วันที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร

บ้านซินนามอน ฮอลล์ ปีนัง

วันที่ ๑๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๗๗

ทูล สมเด็จกรมพระนริศรฯ

จดหมายคราวนี้มีเรื่องทูลบันเล็ง เปนเรื่องที่หม่อมฉันได้ทูลสัญญาไว้แต่ก่อน คือเรื่องตั้งสังฆราชโรมันคาโธลิค หม่อมฉันได้ไปดูเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายนเรื่อง ๑ กับเรื่องเทวสถานต่าง ๆ หม่อมฉันได้ไปดูเมื่อวันที่ ๑๖ อีกเรื่อง ๑ พิธีตั้งสังฆราชพิลึกกึกกือจริงดังเคยได้ยินเขาว่า และครั้งนี้ประจวบเหมาะด้วยเขาแปลตำราตั้งสังฆราชเปนภาษาอังกฤษพิมพ์แจกในงานนั้น เปนเหตุให้รู้อธิบายถ้วนถี่ดีขึ้นด้วย ถึงจะเขียนเปนบันทึกเล่าถวาย หม่อมฉันกำลังแต่งอยู่จะส่งถวายพร้อมกับจดหมายฉะบับนี้ไม่ทัน จึงขอทูลรายงานแต่เรื่องไปดูเทวสถานก่อน

หม่อมฉันได้คิดใคร่จะไปดูเทวสถานต่าง ๆ ที่ในปีนังนี้มาตั้งแต่ได้เห็นพวกพราหมณ์ทำพิธี Thai Pusam เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ดังได้ทูลไปแล้ว แต่ยังหาผู้พาไม่ได้ต้องรอมาจนเมื่อเดือนเมษายนนี้ หม่อมฉันไปรู้จักกับกัปตันดิกกินสัน ผู้บังคับการโปลิศเมืองปีนัง เขาเปนคนมีอัชฌาศัยปวารณาถามหม่อมฉันว่าจะให้เขาทำอันใดให้บ้าง หม่อมฉันได้โอกาสจึงบอกว่าอยากไปดูเทวสถานต่าง ๆ ของพวกพราหมณ์ในเมืองปีนังนี้ แต่ยังหาตัวผู้พาไม่ได้ ถ้าเขาช่วยหาคนฮินดูที่รู้ภาษาอังกฤษเปนผู้พาหม่อมฉัน และช่วยขออนุญาตที่จะเข้าไปดูให้ได้จะขอบใจมาก เขารับจะเปนธุระให้สมประสงค์ ต่อมาเขาได้หาฮินดูคน ๑ ดูเหมือนจะเปนพราหมณ์ชื่อ ยะคัมพรัม ปิลเล มาให้เปนผู้นำทาง และได้จัดการบอกกล่าวกับผู้ปกครองเทวสถานที่จะไปดู กำหนดวันให้ไปวันจันทรที่ ๑๖ เมษายน เพราะเปนวันนักขัตฤกษ์อย่างหนึ่งของเขา ตอนเช้าไปดูเทวสถานบนไหล่เขาอันเปนที่คนแก้บนในพิธี Thai Pusam ตอนค่ำไปดูเทวสถานในเมืองอีก ๒ สถาน เขาว่ามีสถานใหญ่ที่น่าดูเพียงเท่านี้ เปน ๔ แห่งทั้งสถานถนนน้ำตกที่หม่อมฉันได้ไปดูแล้วเมื่อทำพิธี Thai Pusam นอกจากนั้นเปนแต่สถานเล็กน้อยไม่มีอะไรน่าดู หม่อมฉันได้ถามเขาถึงเรื่องชื่อเทวสถาน ได้ความว่าเรียกชื่อกันเปนภาษาทมิฬ เปนชื่อสถานอยู่ข้างหน้ากับชื่อผู้สร้างอยู่ข้างหลัง ไม่เปนประโยชน์ที่จะจดมา

สถานที่ไหล่เขานั้นเปนสถานอุททิศต่อพระขันธกุมาร ที่เชิงบรรไดขึ้นเขามีสถานน้อย ในนั้นมีตรีศูลทำด้วยสัมฤทธิ์ปักไว้เปนประธาน เขาบอกอธิบายว่าเปนเครื่องศัสตราของพระขันธกุมาร สำหรับกีดกันยักษมารไม่ให้มาย่ำยี ขึ้นบรรไดไปเกือบ ๒๐๐ คั่นจึงถึงสถานพระขันธกุมาร ก่อเปนวิหารหลังคาโรงมีประตูเข้าทางด้านสกัดข้างหน้า ในวิหารตั้งรูปพระขันธกุมารสูงสักศอกหนึ่งเปนประธาน รูปนั้นห่มผ้าโหมดตาด คลุมเสียหมด เห็นแต่หน้าดูก็ไม่งดงามฉันใด ข้างหน้าวิหารมีที่ประชุมสัปรุษทำนองเดียวกับโบสถ์วัดพิชัยญาติฯ สองข้างบรรไดเข้าวิหารมีซุ้มตั้งเทวรูปพระคเณศรซุ้ม ๑ พระรามซุ้ม ๑ และมีที่ตั้งเทวรูปอยู่ข้าง ๆ อีกซุ้ม ๑ เปนรูปเด็ก หม่อมฉันสำคัญว่าพระกฤษณ แต่ผู้พาเขาว่าไม่ใช่เขาว่าเปนรูปพระขันธกุมารแบ่งภาค

การที่หม่อมฉันไปนั้น เขาได้ไปบอกกล่าวกันเตรียมรับรองและทำขวัญให้ด้วย พอขึ้นบรรไดไปใกล้จะถึงก็มีคนเป่าปี่ ๒ ตีกลองแขก ๑ มารับแล้วประโคมนำขึ้นไปยังสถาน ที่สถานนั้นมีพวกฮินดูอยู่สัก ๑๐ คน เปนพนักงานทำพิธี ๒ คน คนหนึ่งดูเหมือนจะเปนบิดาอายุกว่า ๗๐ อีกคนหนึ่งเปนบุตรอายุราว ๓๐ เศษ หม่อมฉันไปกับหญิงพิลัยหญิงเหลือแต่หญิงพูนถ่ายยาไม่ได้ไป เมื่อไปถึงประตูหน้าวิหาร หม่อมฉันกับหญิงพิลัย กระทำเคารพต่อเทวรูปด้วยก้มศีร์ษะคำนับ แต่หญิงเหลือนั้นคม บอกว่าเพราะได้ครอบจากครูละคอน เคยคมพระขันธกุมารมาแล้ว เมื่อแสดงความเคารพแล้วพนักงานเขาก็เริ่มทำพิธีทำขวัญ คนลูกเปนคนทำพิธีบูชามากระซิบถามผู้นำว่าเรียกชื่อหม่อมฉันอย่างไร บอกให้แล้วก็เริ่มร่ายมนต์ที่หน้าพระคเณศร์ก่อน เวลาที่ร่ายมนต์นั้นมือถือกระชุใส่ใบมะตูมควัก ใบมะตูมประพรมด้วย ร่ายมนต์จบตาพ่อก็เอาตะเกียงมีกิ่งสัก ๙ กิ่ง แต่ละกิ่งมีจานสำหรับจุดไฟบรรจุการบูนจะประสมกับอะไรอีกหาทราบไม่สีขาว ๆ ตาพ่อเอาเข้าไปจุดไฟที่ในวิหารแล้วมาส่งให้ลูก ลูกยกตะเกียงขึ้นชูบูชาที่หน้าพระ ในเวลาที่ชูตะเกียงนี้เปนเวลาสำคัญที่สุดในการพิธี บรรดาผู้อยู่ในที่นั้นต้องไหว้นบเทพเจ้าทุกตัวคน ชาวประโคมก็ประโคมนี่นันท์ สังเกตดูกิริยาที่พวกฮินดูไหว้นบเทพเจ้าดูมีหลายอย่าง อย่างต่ำยืนประณมมือ อย่างต่อขึ้นมาเอาสองแขนไขว้กันอย่างพระรำพึง มือจับหัวไหล่แล้วย่อเข่าลง ๓ หน อีกอย่างหนึ่งโค้งตัวลงจนปลายนิ้วทั้ง ๒ ข้างถึงพื้น อีกอย่างหนึ่งกราบอย่างเบญจางคประดิษฐ์ และอย่างที่สุดลงนอนคว่ำเหยียดยาวทำอัษฎางคประดิษฐ์ เมื่อบูชาไฟแล้วเปนเสร็จ ย้ายไปร่ายมนต์ทำพิธีเช่นเดียวกันที่หน้าเทวรูปพระขันธกุมารอีกครั้ง ๑ แล้วทำที่หน้าเทวรูปพระรามอีกครั้ง ๑ เปนอันครบ ๓ ครั้ง หมายความว่ากระทำบูชาแทนพวกหม่อมฉัน ต่อนี้พวกพนักงานนำของขวัญมาให้ อธิบายว่าเปนของพระเปนเจ้าประทานตอบแทน ของขวัญนั้นคือ สิ่งที่ ๑ จะเปนเข้าตูหรืออะไรไม่ทราบแน่สีเหลืองๆ ผู้พาบอกว่าทำด้วยเข้ากับสิ่งอื่นประสมกัน จับดูหยาบๆ คล้ายกับทราย พวกฮินดูรับไปกินหน่อยหนึ่ง โรยบนศีร์ษะหน่อยหนึ่ง แต่พวกหม่อมฉันเปนแต่รับโรยบนศีร์ษะเล็กน้อยพอเปนกิริยาบุญ สิ่งที่ ๒ กระแจะจันทน์ ทำเปนผงที่พวกฮินดูชอบทาหน้าผากและชะโลมตัว พวกหม่อมฉันรับแล้วเจิมที่หน้า สิ่งที่ ๓ ชาดหรคุณสำหรับเอานิ้วจิ้มมาเจิมที่หว่างคิ้ว พวกหม่อมฉันก็รับจิ้ม สิ่งที่ ๔ ปัญจโคเวีย เขาบอกว่าเปนนมโค แต่พวกหม่อมฉันขอเว้น สิ่งที่ ๕ คือมะพร้าวผ่าซีก ในนั้นมีกล้วยและใบพลู เมื่อให้ของขวัญแล้วเอาพวงมาลัยดอกมลิ ร้อยสลับกับทองอังกฤษสีต่าง ๆ มาสวมคอให้หม่อมฉัน เปนเสร็จการพิธีแล้วลากลับมา

ตอนค่ำจวน ๒๐ นาฬิกา ผู้นำมาพาไปดูเทวสถานอีก ๒ แห่ง แห่งที่ ๑ เปนสถานใหญ่และดูเหมือนจะเก่าก่อนสถานอื่น ๆ ทำถูกแบบตั้งเทวรูปนางทุรคะเปนประธานในปรางค์ใหญ่ มีซุ้มสองข้างตั้งรูปพระอิศวรปางนัฏราช กับรูปพระอุมาข้าง ๑ ตั้งรูปอาจารย์ ๔ คนเห็นจะเปนผู้ที่เคยเปนสมภารวัดนั้นมาแต่ก่อนข้าง ๑ ต่อออกไปมีซุ้มปรางค์ ตั้งรูปพระคเณศร์ข้าง ๑ รูปพระขันธกุมารข้าง ๑ ชักหลังคาเชื่อมถึงกันหมดในสถานจุดโคมไฟฟ้าและตะเกียงใส่โคมหวดแขวนสว่างไสว เมื่อพวกหม่อมฉันอันมีหญิงพูนเพิ่มขึ้นอีกคน ๑ ไปถึงมีชาวประโคมคอยรับ พอเข้าไปในประตูมีพวกปริพาชกที่เปนอาจารย์ประจำสถานมาคอยรับหลายคน พวกนี้โกนศีร์ษะ โกนหนวด นุ่งและคาดผ้าขาวไม่ใส่เสื้อ (พวกปริพาชกครั้งพุทธกาล จะเปนเช่นพวกนี้นั้นเอง) พอเข้าประตูเดินไปถึงชั้นลานปรางค์ ตาปริพาชกให้ถามหม่อมฉันว่าจะถอดรองเท้าได้หรือไม่ หม่อมฉันได้ตอบว่าถอดไม่ได้ ถ้าจะให้ถอดรองเท้าก็จะอยู่แต่เพียงนี้ ตาปริพาชกคนนั้นใจดีจับแขนหม่อมฉันจูงเข้าไปในลานปรางค์ทั้งใส่รองเท้า ก็เปนอันเรียบร้อย มีพิธีทำขวัญอีกเพียงให้ของขวัญ หาถึงร่ายมนต์บูชาอย่างตอนเช้าไม่

สถานที่ ๒ ที่ไปดูย่อมกว่าสถานที่ ๑ แต่เปนสถานสร้างใหม่ พึ่งฉลองเมื่อปีกลายนี้ ตาคนนำแกเปนเจ้าของสถานจึงได้ขอให้ไปดู เปนสถานสร้างอุททิศต่อพระขันธกุมาร มีปรางค์แต่ไม่มีอะไรแปลกปลาดจากที่ได้พรรณนามาแล้ว ถึงตอนนี้ผู้นำทางชวนให้ไปดูเทวรูปองค์ที่แห่เมื่อทำพิธี Thai Pusam อันรักษาไว้ที่บ้านแห่ง ๑ ว่าแต่งเครื่องเพ็ชรนิลจินดามีค่ามาก หม่อมฉันจะไม่ไปด้วยว่าเคยเห็นเทวรูปองค์นั้นแล้วเมื่อเชิญแห่ไปไว้ที่สถานถนนน้ำตก แกบอกว่าขอให้ไปสักหน่อย ด้วยเขาเตรียมรับรองร้อยพวงมาลัยไว้ให้ก็ต้องจำไป แต่การที่ไปตาผู้พาขึ้นรถยนต์นำไปหยุดอยู่ที่ชายทะเล หม่อมฉันถามว่าทำไมมาหยุดเสียที่นี่ แกบอกว่าพวกชาวประโคมมันมีชุดเดียว จะต้องเดินจากสถานที่รับหม่อมฉันไปแล้วไปประโคมณะที่จะไปอีก รออยู่สัก ๑๕ นาทีจึงได้แล่นรถต่อไปถึงตึกแถว ๒ ห้องที่ไว้เทวรูปนั้น เข้าไปถึงห้องชั้นล่างไปเกิดความ ด้วยพวกรักษาเทวรูปเกี่ยงจะให้ถอดรองเท้าเมื่อขึ้นไปห้องไว้เทวรูป หม่อมฉันไม่ยอมยืนกรานกันทั้ง ๒ ข้าง ลงปลายพวกรักษาเทวรูปลงมาสวมพวงมาลัยให้ที่ห้องชั้นล่าง แล้วหม่อมฉันก็กลับมา เปนอันสิ้นเรื่องที่ไปดูเทวสถานต่าง ๆ ได้ความว่าพวกฮินดูที่มาอยู่ปีนังมาแต่อินเดียข้างใต้ ถือสาสนาฮินดูลัทธิศิเวทนับถือพระอิศวรแทบทั้งนั้น หม่อมฉันยังไม่ได้พบวัดวิษณุเวทที่แห่งใด นอกจากรูปพระรามที่มีณเทวสถานที่เชิงเขา

หม่อมฉันฟังเกตดูพวกชาวอินเดียใต้ที่มาอยู่ในปีนังนี้ ถ้าว่าโดยรูปพรรณผิดกันเปน ๒ จำพวก ผิวดำจัดพวก ๑ ผิวคล้ามไม่ดำนักพวก ๑ ถ้าว่าโดยชื่อที่เรียกกันก็เปน ๒ พวกคือ ทมิฬพวก ๑ กลิงพวก ๑ แต่ถ้าว่าโดยภาษาดูใช้ภาษาทมิฬเปนพื้น สืบหาหลักฐานที่จะชี้ขาดว่าชนชาติทมิฬกับชนชาติกลิงผิดกันอย่างไรยังไม่ได้ ออกคิดถึงตาพราหมณ์ที่หอพระสมุดฯ ถ้าท่านพบตัวขอให้ตรัสถามอธิบายแกดูสักที ข้อสำคัญนั้นพวกทมิฬเปนมนุษย์พวกดราวีเดียนมิใช่อารยัน จะเปนพราหมณ์ได้อย่างไร ในเวลาไปดูเทวสถานหม่อมฉันนึกขึ้นถึงชื่อตาพราหมณ์ที่หอพระสมุดฯ ว่า สุประนันยา ศาสตรี ลองถามผู้ที่พาหม่อมฉันไปว่าแปลความอย่างไร เขาบอกอธิบายว่าไม่ใช่ชื่อตัวคนเปนชื่อเกียรติคุณ ศาสตรี-หมายความว่าเปนผู้ทรงศาสตราคม สุประนันยา-ก็หมายสกุล ขอให้ทรงลองถามพราหมณ์ดูถึงเรื่องประเพณีที่เขาให้ชื่อกันทางอินเดียข้างใต้ด้วย ได้ความอย่างไรโปรดให้หม่อมฉันทราบได้ จะขอบพระเดชพระคุณเปนอันมาก

หม่อมฉันหวังใจว่าจะทรงเปนสุขสบายดีอยู่.

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ