- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๔๔)
- คำนำ (พ.ศ. ๒๕๒๙)
- คำนำเมื่อพิมพ์ครั้งแรก
- ประวัติสุนทรภู่
- บันทึกเรื่องผู้แต่งนิราศพระแท่นดงรัง
- อธิบาย ว่าด้วยเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่
- ปกิรณะกะประวัติของสุนทรภู่
- ตอนที่ ๑ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา
- ตอนที่ ๒ นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๓ ศรีสุวรรณเข้าเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๔ ศรีสุวรรณพบนางเกษรา
- ตอนที่ ๕ ศรีสุวรรณเกี้ยวนางเกษรา
- ตอนที่ ๖ ศรีสุวรรณรบท้าวอุเทน
- ตอนที่ ๗ ศรีสุวรรณพยาบาลนางเกษรา
- ตอนที่ ๘ อภิเษกศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๙ พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อ
- ตอนที่ ๑๐ พระอภัยได้นางเงือก
- ตอนที่ ๑๑ นางสุวรรณมาลีไปเที่ยวทะเล
- ตอนที่ ๑๒ พระอภัยมณีพบนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๓ พระอภัยมณีโดยสารเรือนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๑๔ พระอภัยมณีเรือแตก
- ตอนที่ ๑๕ สินสมุทรโดยสารเรือโจรสุหรั่ง
- ตอนที่ ๑๖ สินสมุทรพบศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๑๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๑๘ พระอภัยมณีโดยสารเรืออุศเรน
- ตอนที่ ๑๙ พระอภัยมณีพบศรีสุวรรณกับสินสมุทร
- ตอนที่ ๒๐ สินสมุทรรบกับอุศเรน
- ตอนที่ ๒๑ พระอภัยมณีเกี้ยวนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๒ พระอภัยมณีครองเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๓ พระอภัยมณีอภิเษกกับนางสุวรรณมาลี
- ตอนที่ ๒๔ กำเนิดสุดสาคร
- ตอนที่ ๒๕ สุดสาครเข้าเมืองการะเวก
- ตอนที่ ๒๖ อุศเรนตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๗ เจ้าละมานตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๒๘ สุดสาครตามพระอภัยมณี
- ตอนที่ ๒๙ ศึกเก้าทัพตีเมืองผลึก
- ตอนที่ ๓๐ พระอภัยมณีตีเมืองใหม่
- ตอนที่ ๓๑ พระอภัยมณีพบนางละเวง
- ตอนที่ ๓๒ ศรีสุวรรณอาสาตีด่านดงตาล
- ตอนที่ ๓๓ ย่องตอดสะกดทัพ
- ตอนที่ ๓๔ นางละเวงคิดหย่าทัพ
- ตอนที่ ๓๕ พระอภัยติดท้ายรถ
- ตอนที่ ๓๖ พระอภัยมณีทำผูกคอตายได้นางละเวง
- ตอนที่ ๓๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทรถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๓๘ นางสุวรรณมาลีข้ามไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๓๙ นางสุวรรณมาลีมีสารตัดพ้อ
- ตอนที่ ๔๐ สุดสาครถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๔๑ นางสุวรรณมาลีหึงหน้าป้อม
- ตอนที่ ๔๒ หัสไชยแก้เสน่ห์
- ตอนที่ ๔๓ นางเสาวคนธ์ยิงแก้ม
- ตอนที่ ๔๔ กษัตริย์สามัคคี
- ตอนที่ ๔๕ นางเสาวคนธ์ขุดโคตรเพชร
- ตอนที่ ๔๖ พระอภัยมณีกลับเมือง
- ตอนที่ ๔๗ อภิเษกสินสมุทร
- ตอนที่ ๔๘ นางเสาวคนธ์หนี
- ตอนที่ ๔๙ นางเสาวคนธ์แปลงเป็นฤๅษี
- ตอนที่ ๕๐ นางเสาวคนธ์ได้เมืองวาหุโลม
- ตอนที่ ๕๑ สุดสาครตามนางเสาวคนธ์
- ตอนที่ ๕๒ พระอภัยมณีทำศพท้าวสุทัศน์
- ตอนที่ ๕๓ มังคลาครองเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๔ มังคลาชิงโคตรเพชร
- ตอนที่ ๕๕ มังคลาจับนางสุวรรณมาลีและท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๖ หัสไชยตีด่านเมืองลังกา
- ตอนที่ ๕๗ สุดสาครรบมังคลา
- ตอนที่ ๕๘ นางละเวงวัณฬาช่วยนางสุวรรณมาลีแลท้าวทศวงศ์
- ตอนที่ ๕๙ พระอภัยมณีศรีสุวรรณไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๐ พระอภัยมณีรบกับมังคลา
- ตอนที่ ๖๑ สังฆราชบาทหลวงเผาเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๒ พระอภัยเข้าเมืองลังกา
- ตอนที่ ๖๓ อภิเษกหัสไชย
- ตอนที่ ๖๔ พระอภัยมณีออกบวช
- ตอนที่ ๖๕ พระบาทหลวงพาพระมังคลาหนีทัพไปเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๖๖ วลายุดาครองเมืองสินชัย
- ตอนที่ ๖๗ วายุพัฒน์เป็นอุปราชเมืองเซ็น
- ตอนที่ ๖๘ หัสกันครองเมืองสุลาลัย
- ตอนที่ ๖๙ พระอภัยมณีเยี่ยมศพนางมณฑา
- ตอนที่ ๗๐ พระมังคลายกทัพเรือมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๗๑ นางรำภา นางยุพาผกาและนางสุลาลีวันออกรบ
- ตอนที่ ๗๒ สุดสาคร สินสมุทรรบกับพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๓ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันเข้าเฝ้าศรีสุวรรณ
- ตอนที่ ๗๔ ทัพพันธมิตรเมืองกำพลเพชรยกมาช่วยพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๕ พระมังคลาล่าทัพไปถึงเกาะกาหวี
- ตอนที่ ๗๖ ทหารเมืองกำพลเพชรตามนางกฤษณาพบพระมังคลา
- ตอนที่ ๗๗ พระมังคลาได้นางดวงแขลูกสาวเจ้าเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๗๘ อภิเษกพระกฤษณากับนางเทพินไปครองเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๗๙ วลายุดา วายุพัฒน์และหัสกันลามารดากลับไปเมือง
- ตอนที่ ๘๐ พระมังคลายกทัพเมืองสำปันหนาไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๑ ศรีสุวรรณออกรับศึกพระมังคลา
- ตอนที่ ๘๒ โจรสลัดคุมกำปั่นปล้นเมืองรมจักร
- ตอนที่ ๘๓ ศรีสุวรรณมาช่วยเมืองรมจักรรบโจรสลัด แล้วอภิเษกตรีพลำกับอัมพวันและเทวัญกับนิลกัณฐี
- ตอนที่ ๘๔ พระมังคลากับพระบาทหลวงแตกทัพไปเกลี้ยกล่อมเมืองต่าง ๆ
- ตอนที่ ๘๕ พระมังคลาไปถึงเมืองโรมพัฒน์ได้นางบุษบง
- ตอนที่ ๘๖ พระบาทหลวงกับพระมังคลายกทัพเรือเมืองโรมพัฒน์ไปตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๘๗ สุดสาครทราบข่าวศึก
- ตอนที่ ๘๘ พระมังคลากับพระบาทหลวงตีได้เมืองด่านลังกา
- ตอนที่ ๘๙ ทัพสุดสาครตีทัพพระมังคลาพ่าย จนเทวสินธุ์ตามไปถึงเมืองสำปันหนา
- ตอนที่ ๙๐ ท้าวรายากับพระเทวสินธุ์ไปถึงเมืองกำพลเพชร แล้วยกทัพไปเมืองลังกา
- ตอนที่ ๙๑ หกกษัตริย์ยกทัพมาช่วยเมืองลังกาทำศึก
- ตอนที่ ๙๒ พระบาทหลวงรบศึกหกกษัตริย์จนลมแดงซัดเรือรบพลัดกัน
- ตอนที่ ๙๓ สุดสาครตีเมืองด่านแตก
- ตอนที่ ๙๔ พระเทวสินธุ์พบพระมังคลาจนเจ็ดกษัตริย์เตรียมรบ
- ตอนที่ ๙๕ พระมังคลากับพระบาทหลวงยกทัพเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๙๖ ทัพเจ็ดกษัตริย์ตีทัพพระบาทหลวงแตก
- ตอนที่ ๙๗ พระบาทหลวงเตรียมตีเมืองปากน้ำคืน
- ตอนที่ ๙๘ พระบาทหลวงขับท้าวรายากับนางบุษบงไปจากกองทัพ จนพระมังคลาหนี
- ตอนที่ ๙๙ พระบาทหลวงยกเข้าตีเมืองปากน้ำ
- ตอนที่ ๑๐๐ สินสมุทรตีทัพพระบาทหลวงจนถูกยาเบื่อ
- ตอนที่ ๑๐๑ พระอภัยมณีเยือนลังกา
- ตอนที่ ๑๐๒ พระบาทหลวงปล่อยโคมไฟไปตกเมืองลังกา จนถึงพระอภัยมณีห้ามทัพ
- ตอนที่ ๑๐๓ หกกษัตริย์ตีโต้ทัพพระบาทหลวงล่าไปเมืองปตาหวี
- ตอนที่ ๑๐๔ พระอภัยมณีกลับไปเขาสิงคุตร
- ตอนที่ ๑๐๕ อภิเษกหัสกันกับนางวันชายา
- ตอนที่ ๑๐๖ พระอภัยมณีไปเยี่ยมนางเงือกที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๐๗ พระบาทหลวงเข้าเมืองปตาหวีแล้วตามไปพบพระมังคลาที่เมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๐๘ พระมังคลาและนางบุษบงออกมารับพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๐๙ ท้าวโกสัยบอกพระมังคลาให้รู้อุบายพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๐ พระบาทหลวงตีด่านเมืองกำพลเพชร
- ตอนที่ ๑๑๑ พระมังคลามีสารง้อศรีสุวรรณสุดสาครและสินสมุทร ให้มาช่วยรบพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๒ ทัพพระมังคลารบกับทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๓ ทัพศรีสุวรรณกับสี่กษัตริย์ตีกระหนาบทัพพระบาทหลวง
- ตอนที่ ๑๑๔ ทัพเรือพระบาทหลวงเข้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๕ ศรีสุวรรณกับพวกพาพระมังคลากลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๑๖ ท้าวกุลามาลีได้นางดวงประไพลูกสาวท้าวสินชัยเจ้าเมืองกาศึก
- ตอนที่ ๑๑๗ พระมังคลาไปงานโสกันต์ระเด่นกินเรศ
- ตอนที่ ๑๑๘ เจ้าเมืองปตาหวีพานางดวงประไพกลับเมือง
- ตอนที่ ๑๑๙ สุดสาครไปเยี่ยมนางเงือกและพระฤๅษีที่เกาะแก้วพิสดาร
- ตอนที่ ๑๒๐ สุดสาครกลับเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๒๑ ศรีสุวรรณให้นรินทร์รัตน์ไปครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๒ อภิเษกนรินทร์รัตน์ครองเมืองรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๓ เจ็ดกษัตริย์ยกทัพมาตีเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๔ นรินทร์รัตน์ขอราเมศมาเป็นอุปราชกรุงรัตนา
- ตอนที่ ๑๒๕ นรินทร์รัตน์กับราเมศมาช่วยเมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๖ เจ็ดกษัตริย์ตายสี่หนีสาม
- ตอนที่ ๑๒๗ นรินทร์รัตน์หลงนางเกศพัฒน์เมืองเหมรา
- ตอนที่ ๑๒๘ อภิเษกพระราเมศกับนางดวงประภา
- ตอนที่ ๑๒๙ ภัทวงศ์ไปไหว้เทวรูปจนพบนางเกสรสุมาลัย
- ตอนที่ ๑๓๐ เจ้าเมืองวายุภักษ์ขอนางเกสรสุมาลัยให้ภัทวงศ์
- ตอนที่ ๑๓๑ พระสังฆราชบาทหลวงยกทัพมาตีเมืองลังกา
- ตอนที่ ๑๓๒ ตัดหางสุพรรณมัจฉาแล้วสถาปนาเป็นจันทวดีพันปีหลวง
ตอนที่ ๕๒ พระอภัยมณีทำศพท้าวสุทัศน์
๏ จะกล่าวเรื่องเมืองลังกาพวกฝรั่ง | นิเวศน์วังนางวัณฬามารศรี |
ทั้งรำภานางยุพาสุลาลี | ตั้งแต่ปีผัวกลับกองทัพไป |
ต่างครองครรภ์รันทดสลดจิต | ด้วยจากมิตรมัวหมองไม่ผ่องใส |
ทุกเช้าค่ำคร่ำครวญรัญจวนใจ | จนครรภ์ได้สิบเดือนไม่เคลื่อนคลา |
อันโฉมยงองค์ละเวงวัณฬาราช | คลอดหน่อนาถเมื่อวันเข้าพรรษา |
เป็นชายเฉิดเลิศลักษณ์ดวงพักตรา | เหมือนบิดาประหนึ่งหล่อลออองค์ |
ผิวฉวีสีสังข์สำอางค์อ่อน | เหมือนมารดรแต่พระเกศเนตรขนง |
ดูคมขำอำไพวิไลทรง | มาตุรงค์ให้ชื่อพระมังคลา |
นางรำภาสะหรีมีโอรส | เหมือนทรงยศศรีสุวรรณกรรณหัตถา |
ทั้งผิวเหลืองเรืองรองดังทองทา | ชื่อวลายุดางามสรรพางค์ |
นางยุพานารีก็มีบุตร | เหมือนสินสมุทรเนตรแดงดังแสงฝาง |
ผิวเนื้อเขียวเขี้ยวแหลมเกศแก้มคาง | ไม่ผิดอย่างบิดาชื่อวายุพัฒน์ |
แล้วลาลีมีบุตรสุดสวาท | เป็นชายชาติเชื้อวงศ์พงศ์กษัตริย์ |
ไม่เพี้ยนผิดบิตุรงค์ทรงสันทัด | ทั้งเอวบางร่างรัดชื่อหัสกัน ฯ |
๏ พระมังคลากับวลายุดาราช | อยู่กับบาทหลวงใหญ่ในไอศวรรย์ |
กุมาราวายุพัฒน์หัสกัน | ทั้งสองนั้นอยู่ที่พระปีโป |
ตั้งพากเพียรเรียนหนังสือถือฝรั่ง | อาจารย์สั่งสอนสิกขาเยวาโห |
ดูตำราฟ้าดินค่อยภิญโญ | ไม่มีโรคาพานสำราญใจ ฯ |
๏ จะกลับกล่าวเจ้าพาราการะเวก | การภิเษกขัดข้องไม่ผ่องใส |
ครั้นเกี่ยวดองสองทัพยกกลับไป | พระหัสไชยสร้อยเศร้าเปล่าอุรา |
คิดคะนึงถึงลูกสาวเจ้าผลึก | ไม่วายนึกนอนฝันกระสันหา |
โอ้น้องน้อยสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา | เสียดายมาถึงแล้วกลับแคล้วกัน |
นิจจาเอ๋ยเคยหอมถนอมสนิท | เคยนอนชิดชมน้องประคองขวัญ |
เคยยิ้มสรวลชวนชื่นทุกคืนวัน | เมื่อกระนั้นน้อยหรือใจไม่ไยดี |
ได้ร่วมเรียงเคียงเขนยชมเชยกอด | เจ้าเคยพลอดจุกจิกพี่พลิกหนี |
แม้รักใคร่ในนางเหมือนอย่างนี้ | ให้ฟ้าผี่เถิดสินะไม่ละเลย |
เมื่ออยู่ทัพพลับพลาลังกานั้น | เหมาะเบาบันหรือช่างเฉาเจียวเราเอ๋ย |
ให้อายใจได้แต่เบียดชิดเฉียดเชย | มิได้เกยกอดชมสมคะเน |
มาเมืองนี้พี่ก็หมายไม่คลายคลาด | กลับนิราศเริศร้างไปห่างเห |
อันกรุงไกรไกลทางขวางทะเล | สุดคะเนนึกสะอื้นกลืนน้ำตา |
โอ้แต่นี้มิได้พบประสบแล้ว | เสียดายแก้วนัยน์เนตรของเชษฐา |
เมื่อรบรับกับฝรั่งเมืองลังกา | พระมารดายกให้เหมือนใจคิด |
เคยกอดพี่มิให้ออกไปนอกรถ | หอมแป้งสดแสนชื่นระรื่นจิต |
เคยกอดจูบลูบต้องประคองชิด | มาเปลื้องปลิดเปล่าใจจำไกลกัน |
ถึงยามนอนกรพาดนลาฏนึก | เหลือรำลึกหลงเพ้อละเมอฝัน |
จนใช้เหล่าสาวสุรางค์นางกำนัล | หลงเรียกชื่อสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา |
แต่ดิ้นโดยโหยหวนคร่ำครวญคิด | มิรู้ลืมปลื้มจิตกนิษฐา |
จำจะคิดบิดผันจำนรรจา | ลาบิดาชนนีตามพี่นาง |
แล้วจะได้ไปเมืองผลึกน้อง | ได้พบสองศรีสวัสดิ์ไม่ขัดขวาง |
รำพึงความยามเศร้าค่อยเบาบาง | พอสว่างเวลารุ่งราตรี |
จึงโสรจสรงทรงเครื่องแล้วเยื้องย่าง | พร้อมด้วยเหล่าสาวสุรางค์นารีศรี |
มาขึ้นเฝ้าพระชนกชนนี | อัญชลีแล้วสะอื้นกลืนน้ำตา ฯ |
๏ กรุงกษัตริย์ตรัสถามด้วยความรัก | เป็นไรพักตร์เผือดรูปซูบหนักหนา |
โอรสรับอภิวันท์จำนรรจา | ลูกตรึกตรากตรอมใจมิได้วาย |
ด้วยพี่นางช่างกระไรมิได้เหตุ | ทั้งพระเชษฐาตามสูญความหาย |
ฉวยขัดขวางอย่างไรจะได้อาย | ขอถวายบังคมลาฝ่ายุคล |
ไปเที่ยวตามถามข่าวสืบราวเรื่อง | ตามบ้านเมืองเกาะแก่งทุกแห่งหน |
หรือเสียเรือเผื่อจะค้างอยู่กลางชล | ถึงอับจนจะได้พามาธานี |
พระฟังความห้ามบุตรสุดสวาท | เขาตัดขาดเชื้อสายจึงหน่ายหนี |
อย่าตามไปให้ลำบากยากโยธี | อยู่บูรีเช้าค่ำให้สำราญ ฯ |
๏ พระฟังตรัสตัดรอนถอนสะอื้น | อุส่าห์กลืนชลนาน่าสงสาร |
ศิโรราบกราบประณตบทมาลย์ | ขอประทานโทษที่พระพี่ยา |
ซึ่งแค้นเคืองเรื่องราวคราวฝรั่ง | ไม่จงหวังร่วมนิเวศน์กับเชษฐา |
จึงหลบลี้หนีงานการวิวาห์ | ได้ล่วงราชอาชญาฝ่าธุลี |
แต่ส่วนลูกผูกใจอาลัยหนัก | เคยเห็นพักตร์พี่น้องกันสองศรี |
ทั้งเป็นหญิงทิ้งขว้างเสียอย่างนี้ | จะรู้ที่ผินหน้าไปหาใคร |
พลางโศกาอาดูรพูนเทวษ | พระชลเนตรนองตกซกซกไหล |
พระบิตุรงค์สงสารรำคาญใจ | มิให้ไปก็จะเศร้าเฝ้าโศกา |
จึงว่าพ่อก็ไม่ห้ามตามแต่จิต | เมื่อขืนคิดรักใคร่ก็ไปหา |
ตามลำพังพี่น้องกันสองรา | แต่อย่าว่าข้าใช้ให้ไปตาม ฯ |
๏ พระรับสั่งบังคมบรมนาถ | จากปราสาทเสด็จมาหน้าสนาม |
ขึ้นหยุดยั้งนั่งพลับพลาสง่างาม | จึงสั่งความแก่มหาเสนาใน |
จงแต่งลำกำปั่นสุวรรณมาศ | ใช้ใบตาดธงทองให้ผ่องใส |
เปลี่ยนรอกใบสายสมอเชือกช่อใบ | ทำด้วยไหมเบญจพรรณให้ทันการ |
คนประจำกำปั่นสักพันถ้วน | เลือกแต่ล้วนเข้มแข็งกำแหงหาญ |
ทั้งล้าต้าต้นหนพวกคนงาน | ที่ชำนาญนาวาจะคลาไคล |
ครั้นสั่งเสร็จเสด็จกลับผู้รับสั่ง | ไม่รอรั้งเรียกกันเสียงหวั่นไหว |
บ้างเปลี่ยนเชือกเลือกเสาผลัดเพลาใบ | สมอไหมเบญจพรรณฟั่นเป็นพวน |
บรรทุกน้ำลำเลียงเสบียงเพียบ | ทอดประเทียบประทับท่าหน้าฉนวน |
พร้อมปืนผาอาวุธชุดชนวน | ทหารถ้วนพันประจำในลำทรง ฯ |
๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงสูรย์จำรูญจำรัส | หน่อกษัตริย์จรลีเข้าที่สรง |
น้ำกุหลาบอาบอบตลบองค์ | แล้วสอดทรงเครื่องกษัตริย์จำรัสเรือง |
มงกุฎเก็จเพชรกระจ่างสว่างวับ | เป็นนวลจับแจ่มศรีฉวีเหลือง |
สอดฉลองพระบาทแล้วยาตรเยื้อง | นางเชิญเครื่องงามงามตามลีลา |
ลงกำปั่นบัลลังก์ขึ้นนั่งอาสน์ | พร้อมมหาดเล็กพี่เลี้ยงเคียงซ้ายขวา |
นายทหารขานโห่เป็นโกลา | ยิงปืนหน้าเรือตึงกึงกึงกัง |
ประโคมฆ้องกลองฤกษ์เอิกเกริกเสียง | เสนาะสำเนียงเซงแซ่ทั้งแตรสังข์ |
ลอยลำเลื่อนเคลื่อนคลาจากหน้าวัง | ได้กำลังลมดีให้คลี่ใบ |
แล่นออกจากปากอ่าวลมว่าวส่ง | สะบัดธงปลายปลิวหวิวหวิวไหว |
ดูอ้างว้างกลางทะเลว้าเหว่ใจ | ชลาไลยลมคลื่นเสียงครื้นครึก ฯ |
๏ หน่อกษัตริย์ตรัสสั่งให้ตั้งเข็ม | ออกแล่นเล็มจะไปเข้าอ่าวผลึก |
พอแดดลบพลบค่ำออกน้ำลึก | เรือสะทึกสะท้านเลื่อนสะเทื้อนคลอน |
ถูกลมแดงแคลงคลื่นทะมึนมืด | เป็นเกลียวยืดใหญ่กลิ้งเท่าสิงขร |
เยือกเขยื้อนเคลื่อนโขยดโลดกระดอน | กำปั่นคลอนโคลงป่วนซุนซวนเซ |
ยิ่งดึกดื่นคลื่นสาดบนดาดฟ้า | ลมสลาตันผันพัดหันเห |
คนเข้าห้องท้องคลอนดังนอนเปล | จนถึงเวลาสว่างไม่สร่างลม |
พวกล้าต้าฆ่าไก่ตั้งไหว้เจ้า | ทั้งเหล้าข้าวเครื่องสังเวยนมเนยขนม |
จนเบี่ยงบ่ายคลายคลื่นต่างชื่นชม | กลับเป็นลมว่าวแล่นแสนสบาย ฯ |
๏ พระขึ้นนั่งบัลลังก์ท้ายบาหลี | ผูกม่านสีซุ้มหลังคาฝาพระฉาย |
ชมมัจฉาคลาเคลื่อนลอยเลื่อนราย | เห็นคล้ายคล้ายว่ายเคล้าสำเภาทอง |
ทั้งกุ้งกั้งมังกรสลอนสล้าง | บ้างดำบ้างผุดฟูเป็นคู่สอง |
พวกเหราม้าน้ำคล่ำคะนอง | บ้างพ่นฟองฟุ้งฟ้าฝูงปลาวาฬ |
เหล่ากระโห้โผล่ผุดไล่วุดวาด | ฉนากฟาดงวงฟัดอยู่ฉัดฉาน |
เสือสมุทรผุดโผนโจนทะยาน | คชสารสินธูขึ้นชูงา |
บ้างตัวเหมือนวัวควายมีหลายอย่าง | เหมือนแรดกวางหางพลัดเป็นมัจฉา |
บ้างเหมือนหอยลอยเลื่อนค่อยเคลื่อนคลา | ครั้นเยี่ยมหน้าออกเหมือนหมีต่างชี้ดู |
เงือกมนุษย์ผุดกลุ้มทั้งหนุ่มสาว | ล้วนผมยาวปรกบ่ามีตาหู |
บ้างเหมือนแพะแกะกายกลายเป็นงู | ขึ้นฟ่องฟูฟันคลื่นเสียงครื้นเครง |
ฝูงโลมากาสิกผุดพลิกโพล่ง | ที่ใหญ่โล่งงวงโง้งกระโทงเหง |
ฮุบกันติดบิดสะบัดฟัดกันเอง | ดูน่าเกรงกลัวปลาในสาชล |
มังกรว่ายสายสมุทรขึ้นผุดขวาง | ยาวเหมือนอย่างโขดเขินเนินถนน |
เห็นกำปั่นหันเหียนวงเวียนวน | ต้องเผาขนไก่กันด้วยควันไฟ |
พอสัตว์จมลมเงียบเชียบสงัด | ไม่แกว่งกวัดธงทิวริกริ้วไหว |
ดูน้ำนิ่งวิ่งพร่างเป็นหางไป | เหมือนน้ำในสระซึ้งอั้นอึ้งลม |
ต้องเลื่อนลอยคอยวายุพาพัด | ให้ฆ่าสัตว์เซ่นพระกาลเผาสารส้ม |
แล้วตีกลองฆ้องระฆังดังระดม | พอได้ลมแล่นตัดตามอัธยา |
ด้วยหมายมุ่งกรุงผลึกออกลึกล้ำ | เห็นแต่น้ำในทะเลกับเวหา |
จะแลเหลียวเปลี่ยวใจนัยนา | จนเวลาค่ำพลบจุดคบโคม ฯ |
๏ พระนั่งเล่นเย็มลมชมอากาศ | พระพายผาดพัดเรื่อยเฉื่อยชื่นโฉม |
ดูดาวเดือนเกลื่นสว่างกลางโพยม | ยิ่งนึกโทมนัสในใจรัญจวน |
คิดคะนึงถึงพี่เป็นที่รัก | เคยพร้อมพรักปรีดิ์เปรมเกษมสรวล |
เคยคิดบอกดอกสร้อยน้องคอยทวน | เคยชี้ชวนชมฟ้าดาราราย |
โอ้ยามนี้วิบัติต้องพลัดพราก | ต่างจำจากจำไกลจิตใจหาย |
ทุกค่ำเช้าเปล่าเปลี่ยวอยู่เดียวดาย | มิได้วายวันนึกนิ่งตรึกตรอง |
แล้วรำพึงถึงลูกสาวเจ้าผลึก | จะรำลึกถึงพี่มั่งหรือทั้งสอง |
ฝาแฝดคู่ดูดีทั้งพี่น้อง | ประไพพริ้มยิ้มย่องละอองนวล |
ดูรูปร่างช่างเหมือนไม่เคลื่อนคลาด | เหลือประหลาดลืมองค์ทรงพระสรวล |
คิดถึงเคยเชยชื่นรื่นรัญจวน | ยิ่งอักอ่วนป่วนจิตคิดคะนึง ฯ |
๏ ดูเรือช้ากว่าทุกครั้งสั่งคนใช้ | ให้แทรกใบซ้ายขวาผูกผ้าขึง |
ทุกคืนค่ำร่ำใช้ใบตะบึง | จนเข้าถึงอ่าวผลึกดึกสองยาม |
ทอดสมอรอราอยู่หน้าด่าน | พวกทหารเห็นรู้จักร้องทักถาม |
ด้วยเกี่ยวดองสองเมืองรู้เรื่องความ | ไม่ห้ามปรามปล่อยให้ขึ้นไปวัง |
กำปั่นจอดทอดท่าหน้าฉนวน | ขุนนางชวนกันมารับคอยคับคั่ง |
พระทรงอาสน์ราชสุวรรณบัลลังก์ | เข้าในวังคอยเฝ้าเจ้านคร ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระอภัยมณีนาถ | บรมบาทบพิตรอดิศร |
สถิตแท่นแวนฟ้าสถาวร | พร้อมนิกรกัลยาคณานาง |
คอยขับรำบำรุงกรุงกษัตริย์ | บริบูรณ์พูนสวัสดิ์ไม่ขัดขวาง |
ครั้นสายแสงแต่งองค์ทรงสำอาง | พร้อมขุนนางน้อมประณตบทมาลย์ ฯ |
๏ หน่อกษัตริย์หัสไชยเข้าไปเฝ้า | พระเรียกเข้าไปที่แท่นแสนสงสาร |
พานพระศรีที่บัลลังก์ตั้งประทาน | ให้กุมารร่วมเสวยชมเชยพลาง |
แล้วตรัสถามตามทำนองถึงสองกษัตริย์ | ยังไพบูลย์พูนสวัสดิ์หรือขัดขวาง |
แต่จากมากว่าปีอันพี่นาง | ยังได้ข่าวคราวบ้างหรืออย่างไร ฯ |
๏ หน่อกษัตริย์ขัตติย์วงศ์ทรงสดับ | น้อมคำนับทูลแจ้งแถลงไข |
อันสองกษัตริย์ขัตติยาเสนาใน | ทั้งพลไพร่พร้อมดีบริบูรณ์ |
แต่พี่นางทั้งสมเด็จพระเชษฐา | ไม่ทราบว่าดีร้ายไปหายสูญ |
แสนละห้อยคอยหาให้อาดูร | จึงมาทูลถามความตามสงกา |
ด้วยเกณฑ์เรือเหนือใต้ไปเที่ยวค้น | ทุกตำบลเกาะแก่งแสวงหา |
ไม่เห็นหายหมายที่พระพี่ยา | จะแวะมาเฝ้าบ้างหรืออย่างไร ฯ |
๏ พระฟังคำร่ำว่านิจจาเอ๋ย | จะหลงเลยลึกซึ้งไปถึงไหน |
ที่จริงจิตบิดรไม่นอนใจ | ให้เวียนไปสืบเรื่องทุกเมืองราย |
แต่เรือใช้ใหญ่น้อยสักร้อยเศษ | คอยฟังเหตุเช้าเย็นก็เห็นหาย |
หมอดูดีที่ไหนก็ให้ทาย | ว่าไม่ตายแต่จะมายังช้านาน |
พ่อทุกข์ถึงเสาวคนธ์วิมลมิ่ง | ด้วยเป็นหญิงยากแค้นแสนสงสาร |
ทั้งเห็นเจ้าเศร้าสร้อยพลอยรำคาญ | จะคิดอ่านเตรียมพลเที่ยวค้นคว้า |
จงฟังข่าวราวเรื่องอยู่เมืองนี้ | คอยพวกที่แยกย้ายเที่ยวรายหา |
ทั้งใต้เหนือเผื่อไปปะเขาจะมา | เราจึงพากันไปตามนางทรามวัย ฯ |
๏ พระตรัสพลางทางชวนพระหน่อนาถ | ขึ้นปราสาทด้วยสนิทพิสมัย |
ฝ่ายองค์พระมเหสีดีพระทัย | เข้าลูบไล้ลูกเขยนั่งเชยชม |
แม่รำลึกนึกถึงพึ่งได้เห็น | พ่อเคยเป็นเพื่อนชีวิตสนิทสนม |
น้อยหรือรูปซูบผอมด้วยตรอมตรม | เพราะระทมทุกข์ทวีถึงพี่นาง |
แม่เสาวคนธ์มณฑานิจจาเอ๋ย | กระไรเลยละน้องให้หมองหมาง |
เที่ยวสืบถามตามติดทุกทิศทาง | น้อยหรือช่างแคล้วคลาดประหลาดใจ ฯ |
๏ พระฟังตรัสมธุรสประณตสนอง | พระคุณสองกษัตราจะหาไหน |
ถึงทุกข์ทนผลกรรมได้ทำไว้ | ก็มิได้ลืมพระคุณกรุณา |
น้ำใจลูกผูกพันทุกวันนี้ | เหมือนชนนีที่กำเนิดเกิดเกศา |
เที่ยวตามพี่มิได้แจ้งแห่งกิจจา | จึงแวะมาอภิวาทบาทบงสุ์ ฯ |
๏ นางฟังหน่อวรนาถฉลาดฉลอง | นั่งยิ้มย่องชื่นชมสมประสงค์ |
เรียกบุตรีพี่น้องทั้งสององค์ | ให้โฉมยงอัญชลีพระพี่ยา |
พระรับหัตถ์ตรัสทักด้วยรักใคร่ | สบายใจอยู่หรือสองพระน้องจ๋า |
นางรับจ๊ะอภิวันท์จำนรรจา | ตามประสาซื่อตรงเหมือนวงศ์วาน |
พระมารดาว่าพ่อก็เหมือนบุตร | จงยั้งหยุดอยู่ปราสาทราชฐาน |
ได้เห็นเจ้าเช้าค่ำค่อยสำราญ | อยู่กับมารดาได้ใกล้ใกล้กัน |
แล้วทูลลาพาพระหน่อวรนาถ | ไปปราสาทสั่งเหล่านางสาวสรรค์ |
ทอดยี่ภู่ปูลาดอาสน์สุวรรณ | มีฉากกั้นบรรจถรณ์อ่อนสำอาง |
นางอยู่งานพานพระศรีมีสำหรับ | คอยกล่อมขับปรนนิบัติไม่ขัดขวาง |
แต่บุตรีพี่น้องทั้งสองนาง | อยู่ห้องกลางต่างหากจัดหมากพลู |
ด้วยรู้ทีพี่ชายก็อายเหนียม | เห็นและเลียมเล่นตาน่าอดสู |
กลัวสาวสาวเหล่าข้าหลวงจะล่วงรู้ | แกล้งซ่อนอยู่เสียมิได้ไปใกล้กราย |
แต่เช้าเย็นเป็นธุระเครื่องเสวย | เหมือนอย่างเคยต้องไปเรียบเทียบถวาย |
พระหัสไชยใจรักตรัสทักทาย | ชวนสองสายสวาทเสวยเหมือนเคยกัน |
นางอายเอียงเมียงเมินเชิญพระพี่ | พระเซ้าซี้ซ้ำชวนนางสรวลสันต์ |
พระวอนวิงจริงนะเมื่อกระนั้น | กินด้วยกันหรือรังเกียจคิดเกลียดชัง ฯ |
๏ สองสุดาว่าพระองค์สิทรงยศ | น้องถอยถดวาสนากว่าแต่หลัง |
มิควรเคียงเรียงชิดกลัวผิดพลั้ง | ไม่ชิงชังเชิญเสวยแล้วเลยลา |
แกล้งหลีกออกนอกฉากไปจากห้อง | พระตรัสร้องเรียกก็ไม่กลับไปหา |
พระหัสไชยไม่เสวยเลยนิทรา | พวกสาวสรรค์กัลยาปรึกษากัน |
จะเชิญเครื่องกลับไปมิได้เสวย | ฉวยเกินเลยลงหวายเสียดายสัน |
ต้องรอรั้งตั้งค้างจนกลางวัน | นางสาวสรรค์พรั่นกลัวทุกตัวนาง ฯ |
๏ พอโฉมยงองค์พระมเหสี | ออกจากที่เฝ้ามามุขขวาขวาง |
เห็นเครื่องอานพานตั้งยังคั่งค้าง | จึงถามนางสาวสรรค์กำนัลใน |
เขาทูลความตามเรื่องที่เคืองข้อง | ชวนพระน้องไม่เสวยเลยหลับใหล |
มาตุรงค์สงสารรำคาญใจ | เสด็จไปเข้าห้องสองธิดา |
จึงแกล้งขู่ดูดู๋ดื้อถือทิฐิ | จะเรียนริตัดวงศ์เผ่าพงศา |
ร่วมเสวยเคยแต่ครั้งไปลังกา | เดี๋ยวนี้มาขัดขวางเป็นอย่างไร |
แม้ทราบถึงบิตุรงค์คงจะกริ้ว | ทำบิดพลิ้วเช่นนี้เห็นดีไฉน |
อย่าขัดขวางห่างแหไปแม่ไป | ปลุกพี่ให้เธอเสวยเหมือนเคยกัน ฯ |
๏ สองบุตรีขี้ขลาดมิอาจขัด | ชลีหัตถ์หักอายจำผายผัน |
มาชวนเหล่าสาวสุรางค์นางกำนัล | เข้าเคียงบรรจถรณ์ที่พระพี่ยา |
ค่อยยอบองค์ลงคำนับอภิวาท | สะกิดบาทบทเรศพระเชษฐา |
พระเหลือบดูรู้ว่าน้องสองสุดา | แกล้งชักผ้าคลุมพระพักตร์ไม่ทักทาย |
จันทร์สุดาว่าพระพี่มิอยากหลับ | เชิญช่วยรับเครื่องเสวยเคยถวาย |
สร้อยสุวรรณนั้นว่าเหลือเบื่อจะตาย | จนเบี่ยงบ่ายช้านานรำคาญครัน |
แกล้งหลับเฉยเลยนิ่งจริงนะจ๊ะ | จะให้พระชนนีมาตีฉัน |
น้องจะมาเสวยด้วยพลางช่วยกัน | เฝ้าปลุกสั่นเซ้าซี้พระพี่ยา ฯ |
๏ พระแช่มชื่นฝืนองค์ดำรงนั่ง | แกล้งผินหลังลองจิตกนิษฐา |
สร้อยสุวรรณนั้นถวายสรงพักตรา | จันทร์สุดาเรียงเรียบเทียบเครื่องอาน |
แล้วต่างอ้อนวอนว่านิจจาเอ๋ย | ไม่เสวยโภชนากระยาหาร |
จะให้น้องต้องโทษไม่โปรดปราน | แต่ก่อนกาลก็ไม่เป็นเหมือนเช่นนี้ |
จริงจริงนะพระช่างไม่อาลัยน้อง | จึงขัดข้องคิดอางขนางหนี |
อย่าอดเสวยเลยถ้าแม้นแค้นเต็มที | จะหยิกตีตามจะทำให้หนำใจ |
พระฟังคำร่ำว่าน่าสงสาร | ช่างอ่อนหวานวาจาอัชฌาสัย |
จึงว่าพี่มิได้เฉยเคยอย่างไร | ก็รักใคร่อย่างนั้นไม่ฉันทา |
จริงจริงนะพระน้องทั้งสองอีก | แกล้งเลี่ยงหลีกหลบพักตร์เสียหนักหนา |
เคยชิดเชื้อเมื่อครั้งอยู่ลังกา | เดี๋ยวนี้มาห่างเหินเผอิญเป็น |
ชวนเสวยไม่เสวยแกล้งเลยหลบ | ไม่อยากพบไม่รอไม่ขอเห็น |
อยู่ดีดีวิบากกระดากกระเด็น | ไกลสักราวเก้าเส้นสิบห้าวา |
นี่หากพระชนนีจะตีน้อง | ดอกจึงต้องตามบังคับกลับมาหา |
ถ้าหาไม่ไหนพระน้องสองสุดา | จะกลับมาหาพี่ไม่มีเลย ฯ |
๏ ทั้งสองนางต่างยิ้มว่าอิ่มเหลือ | พระชวนเมื่อเช้าจึงไม่ได้เสวย |
แต่เพียงนี้มิใช่ว่าไม่เคย | มิควรพระจะว่าเฉยว่าเลยละ |
คุณพระพี่ที่ลังการบข้าศึก | น้องก็นึกอยู่ทุกสิ่งจริงจริงหนะ |
อย่าพักร่ำลำเลิกเลยพุคะ | มิใช่จะลืมพระคุณกรุณา |
น้องก็รู้อยู่ในจิตว่าสิทธิ์ขาด | เป็นข้าบาทบทเรศพระเชษฐา |
ฆ่าก็ตายขายก็ขาดตามอาชญา | จงเมตตาอย่าให้น้องนี้ต้องตี ฯ |
๏ แม่สร้อยสุวรรณจันทร์สุดาหนักหนานัก | มิควรจักแกล้งว่าเป็นทาสี |
ทีหลังถ้าว่ากล่าวเหมือนคราวนี้ | จะทูลพระชนนีให้ตีน้อง |
แล้วลีลามานั่งที่ตั้งเครื่อง | แลชำเลืองเหลียวหลังดูทั้งสอง |
นางเรียงเรียบเทียบสุวรรณภาชน์ทอง | ส้อมฉลองพระหัตถ์จัดประจง |
พระเห็นสองทรามวัยไม่เสวย | แกล้งนิ่งเฉยเสียไม่ชวนนวลหง |
นางรู้เท่าเฝ้าอ้อนวอนพระองค์ | ไม่โปรดทรงเสวยบ้างเป็นอย่างไร |
พระค้อนพลางทางถามทรามสงวน | แม่ไม่ควรเสวยหรือถือไฉน |
เมื่อตะกี้นี้สัญญาว่ากระไร | ทำลืมไปเสียแล้วหรือแก้วตา ฯ |
๏ นางฟังคำร่ำตรัสสุดขัดข้อง | ยกชามทองมาตั้งทั้งซ้ายขวา |
พระแย้มสรวลชวนน้องสองสุดา | เสวยเครื่องพระกระยากับนารี |
นางหยิบลงตรงไหนพระหยิบมั่ง | นางหยุดยั้งยิ้มพรายชม้ายหนี |
พระซักถามนามกับข้าวแกล้งเซ้าซี้ | นางทูลชี้ถวายพลางต่างต่างกัน |
ไก่พะแนงแกงเผ็ดกับเป็ดหั่น | ห่อหมกมันจันลอนสุกรหัน |
ทั้งแกงส้มต้มขิงทุกสิ่งอัน | กุ้งทอดมันม้าอ้วนแกงบวนเนื้อ |
พระฟังนางช่างฉลองของเล็กน้อย | พลอยอร่อยรสชาติประหลาดเหลือ |
จนอิ่มหนำซ้ำเสวยของหวานเจือ | ค่อยชิดเชื้อชอบชื่นระรื่นใจ ฯ |
๏ ครั้นสำเร็จเสร็จเสวยเหมือนเคยรัก | ต่างแย้มพักตร์พจนาอัชฌาสัย |
แล้วพี่น้องสองสุดาทูลลาไป | พระหัสไชยสร้อยเศร้าเปล่าอุรา |
ขึ้นไสยาสน์อาสน์อ่อนบรรจถรณ์แท่น | ยิ่งสุดแสนเศร้าสร้อยละห้อยหา |
คิดถึงน้องสองสมรแต่ก่อนมา | เคยพูดจาชมเชยเช่นเคยรัก |
เมื่อยังเยาว์เฝ้ากวนเฝ้าชวนพลอด | ไม่พูดกอดจี้พี่จักดี้หนัก |
พระนึกหลงทรงพระสรวลเสียงคักคัก | คิดอายพักตร์สาวสรรค์กำนัลใน |
อนาถนอนกรเกยเขนยหนุน | ให้คร่ำครุ่นครวญคิดพิสมัย |
จะโลมเล้าเยาวมาลย์ประการใด | ยิ่งคิดให้มืดเม้นไม่เห็นทาง |
จะลดเลี้ยวเกี้ยวสร้อยสุวรรณพี่ | ก็กีดที่จันทร์สุดาเข้ามาขวาง |
จะเกี้ยวน้องลองสักทีกีดพี่นาง | ไม่เหมือนอย่างใจนึกยิ่งตรึกตรา |
ดูทำนองสององค์พระนงนุช | ยังซื่อสุจริตรักเราหนักหนา |
แต่คราวเคราะห์เพราะมาพ้องกันสองรา | ต้องเกี้ยวฝาแฝดคู่อยู่จริงจริง |
การอะไรให้ทำไม่ลำบาก | มันยอดยากอย่างเดียวเกี้ยวผู้หญิง |
กระบิดกระบวนรวนเรประเวประวิง | ยิ่งคิดยิ่งปั่นป่วนรัญจวนใจ ฯ |
๏ ฝ่ายพระนุชบุตรีทั้งพี่น้อง | แต่งเครื่องของตามเวลาอัชฌาสัย |
เป็นกังวลปรนนิบัติพระหัสไชย | นางมิให้พี่ยาอนาทร |
เครื่องสุคนธ์ปนปรุงจรุงรส | ดอกไม้สดสารพันใส่บรรจถรณ์ |
บุหรี่นางช่างพันเจือจันทน์ขจร | พระศรีเจียนเซี่ยนอ่อนซอยซ้อนซับ |
ถึงราตรีมีสุรางค์นางน้อยน้อย | ล้วนเรียบร้อยรู้พร้อมทั้งกล่อมขับ |
เป็นเวรเวียนเปลี่ยนยามสามสำรับ | คอยสำหรับปรนนิบัตินวดพัดวี ฯ |
๏ ฝ่ายพระสินสมุทรหน่อวรนาถ | เป็นอุปราชราชการผ่านกรุงศรี |
ทราบว่าหัสไชยมาถึงธานี | ชวนอรุณรัศมีศรีโสภา |
ไปถามข่าวเสาวคนธ์วิมลพักตร์ | ช่างซื่อสัตย์ตัดรักเสียหนักหนา |
นางขวยเขินเมินพักตร์ไม่พูดจา | พระพี่ยายิ้มแย้มกระแอมไอ |
แล้วชวนนางย่างเยื้องยุรยาตร | มาทรงราชยานทองอันผ่องใส |
นางทรงวอช่อฟ้าตามคลาไคล | กำนัลในนางห้ามตามลีลา |
ไปเฝ้าพระชนนีที่ปราสาท | อภิวาทนางกษัตริย์ตรัสเรียกหา |
พระบุตรีพี่น้องสองธิดา | มาพร้อมหน้าทั้งกษัตริย์หัสไชย |
ต่างคำนับรับหัตถ์ตรัสประภาษ | อุปราชเรียกนุชามาปราศรัย |
ถามถึงที่พี่นางเป็นอย่างไร | พระหัสไชยทูลแถลงแจ้งกิจจา |
เที่ยวสืบถามตามรอบทุกขอบเขต | ทั่วประเทศใหญ่น้อยร้อยภาษา |
ไม่ได้ข่าวคราวที่พระพี่ยา | ทั้งเชษฐาสูญความไปตามกัน ฯ |
๏ สินสมุทรคาดสังเกตว่าเหตุนี้ | เพราะเทวีเสาวคนธ์เวทมนตร์ขยัน |
ให้เฟือนความตามไปจึงไม่ทัน | คนอื่นนั้นนึกเห็นไม่เป็นการ |
สุดสาครหล่อนคงหากว่าจะปะ | หน่อยก็จะคืนเขตนิเวศน์สถาน |
พระน้องอย่าอาวรณ์ร้อนรำคาญ | อยู่ชมบ้านเมืองพี่ให้ปรีดา |
ทั้งด้าวแดนแม้นประสงค์จำนงไฉน | จะหาให้สมมาดปรารถนา |
ฝ่ายอรุณรัศมีว่าพี่ยา | แม้รู้ว่านงเยาว์เสาวคนธ์ |
จะคิดหนีพี่จะได้ไปด้วยน้อง | มิให้ต้องอายหญิงชาวสิงหล |
จะสร้างพรตอตส่าห์บวชเรียนสวดมนต์ | ก็จะพ้นอับอายสบายใจ |
สินสมุทรว่านี่แน่แม่อรุณ | อยากได้บุญง่ายดอกจะบอกให้ |
ถือศีลห้าอย่าหึงโกรธขึ้งใคร | ก็จะได้โสดาไม่ช้าที |
พระหน่อนาถมาตุรงค์ทรงพระสรวล | นางค้อนข่วนเชษฐาเบือนหน้าหนี |
ต่างพูดเล่นเจรจาจนราตรี | ลาไปที่ปรางค์รัตน์ชัชวาล ฯ |
๏ จะกลับกล่าวท้าวสุทัศน์ขัตติเยศ | มงกุฎเกศรัตนามหาสถาน |
ครองประเทศเขตแคว้นแสนสำราญ | พระชนมานร้อยยี่สิบปีปลาย |
ให้ลืมหลงสรงเสวยพานเลยละ | ลมปะทะพระหทัยมิใคร่หาย |
คนแก่เฒ่าสาวใหญ่มิให้กราย | คิดระคายเคืองขัดพระหัทยา |
ชอบพระทัยใช้สอยแต่สาวสาว | ที่รุ่นราวรู้หลักโปรดหนักหนา |
ลืมบรรทมลมจับวับวิญญาณ์ | พอเวลาไก่ขันสวรรคต |
ฝ่ายองค์พระมเหสีสามีม้วย | ระทดระทวยทอดองค์ทรงกำสรด |
สิ้นกำลังทั้งชราพิลาลด | พระชนม์ปลดเปลื้องสวรรคครรไล |
พระวงศาข้าเฝ้าเหล่าสนม | ทุกหมู่กรมแซ่ซ้องเสียงร้องไห้ |
สะอึกสะอื้นครื้นเครงวังเวงใจ | ทั้งข้างในข้างหน้าปรึกษากัน |
เชิญศพสองท้าวไทใส่โกศรัตน์ | ตามกษัตริย์ทรงเดชเจ้าเขตขัณฑ์ |
ไว้ปรางค์มาศราชวัติฉัตรสุวรรณ | เป็นช่องชั้นซ้อนสลับประดับประดา |
ประโคมยามตามอย่างนางร้องไห้ | พวกชีไพรพราหมณ์บวชสวดคาถา |
แล้วเสนาธิบดีผู้ปรีชา | แต่งสาราเรื่องราวสองท้าวไท |
ไปทูลองค์ทรงยศโอรสราช | จัดอำมาตย์มีปัญญาอัชฌาสัย |
ให้ถือสารคุมสำเภาเหล่าพลไกร | รีบใช้ใบตามคลื่นทุกคืนวัน ฯ |
๏ สามเดือนครึ่งถึงบุรีรมจักร | ขึ้นหาอัครเสนาพาผายผัน |
เข้าสู้ห้องท้องพระโรงทูลทรงธรรม์ | อภิวันท์อ่านตามเนื้อความมี |
ใบบอกว่าข้าพเจ้าเหล่าอำมาตย์ | บังคมบาทบงกชบทศรี |
ด้วยองค์พระชนกชนนี | จอมโมลีโลกาสถาวร |
เดือนแปดปีวอกตะวันสายัณห์ย่ำ | สิบเอ็ดค่ำพุธวันขึ้นบรรจถรณ์ |
ฤกษ์อรุณทูลกระหม่อมจอมนคร | สองภูธรเธอสวรรคครรไล |
จึงจัดแจงแต่งพระศพครบเยี่ยงอย่าง | ไว้บนปรางค์ปราสาททองอันผ่องใส |
ต้องขึ้นป้อมล้อมวงระวังภัย | จงทราบใต้บงกชบทมาลย์ ฯ |
๏ กษัตริย์ศรีสุวรรณวงศ์ทรงสดับ | หทัยวับหวั่นวิโยคโศกสงสาร |
สงสัยหนักซักว่าพระอาการ | ไม่ประทานบอกมาบ้างเป็นอย่างไร |
อ้ายพวกแพทย์พิทยาโหราศาสตร์ | มันไม่คาดชันษาอยู่หาไหน |
หนึ่งแสนสาวท้าวนางพวกข้างใน | ทำไมไม่รู้ที่จะนิพพาน ฯ |
๏ อำมาตย์ฟังบังคมบรมนาถ | เชิงฉลาดผ่อนผันตามบรรหาร |
พระทรงธรรมค่ำคืนรื่นสำราญ | อันอาการโรคภัยมิได้มี |
หมอประจำค่ำเช้าทั้งเถ้าแก่ | คอยดูแลพร้อมเหล่านางสาวศรี |
พระโหรพราหมณ์รามราชก็คาดปี | ถึงร้อยยี่สิบถ้วนควรบรรลัย |
เมื่อวันพระจะนิพพานสำราญรื่น | จนเที่ยงคืนฟังศัพท์เหมือนหลับใหล |
เงียบสงัดตัดบ่วงไม่ห่วงใย | ทั้งเวียงชัยชมบุญมุลิกา ฯ |
๏ พระฟังคำร่ำทูลพูนเทวษ | ชลเนตรพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา |
ให้เลี้ยงดูผู้ถือหนังสือมา | เงินเสื้อผ้าแจกให้ทั้งไพร่นาย |
แล้วสั่งให้ไปทูลมูลเหตุ | เชิญพระเชษฐานั้นรีบผันผาย |
ว่าพวกเราเหล่าพหลพลนิกาย | จะถวายบังคมลาล่วงหน้าไป |
แล้วตรัสสั่งเสนีสี่ตำรวจ | ให้เตรียมตรวจพลนิกายทั้งนายไพร่ |
ลงประจำกำปั่นจะครรไล | แล้วเข้าในมนเทียรวิเชียรพราย |
ทูลสนองสองกษัตริย์ให้ทราบเหตุ | ทั้งอัคเรศร่วมชีวันจะผันผาย |
พวกแสนสาวชาวครัวเจ้าขรัวนาย | ต่างวุ่นวายวิ่งไขว่กันไปมา ฯ |
๏ ฝ่ายเสนีที่ถือหนังสือบอก | พอพลบออกเรือข้ามตามทิศา |
ฝ่ายเสนีสี่ตำรวจต่างตรวจตรา | พร้อมล้าต้าต้นหนพวกคนงาน |
ลงประจำกำปั่นสุวรรณมาศ | ทั้งอำมาตย์มูลนายฝ่ายทหาร |
พอราตรีตีสิบเอ็ดสำเร็จการ | คอยผู้ผ่านพาราริมวารี ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงเดชเกศกษัตริย์ | ครั้นอุทัยไตรตรัดจำรัสศรี |
ชวนนงลักษณ์อัคเรศร่วมชีวี | พร้อมเสนีนักสนมกรมใน |
ลงกำปั่นบรรดาโยธาหาญ | ประโคมขานโห่ลั่นสนั่นไหว |
ออกอ่าวลึกครึกครื้นเสียงปืนไฟ | ต้นหนให้หันหน้าเภตราจร |
ออกแล่นข้ามตามเส้นไม่เห็นฝั่ง | เรือหน้าหลังดั้งกันเป็นหลั่นสลอน |
ทางสามเดือนเคลื่อนคลาพลากร | ไม่แรมร้อนรีบมาในสาชล |
ถึงจังหวัดรัตนามหาสถาน | พระวงศ์วานมาคอยรับวิ่งสับสน |
พระชวนมิ่งมเหสีนีรมล | ขึ้นไพชยนต์แก้วกุดั่นพรรณราย |
เห็นโกศทองสองพระศพอภิวาท | นึกอนาถอเนจในพระทัยหาย |
สะอึกสะอื้นฝืนทรงดำรงกาย | พระเนตรฟายชลนาร่ำจาบัลย์ ฯ |
๏ โอ้สิ้นบุญทูลกระหม่อมจอมกษัตริย์ | เหมือนใครตัดเกศาลูกอาสัญ |
จะคลาดเคลื่อนเดือนปีทุกวี่วัน | จนล่วงลับกัปกัลป์พุทธันดร |
พระกล่อมเลี้ยงเลี้ยงลูกจะปลูกฝัง | ถึงผิดพลั้งสารพัดได้ตรัสสอน |
เวรวิบัติพลัดพรากจากนคร | ให้จำจรจำพรากจำจากไป |
หมายว่าพระจะสำราญผ่านสมบัติ | แม้ข้องขัดคงจะแจ้งแถลงไข |
ครั้งนี้พระสวรรคครรไล | ไม่เห็นใจเจ้าประคุณกรุณา |
พระครวญคร่ำรำพันพูนเทวษ | ชลเนตรพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา |
ทั้งนงลักษณ์อัคเรศเกษรา | พลอยโศกากำสรดระทดใจ |
ครั้นบรรเทาเศร้าหมองสองกษัตริย์ | อยู่ปรางค์รัตน์รจนาที่อาศัย |
ถึงเวลาว่าขานการกรุงไกร | เสนาในน้อมประณตบทมาลย์ |
จึงตรัสสั่งทั้งสี่เสนีเอก | ให้เกณฑ์เลกมหาดไทยฝ่ายทหาร |
ทำพระเมรุเกณฑ์ทุกกรมระดมการ | ปลูกโรงงานเต้นรำไว้สำรอง |
คอยท่าองค์ทรงเดชพระเชษฐา | เสด็จมาทำการงานฉลอง |
พุ่มระทาราเชนทร์พระเมรุทอง | ทำให้ต้องตามธรรมเนียมตระเตรียมการ ฯ |
๏ อำมาตย์รับอภิวาทไปบาดหมาย | สั่งไพร่นายเกณฑ์กันตามบรรหาร |
บ้างกล่อมเสาสำส้างยกร่างร้าน | เสียงสิ่วขวานถากฟันสนั่นไป ฯ |
๏ ฝ่ายทูตถือหนังสือถึงเมืองผลึก | ขึ้นอยู่ตึกตามตำแหน่งแถลงไข |
พวกเสนาพาเข้าเฝ้าภูวไนย | พระสั่งให้อ่านตามเนื้อความมี |
ใบบอกว่าข้าพเจ้าเหล่าอำมาตย์ | บังคมบาทบงกชบทศรี |
ด้วยองค์พระชนกชนนี | จอมโมลีโลกาสถาวร |
เดือนแปดปีวอกตะวันสายัณห์ย่ำ | สิบเอ็ดค่ำพุธวันขึ้นบรรจถรณ์ |
ฤกษ์อรุณทูลกระหม่อมจอมนิกร | สองภูธรท้าวสวรรคครรไล |
จึงจัดแจงแต่งพระศพครบเยี่ยงอย่าง | ไว้บนปรางค์ปราสาททองอันผ่องใส |
ต้องขึ้นป้อมล้อมวงระวังภัย | จงทราบใต้บาทบงสุ์พระทรงยศ ฯ |
๏ พระทรงฟังดังหนึ่งใจจะขาด | นึกอนาถพิงพนักพระพักตร์สลด |
ตะลึงองค์งงงวยระทวยระทด | โศกกำสรดอุส่าห์ขืนฝืนพระทัย |
ถามเสนาว่าบุรีรมจักร | พระน้องรักรู้หนังสือแล้วหรือไฉน |
อำมาตย์ว่าข้าพเจ้าแวะเข้าไป | กราบทูลให้ทราบความตามนิพพาน |
พระรีบรัดตรัสว่าเวลารุ่ง | จะไปกรุงรัตนามหาสถาน |
เร่งให้ข้ามาประณตบทมาลย์ | เชิญพระผ่านนัคเรศไปเขตคัน ฯ |
๏ พระทรงฟังสั่งสินสมุทรว่า | เร่งตรวจตราเตรียมพหลพลขันธ์ |
เจ้าไปด้วยช่วยบรรจบสมทบกัน | เกณฑ์กำปั่นยี่สิบจะรีบไป |
พระสั่งเสร็จเสด็จขึ้นปรางค์ปราสาท | ภูวนาถเศร้าหมองไม่ผ่องใส |
บอกนงลักษณ์อัคเรศร่วมฤทัย | เหมือนหนึ่งได้ข่าวมาแต่ธานี |
ศรีสุวรรณนั้นหล่อนไปก่อนแล้ว | กับทั้งแก้วเกษรามารศรี |
พี่จะไปในเมื่อรุ่งขึ้นพรุ่งนี้ | เจ้าจงอยู่บูรีแทนพี่ยา ฯ |
๏ นางฟังเล่าเศร้าสร้อยพลอยสังเวช | น้ำพระเนตรพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา |
ชลีกรวอนกษัตริย์ภัสดา | จงโปรดพาน้องไปด้วยได้ช่วยการ |
แม้ให้อยู่ดูเหมือนเฉยแกล้งเลยละ | ข้างฝ่ายพระอนุชาจะว่าขาน |
ขอให้ได้ไปประณตบทมาลย์ | ส่งสการภูวเรศเหมือนเกษรา ฯ |
๏ พระเล้าโลมโฉมเฉลาว่าเจ้าพี่ | พระชนนีชรานักอยู่รักษา |
ทั้งลูกน้อยสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา | เหมือนมณฑามาลีซึ่งมีรส |
ภุมรินบินเคล้าแม้เจ้าของ | ไม่ปกป้องดอกดวงจะร่วงหมด |
อันน้ำตาลหวานวางไว้ข้างมด | มดจะอดได้หรือน้องตรึกตรองดู |
แต่เท้ามีสี่เท้ายังก้าวพลาด | จะเสียชาติเสียยศได้อดสู |
คำโบราณท่านว่าไว้เป็นครู | เจ้าจงอยู่สอนสั่งระวังระไว ฯ |
๏ นางนบนอบตอบรสพจนารถ | โปรดประภาษควรความตามวิสัย |
แต่ซึ่งข้อหน่อกษัตริย์หัสไชย | ได้ยกให้ไว้แต่ครั้งรบลังกา |
หล่อนจงรักภักดีนั้นที่สุด | เหมือนหนึ่งบุตรสุดสวาทอาจอาสา |
ถ้าหาไม่ไหนน้องสองธิดา | จะรอดมาเหมือนกระนี้ไม่มีเลย |
อนึ่งเล่าเจ้าพาราการะเวก | หวังภิเษกหน่อไทเป็นไขเขย |
จึงไม่ห้ามตามบุญด้วยคุ้นเคย | แกล้งทำเฉยอยู่เหมือนดังแต่หลังมา |
ดูท่วงทีกิริยามารยาท | ก็ไม่อาจออกตัวกลัวหนักหนา |
หนึ่งลูกน้อยสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา | ที่จะผ่าเหล่าไปก็ไม่เป็น |
จะดูวัวชั่วดีก็ที่หาง | จะดูนางดูแม่เหมือนแลเห็น |
แม้ลูกยางห่างต้นหล่นกระเด็น | ก็จะเป็นเช่นเหล่าตามเผ่าพันธุ์ ฯ |
๏ พระกลั้นยิ้มพริ้มพักตร์เห็นรักเหลือ | ช่างชิดเชื้อชมเชยลูกเขยขวัญ |
จึงว่าพี่นี้ก็รักหล่อนหนักครัน | จะหวงกันลูกไว้ทำไมมี |
แต่จะใคร่ให้งามตามกษัตริย์ | มอบสมบัติอติเรกภิเษกศรี |
เดี๋ยวนี้เล่าเขามาอยู่ในบูรี | เจ้ากับพี่ครั้นจะพาธิดาไป |
เหมือนแกล้งพรากจากกันจะรันทด | โศกกำสรดเศร้าหมองไม่ผ่องใส |
จะให้อยู่ดูเหมือนเช่นเราเป็นใจ | จะแกล้งให้ลูกยาเป็นราคี |
เจ้าอยู่ด้วยช่วยบำรุงกรุงผลึก | ทั้งข้าศึกเกรงสง่ามารศรี |
จัดแต่เหล่าสาวสรรค์พวกขันที | ไปกับพี่แต่พอให้ช่วงใช้การ ฯ |
๏ นางเห็นจริงนิ่งฟังรับสั่งตรัส | สุดจะขัดคำนับรับบรรหาร |
มาเลือกเหล่าสาวสรรค์พนักงาน | จัดเครื่องอานตรวจตราจนราตรี ฯ |
๏ ฝ่ายพระสินสมุทรมาพลับพลาน้ำ | ให้แต่งกำปั่นใหญ่ใส่ใบสี |
ปืนประจำลำละร้อยลอยวารี | ได้ถ้วนยี่สิบลำพอย่ำฆ้อง |
เหล่าล้าต้าต้นหนพลรบ | ต่างจุดคบสับสนวิ่งขนของ |
หน่อนรินทร์สินสมุทรกับนุชน้อง | ลงเรือทองพระที่นั่งบัลลังก์ทรง |
ครั้นรุ่งสายฝ่ายพระภูวนาถ | ยุรยาตรลงกำปั่นสุวรรณหงส์ |
ทหารโห่โล้ลำตามน้ำลง | พอลมส่งออกมหาชลาลึก |
ต้นหนนั่งตั้งเข็มข้างทิศเหนือ | ออกแล่นเรือรัวกลองเสียงก้องกึก |
ลำดั้งกันลั่นปืนครื้นเครงครึก | อึกทึกไปตามทางกลางคงคา |
จะแลเหลียวเปลี่ยวเปล่าทุกเช้าค่ำ | เห็นแต่น้ำในทะเลกับเวหา |
ทางเสด็จเจ็ดเดือนไม่เคลื่อนคลา | ถึงจังหวัดรัตนาขึ้นธานี |
พระอนุชาพาพระวงศ์ลงมารับ | ไปประทับปรางค์มาศปราสาทศรี |
เห็นศพพระชนกชนนี | อัญชลีแล้วสะอื้นกลืนน้ำตา ฯ |
๏ หน่อนรินทร์สินสมุทรทั้งนุชน้อง | ก้มกราบสองพระศพซบเกศา |
ทั้งสี่องค์พงศ์กษัตริย์ขัตติยา | ชลนานองตกซกกระเซ็น ฯ |
๏ พระอภัยว่าพระคุณทูลกระหม่อม | นิพพานพร้อมเสียมิให้ลูกได้เห็น |
เคยกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูให้อยู่เย็น | โอ้จำเป็นเพราะวิบากให้จากไป |
สินสมุทรร่ำว่าเคยมาเฝ้า | พระโปรดเกล้านัดดาตรัสปราศรัย |
ครั้งนี้พระสวรรคครรไล | ให้เปล่าใจนัดดาเหลืออาวรณ์ |
อรุณพร่ำร่ำว่านิจจาเอ๋ย | เคยชมเชยหลานขวัญรำพันสอน |
แต่นี้นับกัปกัลป์พุทธันดร | พระภูธรมิได้ตรัสกับนัดดา |
ทั้งองค์พระอภัยฤทัยระทด | โศกกำสรดทั้งพระวงศ์เผ่าพงศา |
ต่างจุดเทียนข้าวตอกดอกมาลา | ขอสมาบิตุราชมาตุรงค์ |
แล้วทำบุญมุนีฤๅษีสิทธิ์ | อวยอุทิศผลผลาอานิสงส์ |
ทั้งเสนาพฤฒามาตย์พระญาติวงศ์ | ทำบุญส่งสองกษัตริย์เปลี่ยนผลัดกัน |
แล้วเร่งรัดจัดเกณฑ์ทำเมรุใหญ่ | สมทบไพร่พวกพหลพลขันธ์ |
อึกทึกครึกครื้นทุกคืนวัน | แต่การนั้นยังไม่เสร็จสำเร็จการ ฯ |