มิควรขัดขุ่นเคืองในเรื่องราว | ท่านว่ากล่าวไพเราะฉอเลาะล้ำ |
ไม่แกล้งว่าถ้าฉันเป็นเช่นพระแม่ | จะตอบแก้ตามความให้งามขำ |
นางแกล้งว่าข้าเกลียดขี้เกียจทำ | อย่ามาร่ำจุกจิกจะหยิกยับ ฯ |
๏ กุมาราว่าพระแม่แก้ออกอ่าน | ไม่ตอบท่านตามทำนองจะต้องปรับ |
มิอยากฟังช่างเป็นไรฉันไม่รับ | พระแม่จับฉีกผนึกฉันทึกเอา ฯ |
๏ นางฟังคำทำเป็นว่าน่าหัวร่อ | เจ้าลูกพ่อพูดเพ้อเก้อเปล่าเปล่า |
เกิดเป็นวิบากกรรมต้องทำเนา | จะตอบเจ้าเสียให้สิ้นมลทินไป |
แล้วโฉมยงทรงคิดประดิษฐ์เขียน | ไม่ผิดเพี้ยนพจนาอัชฌาสัย |
ครั้นเสร็จสรรพพับผนึกให้หน่อไท | กุมารได้กระดาษมาหาบิดร |
แล้วทูลความตามหมางระคางขัด | ต้องพ้อตัดเต็มเคืองเรื่องอักษร |
พระยินดีคลี่สารออกอ่านกลอน | ชมสมรยิ่งเสมียนเขียนบรรจง ฯ |
๏ ขอบังคมสมเด็จพระเชษฐา | ซึ่งเมตตาตามทำนองต้องประสงค์ |
ไม่กลับกลอกตะคอกขู่รู้ซื่อตรง | จะช่วยส่งปลูกฝังไปลังกา |
ไม่ลืมคุณทูลกระหม่อมถนอมจิต | มิได้คิดโหยกเหยกอุเบกขา |
น้องนึกหวังดังสมเด็จพระบิดา | ด้วยสัจจาจนชีวันจะบรรลัย |
จงคิดว่าข้าน้อยนี้เหมือนบุตร | ให้ซื่อสุจริตจิตอย่าคิดไฉน |
ถ้าทำสัตย์เสียด้วยกันแล้ววันไร | จะได้ไปเฝ้าแหนแทนบิดา |
เป็นอันขาดชาตินี้ไม่มีผัว | แม้นทำชั่วเชิญพระองค์ลงโทษา |
จงออกโอษฐ์โปรดตรัสสัตย์สัญญา | ที่พูดจาไว้แต่หลังอย่าหวังคิด |
ซึ่งซักถามตามระบอบให้ตอบถ้อย | เหมือนฟื้นฝอยหาตะเข็บให้เจ็บจิต |
ช่วยเฉลี่ยเกลี่ยไกล่เสียให้มิด | ด้วยชอบผิดพระก็รู้อยู่แก่ใจ |
แต่ยามยากปากน้องนี้น้ำท่วม | มิได้ร่วมเรียงชิดพิสมัย |
ถึงลดเลี้ยวเกี้ยวพานประการใด | ก็ไม่ได้ดอกพระองค์อย่าสงกา |
น้องตั้งสัตย์ตัดขาดแล้วชาตินี้ | อันสามีขี้ขลาดไม่ปรารถนา |
จะขออยู่ผู้เดียวด้วยลูกยา | เป็นสัจจาใจจริงทุกสิ่งเอย ฯ |
๏ พระฟังคำซ้ำคิดพิศวาส | จะหมายมาดเหมือนธิดานิจจาเอ๋ย |
แค้นว่าพี่นี้จะส่งแม่ทรามเชย | ไม่เห็นเลยลวงเขาเอาเป็นจริง |
จะตอบความทรามวัยไฉนหนอ | ให้หายข้อเคืองข้องแม่น้องหญิง |
ลงเอนเอกเขนกนอนแนบหมอนอิง | พินิจนิ่งดูแต่ต้นไปจนปลาย |
อันคำข้อขอสัตย์เรานัดพบ | เห็นจะสบสมจิตที่คิดหมาย |
เมื่อเข้าถึงจึงค่อยบิดคิดอุบาย | นางนี้ตายราบแล้วไม่แคล้วเรา |
จึงคิดทำคำประจงลงกระดาษ | เชิงฉลาดลวงประโลมโฉมเฉลา |
บอกลูกน้อยค่อยกระซิบแต่เบาเบา | เย็นแล้วเจ้ากลับมาหาบิดร |
โอรสรับอภิวันท์แล้วผันผาย | ถึงห้องนางทางถวายสายสมร |
พระบุตรีคลี่สารออกอ่านกลอน | ล้วนโอนอ่อนวอนวิงทุกสิ่งไป ฯ |
๏ โอ้พระนุชบุตรีเจ้าพี่เอ๋ย | มิควรเลยนวลหงจะสงสัย |
แม้นพี่ส่งนงเยาว์ให้เขาไป | ก็ที่ไหนนุชน้องจะต้องรบ |
พี่ก็รู้อยู่ทุกสิ่งอย่านิ่งโกรธ | จนขอโทษแล้วก็ไม่ใคร่สงบ |
ถ้ากระนั้นฉันจะขอแต่พอพบ | อย่าหลีกหลบเลยจะเล่าให้เจ้าฟัง |
แม้นมิเชื่อเนื้อเย็นจะเป็นญาติ | จะประสาทสัตย์ให้ดังใจหวัง |
สินสมุทรพูดติดจะผิดพลั้ง | อย่าเพ่อฟังคำฟ้องก่อนน้องเอย ฯ |
๏ นางทราบสารหวานแท้ช่างแก้เกี้ยว | กลับกลมเกลียวจะขอปะชะพ่อเอ๋ย |
น่าใคร่หยิกใคร่ตีกระไรเลย | ทั้งเยาะเย้ยย้อนว่าสารพัด |
แล้วคลี่สารอ่านซ้ำคำพินิจ | จะหยิบผิดที่ตรงไหนไม่ถนัด |
เราขอสัตย์ขัดคำเธอซ้ำนัด | จะป้องปัดก็เป็นเราเจ้ามารยา |
จะตามใจให้เธอเกี้ยวก็เสียวไส้ | กลัวแต่ใจจะหลงเชื่อเบื่อหนักหนา |
นางนึกพลางทางประดิษฐ์คิดสารา | ด้วยปรีชาเชิงความตามทำนอง |
ครั้นเสร็จสรรพพับผนึกให้ลูกแก้ว | พ่อให้แล้วทูลลากลับมาห้อง |
พระหน่อไทได้สมอารมณ์ปอง | พลางยิ้มย่องย้อนถามตามสงกา |
พระบิตุรงค์ทรงสั่งแต่ข้างเช้า | ว่าค่ำเข้าไต้ไฟให้ไปหา |
เดี๋ยวนี้แม่ก็กำชับให้กลับมา | อันลูกยาไม่รู้แห่งจะแบ่งเลย ฯ |
๏ นางว่าอ้อพ่อสั่งหรืออย่างนั้น | เห็นแม่นมั่นจะมาค่ำแล้วกรรมเอ๋ย |
แม่จะสั่งบ้างตามแต่ทรามเชย | อย่าอยู่เลยทูลลามาไวไว |
กุมาราว่าแม่กลัวท่านหรือคะ | พระพ่อจะทำไมกับใครได้ |
พูดกันเล่นเห็นตัวกลัวอะไร | นางว่าไฮ้จู้จี้ไม่มีละ |
พระอภัยใจคอเป็นพ่อม่าย | จะวุ่นวายไว้ใจได้หรือหนะ |
ฉวยจวนจริงหญิงกับชายหมายชนะ | พ่อเจ้าจะได้ตะครุบเอาปุบเดียว ฯ |
๏ กุมาราว่าพระแม่อย่าแพ้พ่อ | เปล่าดอกข้อท่านไม่แข็งไม่แรงเรี่ยว |
แล้วไม่สู้ผู้หญิงจริงจริงเจียว | แต่เห็นเขี้ยวแม่ผีเสื้อก็เหลือกลัว |
แม่รบทัพจับศึกไม่นึกพรั่น | หรือมาหวั่นหวาดที่จะมีผัว |
นางหยิกพลางทางขู่ว่าเคยตัว | พ่อเจ้ากลัวก็คนเดียวเพราะเขี้ยวมี |
อันรูปร่างอย่างแม่ไม่มีเขี้ยว | เธอจะเกี้ยวกอดรัดน่าบัดสี |
เจ้าอยู่ด้วยฉวยเธอเข้ามาเคล้าคลี | อย่าหน่ายหนีจะพึ่งเจ้าเพราะเท่านั้น ฯ |
๏ กุมาราว่าขอรับอภิวาท | หยิบกระดาษยิ้มพรายแล้วผายผัน |
ถึงบิดรอ่อนองค์ลงอภิวันท์ | สารสำคัญส่งให้จะไคลคลา |
พระฉวยฉุดยุดสินสมุทรไว้ | จะไปไหนกระนี้หนอไม่รอหน้า |
สินสมุทรหยุดยั้งนั่งวันทา | แล้วทูลว่าแม่กำชับให้กลับไป |
พระฟังคำทำเป็นว่ามารดาเจ้า | ทำไมเขากลัวกระสือหรือไฉน |
กุมาราว่าพระแม่ไม่กลัวใคร | ไม่ไว้ใจแต่องค์พระทรงธรรม์ ฯ |
๏ พระชื่นชอบปลอบถามถึงทรามสวาท | พระหน่อนาถแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
แล้วห้ามว่าถ้าแม้นพระไปปะกัน | อย่าว่าฉันทูลนะฉันจะลา |
พระกอดจูบลูบหลังพระลูกน้อย | จะไปคอยใครเล่าจะเข้าหา |
พ่อก็ยังนั่งอยู่นี่ไม่ลีลา | ต่อช้าช้าจึงค่อยไปเป็นไรมี ฯ |
๏ แล้วคลี่สารอ่านความของทรามสวาท | ขอกราบบาทบงกชบทศรี |
ซึ่งรับสัตย์สัญญาจะพาที | น้องไม่มีข้อเคืองด้วยเรื่องใด |
สินสมุทรพูดผิดติดจะปด | ก็ทราบหมดมั่นคงไม่สงสัย |
พระซื่อตรงทรงศีลไม่กินใจ | จึงยกไว้เป็นบิดาบูชาคุณ |
แม้นให้สัตย์ปฏิญาณหม่อมฉันก่อน | ให้แน่นอนเหมือนหนึ่งบุตรช่วยอุดหนุน |
จะได้เป็นเกือกทองฉลองคุณ | เอาส่วนบุญปรนนิบัติเป็นอัตรา |
พรุ่งนี้เช้าเชิญออกนั่งบัลลังก์อาสน์ | แล้วประกาศไพร่นายทั้งซ้ายขวา |
ให้พร้อมพรั่งทั้งองค์พระอนุชา | กับบรรดาเหล่าพยานทั้งหลานน้อย |
นั่นแลน้องนี้จะได้ออกไปเฝ้า | จงโปรดเกล้าให้เหมือนรับอย่ากลับถ้อย |
น้องจะได้ไปนั่งระวังคอย | ให้ใช้สอยข้างที่ทุกวี่วัน |
เมื่อยามเข้าไสยาสน์บนอาสน์รัตน์ | จะนั่งพัดภูวไนยจนไก่ขัน |
แม้นเมื่อยเหน็บเจ็บองค์พระทรงธรรม์ | จะนวดฟั้นฝ่าพระบาทไม่ขาดเอย ฯ |
๏ พระทราบสารหวานล้ำคำเสนาะ | ช่างฉอเลาะเหลือดีเจ้าพี่เอ๋ย |
ทั้งเหน็บแนบแยบคายภิปรายเปรย | ถ้าได้เชยแล้วจะชมให้สมสำนวน |
พระนึกยิ้มพริ้มพรายสบายจิต | ชมความคิดโฉมงามทรามสงวน |
แกล้งขอสัตย์นัดเช้าให้เราจวน | เราก็ควรไปเสียย่ำค่ำวันนี้ |
จำจะลวงหน่วงสินสมุทรไว้ | อย่าให้ไปไสยากับมารศรี |
พลางลูบหลังลูกยาแล้วพาที | เออวันนี้พระเจ้าอาว่าให้ไป ฯ |
๏ กุมาราว่าขอรับอภิวาท | ลาพระบาทบิตุรงค์ไม่สงสัย |
เห็นเย็นจวนด่วนเดินดำเนินไป | เข้าเก๋งใหญ่ต้นสาลี่ที่พระอา |
ประณตนั่งบังคมอยู่ข้างที่ | พออรุณรัศมีคลานมาหา |
ชวนสำรวลสรวลสันต์จำนรรจา | พระพี่จ๋าฉันจะกลับก็หลับไป |
พระเจ้าป้าว่ากระไรฉันไหมจ๊ะ | วันนี้จะนอนนี่หรือที่ไหน |
กุมาราว่าฉันคอยน้อยเมื่อไร | สักครู่ไปด้วยกันนะจ๊ะแม่น้อง |
แล้วทูลถามพระเจ้าอาให้หาฉัน | ทำไมนั่นโปรดเกล้าเล่าสนอง |
ฉันจะด่วนจวนค่ำจะย่ำฆ้อง | กลับไปห้องชนนีไม่มีใคร ฯ |
๏ ศรีสุวรรณชั้นเชิงฉลาดแหลม | จึงยิ้มแย้มเยื้อนถามตามสงสัย |
คอยระวังมารดาอยู่ว่าไร | ใครจะไปลักพามารดานั้น |
กุมาราพาซื่อรื้อหัวร่อ | กลัวพระพ่อจะเข้าหามารดาฉัน |
จะคอยดูอยู่ด้วยได้ช่วยกัน | ศรีสุวรรณทรงพระสรวลชวนเจรจา |
นี่แหละหลานการอะไรของเจ้าเล่า | ผัวเมียเขาจะมิให้เข้าไปหา |
ชอบแต่ให้ได้กันกับบิดา | ไปเมื่อหน้าจะได้น้องคล่องคล่องใจ |
สินสมุทรพูดจาประสาจิต | ฉันไม่คิดห้ามบิดาหามิได้ |
ผัวเมียกันนั้นสุดแท้แต่น้ำใจ | กลัวจะไปหยิกหยอกดอกขอรับ |
พระแม่ฉันท่านไม่เคยถูกข่มเหง | หม่อมฉันเกรงต้องไปอยู่ดูกำกับ |
พระสงสารหลานไม่รู้ในความลับ | กอดประทับไต่ถามดูตามแคลง |
ใครบอกเจ้าเล่าว่าอาให้มานี่ | กุมารชี้ว่าบิดรสุนทรแถลง |
พระรู้ทีพี่ชายทำลายแทง | เธอจะแกล้งให้ปดโอรสไว้ |
เห็นทีพระจะเข้าหาเวลาค่ำ | ได้นัดคำกันไว้แท้แน่ไฉน |
ดำริพลางทางว่าอาสั่งไว้ | เพราะจะใคร่ไต่ถามตามสงกา |
ด้วยต่างคนต่างอยู่ไม่รู้จัก | รูปแม่ยักษ์กับเดี๋ยวนี้ใครดีกว่า |
สินสมุทรไม่รู้เท่าพระเจ้าอา | ก็พูดจาอยู่จนค่ำย่ำระฆัง ฯ |
๏ ฝ่ายสุวรรณมาลีศรีสวัสดิ์ | นางกษัตริย์นึกในพระทัยหวัง |
จนพลบแล้วลูกยาไม่มาระวัง | เห็นจะฟังคำพ่อพูดล่อไว้ |
พระโฉมยงคงจะมาเวลานี้ | นางรู้ทีมั่นคงไม่สงสัย |
จึงคิดอ่านการลับกับสาวใช้ | ที่ร่วมใจเจ็ดคนพวกดนตรี |
ให้ปลอมแปลงแต่งกายเหมือนชายไพร่ | แต่ล้วนใส่หมวกกะลานุ่งผ้าสี |
แล้วโฉมยงทรงแต่งแปลงอินทรีย์ | ทำเป็นทีแขกเทศเพศผู้ชาย |
บนเตียงนอนหมอนข้างเอาวางไว้ | คลี่สไบคลุมประทมของโฉมฉาย |
เอาปกปิดคิดทำไว้แทนกาย | แล้วรูดสายม่านบังสั่งสุรางค์ |
ถ้าแม้นใครมาหาว่าข้าหลับ | อย่าเพ่อขับคอยดูอยู่ห่างห่าง |
เห็นเข้าในแท่นสุวรรณที่กั้นกาง | ดุริยางค์ขับกล่อมให้พร้อมกัน |
แล้วโฉมยงทรงกระบี่มีสง่า | บ่าวบรรดาตามติดถือกริชสั้น |
ออกมานั่งหลังตึกใต้ต้นจันทน์ | ชมบุหลันเล่นตามความสบาย ฯ |
๏ สงสารองค์พระอภัยวิไลลักษณ์ | ลวงลูกรักไปได้สมอารมณ์หมาย |
พอพลบค่ำน้ำค้างลงพร่างพราย | เดือนก็หงายหมดเมฆวิเวกใจ |
คะนึงนางพลางนึกว่าดึกนัก | ใส่สลักเสียแล้วเราเข้าไม่ได้ |
จึงแต่งองค์สรงสนานน้ำดอกไม้ | แล้วลูบไล้พระสุคนธ์ปนทองคำ |
กรีดพระหัตถ์ผัดนลาฏวาดขนง | ครั้นเสร็จทรงเครื่องอร่ามดูงามขำ |
ขี้ผึ้งสีเสกมนต์บ่นบริกรรม | แล้วเสกน้ำมันใส่ไปในเล็บ |
ถ้าแม้นดีดถูกเนื้อแล้วเชื่อได้ | ผู้หญิงไม่ข่วนทำให้ช้ำเจ็บ |
เมื่อรุ่นหนุ่มได้ลองสองสามเล็บ | เอาเกี้ยวทองกรองเหน็บแนบพระองค์ |
ดูฤกษ์ลมแคล่วคล่องทั้งสองข้าง | ออกเยื้องย่างยุรยาตรดังราชหงส์ |
ถึงเก๋งนางพลางแอบดูโฉมยง | ไม่เห็นองค์นวลละอองค่อยมองเมียง |
เห็นแต่เหล่าสาวสุรางค์นางน้อยน้อย | ที่เคยคอยขับกล่อมนั่งซ้อมเสียง |
สว่างแจ้งแสงโคมระย้าเคียง | พระหลีกเลี่ยงลับล่อรอฤทัย |
ทั้งครั่นคร้ามขามเขินสะเทิ้นจิต | เห็นม่านปิดป้องลับหรือหลับใหล |
จะใคร่เห็นเป็นไรก็เป็นไป | พระเข้าในห้องกลางกระจ่างองค์ |
ทำถามนางมโหรีคนตีทับ | บรรทมหลับหรือประชวรนวลหง |
สาวสุรางค์ทางชม้ายอายพระองค์ | ด้วยรูปทรงสวยสมทั้งคมคาย |
ต่างนบนอบตอบถ้อยไม่เต็มปาก | ด้วยกระดากกระเดียมใจมิใคร่หาย |
ขืนอารมณ์ก้มทูลทั้งอับอาย | ว่าโฉมฉายนวลละอองอยู่ห้องใน ฯ |
๏ พระฟังคำทำถามทรามสงวน | จะประชวรดอกกระมังยังสงสัย |
ประภาษพลางทางเยื้องชำเลืองไป | พระเข้าในม่านสุวรรณที่กั้นกาง |
ไม่แจ่มแจ้งแสงประทีปก็ริบหรี่ | เห็นส่านสีห่มนอนแนบหมอนข้าง |
ไม่ทันพิศคิดว่าองค์อนงค์นาง | นั่งข้างข้างค่อยต้องประคองกร |
เห็นนุ่มนิ่มยิ้มแยบแนบพระหัตถ์ | กอดถนัดนิ่งเขม้นเห็นแต่หมอน |
ตะลึงเล่อเก้อเอกเขนกนอน | พระองค์อ่อนอกกูเหวยอยู่จริง |
ถอนใจใหญ่ใจคอให้ท้อแท้ | จนจวนแก่ยังไม่รู้เท่าผู้หญิง |
แล้วเหลียวหาหน้าหลังยังประวิง | สมรมิ่งเจ้าจะแฝงอยู่แห่งไร ฯ |
๏ ฝ่ายสุรางค์นางนั่งอยู่พรั่งพร้อม | ทำเพลงกล่อมมโหรีปี่ไฉน |
ขับอิเหนาเข้าถ้ำให้ช้ำใจ | แล้วซ้ำใส่หน้าทับรับพระทอง |
พระแอบดูรู้เท่าว่าเขาเยาะ | กลับหัวเราะรีบออกมานอกห้อง |
เที่ยวถามไถ่ไล่เลียงแล้วเมียงมอง | ไม่เห็นน้องที่ในตึกให้นึกอาย |
ออกจากเก๋งเล็งแลเห็นแต่แขก | ด้วยแปลงแปลกปลอมปนคนทั้งหลาย |
มีตุ้งก่ามาระกู่เหมือนผู้ชาย | พระมุ่งหมายมองตามดูทรามเชย ฯ |
๏ นางเห็นองค์ทรงธรรม์กลั้นพระสรวล | ถึงเดินจวนมาก็ช่างทำนั่งเฉย |
พระลดเลี้ยวเที่ยวแลชะแง้เงย | จนเดินเลยมาถึงห้องพระน้องรัก |
ได้ยินเสียงสินสมุทรยังพูดจ้อ | ประหลาดหนอนางไปไหนไม่ประจักษ์ |
แสนสงสัยใจช้ำละล่ำละลัก | แกล้งร้องทักสินสมุทรด้วยสุดคิด |
เออนั่นแน่แม่หายไม่ไปหา | ยังหลับตาอยู่เล่าเจ้าลูกศิษย์ |
สินสมุทรตกใจพึ่งได้คิด | เออมิผิดแล้วหรือมาอยู่กว่ายาม |
พลางทูลลาพาพระน้องมาห้องแม่ | ไม่เห็นแน่นึกสงสัยจึงไต่ถาม |
สาวสุรางค์พลางหยอกไม่บอกความ | ยิ่งเที่ยวตามตกใจกระไรเลย |
นางอรุณรัศมีว่าพี่จ๋า | ใครลักป้าไปเสียเล่าแม่เจ้าเอ๋ย |
กุมาราว่าพี่รู้แล้วทรามเชย | ไม่ผิดเลยพระบิดาแลพาไป |
แล้วตามกันเข้าไปจนในห้อง | พบแล้วน้องมั่นคงไม่สงสัย |
ต่างเห็นจริงวิ่งเรียงเคียงกันไป | เข้าห้องในก็ไม่ปะพระมารดา |
ไม่เห็นแม่แลมองทุกห้องหับ | เห็นฉากพับพลิกแพลงแสวงหา |
ไม่เห็นหนบ่นเดินดำเนินมา | ปะบิดาเข้าก็ถามดูความแคลง |
พระบิดาพาพระแม่ไปไว้ไหน | จริงหรือไม่โปรดเกล้าเล่าแถลง |
พระทำว่าข้าก็ยืนอยู่กลางแปลง | ไม่รู้แจ้งเจ้าอย่ามาเที่ยวพาโล ฯ |
๏ กุมาราพากันกลับไปห้องแม่ | เที่ยวมองแลเปิดหาจนฝาโถ |
ไม่เห็นหนจนใจร้องไห้โฮ | พาลพาโลสาวสรรค์กำนัลใน |
พอบิดามาตามถามโอรส | เที่ยวดูหมดแล้วหรือนางอยู่ข้างไหน |
พลางจุดเทียนเวียนส่องถึงห้องใน | เห็นสไบคลุมหมอนยังค่อนแค้น |
หยิบขึ้นดมชมกลิ่นไม่สิ้นหอม | น่าถนอมแนบเนื้อนั้นเหลือแสน |
สะพักองค์ทรงห่มแล้วชมแทน | ให้สมแค้นขัดใจที่ไม่พบ |
แล้วเดินออกนอกห้องเที่ยวมองหา | นางก็กล้าแกล้งเที่ยวเลี้ยวตลบ |
เหมือนนายหมวดตรวจพหลพลรบ | ถึงจะพบก็ไม่รู้ว่าผู้ใด |
จนดึกดื่นเดือนฉายก็บ่ายคล้อย | เสียงลูกน้อยอยู่ในห้องนั่งร้องไห้ |
นางโฉมยงสงสารรำคาญใจ | ชวนสาวใช้แวดชายชม้ายเมียง |
พอเห็นองค์พระอภัยเธอไปลับ | เข้าห้องหับประตูกั้นชั้นเฉลียง |
เห็นพี่น้องสองคนอยู่บนเตียง | เข้ายืนเคียงขู่ว่ามาทำไม |
กุมาราเห็นแม่แปรเป็นแขก | เจียนจะแปลกประหลาดหนอหัวร่อได้ |
ฉันค้นคว้าหาแม่จนอ่อนใจ | เที่ยวเลียบไปหารอบจนขอบเรือ ฯ |
๏ นางปลดเปลื้องเครื่องแต่งที่แปลงรูป | ประโลมลูบลูกหลานสงสารเหลือ |
ด้วยนงลักษณ์รักสนิทดูชิดเชื้อ | เหมือนในเนื้อมิได้แหนงแคลงฤทัย |
ชวนบรรทมชมเชยเหมือนเคยชื่น | ไม่เห็นผืนสไบถามตามสงสัย |
กุมาราว่าบิดรซ่อนเอาไป | นางเข้าใจทำว่าน่ารำคาญ |
ดูเถิดเธอเก้อแล้วก็มิหนำ | ยังกลับซ้ำลักผ้าน่าสงสาร |
เถิดทำบุญสูญไปทั้งสังวาล | แล้วกอดหลานลูกเลี้ยงเคียงบรรทม ฯ |
๏ ฝ่ายพระอภัยไล่ค้นเที่ยววนวก | จนเดือนตกก็ไม่พบประสบสม |
เมื่อยพระเพลาเข้าในห้องหมองอารมณ์ | ทอดบรรทมทางสะท้อนถอนฤทัย |
มิเสียทีดีจริงผู้หญิงเอ๋ย | กระไรเลยลวงล่อล้อเล่นได้ |
ลักเอาผ้ามาไว้ห่มให้สมใจ | คลี่สไบคลุมองค์ทรงรำพึง |
นี่นางไปไหนหนอจนดึกดื่น | เที่ยวกลางคืนคิดขึ้นมาก็น่าหึง |
แต่ชาติหงส์หรือจะลงเล่นบ่อบึง | นอนคะนึงนึกหวังถึงบังอร |
จนเสียงไก่ในกำปั่นขันแจ้วแจ้ว | พระหวาดแว่วว่าสำเนียงเสียงสมร |
ครั้นฟังไปใช่สุดายิ่งอาวรณ์ | อนาถนอนนึกหายุพาพิน |
เชยผ้าห่มชมกลิ่นไม่สิ้นหอม | ด้วยส่านย้อมหญ้าฝรั่นแลกลั่นกลิ่น |
ได้อุ่นแอบแนบอุราเป็นอาจิณ | ไม่สุดสิ้นเสนหายุพาพาล |
แต่เวียนเฝ้าเข้าหาเวลาพลบ | มิได้พบโฉมยงยอดสงสาร |
ขอรีบรัดตัดความตามนิทาน | แสนกันดารเดินทางกลางคงคา |
ได้เดือนหนึ่งถึงปากน้ำเมืองผลึก | อึกทึกทอดรายทั้งซ้ายขวา |
พวกชาวเมืองออกมาถามตามสงกา | แจ้งกิจจาเจ้านายสบายใจ |
บ้างบอกเล่าป่าวร้องกันเซ็งแซ่ | มายืนแลตามตลิ่งวิ่งไสว |
ไม่ถึงครู่รู้กระทั่งถึงวังใน | บ้างวิ่งไปทูลสารพระมารดร ฯ |