- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๔๔)
- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๒๙)
- คำนำเมื่อพิมพ์ครั้งแรก
- ประวัติสุนทรภู่
- บันทึกเรื่องผู้แต่งนิราศพระแท่นดงรัง
- อธิบาย ว่าด้วยเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่
- ปกิรณะกะประวัติของสุนทรภู่
- ตอนที่ ๑ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา
- ตอนที่ ๒ นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๓ ศรีสุวรรณเข้าเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๔ ศรีสุวรรณพบนางเกษรา
- ตอนที่ ๕ ศรีสุวรรณเกี้ยวนางเกษรา
- ตอนที่ ๖ ศรีสุวรรณรบท้าวอุเทน
- ตอนที่ ๗ ศรีสุวรรณพยาบาลนางเกษรา
- ตอนที่ ๘ อภิเษกศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๙ พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อ
- ตอนที่ ๑๐ พระอภัยได้นางเงือก
- ตอนที่ ๑๑ นางสุวรรณมาลีไปเที่ยวทะเล
- ตอนที่ ๑๒ พระอภัยมณีพบนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๓ พระอภัยมณีโดยสารเรือนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๔ พระอภัยมณีเรือแตก
- ตอนที่ ๑๕ สินสมุทรโดยสารเรือโจรสุหรั่ง
- ตอนที่ ๑๖ สินสมุทรพบศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๑๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๑๘ พระอภัยมณีโดยสารเรืออุศเรน
- ตอนที่ ๑๙ พระอภัยมณีพบศรีสุวรรณกับสินสมุทร
- ตอนที่ ๒๐ สินสมุทรรบกับอุศเรน
- ตอนที่ ๒๑ พระอภัยมณีเกี้ยวนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๒ พระอภัยมณีครองเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๓ พระอภัยมณีอภิเษกกับนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๔ กำเนิดสุดสาคร
- ตอนที่ ๒๕ สุดสาครเข้าเมืองการะเวก
- ตอนที่ ๒๖ อุศเรนตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๗ เจ้าละมานตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๘ สุดสาครตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๒๙ ศึกเก้าทัพตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๓๐ พระอภัยมณีตีเมืองใหม่
- ตอนที่ ๓๑ พระอภัยมณีพบนางละเวง
- ตอนที่ ๓๒ ศรีสุวรรณอาสาตีด่านดงตาล
- ตอนที่ ๓๓ ย่องตอดสะกดทัพ
- ตอนที่ ๓๔ นางละเวงคิดหย่าทัพ
- ตอนที่ ๓๕ พระอภัยติดท้ายรถ
- ตอนที่ ๓๖ พระอภัยมณีทำผูกคอตายได้นางละเวง
- ตอนที่ ๓๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๓๘ นางสุวรรณมาลีข้ามไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๓๙ นางสุวรรณมาลีมีสารตัดพ้อ
- ตอนที่ ๔๐ สุดสาครถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๔๑ นางสุวรรณมาลีหึงหน้าป้อม
- ตอนที่ ๔๒ หัสไชยแก้เสน่ห์
- ตอนที่ ๔๓ นางเสาวคนธ์ยิงแก้ม
- ตอนที่ ๔๔ กษัตริย์สามัคคี
- ตอนที่ ๔๕ นางเสาวคนธ์ขุดโคตรเพชร
- ตอนที่ ๔๖ พระอภัยมณีกลับเมือง
- ตอนที่ ๔๗ อภิเษกสินสมุทร
- ตอนที่ ๔๘ นางเสาวคนธ์หนี
- ตอนที่ ๔๙ นางเสาวคนธ์แปลงเป็นฤๅษี
- ตอนที่ ๕๐ นางเสาวคนธ์ได้เมืองวาหุโลม
- ตอนที่ ๕๑ สุดสาครตามนางเสาวคนธ์
- ตอนที่ ๕๒ พระอภัยมณีทำศพท้าวสุทัศน์
- ตอนที่ ๕๓ มังคลาครองเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๔ มังคลาชิงโคตรเพชร
- ตอนที่ ๕๕ มังคลาจับนางสุวรรณมาลีและท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๖ หัสไชยตีด่านเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๗ สุดสาครรบมังคลา
- ตอนที่ ๕๘ นางละเวงวัณฬาช่วยนางสุวรรณมาลีแลท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๙ พระอภัยมณีศรีสุวรรณไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๐ พระอภัยมณีรบกับมังคลา
- ตอนที่ ๖๑ สังฆราชบาทหลวงเผาเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๒ พระอภัยเข้าเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๓ อภิเษกหัสไชย
- ตอนที่ ๖๔ พระอภัยมณีออกบวช
- ตอนที่ ๖๕ พระบาทหลวงพาพระมังคลาหนีทัพไปเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๖๖ วลายุดาครองเมืองสินชัย
- ตอนที่ ๖๗ วายุพัฒน์เป็นอุปราชเมืองเซ็น
- ตอนที่ ๖๘ หัสกันครองเมืองสุลาลัย
- ตอนที่ ๖๙ พระอภัยมณีเยี่ยมศพนางมณฑา
- ตอนที่ ๗๐ พระมังคลายกทัพเรือมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๗๑ นางรำภา นางยุพาผกาและนางสุลาลีวันออกรบ
- ตอนที่ ๗๒ สุดสาคร สินสมุทรรบกับพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๓ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันเข้าเฝ้าศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๗๔ ทัพพันธมิตรเมืองกำพลเพชรยกมาช่วยพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๕ พระมังคลาล่าทัพไปถึงเกาะกาหวี
- ตอนที่ ๗๖ ทหารเมืองกำพลเพชรตามนางกฤษณาพบพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๗ พระมังคลาได้นางดวงแขลูกสาวเจ้าเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๗๘ อภิเษกพระกฤษณากับนางเทพินไปครองเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๗๙ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันลามารดากลับไปเมือง
- ตอนที่ ๘๐ พระมังคลายกทัพเมืองสำปันหนาไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๑ ศรีสุวรรณออกรับศึกพระมังคลา
- ตอนที่ ๘๒ โจรสลัดคุมกำปั่นปล้นเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๘๓ ศรีสุวรรณมาช่วยเมืองรมจักรรบโจรสลัด แล้วอภิเษกตรีพลำกับอัมพวันและเทวัญกับนิลกัณฐี
- ตอนที่ ๘๔ พระมังคลากับพระบาทหลวงแตกทัพไปเกลี้ยกล่อมเมืองต่าง ๆ
- ตอนที่ ๘๕ พระมังคลาไปถึงเมืองโรมพัฒน์ได้นางบุษบง
- ตอนที่ ๘๖ พระบาทหลวงกับพระมังคลายกทัพเรือเมืองโรมพัฒน์ไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๗ สุดสาครทราบข่าวศึก
- ตอนที่ ๘๘ พระมังคลากับพระบาทหลวงตีได้เมืองด่านลังกา
- ตอนที่ ๘๙ ทัพสุดสาครตีทัพพระมังคลาพ่าย จนเทวสินธุ์ตามไปถึงเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๙๐ ท้าวรายากับพระเทวสินธุ์ไปถึงเมืองกำพลเพชร แล้วยกทัพไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๙๑ หกกษัตริย์ยกทัพมาช่วยเมืองลังกาทำศึก
- ตอนที่ ๙๒ พระบาทหลวงรบศึกหกกษัตริย์จนลมแดงซัดเรือรบพลัดกัน
- ตอนที่ ๙๓ สุดสาครตีเมืองด่านแตก
- ตอนที่ ๙๔ พระเทวสินธุ์พบพระมังคลาจนเจ็ดกษัตริย์เตรียมรบ
- ตอนที่ ๙๕ พระมังคลากับพระบาทหลวงยกทัพเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๙๖ ทัพเจ็ดกษัตริย์ตีทัพพระบาทหลวงแตก
- ตอนที่ ๙๗ พระบาทหลวงเตรียมตีเมืองปากน้ำคืน
- ตอนที่ ๙๘ พระบาทหลวงขับท้าวรายากับนางบุษบงไปจากกองทัพ จนพระมังคลาหนี
- ตอนที่ ๙๙ พระบาทหลวงยกเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๑๐๐ สินสมุทรตีทัพพระบาทหลวงจนถูกยาเบื่อ
- ตอนที่ ๑๐๑ พระอภัยมณีเยือนลังกา
- ตอนที่ ๑๐๒ พระบาทหลวงปล่อยโคมไฟไปตกเมืองลังกา จนถึงพระอภัยมณีห้ามทัพ
- ตอนที่ ๑๐๓ หกกษัตริย์ตีโต้ทัพพระบาทหลวงล่าไปเมืองปตาหวี
- ตอนที่ ๑๐๔ พระอภัยมณีกลับไปเขาสิงคุตร
- ตอนที่ ๑๐๕ อภิเษกหัสกันกับนางวันชายา
- ตอนที่ ๑๐๖ พระอภัยมณีไปเยี่ยมนางเงือกที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๐๗ พระบาทหลวงเข้าเมืองปตาหวีแล้วตามไปพบพระมังคลาที่เมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๐๘ พระมังคลาและนางบุษบงออกมารับพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๐๙ ท้าวโกสัยบอกพระมังคลาให้รู้อุบายพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๐ พระบาทหลวงตีด่านเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๑๑ พระมังคลามีสารง้อศรีสุวรรณสุดสาครและสินสมุทร ให้มาช่วยรบพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๒ ทัพพระมังคลารบกับทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๓ ทัพศรีสุวรรณกับสี่กษัตริย์ตีกระหนาบทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๔ ทัพเรือพระบาทหลวงเข้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๕ ศรีสุวรรณกับพวกพาพระมังคลากลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๑๖ ท้าวกุลามาลีได้นางดวงประไพลูกสาวท้าวสินชัยเจ้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๗ พระมังคลาไปงานโสกันต์ระเด่นกินเรศ
- ตอนที่ ๑๑๘ เจ้าเมืองปตาหวีพานางดวงประไพกลับเมือง
- ตอนที่ ๑๑๙ สุดสาครไปเยี่ยมนางเงือกและพระฤๅษีที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๒๐ สุดสาครกลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๒๑ ศรีสุวรรณให้นรินทร์รัตน์ไปครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๒ อภิเษกนรินทร์รัตน์ครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๓ เจ็ดกษัตริย์ยกทัพมาตีเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๔ นรินทร์รัตน์ขอราเมศมาเป็นอุปราชกรุงรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๕ นรินทร์รัตน์กับราเมศมาช่วยเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๖ เจ็ดกษัตริย์ตายสี่หนีสาม
- ตอนที่ ๑๒๗ นรินทร์รัตน์หลงนางเกศพัฒน์เมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๘ อภิเษกพระราเมศกับนางดวงประภา
- ตอนที่ ๑๒๙ ภัทวงศ์ไปไหว้เทวรูปจนพบนางเกสรสุมาลัย
- ตอนที่ ๑๓๐ เจ้าเมืองวายุภักษ์ขอนางเกสรสุมาลัยให้ภัทวงศ์
- ตอนที่ ๑๓๑ พระสังฆราชบาทหลวงยกทัพมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๓๒ ตัดหางสุพรรณมัจฉาแล้วสถาปนาเป็นจันทวดีพันปีหลวง
ตอนที่ ๔๗ อภิเษกสินสมุทร
๏ ฝ่ายองค์พระอภัยเจ้าไตรจักร | ให้อาลักษณ์ตรึกตรองจำลองสาร |
ไปนัดฤกษ์อนุชาวิวาห์การ | ตามโบราณร่วมจังหวัดปถพี |
ฉบับหนึ่งถึงพาราการะเวก | ว่าจะเสกลูกรักเป็นศักดิ์ศรี |
บรรณาการพานทองล้วนของดี | ทูตทั้งสี่นายรับกำกับไป |
เชิญลงลำกำปั่นสุวรรณหงส์ | เป็นลำทรงราชสารไปขานไข |
พอลมดีคลี่คลายขยายใบ | แล่นไปในแถวทางกลางทะเล |
ระลอกคลื่นครื้นครึกเสียงกึกก้อง | กระทบท้องกำปั่นให้หันเห |
นายท้ายบ่ายหัวทิศาอาคเนย์ | ข้ามทะเลลอยแล่นแสนสำราญ |
ไม่ขัดข้องล่องลมถึงรมจักร | ขึ้นตึกพักแขกเมืองแจ้งเรื่องสาร |
ทั้งเพชรนิลจินดาบรรณาการ | พนักงานพาเข้าเฝ้าพระองค์ ฯ |
๏ ศรีสุวรรณนั้นออกนั่งบัลลังก์โถง | ท้องพระโรงตรัสความตามประสงค์ |
แสนเสนาข้าบาทพระญาติวงศ์ | เฝ้าพระองค์อภิวาทดาษดา |
พนักงานคลานก้มบังคมบาท | ทูลเบิกราชทูตประเทศพระเชษฐา |
เข้าเฝ้าทูลมูลความตามกิจจา | แล้วให้อาลักษณ์อ่านสารสุนทร ฯ |
๏ ในสารทรงองค์อภัยมณีนาถ | บรมบาทบพิตรอดิศร |
มาถึงพระอนุชาสถาวร | เจริญพรพูนสวัสดิ์ปถพี |
ด้วยเยี่ยงอย่างปางก่อนบวรนาถ | เสวยราชย์ร่วมรักเป็นศักดิ์ศรี |
ย่อมสู่ขอหน่อนาถราชบุตรี | ตั้งพิธีทำงานการวิวาห์ |
อันโฉมยงองค์อรุณราชบุตร | กับสินสมุทรสมอำนาจวาสนา |
จะเสกสองครองบุรีแทนพี่ยา | ตามประสาสุริย์วงศ์สืบพงศ์พันธุ์ |
เชิญพระน้องตรองตริดำริสาร | ตามโบราณรัตนามหาสวรรย์ |
พอจบสารกรานก้มบังคมคัล | ศรีสุวรรณสมถวิลที่จินดา |
จึงปราศรัยไต่ถามผู้ถือสาร | ถึงวงศ์วานวังนิเวศน์พระเชษฐา |
ยังไพบูลย์พูนสวัสดิ์วัฒนา | หรือโรคารำคาญประการใด ฯ |
๏ ฝ่ายเสนีสี่ทูตที่ถือสาร | ต่างกราบกรานทูลแจ้งแถลงไข |
ด้วยเดชะพระเดชปกเกศไป | สำราญใจไพร่ฟ้าทั้งธานี ฯ |
๏ พระทรงฟังสั่งทูตให้หยุดพัก | ตึกตำหนักนอกประตูบูรีศรี |
แล้วหยิบสารลานทองกล่องมณี | จรลีไปประณตท้าวทศวงศ์ |
ถวายสารอ่านจบแล้วนบนอบ | ท้าวเธอชอบชื่นอารมณ์สมประสงค์ |
ว่าควรแล้วพี่น้องทั้งสององค์ | จะดำรงร่วมคู่ตามบุราณ |
มเหสีดีใจดังได้แก้ว | เป็นรู้แล้วพ้นทุกข์ทั้งลูกหลาน |
แล้วสั่งเหล่าสาวสรรค์พนักงาน | ตระเตรียมการไว้เสียเจียวประเดี๋ยวนี้ ฯ |
๏ ศรีสุวรรณทูลลาออกมาสั่ง | ให้ตอบทั้งบรรณาการตอบสารศรี |
ทั้งข้าวเกลือเสื้อผ้าบรรดามี | ประทานสี่ทูตถือหนังสือมา |
ทูตคำนับรับสารก้มกรานกราบ | ต่างได้ลาภทั่วกันก็หรรษา |
ลงเรือใช้ใบขึงตะบึงมา | ไปกรุงการะเวกถึงทางครึ่งเดือน |
ประทับทอดจอดท่าขึ้นหาล่าม | ต่างแจ้งความดีใจใครจะเหมือน |
บ้างทักถามตามธรรมเนียมมาเยี่ยมเยือน | เคยเป็นเพื่อนกันเมื่อครั้งรบลังกา ฯ |
๏ ฝ่ายเสนีสี่นายครั้นสายแสง | ต่างตกแต่งตามกำหนดมียศถา |
แล้วเชิญเครื่องบรรณาการกับสารตรา | ตามเสนานำเข้าไปในพระโรง ฯ |
๏ ฝ่ายขุนนางต่างแต่งตำแหน่งนั่ง | พานหมากตั้งทั้งคนโทล้วนโอ่โถง |
พอเวลานาทีถ้วนสี่โมง | เข้าพระโรงคอยพระองค์ผู้ทรงธรรม์ ฯ |
๏ ฝ่ายปิ่นปักนัคราการะเวก | อดิเรกเรืองเดชทุกเขตขัณฑ์ |
สถิตแท่นแม้นมหาเวชยันต์ | บนสวรรค์บัณฑุอาสน์อมรินทร์ |
สาวสุรางค์นางบำเรอเสนอบาท | บำรุงราชรู้เชิงบันเทิงถวิล |
บ้างร้องรับขับเพลงบรรเลงพิณ | บำเรอปิ่นปถพีให้ปรีดา |
ครั้นสายแสงแต่งองค์สรงสนาน | พนักงานเครื่องถวายทั้งซ้ายขวา |
ทรงสุคนธ์ปนทองประคองทา | ผลัดภูษาค่าเมืองเรืองระยับ |
ฉลององค์ทรงสวมเกราะนวมกระหนก | ทับทรวงอกปิดทรวงดวงประดับ |
กระหวัดองค์ทรงสังวาลผูกบานพับ | ปั้นเหน่งทับทิมอร่ามแวววามแวม |
แล้วสวมทรงมงกุฎบุษยรัตน์ | ดูเตร็จตรัจเรียงซ้อนสลอนแหลม |
ทองกรเพชรเม็ดรอบประกอบแกม | กระจ่างแจ่มธำมรงค์เรียงวงวาว |
ครั้นสรรพเสร็จเสด็จเดินนางเชิญเครื่อง | ผิวเนื้อเหลืองเหมือนหุ่นพึ่งรุ่นสาว |
เชิญพระแสงแต่งเล็บไว้ยาวยาว | ต่างตามท้าวออกที่นั่งบัลลังก์ทอง |
พระลดองค์ลงบนที่ทอดยี่ภู่ | มีนางอยู่งานนั่งรับสั่งสนอง |
ประโคมทั้งสังข์แตรออกแซ่ซ้อง | ท้าคู่กลองแขกเสนาะเพราะสำเนียง |
ปี่ไฉนได้ทำนองกลองชนะ | เสียงเปิงปะเปิงครึ่มกระหึ่มเสียง |
อำมาตย์หมอบนอบน้อมอยู่พร้อมเพรียง | บังคมเคียงคอยสดับรับโองการ ฯ |
๏ กรมวังบังคมบรมนาถ | ทูลเบิกราชทูตถือหนังสือสาร |
มาเฝ้าพร้อมน้อมประณตบทมาลย์ | อาลักษณ์อ่านออกความตามกิจจา ฯ |
๏ ในลักษณ์อักษรสารศรีสวัสดิ์ | ปิ่นกษัตริย์ทรงเดชพระเชษฐา |
เจริญราชไมตรีด้วยปรีดา | มาถึงพระอนุชาให้ถาวร |
เป็นปิ่นปักนัคราการะเวก | อดิเรกเรืองฤทธิ์อดิศร |
พระทรงธรรม์กรุณาสุดสาคร | เหมือนบิดรเลี้ยงดูให้อยู่เย็น |
ทั้งนงเยาว์เสาวคนธ์คุมพลรบ | ไปสมทบช่วยทุกข์เมื่อยุคเข็ญ |
เหมือนหนึ่งญาติมาดหมายไม่วายเว้น | ขอไว้เป็นธิดาด้วยอาลัย |
ขอพระองค์จงประสิทธิ์มิตรภาพ | อย่าให้สาบสูญเชื้อเหมือนเนื้อไข |
ประการหนึ่งซึ่งกษัตริย์หัสไชย | ได้ตามไปสมทบรบลังกา |
สนิทนักจักขอเป็นหน่อนาถ | ร่วมพระญาติประยูรวงศ์เผ่าพงศา |
อันลูกน้อยสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา | พระอนุชาช่วยเลี้ยงเพียงบุตรี |
อันนงเยาว์เสาวคนธ์วิมลสมร | สุดสาครพี่น้องทั้งสองศรี |
สุดแต่พระอนุชาจะปรานี | ด้วยเป็นที่บิตุราชมาตุรงค์ |
ขอร่วมฉัตรปัถพีศรีสวัสดิ์ | สืบกษัตริย์สมตามความประสงค์ |
ในเดือนสี่นี้จะพร้อมพระญาติวงศ์ | ช่วยทำมงคลงานการวิวาห์ |
อภิเษกสินสมุทรกับบุตรน้อง | เป็นคู่ครองนคเรศแทนเชษฐา |
แล้วเผ่าพงศ์วงศ์กษัตริย์ขัตติยา | จึงจะมาเมืองพระน้องครองไมตรี |
จนตราบสิ้นดินฟ้าสุทธาวาส | ดำรงราชย์ร่วมบำรุงซึ่งกรุงศรี |
ได้ดับเข็ญเช่นฉัตรชาวปถพี | จะเป็นที่พึ่งจบทั้งภพไตร ฯ |
๏ พอจบสารกรานกราบพระทราบสิ้น | สมถวิลหวังสนิทพิสมัย |
ไม่บัญชาว่าขานประการใด | จึงปราศรัยเสนีทั้งสี่นาย |
พระเชษฐามาบำรุงกรุงผลึก | ค่อยว่างศึกเสร็จสมอารมณ์หมาย |
หรือวงศ์วานบ้านเมืองเคืองระคาย | หรือสบายบริบูรณ์ประยูรวงศ์ ฯ |
๏ ฝ่ายเสนีสี่ทูตพูดฉลาด | อภิวาททูลความตามประสงค์ |
พระเดชาอานุภาพปราบณรงค์ | เสมอองค์อวตารผลาญไพริน |
ให้ราบเรียบเงียบสงบที่รบพุ่ง | ทรงบำรุงศาสนารักษาศิล |
เสนาในไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน | ได้ทำกินค้าขายสบายใจ ฯ |
๏ พระชื่นชมสมหวังสั่งอำมาตย์ | ให้นำราชทูตาไปอาศัย |
แล้วจากอาสน์ยาตรย่างเข้าปรางค์ใน | ตรัสบอกให้อัคเรศแจ้งเหตุการณ์ ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมจันทวดีชลีสนอง | ดูทำนองนั้นเห็นรักสมัครสมาน |
เพราะใคร่ได้พระองค์เป็นวงศ์วาน | จึงว่าขานเลี่ยงเลียบเป็นเปรียบเปรย |
หัสไชยไปลังกาอาสาศึก | เจ้าผลึกจะใคร่ได้ไว้เป็นเขย |
ก็คิดเห็นเป็นบุญที่คุ้นเคย | ไม่แคลงเลยแล้วจะคงเป็นวงศ์วาน |
ตามแต่พระทรงเดชเกศกษัตริย์ | จะตอบตัดหรือจะตามเนื้อความสาร |
พระว่าพี่นี้ตริดำริการ | จะแต่งงานเสียให้สิ้นที่นินทา |
ไหนไหนได้เป็นลูกจะปลูกฝัง | ให้พร้อมพรั่งเผ่าพงศ์พระวงศา |
สองกษัตริย์ตรัสอยู่ในที่ไสยา | จนนิทราเลยหลับระงับไป ฯ |
๏ ครั้นรุ่งเช้าท้าวออกพระโรงหลวง | พร้อมกระทรวงเสนาอัชฌาสัย |
ตรัสประภาษราชการสำราญใจ | แล้วสั่งให้ตอบสารลงลานทอง |
เป็นข้อความตามมีไมตรีกษัตริย์ | พูนสวัสดิ์สืบวงศ์ดำรงสนอง |
เขียนสำเร็จเสร็จสารใส่พานทอง | กับสิ่งของมีราคาบรรณาการ |
ทั้งข้าวเกลือเสื้อผ้าเงินตราแจก | ให้พวกแขกเมืองมาพร้อมหน้าฉาน |
ทั้งนายไพร่ได้ลาภต่างกราบกราน | แล้วรับสารสองฉบับรีบกลับไป |
ถึงพาราพากันเข้าเฝ้าพร้อม | ประณตน้อมทูลแจ้งแถลงไข |
แล้วถวายสิ่งของสองกรุงไกร | พระสั่งให้พนักงานอ่านสารตรา ฯ |
๏ ในสารศรีสุวรรณวงศ์ดำรงราชย์ | บังคมบาทบทเรศพระเชษฐา |
ซึ่งบุตรีศรีสวัสดิ์กับนัดดา | จะวิวาห์นั้นก็งามตามโบราณ |
พระบิตุราชมาตุรงค์พงศ์กษัตริย์ | ไม่ข้องขัดพร้อมพรักสมัครสมาน |
ขอเชิญพระเสด็จมาวิวาห์งาน | จะจัดการไว้ให้พร้อมไพบูลย์ ฯ |
๏ แล้วให้อ่านสารการะเวกตอบ | ว่านบนอบจอมปิ่นบดินทร์สูร |
จะสืบวงศ์ทรงพระอนุกูล | ให้เพิ่มพูนภิญโญในโลกา |
ขอบพระคุณสุนทรถาวรสวัสดิ์ | ประดิพัทธ์ภูธเรศพระเชษฐา |
อันหลานน้อยสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา | ชันษาคราวทัดกับหัสไชย |
ขอรับเลี้ยงเพียงบุตรสุจริต | ถนอมสนิทเหมือนหนึ่งเนื้อในเชื้อไข |
การวิวาห์ถ้าจะเลื่อนไปเดือนใด | ตามพระทัยไม่ขัดพระอัชฌา ฯ |
๏ พอสิ้นสารอ่านจบแล้วนบนอบ | พระชื่นชอบสรวลสันต์ด้วยหรรษา |
จึงตรัสสั่งทั้งอำมาตย์ชาติเสนา | เร่งตรวจตราเตรียมกำปั่นสักพันลำ |
บรรดาเหล่าชาวพลคนทั้งหลาย | ทั้งไพร่นายนุ่งห่มให้คมขำ |
สำหรับเมืองเครื่องเล่นพวกเต้นรำ | ทั้งมวยปล้ำเมืองเราจัดเอาไป |
เล่นประชันกันกับเขาชาวเมืองโน้น | ละครโขนแต่งงามตามวิสัย |
ครั้นสั่งเสร็จเสด็จขึ้นปราสาทชัย | สั่งข้างในทุกตำแหน่งจัดแจงการ ฯ |
๏ ฝ่ายเวียงวังคลังนาพวกข้าเฝ้า | เตรียมสำเภาตรวจตราโยธาหาญ |
เลือกล้าต้าต้นหนพวกคนงาน | เปลี่ยนรอกกว้านเสาใบใหม่ทั้งนั้น |
ทั้งเสื้อผ้าประทานให้ไว้ใส่แห่ | โหมดตาดแพรกำมะหยี่ต่างสีสัน |
พวกรำเต้นเป็นงานการประชัน | สมทบกันเข้าระดมประสมมือ |
บ้างจัดแจงแต่งชฎาเจิมหน้าโขน | กลองตะโพนฉิ่งกรับเครื่องนับถือ |
บ้างไหว้ครูหมูไก่จะให้ลือ | อุส่าห์ซื้อเสื้อแสงจัดแจงการ |
พวกนายหนังช่างเขียนแปลงเปลี่ยนย้อม | บ้างหัดซ้อมพากย์เจรจาจะว่าขาน |
ทั้งจอแผงแต่งใหม่จะไปงาน | บ้างแต่งร้านฆ้องระนาดตรึงกราดกลอง ฯ |
๏ ฝ่ายห้ามแหนแสนสุรางค์นางสนม | จัดเสื่อพรมหมอนเจียมตระเตรียมของ |
ตะไกรหนีบหีบหมากเครื่องนากทอง | มีพานรองขันน้ำโต๊ะสำรับ |
ที่ชาววังรังหนี้ไม่มีแหวน | ทำเป่าแล่นกาไหล่ใส่ประดับ |
บ้างซื้อเชื่อเผื่อเบี้ยหวัดด้วยขัดทรัพย์ | บ้างปลี่ยนสับยืมเขาพวกชาววัง |
ทั้งเครื่องแต่งแป้งน้ำมันมุ้งหมอนเสื่อ | ขนลงเรือเรียกข้าหน้าเป็นหลัง |
ลงลำทรงหงส์สุวรรณบัลลังก์ | ลำที่นั่งสินสมุทรเรือครุฑบิน |
มาทอดท่าหน้าแพเรือแห่แหน | อเนกแน่นในมหาชลาสินธุ์ |
บ้างร้องรำทำเพลงบรรเลงพิณ | คอยท่าปิ่นปถพีด้วยปรีดา ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระอภัยวิไลลักษณ์ | ชวนลูกรักอัคเรศโอรสา |
เข้าที่สรงทรงเครื่องย่างเยื้องมา | ลงเภตราพร้อมสนมกรมใน |
ออกลำทรงหงส์บินฝ่ายสินสมุทร | ออกเรือครุฑครื้นครั่นเสียงหวั่นไหว |
เสียงสังข์แตรแซ่ซ้องลั่นฆ้องชัย | พลไพร่พร้อมโห่โล้สำเภา |
พอออกจากปากน้ำก็ค่ำพลบ | จุดเพลิงคบโคมรายขึ้นปลายเสา |
เป็นเดือนสามยามหนาวลมข้าวเบา | พัดเพลาเพลาพอได้ใช้ใบสบาย |
ลำที่นั่งดั้งกันเป็นหลั่นแล่น | ไปตามแผนที่ทะเลคะเนหมาย |
ล้วนเคยคลื่นชื่นใจทั้งไพร่นาย | นั่งสบายบังลมแลชมดาว |
พวกผู้หญิงพิงเพื่อนดูเดือนแจ่ม | จับผิวแก้มแลล้วนเป็นนวลขาว |
ที่ปั่นป่วนครวญครุ่นพึ่งรุ่นราว | ร่างเพลงยาวเยาะเย้ยเปรียบเปรยกัน ฯ |
๏ จอมกษัตริย์ตรัสชวนมเหสี | กับบุตรีชมดาวทั้งสาวสรรค์ |
เหมือนโคมเคียงเรียงรอบเป็นขอบคัน | ล้อมพระจันทร์แจ่มฟ้านภาลัย |
บอกบุตรีชี้หัตถ์แล้วตรัสว่า | ที่กลางฟ้าเรืองยาวนั้นดาวไถ |
โน่นดาวธงตรงหน้าอาชาไนย | ดาวลูกไก่เขาก็เรียกสำเหนียกนาม |
พระบุตรีพี่น้องค่อยส่องเนตร | ที่สังเกตสงสัยทูลไต่ถาม |
พระชี้หัตถตรัสแถลงให้แจ้งความ | ทั้งหม่อมห้ามหม่อมแหนนั่งแหงนคอ |
จนเดือนดับลับรุ่งสะดุ้งตื่น | ไปกลางคืนมิได้จอดทอดสมอ |
ฝูงปลาร้ายว่ายเรียงเข้าเคียงคลอ | ชะเง้อคอคอยดูทุกผู้คน |
เห็นงูเงือกเกลือกกลอกขึ้นหยอกยุด | อุตลุดโลดเสือกเสลือกสลน |
หางเหมือนอย่างหางปลาในสาชล | หน้าเหมือนคนแปลกเหลือตามเรือเรียง |
ไม่ขัดข้องล่องลมถึงรมจักร | เสียงคึกคักฆ้องกลองแซ่ซ้องเสียง |
ทหารโห่โล้ล้อมมาพร้อมเพรียง | เข้าทอดเรียงรายท่าหน้าธานี ฯ |
๏ สมเด็จท้าวทศวงศ์พงศ์กษัตริย์ | ช่วยตรวจจัดตำหนักตามศักดิ์ศรี |
ให้แขกมาอาศัยไพร่ผู้ดี | จัดทั้งที่ไพชยนต์พระมนเทียร |
ประทีปแก้วชวาลาระย้ายับ | กระจ่างจับแลหลากขึงฉากเขียน |
ตะเกียงรายสายสร้อยห้อยโคมเวียน | แท่นวิเชียรชัชวาลมีม่านบัง ฯ |
๏ ศรีสุวรรณนั้นลงมาหน้าฉนวน | จัดกระบวนเสนาแห่หน้าหลัง |
รับองค์พระอภัยเข้าในวัง | พร้อมสะพรั่งนักสนมกรมใน |
ขึ้นไพชยนต์มนเทียรวิเชียรรัตน์ | ตึกปรัศว์สาวสุรางค์ต่างอาศัย |
พวกเสนีรี้พลสกลไกร | ปลูกโรงใหญ่ขึ้นให้อยู่ตามหมู่กรม |
ท้าวทศวงศ์พงศาก็มาเยี่ยม | ตามธรรมเนียมชอบชิดสนิทสนม |
คิดจัดแจงแต่งงานสำราญรมย์ | จนพระประทมแทบจะหลับจึงกลับไป ฯ |
๏ หยุดสบายหลายคืนต่างชื่นแช่ม | พอเดือนแรมฤกษ์ดีพิธีไสย |
ให้หมายเวรเกณฑ์บอกสมนอกใน | ทั้งนายไพร่พร้อมวงศ์พงศ์ประยูร |
ปลูกโรงราชพิธีสิบสี่ห้อง | มีมุขช่องมณฑปนภศูล |
ประดับเครื่องเรืองแอร่มแจ่มจำรูญ | ที่พื้นพูนปูนลาดดาดศิลา |
ปูเสื่ออ่อนซ้อนเจียมเอี่ยมสะอาด | เพดานดาดห้อยห่วงพวงบุปผา |
ประทีปจัดอัจกลับประดับประดา | แก้วระย้าเพชรห้อยดูพรอยพราย |
พระแท่นที่อภิเษกเอกฉัตร | ล้วนแก้วเก้าเนาวรัตน์จำรัสฉาย |
ทั้งกลดสังข์ตั้งเคียงอยู่เรียงราย | บายศรีซ้ายขวาขวัญจุณจันทน์เจิม |
ทั้งกองแก้วแล้วก็กองทองประกอบ | ที่ริมรอบราชวัติฉัตรเฉลิม |
พวกนายช่างทั้งปวงข้าหลวงเดิม | คอยแต้มเติมติเตียนผลัดเปลี่ยนแปลง ฯ |
๏ ฝ่ายพวกถูกปลูกโรงสำหรับเล่น | บ้างลากเข็นล้อเกวียนบ้างเขียนแผง |
ผูกภูเขาเอาไม้ดัดขึ้นจัดแจง | ต่างคิดแต่งต่างกันประชันโรง |
มีสายรอกนอกในลวดไต่เล่น | ทำป้อมเป็นเมืองพลับพลาดูอ่าโถง |
ที่หน้าฉานร้านยาวผ้าขาวโยง | มีเกราะโกร่งเตรียมสำรองทั้งสองเมือง |
ที่พวกถูกปลูกพลับพลาดาดผ้าสี | ม่านมู่ลี่เลขาเขียนฝาเฝือง |
ราชวัติฉัตรเบญจรงค์เรือง | ให้ปักรอบขอบเมืองเครื่องมงคล |
หุ่นละครมอญรำทำโรงงิ้ว | เป็นแถวทิวสองข้างทางถนน |
เด็กผู้ใหญ่ไพร่ฟ้าประชาชน | มาเกลื่อนกล่นกลาดกลุ้มประชุมกัน ฯ |
๏ ฝ่ายห้ามแหนแสนสนมเมืองรมจักร | ล้วนรู้หลักเหลือสาวเพลงยาวขยัน |
กับสาวสาวชาวเมืองผลึกนั้น | รู้จักกันแต่เมื่อครั้งไปลังกา |
ล้วนเคยเป็นเล่นอีกไม่หลีกเลี่ยง | นัดเพื่อนเลี้ยงโต๊ะกันด้วยหรรษา |
ที่มีทรัพย์รับเพื่อนก็เยื้อนมา | ได้หน้าตาตั้งปึ่งท่าขึงคม |
ที่รักใคร่ให้ของเครื่องทองนาก | กระจกฉากมีดน้อยไม้สอยผม |
ที่ขัดทรัพย์รับเพื่อนต้องเลื่อนกรม | ผ้านุ่งห่มหอบจำนำมาทำยศ |
ท่านท้าวนางต่างจัดขนัดแห่ | บ้างเชิญแส้พระแสงตามล้วนงามหมด |
ที่ถวายชายชม้อยทำช้อยชด | ต้องทำบทเป็นครูให้รู้ที |
หัดให้ยอบหมอบกรานอยู่งานพัด | ประจงจัดเครื่องอานพานพระศรี |
ทั้งสาวใหญ่เก็บไรจุกลูกผู้ดี | รู้ท่วงทีถูกต้องทำนองใน ฯ |
๏ สมเด็จท้าวเจ้าบุรีรมจักร | เห็นพร้อมพรักยินดีจะมีไหน |
ให้โหราหาฤกษ์เจริญชัย | ประจวบได้เจ็ดค่ำเป็นสำคัญ |
โขนละครนอนโรงตีโกร่งซ่าว | เสียงเกรียวกราวกรุงไกรมไหศวรรย์ |
พวกโยธีชีพราหมณ์พรหมจรรย์ | มาพร้อมกันสี่หมวดสวดพิธี |
ปุโรหิตติดเทียนคอยเวียนแว่น | พลูคะแนนจันทน์เจิมเฉลิมศรี |
โหรคอยท่าหาฤกษ์เบิกบัตรพลี | ระวังตีฆ้องสำคัญเป็นสัญญา ฯ |
๏ สมเด็จท้าวทศวงศ์ดำรงราชย์ | กับนางนาฏมเหสีมียศถา |
ต่างทรงเครื่องเรืองงามตามชรา | ใส่มหามงกุฎใหญ่ถือไม้ท้าว |
แล้วสั่งพระมเหสีไปที่หลาน | ดูงานการตักเตือนเป็นเพื่อนสาว |
เหมือนมาแขกแรกรักอีกสักคราว | ข้างเพื่อนบ่าวข้าจะเป็นได้เล่นกัน |
แล้วแย้มสรวลชวนพระวงศ์พงศ์กษัตริย์ | มาแท่นรัตน์โรงพิธีที่ทำขวัญ |
อยู่พร้อมพรั่งทั้งกษัตริย์ศรีสุวรรณ | คอยนับชั้นฤกษ์พาเวลากาล ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระอภัยเจ้าไตรจักร | จูงลูกรักเข้าในมณฑลสถาน |
ประโคมฆ้องกลองดังกังสดาล | พราหมณ์ก็อ่านมนต์สนองประคองเคียง |
ค่อยรินรดกลดสังข์หลั่งพระเต้า | บัณเฑาะว์เป่าสังข์แตรเซงแซ่เสียง |
ครั้นเสร็จสรงทรงเครื่องต้นขึ้นบนเตียง | พี่เลี้ยงเคียงคอยหยิบจีบประจง |
สนับเพลาเพราพรายปลายกระหนก | ทรงผ้ายกแย่งอย่างไว้หางหงส์ |
ห้อยชายแครงแฝงใส่ชายไหวทรง | ฉลององค์อินทรธนูชมพูนุท |
คาดปั้นเหน่งเปล่งเม็ดเพชรอร่าม | สังวาลวามแวมวับประดับบุษย์ |
ทั้งทองกรซ้อนทรงธำมรงค์ครุฑ | ใส่มงกุฎกรรเจียกซ้อนจอนมณี |
อุบะห้อยพรอยแพรววาวแวววับ | กระจ่างจับพักตร์ผ่องละอองศรี |
พระบิดาพาไปเข้าโรงพิธี | ให้นั่งที่บนบัลลังก์ตั้งมณฑล ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์อรุณให้ขุ่นคิ่น | แต่ได้ยินเริ่มวิวาห์สถาผล |
คิดถึงองค์นงเยาว์เสาวคนธ์ | ให้ทัณฑ์บนไว้ที่วังเมืองลังกา |
ว่าตัดขาดชาตินี้ไม่มีผัว | แต่แสนกลัวบิตุเรศพระเชษฐา |
จะเอามีดกรีดศอให้มรณา | ก็ไม่กล้าทำได้จนใจจริง |
จะต้องดื้อถือสัตย์ขัดรับสั่ง | สู้ทนทั้งตีด่าประสาหญิง |
แกล้งทำหลับจับไข้ไม่ไหวติง | บรรทมนิ่งนึกสะอื้นฝืนฤทัย ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์เกษราราช | นึกประหลาดหลากจิตคิดสงสัย |
ดูอรุณขุ่นหมองเข้าห้องใน | ตั้งแต่ให้เริ่มงานการวิวาห์ |
หรือหนีนอนซ่อนกายเพราะอายเหนียม | ไม่ไปเยี่ยมเผ่าพงศ์พระวงศา |
นิ่งฉะนี้มิควรจวนเวลา | จะไปว่าวิงวอนให้อ่อนใจ |
ลงจากอาสน์ยาตรย่างเข้าปรางค์รัตน์ | เสียงสงัดเงียบระงับหรือหลับใหล |
พวกสาวศรีพี่เลี้ยงหลีกเลี่ยงไป | ด้วยเข้าใจจะต้องวุ่นถึงขุ่นเคือง |
นางเข้าในไสยาสน์ประหลาดนัก | เห็นลูกรักเศร้าศรีฉวีเหลือง |
เอะเป็นไรเศร้าศัลย์แม่ขวัญเมือง | ไม่รู้เรื่องดีร้ายมาหลายวัน |
ประโลมนางพลางว่าเวลานี้ | ตั้งพิธีสรงน้ำจะทำขวัญ |
พระอัยกาพาพระองค์เผ่าพงศ์พันธุ์ | ไปพร้อมกันคอยเจ้าเยาวมาลย์ |
แม่สายใจไปวิวาห์สถาผล | รดน้ำมนต์มุรธากระยาสนาน |
พระบุตรีพิลาปก้มกราบกราน | กระหม่อมฉานจับไข้ไม่สบาย |
จะรดน้ำซ้ำหนาวยิ่งคราวจับ | จะเด็ดดับปีวันเหมือนมั่นหมาย |
แม้หาญหักจักขอผูกคอตาย | สู้ถวายชีวาไม่อาลัย ฯ |
๏ นางลูบอกตกตะลึงแล้วจึงว่า | จวนเวลาแล้วกรรมจะทำไฉน |
จะเรียนดื้อหรือเห็นเป็นอย่างไร | รำคาญใจไม่รู้ที่จะเจรจา |
จะหาไหนได้เหมือนพ่อสินสมุทร | ประเสริฐสุดสมชาติวาสนา |
จึงจัดแจงแต่งงานการวิวาห์ | ตามประสาพี่น้องให้ครองกัน |
ควรแล้วหรือดื้อดึงไม่พึ่งพี่ | ไม่พอที่จะรังเกียจคิดเดียดฉันท์ |
พลางแนบชิดธิดาวิลาวัณย์ | อย่าจาบัลย์บิดเบือนทำเชือนแช |
แม้มิไปอัยกามาเดี๋ยวนี้ | จะหยิกตีย่อยยับไม่นับแผล |
แข็งฤทัยใจคออย่าท้อแท้ | ไปกับแม่เถิดมาแม่อย่ากลัว |
อันตัวเจ้าเป็นสาวย่อมเปล่าเปลี่ยว | อยู่คนเดียวก็ไม่ดีเหมือนมีผัว |
บุญพระพี่มีมากคิดฝากตัว | คนจะกลัวเกรงจบภพไตร ฯ |
๏ อรุณน้อยสร้อยเศร้าเฝ้ากำสรด | สุดจะปดป้องปิดคิดไฉน |
จึงทูลตามความจริงทุกสิ่งไป | หม่อมฉันได้ปฏิญาณสาบานตัว |
กับนงเยาว์เสาวคนธ์วิมลมิ่ง | เป็นความจริงชาตินี้ไม่มีผัว |
เหมือนพระพี่สินสมุทรลูกสุดกลัว | มิใช่ตัวเปลี่ยวเปล่าเมียเขามี |
ทั้งลูกเต้าเล่าก็ยังอยู่ทั้งท้อง | จะไปต้องน้อยหน้าชาติทาสี |
มิขออยู่สู้ตายวายชีวี | พระชนนีโปรดด้วยช่วยสักครั้ง ฯ |
๏ นางฟังคำทำพิโรธเหมือนโกรธขึ้ง | ช่างขี้หึงแค้นเคืองถึงเรื่องหลัง |
เมื่อต้องผีมิได้ทำแต่ลำพัง | ครั้นหายคลั่งก็มาเข้าข้างเผ่าพงศ์ |
ถึงฝ่ายข้างนางยุพาผกาเล่า | มีลูกเต้าเก้อเก้อเพราะเธอหลง |
พระลูกรักจักภิเษกเป็นเอกองค์ | จะเกรงตรงอีขี้ข้าว่ากระไร |
ยิ่งวอนวิงก็ยิ่งดื้อว่าถือสัตย์ | กอดพระหัตถ์กรรมกรรมจะทำไฉน |
จะให้ร้างค้างงานรำคาญใจ | แล้วลุกไปกริ้วสุรางค์นางกำนัล |
นางพี่เลี้ยงเอี้ยงดูอยู่ไหนเล่า | ไม่โลมเล้าเจ้านายให้ผายผัน |
จวนเวลานาทีแม้มิทัน | จะพากันกินหวายหลังลายงาม ฯ |
๏ ฝ่ายพี่เลี้ยงเสียงกริ้วต่างนิ่วหน้า | แล้วลอบมาเชิญเสด็จไม่เข็ดขาม |
พลางขู่ขับกลับว่าอีบ้ากาม | ต้องเป็นความจำจนสู้ทนทาน ฯ |
๏ ฝ่ายโหรนั่งตั้งนาฬิกากำกับ | กำหนดนับนาทีสุริย์ฉาน |
พอฤกษ์ดีตีฆ้องก้องกังวาน | พนักงานสังข์แตรขึ้นแซ่ซ้อง |
พวกเต้นรำทำขวัญสำคัญฤกษ์ | เสียงเอิกเกริกรำเต้นเล่นฉลอง |
พระอภัยใคร่คิดผิดทำนอง | จะขัดข้องข้างในวังจึงดังนี้ |
ท้าวทศวงศ์สงสัยเข้าในม่าน | ให้เดือดดาลว่าอุเหม่มเหสี |
อย่างไรไม่ใคร่มาฤกษ์พาดี | ทำให้ตีฆ้องเก้อเอออะไร |
ไม่ว่าขานหลานลูกช่วยปลูกฝัง | ออกมานั่งพูดพร่ำจะทำไฉน |
เข้าไปเองเร่งให้ออกมาไวไว | ถ้ามิได้โทษมีอยู่ที่ยาย ฯ |
๏ นางพระยาว่ารำคาญเพราะหลานลูก | ให้พลอยถูกกริ้วกราดไม่ขาดสาย |
รีบไปปรางค์นางอรุณเสียงวุ่นวาย | เห็นโฉมฉายเกษรากริ้วข้าไท |
โกรธบุตรีดีจริงช่างนิ่งเฉย | ให้ลูกเขยคอยท่าเลือดตาไหล |
พระบิดาว้าวุ่นเป็นฟุนไฟ | ทำไมไม่จัดแจงไปแต่งงาน |
พระธิดาว่าเขาดื้อถือทิฐิ | เหลือสติปัญญาจะว่าขาน |
ปลอบเท่าไรไม่เชื่อเหลือรำคาญ | เชิญพระมารดาถามเนื้อความดู ฯ |
๏ นางพระยาว่าไม่ไปได้หรือนะ | การเขาจะเสียหมดต้องอดสู |
มาไปหาว่ากระไรจะใคร่รู้ | ผิดก็อยู่กับเจ้าไม่เข้าใจ |
แล้วเข้าห้องสององค์ตรงขึ้นแท่น | เห็นนางแสนเศร้าหมองไม่ผ่องใส |
กลับสงสารหลานรักนั่งซักไซ้ | เออเป็นไรแม่คุณให้วุ่นวาย |
นางสู้ดื้อถือสัตย์ทูลขัดข้อง | อดสูน้องเสาวคนธ์วิมลฉาย |
เขาถือมั่นฉันจะกลับก็อับอาย | ขอสู้ตายตามจะโปรดมีโทษทัณฑ์ |
พระอัยกีตีอุราว่าประหลาด | ตัดสวาทก็เหมือนตัดสมบัติสวรรค์ |
อันใจหญิงสิ่งสบายทั้งหลายนั้น | ไม่เทียมทันเท่าผัวร่วมหัวใจ |
ถึงนงเยาว์เสาวคนธ์ที่ทนดื้อ | จะขืนถือว่าไม่มีได้ที่ไหน |
เสร็จการเราเข้าเดือนหกจะยกไป | แต่งงานให้เชษฐาสุดสาคร |
เมื่อผู้ใหญ่ให้ภิเษกร่วมเอกฉัตร | ไม่เสียสัตย์ดอกจงฟังยายสั่งสอน |
ไปสรงชลมุรธาจะพาจร | นางวิงวอนกราบไหว้พระอัยกี |
เสียแรงพระถนอมเฝ้ากล่อมเกลี้ยง | บำรุงเลี้ยงหลานรักเป็นศักดิ์ศรี |
ความน้อยหน้าฝรั่งในครั้งนี้ | ต้องเสียชีวีถวายสู้วายชนม์ |
ด้วยเกิดมาอาภัพให้ลับเสีย | ไม่เป็นเมียน้อยหญิงชาวสิงหล |
จงโปรดให้ไปภิเษกแม่เสาวคนธ์ | เข้ามณฑลต่อทีหลังขอรั้งรอ ฯ |
๏ พระอัยกีตีทรวงเข้าผางผึง | กลับขี้หึงยิ่งกว่าข้าหนักหนาหนอ |
โน่นฝรั่งข้างเราเป็นเหล่ากอ | คงมาง้อสิ้นทั้งเมืองลังกา |
สุดสาครเขาเป็นน้องต้องทีหลัง | เราต้องตั้งก่อนเหตุเป็นเชษฐา |
จะขืนดื้อถือสัตย์ขัดวิวาห์ | คงน้อยหน้าอีฝรั่งจงฟังยาย ฯ |
๏ ศรีสุวรรณครั้นเห็นช้าให้ข้าหลวง | คนทั้งปวงไปเตือนก็เชือนหาย |
ท้าวทศวงศ์สงสัยไม่สบาย | ด้วยเกรงฝ่ายเกี่ยวดองจะหมองใจ |
ลงจากอาสน์พลาดล้มสนมช่วย | พยุงด้วยมิได้เมินเดินใกล้ใกล้ |
พระงุ่นง่านพาลด่าพวกข้าไท | ตรงเข้าไปปรางค์รัตน์ห้องนัดดา |
เห็นพระมเหสีบุตรีพร้อม | ช่างมาล้อมลูกหลานนานหนักหนา |
นี่ขัดขวางอย่างไรไม่ไคลคลา | ท่านยายมาแล้วก็เชือนไม่เตือนเลย |
เขาตีฆ้องกลองเอิกเกริกอยู่ | ไม่มีหูหรือกระไรทำใจเฉย |
ให้คอยนั่งตั้งแต่ชะแง้เงย | กระไรเลยพูดมากน้ำหมากพรู |
นางพระยาว่ามันกลายเป็นหลายเรื่อง | มาขัดเคืองคนวอนจนอ่อนหู |
มาว่าขานหลานสาวของท้าวดู | ฉันไม่รู้ที่จะว่าน่ารำคาญ ฯ |
๏ อรุณกลัวตัวสั่นซบกันแสง | ท้าวเธอแกล้งเมินพักตร์ด้วยรักหลาน |
เสด็จออกนอกห้องแล้วร้องพาล | หลานของท่านยายสอนแต่ก่อนมา |
ไม่พาไปให้ทันทำขวัญเขา | ก็ดูเอาวันนี้แหละสิหนา |
ทำฮึดฮัดตรัสเร่งเร็วเร็วมา | นางพระยาตกใจกระไรเลย |
โกรธบุตรีนี้ก็เช่นจะเป็นใบ้ | ไม่ว่าไรลูกมั่งมานั่งเฉย |
แล้ววิงวอนผ่อนตามว่าทรามเชย | ไม่หวังเลยลูกผัวอย่ากลัวเกรง |
เมื่อไม่ยอมพร้อมใจก็ใครเล่า | จะกล้าเข้าชิดชมทำข่มเหง |
พระอัยกามายืนกริ้วครื้นเครง | ควรจะเกรงกลัวพระราชอาชญา |
ไปสรงน้ำทำขวัญเสียสักครู่ | แล้วมาอยู่ที่นี่ประสีประสา |
ค่อยวิงวอนผ่อนผันด้วยปัญญา | พระนัดดาเชื่อฟังน้อมบังคม |
แล้วทูลว่าถ้าหม่อมฉันทำขวัญแล้ว | อย่าให้แผ้วพานพบประสบสม |
ยายรับคำซ้ำว่าอย่าปรารมภ์ | ให้นุ่งห่มขาวผ่องละอององค์ |
แล้วพาออกนอกห้องประคองข้าง | ไปเข้ากลางมณฑลน้ำมนต์สรง |
พร้อมสุรางค์นางนาฏพระญาติวงศ์ | ช่วยกันสรงน้ำนางล้อมข้างเตียง |
พราหมณ์ผู้เฒ่าเป่าสังข์เสียงวังเวก | เครื่องภิเษกสังข์แตรขึ้นแซ่เสียง |
บัณเฑาะว์ดังกังสดาลขานสำเนียง | นางพี่เลี้ยงหมอบกรานอยู่งานพัด |
ทรงภูษาค่าเมืองเรืองอร่าม | รัดองค์วามแววแวมแจ่มจำรัส |
ฉลององค์ทรงสวมค่อยรวมรัด | ใส่ดุมกลัดกลมกล่อมละม่อมละมุน |
สังวาลแก้วแววเวียนวิเชียรช่วง | สร้อยทับทรวงสอดสวมใส่นวมหนุน |
สไบบังอังสากรองตาชุน | มงกุฎกุณฑลประดับเพชรทับทิม |
เสร็จสำอางนางทรุดลงหยุดนั่ง | ด้วยกำลังโศกเศร้าให้เหงาหงิม |
สองกษัตริย์ตรัสเตือนไม่เยื้อนยิ้ม | พระเนตรปิ่มเปี่ยมล้นชลนา |
สู้ทนแรงแข็งขืนค่อยยืนย่าง | ท่านท้าวนางเจ้าขรัวนายเคียงซ้ายขวา |
เกณฑ์แห่หัดจัดพร้อมห้อมล้อมมา | ค่อยลีลาเยื้องย่างตามทางไป ฯ |
๏ เข้ามณฑลมณฑปอภิวาท | ประยูรญาติโยคีฤๅษีไสย |
มโหระทึกกึกก้องทั้งฆ้องชัย | พระอภัยน้อมประณตท้าวทศวงศ์ |
แล้วลีลามาพยูงจูงโอรส | ตามทรงยศยุรยาตรดังราชหงส์ |
ขึ้นกองแก้วแพรวพร่างกระจ่างองค์ | ท้าวทศวงศ์จูงหัตถ์พระนัดดา |
ขึ้นนั่งกองทองงามอร่ามเหลือง | พาประเทืองเปล่งปลั่งพระมังสา |
ให้เกี่ยวก้อยหน่อยหนึ่งนางดึงมา | พระอัยกาขืนเหนี่ยวให้เกี่ยวไว้ |
นางพลิกนิ้วพลิ้วแพลงแกล้งให้หลุด | สินสมุทรหนีบติดบิดไม่ไหว |
พวกพราหมณ์สวดมนต์นารายณ์ถวายชัย | พอจบให้โห่สนั่นเสียงครั่นครึก |
ทั้งแตรสังข์กังสดาลประสานเสียง | แซ่สำเนียงฆ้องกลองเสียงก้องกึก |
ทั้งโรงงานขานโห่มโหระทึก | เสียงพิลึกโลกาทั้งธานี |
ปุโรหิตติดเทียนให้เวียนแว่น | มาข้างแท่นถวายท้าวเจ้ากรุงศรี |
ท้าวทศวงศ์ส่งให้พระอัยกี | สุมาลีเกษราธิดาดวง |
แล้วส่งไปให้พระวงศ์พวกพงศ์เผ่า | หลวงแม่เจ้าจอมจ่านางข้าหลวง |
ถึงพวกชายฝ่ายขุนนางต่างกระทรวง | คอยรับช่วงชูเทียนส่งเวียนไป |
ประโคมฆ้องกลองแตรเซงแซ่เสียง | เสนาะสำเนียงดนตรีปี่ไฉน |
ดุริยางค์วังเวงเจ้งจับใจ | ตีโทนทับขับไม้มโหรี |
เสียงสุรางค์วังเวงร้องเพลงขับ | ซอกระจับปี่กรีดนิ้วดีดสี |
ข้างชั้นในไขกลเพลงดนตรี | พร้อมพราหมณ์ชีช่วยกันเวียนเทียนเจ้านาย |
ถ้วนสำเร็จเจ็ดรอบได้ชอบโชค | ดับเทียนโบกควันเฉลิมเจิมถวาย |
ให้สององค์ทรงตรารูปนารายณ์ | เป็นที่ฝ่ายหน้าพระชนกา |
ต่างอำนวยอวยพรสุนทรสวัสดิ์ | ทั่วกษัตริย์สุริย์วงศ์เผ่าพงศา |
ส่วนสององค์ลงจากกองทองจินดา | นางก้มลาหลีกไปเสียในวัง ฯ |
๏ ท้าวทศวงศ์พงศ์กษัตริย์อติเรก | เสร็จภิเษกสองสมอารมณ์หวัง |
พอแดดร่มลมชายเบี่ยงบ่ายบัง | ออกพร้อมพรั่งนั่งพลับพลาหน้ากำแพง |
พวกรำเต้นเล่นงานละครโขน | เสียงตะโพนกลองประชันล้วนขันแข่ง |
พวกโหม่งครุ่มทุ่มกลองเล่นกลางแปลง | คุลาแต่งตัวดีเดินตีไม้ |
เล่นประชันกันกับวงพวกโหม่งครุ่ม | เป็นกลุ่มกลุ่มกลางแปลงแทงปิไส |
หกคะเมนเล่นหน้าพลับพลาชัย | ขึ้นกระไดดาบทะลวงลอดบ่วงเพลิง |
บ้างขึ้นไต่ไม้สูงสามต่อตั้ง | รำแพนทั้งโจนร่มตามลมเหลิง |
บ้างสรวลเสเฮฮาเสียงร่าเริง | ทำชั้นเชิงรำเต้นเล่นประชัน |
ริมป้อมโถงโรงโขนเมืองรมจักร | ขึ้นเล่นชักรอกเวียนเหาะเหียนหัน |
เป็นอินทร์องค์ทรงพระยาเอราวัณ | ค่อยขึ้นคันศรสาตร์พรหมมาสตร์เมียง |
บทพระลักษณ์ศักดาป้องหน้าแหงน | คนพากย์แทนทำชม้อยชดช้อยเสียง |
อินทรชิตฤทธิรงค์เอี้ยวองค์เอียง | วางศรเปรี้ยงเสียงดังกำลังแรง |
ต้องพระลักษณ์ปักอกพลัดตกรถ | ต้องทำบทวายุบุตรฉุดพระแสง |
พวกพลลิงกลิ้งเกลื่อนลงกลางแปลง | พวกยักษ์แผลงพระโอดอุโฆษกลอง |
เสียงกลองโยนโขนเมืองผลึกเล่น | ทำบทเป็นละครด้วยช่วยฉลอง |
เล่นบุตรลบพลบค่ำต้องจำจอง | ขึ้นขาหยั่งนั่งยองยองนองน้ำตา |
นายโรงรำทำบทกำสรดเศร้า | นั่งกอดเข่าคิดถึงแม่ชะแง้หา |
สะอึกสะอื้นฝืนเช็ดชลนา | ทั้งร้องช้าปี่เอกวิเวกใจ |
ผู้หญิงดูอยู่ข้างโขนเมืองผลึก | บ้างก็นึกเวทนาน้ำตาไหล |
หุ่นละครมอญรำระบำไทย | เพลงปรบไก่เทพทองร้องค้างคาว |
คนมาดูผู้ดีปนขี้ข้า | แก่ชราเด็กอุ้มทั้งหนุ่มสาว |
เที่ยวดูเล่นเต้นรำจำเรื่องราว | ด้วยการคราวครั้งนั้นประชันเมือง |
พวกชาววังนั่งหน้าพลับพลาสี | เลิกมู่ลี่แลล้วนเป็นนวลเหลือง |
ดูรำเต้นเป็นแต่แลชำเลือง | เห็นชาวเมืองเมินหน้าไม่กล้าดู ฯ |
๏ สมเด็จท้าวทศวงศ์องค์กษัตริย์ | สั่งให้จัดมวยดีมาทีละคู่ |
พอมวยมาหน้าที่นั่งคนพรั่งพรู | ชิงกันดูชุลมุนซวนซุนเซ |
พวกตำรวจหวดไล่จะให้นั่ง | บ้างถอยหลังพัลวันดูหันเห |
คอยหลบหวายซ้ายขวาเสียงฮาเฮ | ดูซวนเซแทรกเสียดยัดเยียดกัน |
พอมวยชกยกแรกคอยแลกหมัด | ขยับปัดปิดป้องทุบถองถลัน |
ไล่ถลาคว้าหวิดตามติดพัน | พัลวันเตะต่อยต่างทอยทุบ |
เข้าท่าจับกลับกลอกใส่ศอกเข่า | คนดูเอาเออรับดังปับปุบ |
ถูกปากฟกชกถูกจมูกยุบ | ลงหมอบฟุบฝ่ายขุนนางให้รางวัล ฯ |
๏ ฝ่ายกระบี่มีคู่สู้กับดั้ง | บังคมตั้งท่าเวียนรำเหียนหัน |
ต่างเยื้องกรายร่ายเรียงเข้าเคียงกัน | ตั้งประจัญตามทำนองตีกลองแปลง |
ตั้งถลันฟันกระบี่ตีประทับ | เสียงเขวียวขวับพัลวันด้วยขันแข็ง |
กระชั้นชิดปิดปัดเพลี่ยงพลัดแพลง | ต่างเลือดแดงทั้งสองข้างให้รางวัล ฯ |
๏ จะร่ำว่าช้าเรื่องที่เครื่องเล่น | สมมตเป็นเสร็จเสริมเฉลิมขวัญ |
พร้อมกษัตริย์ขัตติย์วงศ์เผ่าพงศ์พันธุ์ | อยู่สุวรรณปรางค์มาศราชวัง ฯ |
๏ ฝ่ายพระหน่อบดินทร์สินสมุทร | ทราบว่านุชน้องเคืองด้วยเรื่องหลัง |
แต่เสร็จงานการวิวาห์คอยท่าฟัง | จนกระทั่งถึงสิบห้าทิวาวัน |
ไม่เห็นส่งองค์อรุณมาร่วมแท่น | ยิ่งโศกแสนเศร้าพระทัยเฝ้าใฝ่ฝัน |
จะออกปากยากยิ่งทุกสิ่งอัน | สะอื้นอั้นอารมณ์ระทมทวี |
เวลาดึกตรึกไตรมิใคร่หลับ | โอ้อกอับอายพักตร์เสียศักดิ์ศรี |
มาเศร้าสร้อยคอยค้างอยู่อย่างนี้ | ชาวบูรีรู้สิ้นจะนินทา |
น้อยไปหรือถือโทษเฝ้าโกรธขึ้ง | เพราะหวงหึงเห็นจะขาดวาสนา |
แต่นิ่งนึกตรึกอารมณ์ตรมอุรา | อายเสนานักสนมกรมใน |
อนาถนอนกรพาดนลาฏนึก | ยิ่งยามดึกดังจะพาน้ำตาไหล |
จะม่อยหลับกลับฟังด้วยหวังใจ | เสียงสาวใช้นั่งยามไอจามดัง |
ว่ามารดามาส่งองค์อรุณ | ให้เฉียวฉุนชื่นอารมณ์ด้วยสมหวัง |
สไบทรงบงเฉียงค่อยเมียงฟัง | หมายจะนั่งคำนับรับชนนี |
แล้วกลับเงียบเชียบสงัดกำดัดดึก | หวนรำลึกถึงพระน้องให้หมองศรี |
ขึ้นสู่แท่นแสนศัลย์พันทวี | มิรู้ที่จะคิดอ่านประการใด |
ยามเสวยเคยอร่อยก็ถอยรส | กับทั้งอดบรรทมเลยลมใส่ |
ให้วิงเวียนเหียนหิวหวิวหวิวใจ | จนจับไข้กลางวันสั่นสะท้าน ฯ |
๏ สาวสุรางค์ต่างเห็นเจ้านั้นเศร้าโศก | กลายเป็นโรคบีฑาน่าสงสาร |
ไปทูลกิจบิตุรงค์พระวงศ์วาน | ตามอาการหน่อไทไข้ประชวร |
พระอภัยได้ฟังก็หยั่งรู้ | เพราะอดสูเศร้าสร้อยละห้อยหวน |
จะบัญชาว่ากระไรก็ไม่ควร | จึงตรัสชวนสองธิดาสุมาลี |
ไปไพชยนต์มนเทียรที่ลูกรัก | เห็นเผือดพักตร์ผอมรูปเศร้าซูบศรี |
เข้าเคียงองค์สงสารแสนทวี | สุมาลีเหลือแค้นแน่นอุรา |
ค่อยต้ององค์ทรงยศโอรสร้อน | นางกอดกรถอนฤทัยพิไรว่า |
เป็นเคราะแล้วแก้วแม่เห็นแก่ตา | ดูไม่น่าจะประชวรควรหรือเป็น |
วาสนาอาภัพเหมือนกับแม่ | ให้มีแต่หมองมัวด้วยตัวเข็ญ |
สุดจะรับดับร้อนให้ผ่อนเย็น | เหตุเพราะเป็นกาฝากใช่รากรัก |
รู้กระนี้มิอยากของ้อมาเกิด | ไม่ประเสริฐสมตระกูลประยูรศักดิ์ |
โอ้อาภัพอัปภาคย์พูดยากนัก | พระลูกรักหรือประชวรไม่ควรเลย |
จะว่ามั่งยังเป็นกรรมด้วยน้ำมาก | ขึ้นท่วมปากแม่เสียแล้วลูกแก้วเอ๋ย |
พระอภัยได้แต่ห้ามนางทรามเชย | เฝ้าบ่นเบยราวกับบ้าน่ารำคาญ |
ไม่เลือกหน้าว่ากันเองเขาอื่นมั่ง | กระทบกระทั่งไปเสียสิ้นทุกถิ่นฐาน |
แล้วสั่งให้ไปเรียกหมอมาอยู่งาน | พยาบาลนวดฟั้นให้บรรทม ฯ |
๏ ศรีสุวรรณครั้นรู้ว่านัดดาไข้ | ก็เข้าใจว่าเพราะรักนั้นหมักหมม |
จึงตรัสกับเกษราด้วยปรารมภ์ | นัดดาตรมตรอมใจเป็นไข้รัก |
อันยาดีมีสำหรับแก้กับโรค | จะดับโศกนั้นไม่ได้ทั้งไตรจักร |
เมื่อหนุ่มสาวคราวเราก็เศร้านัก | อันหลานรักนี้ก็เป็นเหมือนเช่นเรา |
เสร็จวิวาห์มาก็นานถึงปานนี้ | ส่วนบุตรียังมิได้ส่งให้เขา |
จนเจ็บไข้หลายวันไม่บรรเทา | ทั้งพงศ์เผ่าพี่น้องจะหมองใจ |
พระเชษฐาน่าจะเคืองว่าเยื้องยัก | ทั้งหลานรักมัวหมองไม่ผ่องใส |
หรือนงเยาว์เจ้าเห็นเป็นอย่างไร | จึงตามใจธิดาน่ารำคาญ ฯ |
๏ พระอัคเรศเกษราสารภาพ | พระไม่ทราบเหลือปัญญาจะว่าขาน |
เหมือนคเชนทร์เจนขอเหลือหมอควาญ | กระหม่อมฉานวอนว่าสารพัน |
แค้นว่าพี่มีคู่ไม่อยู่ด้วย | จะสู้ม้วยมรณาให้อาสัญ |
ไปทูลให้อัยกีช่วยตีรัน | ก็ผินผันพักตราไม่คลาไคล |
พระบุตรีมิใช่ชั่วไม่กลัวม้วย | ไม่เห็นด้วยถ้อยคำจะทำไฉน |
พระภัสดาว่าไม่ฟังช่างเป็นไร | ไปทูลให้ทราบถึงพระอัยกา |
ว่าสินสมุทรสุดโศกเป็นโรคร้อน | โปรดให้หล่อนออกไปด้วยช่วยรักษา |
พี่จะไปอยู่ห้องของนัดดา | ตรัสแล้วมามนเทียรวิเชียรพราย |
เห็นพระพี่ที่บัลลังก์ตั้งประณต | มธุรสกลบเกลื่อนที่เงื่อนสาย |
พระหลานไข้ไม่รู้ไม่สู้สบาย | ด้วยวุ่นวายอยู่ในใจมิได้มา |
แล้วถามผู้อยู่งานอาการไข้ | เขาว่าไฟธาตุหย่อนอ่อนหนักหนา |
พระเห็นชอบปลอบตรัสกับนัดดา | เสวยยาหอมรื่นให้ชื่นใจ ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงนงลักษณ์อัคเรศ | นางแก้วเกษราหมองไม่ผ่องใส |
เรียกสาวสรรค์กัลยาตามคลาไคล | เสด็จไปเฝ้าพระชนนี |
เห็นทรงฤทธิ์บิตุเรศอยู่พร้อมพรั่ง | ค่อยหมอบนั่งนอมประณตบทศรี |
กราบทูลท้าวกล่าวโทษโกรธบุตรี | คุมแค้นพี่นี่กระไรว่าไม่ฟัง |
จนเดี๋ยวนี้พี่ชายประชวรไข้ | ก็ไม่ไปดูแลเหมือนแต่หลัง |
ปลอบเท่าไรไม่เชื่อเหลือกำลัง | ช่วยโปรดบังคับให้หล่อนไปเยือน ฯ |
๏ ท้าวทศวงศ์สงสารสินสมุทร | เพราะโศกสุดเสียใจใครจะเหมือน |
เสร็จวิวาห์มาก็ถึงได้ครึ่งเดือน | ไม่ตักเตือนเจือจานเลยท่านยาย |
ไม่ว่าขานหลานสาวนั่งท้าวแขน | จะหวงแหนเอาไว้หรือจะซื้อขาย |
นิ่งดูเล่นเป็นผู้ใหญ่ช่างไม่อาย | เหตุเพราะยายสั่งสอนแต่ก่อนกาล |
จนขี้หึงดึงดื้อน้อยหรือนั่น | เหมือนใจกันก็เห็นดีไม่ตีหลาน |
แม้มิให้ไปรักษาพยาบาล | ได้เล่นงานกันแล้วไม่แคล้วยาย ฯ |
๏ นางพระยาหน้านิ่วกริ้วลูกสาว | ไม่ว่ากล่าวเตือนกันให้ผันผาย |
หม่อมฉันหึงถึงจะหนักก็หักคลาย | ไม่มากมายเหมือนหลานสาวของท้าวไท |
ประหลาดจริงยิ่งกว่าเสือมันเหลือหึง | ใครไม่ถึงทั้งพิภพสบสมัย |
เมื่อแม่พ่อก็ไม่ว่าช่วยพาไป | มารุมใช้แต่ข้าน่ารำคาญ |
แล้วทูลลาสามีลุกลีลาศ | กับองค์ราชธิดาไปหาหลาน |
เข้าเคียงข้างพลางแถลงให้แจ้งการ | เมื่อเย็นวานสินสมุทรทรุดประชวร |
พวกพงศ์เผ่าเขาไปเยือนอยู่เพื่อนไข้ | นี่อะไรแม่อรุณทำหุนหวน |
เมื่อคราวดีมิได้ห้ามตามกระบวน | เมื่อไข้ควรจะรักษาพยาบาล |
แม้มิไปอัยกาจะมากริ้ว | อย่าบิดพลิ้วเชือนเฉยเลยนะหลาน |
จงแต่งองค์สรงน้ำให้สำราญ | ยายกับมารดามาจะพาไป ฯ |
๏ ฝ่ายอรุณขุ่นหมองเพราะครองสัตย์ | สู้ทูลทัดพจนาอัชฌาสัย |
เมื่อทำขวัญบัญชาให้คลาไคล | ก็ตามใจไม่ขัดพระอัชฌา |
ประเดี๋ยวนี้พี่ป่วยให้ช่วยนั้น | กระหม่อมฉันไม่รู้จักจะรักษา |
ข้อรับสั่งครั้งนั้นเป็นสัญญา | โปรดอย่าพาไปให้พบประสบกัน ฯ |
๏ นางพระยาว่ายายเสียดายนัก | ใจไม่รักที่จะให้แม่ผายผัน |
แต่จนใจอัยกาบิดานั้น | ให้พาขวัญเนตรไปที่พระพี่ยา |
แม้ไม่ไปไม่ดีเป็นพี่น้อง | จะขัดข้องเผ่าพงศ์ขาดวงศา |
จะเคืองจิตบิตุรงค์องค์อัยกา | ฟังยายว่าบ้างเถิดแม่อย่าแชเชือน ฯ |
๏ นางฟังคำร่ำว่าสารพัด | ให้อั้นอัดอายใจใครจะเหมือน |
มิตอบบ้างนางกษัตริย์ยิ่งตรัสเตือน | แกล้งบิดเบือนบอกป่วยระทวยกาย |
นางพระยาว่าไม่ไปจะได้หรือ | พลางฉุดมือหลานขวัญให้ผันผาย |
ดูดู๋ดื้อถือตัวไม่กลัวยาย | ทำเหลียวซ้ายแลขวาหาไม้เรียว |
แล้วนางตีที่ตรงน่องนั้นสองแปะ | เข้ากอดแกะยุดยื้อทำมือเหนียว |
พลางหยิกเพลาเบาบิดนิดนิดเดียว | ทำเข่นเขี้ยวขู่ทีนี้กลัวมิกลัว ฯ |
๏ นางกันแสงแกล้งว่าขอลาบาท | ให้สิ้นชาติชีวีไม่มีผัว |
พลางหยิบมีดพับมาจะฆ่าตัว | สองนางกลัวร้องกรีดชิงมีดไว้ ฯ |
๏ นางพระยาว่าอย่าตายเลยยายขู่ | จะให้อยู่ตามประสาอัชฌาสัย |
พลางอ้อนวอนผ่อนปรนด้วยกลใน | ถึงแม่ไม่ไยดีด้วยพี่ยา |
ก็นับเนื้อเชื้อไขกันไปอีก | อย่าเลี่ยงหลีกลืมวงศ์เผ่าพงศา |
เคยร่วมเตียงเคียงนอนแต่ก่อนมา | มันไม่น่าจะอายพี่ชายเลย |
ไปเยี่ยมเยือนเหมือนเจ้ายังเยาว์อยู่ | ทำไม่รู้ไม่เห็นทำเป็นเฉย |
ทำปราศรัยไต่ถามกันตามเคย | จะเกินเลยได้หรือเราซื่อตรง |
อย่าให้ผิดติดอยู่ที่ผู้ใหญ่ | เป็นว่าได้ให้ตามความประสงค์ |
เมื่อมีน้ำใจไม่อยู่เป็นคู่คง | ญาติวงศ์ใครจะมาว่ากระไร |
สินสมุทรสุดโง่เหมือนโคฝูง | ตามจะจูงจมูกย่างไปข้างไหน |
เหมือนครั้งยายเป็นสาวกับท้าวไท | ยังอยู่ในถ้อยคำไม่ก้ำเกิน |
พี่ของตัวกลัวไยออกไปเยี่ยม | ตามธรรมเนียมนั้นแหละงามอย่าขามเขิน |
ไม่พอที่วิตกสะทกสะเทิ้น | ทำห่างเหินให้เขาว่าดูน่าชัง ฯ |
๏ อรุณน้อยพลอยเห็นเหมือนเช่นสอน | จะผันผ่อนเพทุบายต่อภายหลัง |
อันครั้งนี้มิไปเห็นไม่ฟัง | จึงน้อมนั่งนบนอบตอบบัญชา |
ซึ่งจะให้ไปเยือนกันเหมือนญาติ | พร้อมพระบาทมาตุรงค์เผ่าพงศา |
จะตามไปให้ถึงที่พระพี่ยา | เสด็จมาแล้วจะตามอย่าห้ามไว้ ฯ |
๏ นางกษัตริย์ตรัสตอบว่าชอบอยู่ | ยายจะรู้กันกับแม่ช่วยแก้ไข |
แล้วแกล้งว่าน่าเบื่อล้วนเหงื่อไคล | มาแม่ไปสรงน้ำให้สำราญ |
แล้วจูงนางย่างย่องเข้าห้องสรง | สำอางองค์ขัดสีฉวีหลาน |
กันกระหมวดกวดเกล้าให้เยาวมาลย์ | สุคนธารแผ้วผัดให้นัดดา |
แล้วนุ่งห่มสมศรีฉวีเหลือง | ประดับเครื่องอย่างเอกเหมือนเมขลา |
ครั้นเสร็จพระอัยกีชวนลีลา | นำธิดาหลานขวัญกำนัลใน |
ขึ้นไพชนยต์มนเทียรวิเชียรรัตน์ | พร้อมขนัดวงศาอัชฌาสัย |
น้อมคำนับรับกันเป็นหลั่นไป | ถามข่าวไข้โอรสยศยง ฯ |
๏ ส่วนสุวรรณมาลีได้ทีแถลง | เป็นโรคแรงเพราะพระภูมิให้ลุ่มหลง |
จะผันแปรแก้บนหาคนทรง | มาช่วยลงเจ้านายถามร้ายดี |
ก็อดสูหมู่ประชาพวกข้าเฝ้า | จะบอกเล่าเลื่องลือว่าถือผี |
ขอพึ่งบุญมุลิกาฝ่าธุลี | ช่วยชีวีลูกรักฉันสักคราว ฯ |
๏ นางพระยาว่าไม่ทิ้งจริงนะแม่ | แต่คนแก่ฟั่นเฟือนไม่เหมือนสาว |
เป็นลมเคียดเสียดอกเหงื่อตกพราว | ด้วยเป็นคราวเคราะห์โศกเกิดโรคภัย |
แล้วแกล้งเฉยเผยม่านเรียกหลานรัก | มาตรงพักตร์เชษฐาอัชฌาสัย |
เห็นหลับนิ่งยิ่งสงสารรำคาญใจ | สะกิดให้นัดดาดูอาการ ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์อรุณรัศมี | เห็นพักตร์พี่เผือดลงก็สงสาร |
เพราะโศกเศร้าเปล่าใจอาลัยลาน | นางรำคาญข้องขัดด้วยสัจจา |
มิอายเขาเสาวคนธ์วิมลมิ่ง | ไม่ทอดทิ้งทุกข์เทวษให้เชษฐา |
แล้วผูกจิตคิดแค้นแน่นอุรา | พระชลนาคลอเนตรสังเวชใจ ฯ |
๏ ฝ่ายพระหน่อวรนาถไสยาสน์หลับ | พอสร่างจับระหวยหิวหวิวหวิวไหว |
เห็นอรุณฉุนชื่นรื่นฤทัย | นั่งขึ้นได้ไหว้องค์พระอัยกี |
นางพระยาว่าอย่าก้มบรรทมเถิด | โรคจะเกิดขัดข้องให้หมองศรี |
แล้วสั่งหลานพานยาหยิบมาที | ให้พระพี่เสวยบ้างสว่างใจ ฯ |
๏ นางรับสั่งบังคมประนมน้อม | ยกยาหอมถ้วยฝาอัชฌาสัย |
ตั้งบนพานคลานประคองเข้าห้องใน | ถวายไทเชษฐาด้วยปรานี ฯ |
๏ สินสมุทรสุดชื่นระรื่นรส | ด้วยโอสถเสนหามารศรี |
สร่างประชวรสรวลสันต์ได้ทันที | พระอัยกีดีใจกระไรเลย |
เรียกสาวใช้ให้เชิญเครื่องมาตั้ง | อรุณนั่งพัดวีให้พี่เสวย |
ของคาวหวานพานส้มทั้งนมเนย | นางเทียบเคยรู้ทีพระพี่ยา ฯ |
๏ หน่อนรินทร์สินสมุทรชวนนุชน้อง | เสวยของด้วยกับฉันให้หรรษา |
นางนบนอบตอบรสพจนา | เชิญเชษฐาเสวยให้ได้ครันครัน |
สินสมุทรสุดสบายเหมือนหายไข้ | เสวยได้เต็มสามชามกุดั่น |
นางชี้ลงตรงไหนของในนั้น | ทั้งหวานมันดีทุกสิ่งจริงจริงเจียว |
จนอิ่มหนำสำเร็จเสร็จเสวย | ถวิลเชยโฉมอรุณให้ฉุนเฉียว |
ยิ่งหอมรื่นชื่นอารมณ์ใคร่กลมเกลียว | จะพูดเกี้ยวเกรงใจพระอัยกี ฯ |
๏ ฝ่ายพระวงศ์พงศาคณาญาติ | เห็นหน่อนาถอิ่มเอมเกษมศรี |
ต่างชื่นชมสมถวิลพลอยยินดี | เห็นชอบทีกษัตราต่างลาไป |
แต่สองนางต่างอยู่ส่งองค์อรุณ | กลัวจะวุ่นวิ่งตามห้ามไม่ไหว |
พระอัยกีปรีชาปัญญาไว | ทำปราศรัยสั่งหลานด้วยมารยา |
แม่อรุณรัศมีอยู่นี่ด้วย | จะได้ช่วยสังเกตดูเชษฐา |
คอยว่ากล่าวสาวสรรค์กัลยา | ต่างตัวข้ากับพระชนนี |
แล้วลาหน่อวรนาถจากอาสน์รัตน์ | ทั้งกษัตริย์เกษรามารศรี |
อรุณน้อยพลอยลาจะจรลี | พระอัยกีห้ามไว้ก็ไม่ฟัง |
ต้องอยู่บนมนเทียรเปลี่ยนกันปลอบ | นางไม่ตอบแต่ขยับจะกลับหลัง |
เฝ้าว่าขานหลานน้อยคอยระวัง | กำกับนั่งอยู่ด้วยนางจนกลางวัน ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระอภัยวิไลลักษณ์ | ครั้นลูกรักสร่างโรคที่โศกศัลย์ |
อยู่พร้อมพระอนุชาปรึกษากัน | พรุ่งนี้วันเดือนหกจะยกพล |
ไปพาราการะเวกเสกโอรส | ให้ปรากฏการวิวาห์สถาผล |
พระน้องรับอภิวาทบาทยุคล | มาเตรียมพลพร้อมเสร็จสำเร็จการ |
แล้วเข้าวังสั่งพระมเหสี | อันบุตรีนั้นให้นำลงลำหลาน |
นางคำนับรับรสพจมาน | เตรียมเครื่องอานตรวจตราในราตรี |
แล้วสั่งเหล่าเถ้าแก่หลวงแม่เจ้า | พรุ่งนี้เช้านำธิดามารศรี |
ไปก่อนข้าอย่าให้แจ้งแห่งคดี | ลงลำที่สินสมุทรเรือครุฑา ฯ |
๏ ฝ่ายแสนสาวท้าวนางต่างรับสั่ง | เตรียมระวังวุ่นวายทั้งซ้ายขวา |
ครั้นรุ่งรางต่างกษัตริย์ขัตติยา | ไปทูลลาบิตุราชมาตุรงค์ |
พระเชษฐาพามิ่งมเหสี | กับบุตรีลงที่นั่งบัลลังก์หงส์ |
หน่อนรินทร์สินสมุทรลงครุฑทรง | เข้าซ่อนองค์อยู่สบายท้ายเภตรา |
ศรีสุวรรณนั้นกับองค์อนงค์นาฏ | ลงเรือราชสีห์ทรงพร้อมวงศา |
ทั้งหน้าหลังตั้งกระบวนจวนเวลา | ให้เร่งราชธิดาจะคลาไคล ฯ |
๏ ฝ่ายท้าวนางต่างไปทูลอรุณน้อย | เสด็จคอยกริ้วกราดอยู่หวาดไหว |
ใช้ให้ข้ามาเร่งเร็วเร็วไว | นางตกใจทรงภูษาละล้าละลัง |
ครั้นเสร็จสรรพกับพี่เลี้ยงเคียงลีลาศ | จากปราสาทท้าวนางเดินข้างหลัง |
ขึ้นทรงวอช่อฟ้าไปหน้าวัง | ลงที่นั่งสินสมุทรเรือครุฑา |
ออกเรือแห่แตรสังข์ประดังเสียง | เรือดั้งเคียงคู่รายทั้งซ้ายขวา |
ทหารโห่โล้เลื่อนค่อยเคลื่อนคลา | ออกมหาสมุทรใหญ่คลี่ใบกาง |
พวกนายท้ายหมายพาราการะเวก | ล้วนตัวเอกเคยสันทัดไม่ขัดขวาง |
ดูแผนที่มีหนังสือคอยถือกาง | สังเกตทางกลางทะเลทุกเวลา ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์อรุณรัศมี | สถิตที่แท่นทองของเชษฐา |
ไม่พบพานมารดรพระบิดา | จนออกมาถึงทะเลว้าเหว่ใจ |
จึงถามสี่พี่เลี้ยงอยู่เคียงอาสน์ | พระบิตุราชชนนีอยู่ที่ไหน |
นี่เราหลงลงมาเภตราใคร | ทำไมไม่ไปกับพระชนนี |
พี่เลี้ยงนางต่างคนใส่กลแก้ | ท่านเถ้าแก่ว่าให้พามารศรี |
ทั้งท้าวนางต่างนำลงลำนี้ | แล้วก็หนีกลับไปมิได้มา |
อรุณฟังนั่งคิดว่าผิดเหลือ | ดีร้ายเรือทรงเดชพระเชษฐา |
พี่ไปถามความเขาเหล่าเสนา | นี่เภตราลำทรงพระองค์ใด |
พี่เลี้ยงรับกลับออกไปนอกห้อง | ถามนายกองปืนแดงแถลงไข |
ว่าลำทรงองค์โอรสยศไกร | จึงเข้าไปทูลแถลงแจ้งคดี ฯ |
๏ นางตกใจไม่ทันรู้อยู่แล้วสิ | เสียสติองค์สั่นมิ่งขวัญหนี |
นึกสังเกตเหตุเป็นขึ้นเช่นนี้ | เพราะชนกชนนีให้พี่ยา |
จะแอบแฝงแห่งไรไฉนหนอ | ให้แต่พอลับเนตรพระเชษฐา |
นั่งสะอื้นฝืนเช็ดชลนา | นึกก็น่าโจนน้ำให้จำตาย |
แต่จะอยู่สู้อีกไม่หลีกเลี่ยง | สั่งพี่เลี้ยงเหล่าสุรางค์นางทั้งหลาย |
จงอยู่เพื่อนเหมือนอย่าให้เราได้อาย | ดูแยบคายคอยนั่งระวังระไว |
แม้นทรงเดชเชษฐามาที่นี่ | อย่าลุกหนีที่ทางไปข้างไหน |
แม้นครั้งนี้หนีเร้นไม่เห็นใจ | จะเหลาไม้เรียวตีไม่มีเบา |
แล้วนางหยิบมีดพับไว้กับหัตถ์ | มิได้ตรัสแย้มยิ้มหงอยหงิมเหงา |
ยิ่งเย็นย่ำค่ำพลบยิ่งซบเซา | กำสรดเศร้าอยู่แต่ในห้องไสยา ฯ |
๏ จะยกข้อหน่อนรินทร์สินสมุทร | ได้นงนุชมาด้วยกันก็หรรษา |
สถิตแท่นแสนสบายท้ายเภตรา | คอยเวลาที่จะลอบไปปลอบนาง |
แต่เกรงกริ่งสิ่งเดียวด้วยเกี้ยวยาก | ทั้งฝีปากติดจะจัดคอยขัดขวาง |
กระบวนกระบิดมิดแม้นไม่เห็นทาง | จะทำอย่างไรหนอให้ง้อเรา |
จำจะถามความรู้เจ้าชู้ก่อน | ไปผันผ่อนพูดประโลมโฉมเฉลา |
แล้วตรัสสั่งนายประจำลำสำเภา | หาคนเก่ามีคู่ชิดชู้เมีย |
มาซักถามความเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง | เดิมพาดพิงพูดอย่างไรจึงได้เสีย |
หรือมีหมอบริกรรมช่วยทำเยีย | หรือคลอเคลียคลำต้องทำนองใน ฯ |
๏ ฝ่ายเจ้าชู้ผู้ชายหลายประเทศ | อวดวิเศษตามประสาอัชฌาสัย |
บ้างทูลว่าข้าพเจ้าแอบเข้าไป | จะหยอกให้หญิงรักจี้รักแร้ |
พอหัวร่อก็เข้ารัดกระหวัดกอด | ไม่มีรอดเริศร้างไปห่างแห |
บ้างทูลว่าถ้าแม้เกี้ยวไม่เหลียวแล | ต้องตอแยยักคิ้วยุดนิ้วมือ |
ถึงจะว่าด่าทอกอดคอติด | จึงสมคิดเคยจับได้นับถือ |
บ้างทูลว่าข้าสันทัดเคยหัดปรือ | ดีดนิ้วมือเกี้ยวผู้หญิงทิ้งปูนพลู |
ปิดขมับจับเขม่าหย่งเผ้าผม | มียาดมหรือยานัตถุ์ไว้ทัดหู |
เดินลอยชายส่ายไหล่ผู้ใดดู | อยากใคร่รู้เล่นจริตรักติดใจ |
แต่ล้วนเหล่าเจ้าชู้ประตูข้าง | มีต่างต่างทูลความตามวิสัย |
บ้างมีมนต์กลเล่ห์เสน่ห์ใน | กราบทูลให้แจ้งกระจัดตามสัจจา ฯ |
๏ หน่อกษัตริย์ตรัสขับไม่นับถือ | มันเกี้ยวดื้ออย่างประดาษไม่ปรารถนา |
แต่นิ่งนึกตรึกตรองถึงน้องยา | จนเวลาเย็นย่ำจะค่ำพลบ |
ชื่นอารมณ์ลมเฉื่อยระเรื่อยรื่น | ระลอกคลื่นรายเรียบเงียบสงบ |
พวกต้นหนคนงานทหารรบ | ต่างจุดคบโคมรอบตามขอบเรือ |
พระแต่งองค์สรงสนานน้ำกุหลาบ | สำอางอาบลูบไล้ชื่นใจเหลือ |
ทรงสุคนธ์ปนสุวรรณจวงจันทน์เจือ | จับผิวเนื้อนวลผ่องละอององค์ |
ขึ้นเตียงนั่งตั้งพระฉายชม้ายส่อง | ชำเลืองลองเหลือบชายปรายขนง |
นุ่งเขียนทองจ้องพระหัตถ์จัดประจง | สไบทรงสีทับทิมแล้วยิ้มพราย |
พระศรีดิบหยิบเสวยเลยลีลาศ | เลียบประพาสพลเรือเห็นเหลือหลาย |
ลมระเรื่อยเฉื่อยชื่นคลื่นก็คลาย | พลางเดินกรายมาถึงห้องพระน้องยา |
ค่อยย่องแฝงแสงไฟเข้าในที่ | ฝูงนารีหนีออกไปนอกฝา |
เห็นโฉมยงนงลักษณ์ซบพักตรา | ชวาลาส่องสว่างสำอางนวล |
เข้านั่งแนบแอบน้องนางร้องหวีด | ขยับมีดเมินประคองของสงวน |
แล้วถอยถดลดเลื่อนเบือนกระบวน | จะมากวนก่อกรรมให้จำตาย |
แล้วนางแกล้งแต่งธูปเทียนดอกไม้ | มาตั้งไว้ขอสมาวันทาถวาย |
จะเคียงคู่อยู่ไปก็ได้อาย | ขอสู้ตายเสียให้พ้นคนนินทา |
ได้ผิดพลั้งครั้งใดอภัยโทษ | อย่าถือโกรธเลยเป็นขาดวาสนา |
แล้ววางพานกรานก้มบังคมลา | หยิบมีดมาสินสมุทรฉวยฉุดชิง |
แล้วว่าชะประหลาดแท้แม่อรุณ | ช่างเฉียวฉุนหงุดหงิดผิดผู้หญิง |
นี่แน่ะจ๊ะจะขอถามแต่ตามจริง | โกรธแค้นสิ่งใดหรือจะดื้อตาย |
พระบิตุราชมาตุรงค์ก็ปลงให้ | ควรหรือใจจึงมาเดือดไม่เหือดหาย |
มิเมตตาปรานีแล้วพี่ชาย | จะได้ตายเสียด้วยกันขยันดี ฯ |
๏ นางฟังคำทำระทดกำสรดสนอง | ไม่ขัดข้องคิดอางขนางหนี |
เมื่ออยู่วังลังกาได้พาที | กับเทวีเสาวคนธ์ทัณฑ์บนตัว |
แล้วทูลความตามซื่อเพราะถือสัตย์ | จึงข้องขัดข้อนี้ไม่มีผัว |
จะยอมอยู่คู่สองก็หมองมัว | จะฆ่าตัวเสียให้ตายวายชีวา |
แม้นทรงศักดิ์รักใคร่อาลัยน้อง | ช่วยปกครองโปรดเกศเหมือนเชษฐา |
จะจงรักภักดีพระพี่ยา | จงเมตตาอย่าให้น้องนี้ต้องตาย ฯ |
๏ สินสมุทรสุดซื่อกอดมือนิ่ง | ประหลาดจริงเจียวหนอใจคอหาย |
แม้นขืนใจเห็นไม่รอดจะวอดวาย | จะลงร้ายว่าเราพามาฆ่าตี |
ให้คิดลึกนึกกลัวไปทั่วทิศ | ชำเลืองพิศพักตร์น้องให้หมองศรี |
เสียน้ำใจในอารมณ์ไม่สมประดี | ไม่รู้ที่จะคิดอ่านประการใด |
ดูพระนุชสุดเสียดายไม่วายเทวษ | น้ำพระเนตรนั้นจะกลืนก็ขืนไหล |
สะอื้นอิงพิงหมอนถอนฤทัย | พลางคิดได้ด้วยปัญญาจึงพาที |
ไปพาราการะเวกเสกพระน้อง | เป็นคู่ครองศฤงคารตามสารศรี |
แม้นข้องขัดตัดใจไม่ไยดี | ทำให้พี่อับอายเพียงวายปราณ ฯ |
๏ นางฟังคำร่ำว่าประสาซื่อ | สุดจะถือความแค้นแสนสงสาร |
จึงโอนอ่อนผ่อนตามความโบราณ | แม้แต่งงานเสาวคนธ์สุมณฑา |
เขายอมอยู่คู่ครองแล้วน้องรัก | จะเป็นอัคเรศพระเชษฐา |
นางวิงวอนผ่อนผันจำนรรจา | ด้วยมารยาแยบคายให้ตายใจ ฯ |
๏ หน่อนรินทร์ยินดีเป็นที่ยิ่ง | ว่าจริงจริงนะอย่าเบือนเชือนไฉน |
อันพระน้องสององค์คงปลงใจ | พี่จะได้แม่อรุณแอบอุ่นทรวง |
แต่เดี๋ยวนี้พี่จะขอแต่พอชื่น | สำราญรื่นร่วมแท่นอย่าแหนหวง |
ที่สิ่งใดได้ห้ามความทั้งปวง | ไม่ลามล่วงเลยจริงจริงอย่ากริ่งกลัว ฯ |
๏ นางว่าถ้าจะมาอยู่เหมือนคู่ชื่น | ฝ่ายคนอื่นเขาก็เห็นว่าเป็นผัว |
แม้นเมตตาอย่าให้มีราคีมัว | ขอครองตัวตามสัตย์ปฏิญาณ |
จงรั้งรอพอให้หายที่ขายพักตร์ | ถึงคราวรักจึงค่อยรักสมัครสมาน |
พระก็รู้อยู่ว่าช้าเป็นการ | อย่าหักหาญให้หม่อมฉันถึงบรรลัย ฯ |
๏ พระฟังคำจำตามด้วยความรัก | เสียดายนักนึกน่าน้ำตาไหล |
พระว่าพี่นี้จะผอมเพราะตรอมใจ | หนักอะไรจะเหมือนรักหนักอุรา |
อดอะไรจะเหมือนอดที่รสรัก | อกจะหักเสียด้วยใจอาลัยหา |
ไม่เห็นรักหนักดิ้นในวิญญาณ์ | จะเป็นบ้าเสียเพราะรักสลักทรวง |
จะรอใจไปจนสมอารมณ์รัก | ทุกข์จะหนักดังคะเนทะเลหลวง |
แล้วพิศพักตร์ลักขณาสุดาดวง | ให้เหงาง่วงหงอยจิตหงุดหงิดใจ |
จึงว่าพี่นี้จะลาแล้วหนาน้อง | อย่ามัวหมองมิ่งขวัญประหวั่นไหว |
ออกจากห้องน้องยาเหลืออาลัย | ถอนฤทัยเรรวนจนซวนเซ |
เข้าห้องท้ายทอดกายลงกำสรด | แสนสลดสละนางมาห่างเห |
หมายจะเชยไม่ได้ชมสมคะเน | เป็นกรรมเวราสร้างให้ร้างรัก |
คบชาววังครั้งไรก็ได้ทุกข์ | ไม่มีสุขแสนวิตกเพียงอกหัก |
ดูหญิงชายฝ่ายอื่นเขาชื่นพักตร์ | ต่างตอบรักใคร่กันจนพันพัว |
ประหลาดแท้แต่เราเกี้ยวเขาบ้าง | พบแต่นางตัวดีไม่มีผัว |
ยิ่งไม่ปล้ำยำเยงด้วยเกรงกลัว | ยิ่งเล่นตัวนี่กระไรเจ็บใจจริง |
น่าเบื่อจิตคิดก็จะสละบวช | ให้มันชวดผัวอยู่อีผู้หญิง |
แต่ความรักหนักจิตเหมือนปลิดปลิง | อนาถนิ่งอยู่ในห้องทองบรรทม ฯ |
๏ ฝ่ายเสนาข้าเฝ้าเห็นเจ้าโศก | ต่างรู้โรคในอุระซึ่งสะสม |
บ้างพูดกันสรรเสริญเจริญชม | ผู้หญิงรมจักรเพชรกูเข็ดใจ |
ทำเชิงชั้นปั้นปึ่งจนถึงแผด | เหมือนหนังแรดใครจะเกี้ยวเหนี่ยวไม่ไหว |
กระบวนกระบิดติดจะมากเหมือนรากไม้ | ทั้งกิ่งใบคดคอดตลอดปลาย |
บ้างว่าจริงยิ่งลงมาชั้นข้าหลวง | มันล่อลวงเลี้ยวลดปดใจหาย |
บ้างพูดเล่นเจรจาประสาชาย | ด้วยเจ้านายเศร้าสร้อยพลอยรำคาญ ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์อรุณรัศมี | คิดถึงพี่สินสมุทรสุดสงสาร |
ช่างแสนซื่อถือสัตย์ปฏิญาณ | จะเกี้ยวพานพูดอะไรก็ไม่เป็น |
เพราะเช่นนี้อีฝรั่งจึงขังเสีย | ช่างกลัวเมียกระไรเลยไม่เคยเห็น |
ไม่รู้กลจนจากกระดากกระเด็น | เหมือนหนึ่งเช่นลาวตายน่าอายใจ |
โอ้สงสารป่านนี้พระพี่เจ้า | จะโศกเศร้ามัวหมองไม่ผ่องใส |
ขอเทวัญชั้นฟ้าสุราลัย | ให้เห็นในใจหญิงทุกสิ่งอัน |
ว่าชอบปลอบชอบง้อสอพลอพลอด | ถึงเง้างอดง้องอนพูดผ่อนผัน |
ยิ่งข่วนหยิกพลิกผละไม่ละกัน | เออกระนั้นหรือจะได้ดังใจนึก |
นางตรึกตราอาลัยอยู่ในห้อง | จนยามสองเสียงสงัดกำดัดดึก |
เผยพระแกลแลมหาชลาลึก | อนาถนึกหนาวใจกระไรเลย |
โอ้เช่นนี้พี่ยาจะมาอยู่ | ก็ไม่สู้กลัวเจ้าดอกหนาวเอ๋ย |
นี่อายเธอเก้อใจด้วยไม่เคย | คิดจนเลยลืมอารมณ์ไม่สมประดี ฯ |