กฎมณเฑียรบาลพะม่า

คัดความจากหนังสือคาเสตเตียพะม่าเหนือ Gazetteer of Upper Burma ซึ่ง เซอร์ ยอร์ช สกอตต์ J. George Scott แต่งเป็นภาษาอังกฤษ และบอกไว้ในหนังสือนั้นว่าเปนตำราอยู่ในคัมภีร์ โลกพยุหะหมวดอินยอน (Inyôn) อันรวมไว้ในหนังสือ Yazawindaw (มหาราชวงศ) กรุงมัณฑเล.

ว่าด้วยราชาภิเศก

ตอนเตรียมการ

๑. มีท้องตราให้หาเจ้าประเทศราชไทยใหญ่ กับทั้งเจ้าเมืองทั้งปวง เข้าไปในงานหมด

๒. ให้เปลี่ยนหนังหุ้มกลอง (อินทเภรี) ทุกใบ เปลี่ยนผ้าขาวหุ้มเศวตฉัตร์ เปลี่ยนเครื่องทรงและซ่อมเครื่องต้นมีพระมหามงกุฎเปนต้น

๓. ให้ซ่อมแซมป้อมปราการพระนครที่ชำรุด

๔. ให้ทำราชวัตผูกต้นกล้วยต้นอ้อย และปักธงรายตามถนนในพระนครวันราชาภิเศก

๕. ให้สร้างโรงพิธีราชาภิเศก (ในบริเวณพระราชวัง) แห่ง ๑ มีที่สรงเรียกว่า Thaga-nan (น่าจะเปน “กายะสนาน”) ต่อที่สรงไปปลูกพลับพลาที่ประทับ และที่ประชุมเจ้านายและขุนนางทั้งปวง

๖. ให้ตักน้ำบริสุทธิ์จากที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ แห่มารวมไว้ณที่สรง

๗. จัดปรอถทอง (Golden Quicksilver) กับพลอยนพรัตน และเครื่องรางต่าง ๆ รวมลงหีบใบ ๑ ตั้งไว้ที่โรงพิธี

๘. เตรียมนกต่าง ๆ ไว้สำหรับทรงปล่อยเมื่อราชาภิเศก

๙. วางทหารราย ๒ ข้างตลอดทาง เสด็จจากพระราชมณเฑียรไปจนถึงโรงพิธี

๑๐. เจ้านายชายหญิง เสนาบดี เจ้าประเทศราช เจ้าเมืองกับทั้งภรรยา แต่งเต็มยศเข้าไปคอยตามเสด็จในกระบวรแห่.

ราชาภิเศก

๑. ถึงวันกำหนด พอได้เวลาฤกษ์พระเจ้าแผ่นดินขึ้นทรงพระยานมาศ (Waw) มีหญิงพรหมจารีย์นั่งประณมมือ ๔ คน พอพระราชยานถึง “ต้นมะโย-บิน” (เห็นจะหมายว่าพอจะออกจากเขตต์พระราชมณเฑียร) เจ้าพนักงานลั่นกลองอินทเภรี ๒ ใบ มีชื่อเรียกว่า สิโดสอน (Sidosôn) เปนสัญญา เจ้านายและข้าราชการที่เตรียมตามเสด็จ ก็ไปเข้ากระบวรตามตำแหน่งของตน

๒. เมื่อแห่ไปถึงโรงพิธีแล้วเสด็จสู่ที่สรง สระพระเกศา ผลัดเครื่องทรงหลายหน (เห็นว่าผลัดเครื่องทรงเมื่อแห่เปนเครื่องสรงครั้ง ๑ แล้วทรงเครื่องอีกอย่าง ๑ เมื่อสรงแล้ว)

๓. เมื่อเสร็จพิธีสรงแล้ว เสด็จประทับที่ราชอาสน์ พราหมณ์ (Pônna) ๘ คนถวายน้ำมนต์กับดอกไม้อย่างหนึ่งซึ่งถือว่าเปนของวิเศษเรียกว่า “ปะเยียดปัน” (Payeitpan) (พิเคราะห์ดูน่าจะถวายสิ่งอื่นสำหรับพระยศด้วยตรงนี้ แต่ในหนังสือไม่กล่าวถึง)

๔. ทรงอุททิศเครื่องสักการะบูชาพระมหาเจดียสถานที่สำคัญ เจ้ากรมอาลักษณ์ (Nahkandaw) ขานชื่อมหาเจดีย์ให้เจ้าพนักงานเชิญไปยังที่นั้น ๆ (คงให้ปล่อยนกตรงนี้ แต่ในตำราไม่กล่าวถึง)

๕. เสด็จทรงพระยานมาศแห่กลับ เมื่อเสด็จถึงเขตต์พระราชมณเฑียร เจ้าพนักงานตีกลองอินทเภรีอีก ๒ ใบเรียกว่า วุนติตอนสอน (Wuntitônsôn) เปนสัญญา

๖. เมื่อกลับถึงพระราชมณเฑียรแล้ว ทรงบำเพ็ญทานแก่สมณะพราหมณ์และราษฎร และให้ประกาศพระราชทานอภัยทาน คือ

ก) ปล่อยนักโทษที่ต้องเวรจำ

ข) ห้ามมิให้ฆ่าสัตว์ ๗ วัน

ค) ปิดศาลระงับถ้อยความ ๗ วัน

ฆ) ห้ามมิให้วิวาทข่มเหงหรือกักขังกัน ๗ วัน

ประกาศนี้ให้เที่ยวตีฆ้องกลองร้องป่าวให้ชาวราษฎรทราบทั่วพระนคร

สังเกตในการพิธีราชาภิเศก มีกล่าวถึงสมณะ (พระสงฆ์) แห่งเดียว แต่ว่าถวายไทยธรรมเมื่อเสด็จกลับจากพลับพลาราชาภิเศก ชวนให้เข้าใจว่าจะนิมนต์พระสงฆ์เข้าไปสวดมนต์งานเฉลิมพระราชมณเฑียรก่อนวันราชาภิเศกวัน ๑ หรือ ๓ วัน แต่สันนิษฐานยากด้วยไม่ทราบว่าประเพณีพิธีสงฆ์เมืองพะม่าเปนอย่างไร.

พิธีเถลิงสีหาสน์

พิธีนี้เรียกในภาษาอังกฤษว่า Formal Ascending of the Throne หาฤกษ์ทำอีกวันหนึ่งต่างหากเมื่อเสร็จพิธีราชาภิเศกแล้ว.

ตอนเตรียมการ

๑. ทำพิธีที่ห้องท้องพระโรงหน้าในมหาปราสาท ตั้งเศวตฉัตรสองข้างพระที่นั่งสีหาสน์ (Thihsthna) ข้างละ ๔ คัน มีข้าราชการประจำ คอยเผยพระทวารทอง (หลังพระที่นั่งสีหาสน์) ทางเสด็จออกข้างละคน และมีพระราชวงศกับข้าราชการผู้ใหญ่ยืนอยู่ริมฐานพระที่นั่งสีหาสน์ข้างละคน เพื่อเปนผู้ประกาศพระนามพระเจ้าแผ่นดินและพระนามพระอัครมเหษี

๒. เอากลองสำหรับเมือง (State Drum) ๒ ใบมาตั้งไว้ที่หน้าท้องพระโรง สำหรับตีเปนสัญญาเวลาเสด็จออกและเสด็จขึ้น

๓. สิ่งของต่าง ๆ ที่พระเจ้าแผ่นดินกับพระอัครมเหษี จะส่งไปสักการะบูชามหาเจดียสถานต่าง ๆ ก็เอามาจัดเรียบเรียงไว้ในท้องพระโรง

๔. จัดที่สำหรับเจ้านายและเสนาบดี เจ้าประเทศราชและข้าราชการทั้งปวง กับทั้งภรรยาเฝ้าตามตำแหน่ง บรรดาผู้ที่เข้าเฝ้าต้องแต่งเต็มยศมีของถวาย (น่าจะเปนดอกไม้ธูปเทียน) เปนเครื่องเคารพทุกคน

๕. ข้างหน้าท้องพระโรง วางทหาร ๒ แถวทั้งภายในและภายนอกพระราชวัง ให้ปิดประตูวังชื่อ ตะงา-นิ (Taga-ni) และ โยดอ-ยุ (Yodaw-yu) (พิเคราะห์ความต่อไปที่อื่น ส่อว่าประตูที่ว่านี้อยู่ใกล้ท้องพระโรง) ทั้ง ๒ ประตู และจัดวางเครื่องราชบรรณาการของเจ้าประเทศราช กับทั้งของถวายของข้าราชการ (หัวเมือง) ไว้ข้างนอกตรงประตูนั้น.

เสด็จออกมหาสมาคม

๑. ลักษณการเสด็จออกมหาสมาคม มีพรรณนาในที่อื่นว่าเจ้านายและข้าราชการเข้านั่งประจำที่ก่อนเสด็จออก พระมหาอุปราชต้องเสด็จเข้าไปทีหลังคนอื่น พอพระมหาอุปราชประทับที่แล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็เสด็จออก

๒. พอได้เวลา พระเจ้าแผ่นดินกับพระอัครมเหษี เสด็จจากพระราชมณเฑียร มเหษีองค์อื่นกับทั้งเจ้านายผู้หญิงและนักสนมตามเสด็จเปนกระบวรมานั่งตามตำแหน่งของตน เจ้าพนักงานเผยพระทวารทอง พระเจ้าแผ่นดินกับพระอัครมเหษีเสด็จออกประทับเหนือพระที่นั่งสีหาสน์ ขณะนั้นตีกลองสัญญา ๔ ใบ เจ้านายและข้าราชการทั้งปวงถวายบังคมพร้อมกัน

๓. เสด็จออกแล้วจึงเปิดประตูตะงา-นิและประตูโยดอ-ยุ ขนของเครื่องราชบรรณาการของเจ้าประเทศราชและข้าราชการหัวเมือง เข้าไปตั้งถวายในท้องพระโรง

๔. เจ้านายกับขุนนางผู้ใหญ่ ซึ่งเปนพนักงานอ่านประกาศพระนาม ก็เดินเข้าไปยืนตรงหน้าพระที่นั่ง แล้วอ่านพระนามพระเจ้าแผ่นดินกับพระนามพระอัครมเหษี

ยกตัวอย่างพระนามพระเจ้ามินดงว่า ศิริ ปวร วิชร นันท ยสบัณฑิต มหา ธัมม ราชาธิราช

พระนามพระอัครมเหษีพระเจ้ามินดงว่า ศิริ ปวร มหาราเชนต ธิบดี รตน เทวี

พระนามพระมเหษีของพระเจ้ามินดงอีก ๓ องค์นั้นว่า

ศิริ ดิลก มหา รตน เทวี องค์ ๑

ศิริ มหา รตน มงคล เทวี องค์ ๑

ศิริ รตน สุสันต เทวี องค์ ๑

พระนามพระเจ้าสีป่อนั้นว่า ศิริ ปวร วิชร นันท ยสดิลก (Yathatilawka) ธิบดี บัณฑิต มหา ธัมม ราชาธิราช

พระเจ้าสีป่อมีแต่พระอัครมเหษีพระองค์เดียว พระนามพระนางสุพยาลัต อัครมเหษีว่า ศิริ ปวร ดิลก มงคล มหา รตนเทวี ดั่งนี้

เมื่อประกาศแล้วผู้อ่านม้วนคำจารึก (พระสุพรรณบัตร) ถวายต่อพระหัตถ์ ทรงรับใส่ไว้ในหีบทอง ส่วนตัวผู้อ่านกราบถวายบังคมแล้วถอยออกไปอยู่ตามตำแหน่งเฝ้า

๕. นะกันดอ (เห็นจะเปนเจ้ากรมอาลักษณ์) อ่านบัญชีของทรงพระราชูทิศถวายมหาเจดียสถาน และ สันดอขัน อ่านบัญชีของบรรณาการเจ้าประเทศราชและเจ้าเมืองถวาย แล้วพนักงานขนของนั้นไป

๖. ต่อนั้นลั่นฆ้องเงินเรียกว่า มงคล-เงวมอง ๕ ครั้ง และตีกลอง ๔ ใบเปนสัญญา (เข้าเฝ้าถวายบังคม) แล้วเสด็จขึ้นเปนเสร็จการพิธีราชาภิเศกเท่านี้.

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ