ตอนที่ ๖๗ วายุพัฒน์เป็นอุปราชเมืองเซ็น

๏ จะกล่าวผู้รู้วิชากับวายุพัฒน์ คิดฝึกหัดปลูกฝังกันทั้งสอง
อยู่เมืองเซ็นเป็นหมอดูรู้ทำนอง ได้เงินทองของกำนัลทุกวันไป
เจ้าเมืองเซ็นเป็นทมิฬชื่อกบิลละ ลักษณะเหมือนกระบี่ตามวิสัย
นุ่งห่มดำน้ำเกลี้ยงทั้งเวียงชัย ผมนั้นไว้ไปล่เหมือนลิงทั้งหญิงชาย
ชาวลังกาฝรั่งชังภาษา จึงมิได้ไปมาไม่ค้าขาย
เกิดเงินทองท้องถิ่นที่ดินทราย ทำได้ง่ายได้สบายซื้อจ่ายกิน
ถึงเมียเขาเล่าถ้าตัวผัวไม่อยู่ ลอบเล่นชู้ก็ได้ดังใจถวิล
มีบ้านช่องนองเนืองเมืองทมิฬ ทำด้วยหินศิลาทั้งธานี
เหนือเมืองนั้นวันหนึ่งไปถึงถ้ำ มียักษ์ดำโตตาหน้าเหมือนหมี
ในเรื่องราวกล่าวคำว่าสามปี มันมาที่เมืองทมิฬเที่ยวกินคน
ชาวเมืองเซ็นเห็นตัวต่างกลัวยักษ์ วิ่งคึกคักเข้าไปแฝงทุกแห่งหน
เจ้าเมืองกบิลละเหลือประจญ เอาตัวคนโทษออกไปส่งให้ยักษ์
มันฉวยฉีกซีกโครงโก้งโค้งเคี้ยว กระดูกกระเดี้ยวเหนี่ยวแย่งขาแข้งหัก
ล้วงตับไตไส้พุงพุ่งทะลัก สองมือควักกลืนกินแลบลิ้นหลาม
ไม่อิ่มท้องมองหาหูตากลอก เข้าตามตรอกออกตามทางกลางสนาม
เห็นชายหญิงวิ่งไขว่มันไล่ตาม เดินคำรามเวียนรอบขอบกำแพง ฯ
๏ พอเวลาวายุพัฒน์ไปเที่ยวเล่น กลับมาเห็นยักษ์กลัวยืนตัวแข็ง
มันเข้าใกล้ได้กลิ่นก็สิ้นแรง ล้มตะแคงคุกคลานซมซานไป
ด้วยหน่อนาถชาติเชื้อผีเสื้อร้าย ยักษ์ผีพรายเข็ดขามตามวิสัย
เห็นซบหน้าวายุพัฒน์คิดขัดใจ ฉวยเอาไม้ไล่ตีมันหนีตัว
เสียงยักษ์ร้องก้องอึงเหมือนหนึ่งอูฐ นอนกลิ้งทูตพูดไม่ออกเกลือกกลอกหัว
มือประนมก้มกราบด้วยหลาบกลัว พระจิกหัวยักษ์ลากกระชากมา
ถึงตึกเช่าเข้าดูประตูปิด ด้วยคนคิดเข็ดยักษ์กลัวหนักหนา
พระเงื้อไม้ให้มันหมอบยอบกายา อยู่ตรงหน้าตึกนิ่งไม่ติงกาย
แล้วเรียกครูสุริยันครั้นมาเห็น รู้ว่าเป็นบุญของศิษย์เหมือนคิดหมาย
พวกชาวบ้านร้านตลาดไม่อาจกราย เห็นยักษ์ร้ายร้องบอกกันออกอึง
สุริยันนั้นเอาโซ่โตถนัด วายุพัฒน์มัดแน่นผูกแขนขึง
จะฆ่าฟันมันก็ยากต้องตรากตรึง ให้มันถึงที่ตายวอดวายปราณ ฯ
๏ ฝ่ายนางผีเสื้อเนื้อเป็นหินสิ้นไฟธาตุ เป็นปิศาจชาติยักษ์ยังรักหลาน
สำแดงกายกรายมาหน้ากุมาร จึงแจ้งการก่อนเก่าเล่าให้ฟัง
อันตัวกูผู้เป็นย่าวายุพัฒน์ เองอย่ามัดผูกยักษ์อย่ากักขัง
จงกล่อมเกลี้ยงไว้ใช้กำลัง ให้ตามหลังดั่งหนึ่งว่าเป็นข้าคน
กูอยู่ด้วยช่วยเองอย่าเกรงยักษ์ เรียกหลานรักไปที่ข้างหว่างถนน
สอนประสิทธิ์ฤทธิเดชให้เวทมนตร์ บอกแยบยลกลอุบายแล้วหายไป ฯ
๏ วายุพัฒน์มัสการสงสารย่า ชลนาแนวนองนั่งร้องไห้
แล้วกลืนกลั้นกันแสงคิดแข็งใจ นึกจำได้เวทมนตร์ดลวิชา
ไปแก้มัดอสุรินให้กินน้ำ บริกรรมรังควานอ่านคาถา
เผอิญยักษ์รักใคร่ไม่ไคลคลา รู้พูดจาสารภาพก้มกราบกราน
วายุพัฒน์จัดให้เป็ดไก่หมู ให้ยักษ์รู้อยู่กินเป็นถิ่นฐาน
อ้ายยักษ์ยิ้มอิ่มหนำนั่งสำราญ ฝ่ายอาจารย์จึ่งว่ากับวายุพัฒน์
ซึ่งท่านย่ามาช่วยสอนอวยพรให้ เจ้าจะได้ใช้ทหารผ่านสมบัติ
เมื่อครั้งปู่สู้กับยายต่างพรายพลัด นางหลงลัดหลีกทางไปกลางไพร
ให้ย่องตอดยอดทหารออกต้านต่อ ปู่กับพ่อก็ไม่หาญผลาญมันได้
จึงสงบรบพุ่งทั้งกรุงไกร นั่งเล่าให้ฟังความตามเอ็นดู ฯ
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้าประเทศเคยเข็ดยักษ์ เสียงคึกคักยักษ์ร้องกึกก้องหู
สักครู่หนึ่งจึงเห็นชายนายประตู ทูลว่าผู้หนึ่งหนุ่มเดินดุ่มมา
อ้ายยักษ์โถมโจมจับเข้ารับรบ มันกลับกลบซบเสือกเกลือกเกศา
เข้าจิกผมก้มตัวกลัวศักดา เดี๋ยวนี้พาเอาอ้ายยักษ์มากักไว้
พระยินดีปรีดาสั่งข้าเฝ้า ไปหาเขาเล่าให้แจ้งแถลงไข
เชิญมาหาสักหน่อยอย่าน้อยใจ เราจะได้ให้ลูกสาวเป็นเจ้านาย
ฝ่ายเสนีดีใจไปเป็นหมู่ ถึงตึกอยู่หน่อนาถเหมือนมาดหมาย
เห็นยักษ์หมอบยอบตัวต่างกลัวตาย บ้างว่านายยึดยักษ์ไว้สักที
ฉันจะได้ไปหาพูดจาด้วย มันจะฉวยฉีกเนื้อเหมือนเสือหมี
สุริยันนั้นว่าไม่เป็นไรมี เราอยู่นี่แล้วเข้ามาเถิดอย่ากลัว
พวกขุนนางต่างขยับแล้วกลับถอย ยึดไว้หน่อยเถิดพ่อคุณพ่อทูนหัว
พระหน่อไทไปรับยักษ์กลับตัว ขุนนางกลัวล้มลุกลงคลุกคลาน
แล้วบอกความถามไต่คนไหนหนุ่ม ที่จับกุมยักษาแกล้วกล้าหาญ
ให้เชิญไปในพระโรงพระโองการ จะประทานพระธิดาด้วยปรานี ฯ
๏ ฝ่ายสุริยันนั้นจึงว่าวายุพัฒน์ จับมาหัดฝึกไว้มิให้หนี
ได้ใช้สอยค่อยแข็งเรี่ยวแรงมี เมื่อไปไหนจะได้ขี่มันนี้ไป
ซึ่งพระองค์ทรงเมตตาวายุพัฒน์ ไม่ข้องขัดวาสนาอัชฌาสัย
แต่หนุ่มนักจักเข้าเฝ้าไม่เข้าใจ จะพาไปได้ช่วยทูลมูลิกา
แล้วจัดแจงแต่งงามเป็นพราหมณ์เทศ ให้ผิดเพศพวกสิงหลภาษา
สุริยันนั้นว่าเจ้าเหล่าเสนา จงนำหน้าพาไปเข้าในวัง
วายุพัฒน์ตรัสเรียกรากโษสบอก มันแบกออกเดินวามไปตามหลัง
ดูสูงเทิ่งเบิ่งหน้าละล้าละลัง ชาวเมืองทั้งปวงวิ่งเป็นสิงคลี
พวกขุนนางต่างห้ามปรามทั้งหลาย ยักษ์ไม่ร้ายชายหญิงอย่าวิ่งหนี
ยิ่งห้ามยิ่งวิ่งล้มไม่สมประดี จนถึงที่แถวทิมริมปราการ
พระลงจากรากโษสเอื้อนโอษฐ์สั่ง เองหยุดยั้งคอยท่าที่หน้าฉาน
ฝ่ายเสนาพาเข้าไปในพระลาน แล้วกราบกรานทูลแถลงแจ้งคดี
หนุ่มคนนี้ที่ปราบกำราบยักษ์ มันกลัวนักรักใคร่มิได้หนี
ดูชิดเชื้อเมื่อพามาเดี๋ยวนี้ เธอก็ขี่ยักษ์มาอยู่หน้าวัง ฯ
๏ ท้าวทมิฬยินดีว่าวิเศษ เป็นพราหมณ์เทศเวทมนตร์ดลจึ่งขลัง
พลางเรียกมาหน้าสุวรรณบัลลังก์ แล้วว่ายังหนุ่มน้อยแช่มช้อยชด
เราจะใคร่ให้ลูกช่วยปลูกฝัง เป็นที่ตั้งวังหน้าให้ปรากฏ
ช่วยว่าขานการเมืองรุ่งเรืองยศ หรือโอรสเจ้าจะเห็นเป็นอย่างไร
๏ พระนบนอบตอบความตามทำเนียบ พระคุณเปรียบดินฟ้าจะหาไหน
ซึ่งออกโอษฐ์โปรดปรานประการใด จะรับใส่เศียรสิ้นด้วยยินดี
พระฟังตอบชอบชื่นไม่ขืนขัด จึงให้จัดปรางค์มาศปราสาทศรี
ยานุมาศราชรถพระกลดมี ประทานที่วังหน้าให้ถาวร
แล้วองค์ท้าวเข้าในที่ไสยาสน์ ตรัสเรียกราชเทวีศรีสมร
มาปรึกษาว่าบุตรีศศิธร ได้ฝึกสอนชันษาสิบห้าปี
จะยกให้ฝ่ายหน้าวายุพัฒน์ สืบกษัตริย์อัติเรกภิเษกศรี
ดูน่าชมสมกันขยันดี ให้บุตรีมียศปรากฏไป
ศศิธรผ่อนตามความรับสั่ง จะปลูกฝังพระธิดาบัญชาไฉน
สุดแท้แต่จะประสงค์จำนงใจ ตามพระทัยไม่ขัดพระอัชฌา ฯ
๏ ท้าวทมิฬยินดีเป็นที่ยิ่ง ถนอมมิ่งเมียขวัญด้วยหรรษา
เหมือนอย่างเคยเชยชมภิรมยา แสนสนิทนิทราในราตรี
ครั้นรุ่งตื่นฟื้นองค์สรงสนาน ออกที่นั่งสั่งการภิเษกศรี
ให้จัดแจงแต่งโรงราชพิธี ประเพณีที่จะสมภิรมย์รัก
อันเมืองเซ็นเป็นคู่ได้สู่ขอ ฝ่ายแม่พ่อก็อุ้มนางไปวางตัก
ชายกอดแอบแนบชิดจุมพิตพักตร์ ให้คนเห็นเป็นว่ารักด้วยภักดี
จึ่งตีฆ้องกลองประโคมเมื่อโลมเล้า แล้วจึงเอาเจ้าบ่าวอุ้มสาวศรี
เดินเวียนวนจนรอบขอบพิธี พาไปที่ที่จะอยู่เป็นคู่กัน
แล้วเผ่าพงศ์วงศ์วานเพื่อนบ้านช่อง เอาสิ่งของทองคำไปทำขวัญ
โรงพิธีนี้ก็สร้างทำอย่างนั้น ตั้งแท่นกั้นชั้นฉัตรจำรัสเรือง
ถึงวันฤกษ์เบิกอรุณหมื่นขุนพร้อม ทั้งเจ้าจอมหม่อมในวังมาตั้งเครื่อง
พวกชาวบ้านร้านช่องมานองเนือง ด้วยนับถือลือเลื่องทั้งเมืองเซ็น
มาคอยดูอยู่ก็มากอยากใคร่รู้ เสกสมสู่คู่เชยไม่เคยเห็น
คนเดินหลามตามทางไม่ว่างเว้น ได้ฤกษ์เย็นย่ำฆ้องบ่ายสองโมง ฯ
๏ วายุพัฒน์จัดองค์ทรงเครื่องต้น ขึ้นนั่งบนเบาะรองแท่นทองโถง
คนดูชมคมคายเหมือนนายโรง บ้างร้องชะต๊ะโต๋งโหน่งหยิบโหย่งครัน
ฝ่ายองค์อัครเทวีศรีสมร แต่งศศิธรบุตรีผ่องศรีสรรพ์
ด้วยข้างหน้าพานเรศตามเพศพันธุ์ ทรงน้ำกลั่นกันโขนงให้โก่งค้อม
ทั้งสองแก้มแต้มจันทร์กระแจะลูบ เมื่อส่งตัวผัวจะจูบจะได้หอม
ใส่เสื้อทองรองนวมให้กรวมกรอม ผ้าห่มห้อมหุ้มเฉลียงเฉวียงองค์
ท้าวกบิลยินดีเป็นที่สุด ประคองบุตรสุดสงวนนวลหง
พร้อมสุรางค์นางนาฏพระญาติวงศ์ อุ้มไปส่งโรงราชพิธี ฯ
๏ เจ้าบ่าวท้าวค่อยวางลงกลางตัก นางก้มพักตร์ผัวประโลมกอดโฉมศรี
พระจูบปรางนางข้างละสามที พวกดนตรีปี่พาทย์ฆาตประโคม
โห่สนั่นลั่นฆ้องเสียงก้องกึก มโหระทึกครึกครึ้มกระหึมโหม
ดูนางบ้างว่างามทรามประโลม บ้างชมโฉมชายงามว่าพราหมณ์ดี
ครั้นสำเร็จเสร็จภิเษกเอกฉัตร วายุพัฒน์อุ้มธิดามารศรี
เดินเวียนรอบขอบมณฑลพิธี แล้วไปที่แท่นทองห้องมนเทียร
ค่อยวางนางกลางสุวรรณบรรจถรณ์ นางศศิธรนอบนบหมอบซบเศียร
พระแลเล็งเพ่งพิศสะอิดสะเอียน ดูเพี้ยนเพี้ยนพานเรศเวทนา
เนตรก็กลมผมไว้ทั้งใบหู ปลายแหลมชูดูสกนธ์ขนนักหนา
เสียดายเหลือเชื้อชาติราชธิดา แต่ไม่น่าแนบชิดสนิทใน
จึงเสแสร้งแกล้งว่าเวลานี้ ในใจพี่ริ้วริ้วหวิวหวิวไหว
แล้วเอนองค์ลงสะท้อนถอนฤทัย นางตกใจไหว้กราบไม่หยาบคาย
เป็นไรพระประทมหรือลมจับ จะให้รับหมอมาทำยาถวาย
อยู่งานนวดปวดที่ไหนจะได้คลาย พลางต้องกายหมายว่าเป็นสามี
พระห้ามปรามตามกระบวนอย่ากวนหมอ เจ็บไม่พอหนักหนาดอกมารศรี
อย่านวดเลยเคยเป็นอยู่เช่นนี้ แล้วทำทีหิวระหวยระทวยองค์
ด้วยได้เมียเสียใจมิได้ชื่น สู้กลั้นกลืนขืนจิตคิดประสงค์
ให้ง่วงเหงาเศร้าซูบทั้งรูปทรง ไม่แต่งองค์สรงเสวยเลยนิทรา ฯ
๏ ฝ่ายสุริยันนั้นอยู่ตึกช่วยฝึกยักษ์ หลายวันนักไม่เห็นศิษย์คิดกังขา
จึงบังเงาเข้าไปห้องไสยา เห็นพระวายุพัฒน์นั้นนิ่งบรรทม
อยู่องค์เดียวเปลี่ยวจิตเห็นผิดอย่าง ไม่เห็นนางลูกท้าวสาวสนม
ดูผิดรูปซูบผอมเหมือนตรอมตรม ปลุกประทมไต่ถามตามสงกา
พระเป็นไรไม่ออกนั่งบัลลังก์อาสน์ ไม่ประภาษราชการนานนักหนา
ดูเผือดผิวหิวโหยเห็นโรยรา หรือโรคาขัดขวางเป็นอย่างไร ฯ
๏ พระฟังครูสุริยันให้อั้นอัด สุดจะขัดตรัสแจ้งแถลงไข
เหมือนมืดสิ้นดินฟ้าสุราลัย ไม่เหมือนจิตคิดไว้สุดใจจริง
เมื่อแรกเริ่มเดิมว่าธิดาราช ก็หมายมาดคาดว่าเลิศประเสริฐหญิง
มาพลิกไพล่ได้นางเหมือนอย่างลิง จะแอบอิงพิงเบียดก็เกลียดอาย
ประเดี๋ยวนี้วิตกอกจะแตก เหมือนจะแทรกดินไปเสียให้หาย
เขาว่ามีเมียผิดคิดจนตาย ต้องอับอายขายหน้าระอาใจ
ครูหัวร่อพ่อคิดให้ผิดอย่าง เหมือนลิงค่างอย่างนี้หาที่ไหน
แต่ก่อนเคยเชยโฉมประโลมใจ ก็กลับไกลมิได้อยู่เป็นคู่ครอง
เดี๋ยวนี้พ่อก็ไม่มีที่จะเห็น เที่ยวซ่อนเร้นเย็นเช้าโศกเศร้าหมอง
ได้ลูกสาวเจ้าเมืองรุ่งเรืองรอง เหมือนเรือคล่องล่องน้ำลอยลำฟู
ถึงธิดาน่าเกลียดมีเกียรติยศ ได้ลือชาปรากฏไม่อดสู
แต่รูปร่างอย่างย่าไม่น่าดู ปู่ไปอยู่คู่คงสืบวงศ์วาน
จนเกิดพ่อประเสริฐมาเกิดเจ้า เดี๋ยวนี้เล่าย่าก็มารักษาหลาน
อย่ารังเกียจเกลียดเมียจะเสียการ จงคิดอ่านหว่านพืชให้ยืดยืน
การทั้งปวงเราข้างหน้ามากกว่าหลัง คิดถึงวังลังกาอุตส่าห์ฝืน
ถึงฝาดฝืดจืดเค็มที่เต็มกลืน อย่าคายคืนขืนข้ามไปตามเกิน
ถ้าเสียเมียเสียเกลือเนื้อจะเน่า การของเราเล่าจะค้างเพราะห่างเหิน
ถึงลิงค่างช่างเถิดพ่อพอเพลิดเพลิน อย่างหมางเมินเขินขามไปตามจน ฯ
๏ พระนิ่งนั่งฟังครูค่อยรู้สึก คิดตรองตรึกนึกเห็นจะเป็นผล
จึ่งว่าฉันฟั่นเฟือนเหมือนมืดมน ค่อยเห็นหนทางนำจะจำจร
สุริยันครั้นเห็นรับกลับไปตึก พระนั่งนึกตรึกคำที่ร่ำสอน
พอโพล้เพล้เทวีศศิธร มาอ้อนวอนให้เสวยเครื่องเนยนม
พระตรัสตอบขอบจิตขนิษฐ์น้อง พี่กินของอื่นอื่นก็ขื่นขม
ต้องเหินห่างวางเว้นเพราะเป็นลม ขอเชยชมโฉมหอมถนอมนวล
พลางแนบเน้นเคล้นเคล้าทั้งเศร้าซูบ ประจงจูบลูบต้องประคองสงวน
นางพรายพริ้มยิ้มเยือนเบือนกระบวน พระประชวรหวนหักจะหนักไป ฯ
๏ พระว่ารู้อยู่ว่ารักนั้นหนักยิ่ง แม่ยอดหญิงมิ่งขวัญอย่าหวั่นไหว
พลางสวมสอดกอดน้องทำนองใน ตามวิสัยในแผ่นดินสิ้นทั้งปวง
ประเวณีมิได้มีใครสั่งสอน นางศศิธรอ่อนตามไม่ห้ามหวง
เหมือนมาลีคลี่คลายขยายดวง ไม่มีด้วงแลงแล่นต่อแตนตอม
แต่แมงภู่รู้รสอตส่าห์แทรก บ้างว่ายแหวกกลีบเผยระเหยหอม
เหมือนเช่นชายหมายหญิงต่างยิงยอม ไม่อดออมอิ่มหนำแสนสำราญ ฯ
๏ เมื่อแรกเริ่มเดิมเกลียดครั้นเสียดสี กลับเป็นดีที่ถนอมเหมือนหอมหวาน
ทั้งชายหญิงสิ่งสังวาสชาติน้ำตาล ใครพบพานกล้ำกลืนกลับชื่นใจ
หญิงเมืองเซ็นเช่นลิงก็จริงอยู่ ใครสมสู่คู่คงลุ่มหลงใหล
ลืมลังกานารีรูปวิไล ต้องติดใจสาวสาวชาวเมืองเซ็น
เป็นวิสัยในมนุษย์บุรุษเอ๋ย ไม่แคล้วเลยเคยคบได้พบเห็น
ถึงรูปชั่วตัวดำมันจำเป็น เว้นแต่เช่นเป็นกะเทยละเลยรัก
เหมือนเรื่องราวกล่าวว่าวายุพัฒน์ ได้สมบัติบุตรีเป็นศรีศักดิ์
ตั้งตึกใหญ่ให้ครูอยู่กับยักษ์ ค่อยรู้จักภาษาพูดจากัน
ให้มีคนปรนนิบัติซื้อสัตว์ไว้ ตามวิสัยอ้ายยักษ์มักกระสัน
อูฐควายม้าลาวัวตัวละวัน เนื้อทรายสมันหมูหมีต้องสี่ตัว
มันกินดิบหยิบเชือดสูบเลือดสด กระดูกกระเดี้ยวเคี้ยวหมดทั้งหางหัว
เดินปะปนคนทั้งหลายค่อยคลายกลัว มันแต่งตัวตามเขาชาวเมืองเซ็น ฯ
๏ ฝ่ายวายุพัฒน์จัดแก้วแววสว่าง แกะรูปร่างนางผีเสื้อเหมือนเมื่อเห็น
ไม่คลาดเคลื่อนเหมือนนางเหมือนอย่างเป็น ไว้ยอดเช่นชื่อวัปะหามาลาทรง
แม้นแปลเป็นคำไทยพวกไพร่พลอด ว่าไว้ยอดหมวกตามความประสงค์
ทั้งเครื่องบวงสรวงย่าเชิญมาลง สิงรูปทรงจงประจำให้สำราญ ฯ
๏ ฝ่ายผีเสื้อเมื่อเขาบวงสรวงก็รู้ มาสิงสู่ยอดมาลารักษาหลาน
ถึงเวลาวายุพัฒน์มัสการ ก็บันดาลดั่งหนึ่งเช่นเป็นมนุษย์
ดูพรายพริ้มยิ้มแย้มแจ่มกระจ่าง เหมือนเยื้องย่างอยู่ที่หินกระสินธุ์สมุทร
เป็นเงางอกออกด้วยจิตฤทธิรุทร ยังไม่สุดสิ้นอายุอสุริน
วายุพัฒน์จัดทหารชำนาญศึก ด้วยตรองตรึกนึกคิดเป็นนิจสิน
ได้ไพร่นายร้ายกาจชาติทมิฬ ท้าวกบิลอวยให้เหมือนใจปอง ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ