วันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร

บ้านซินนามอน ปีนัง

วันที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗

ทูล สมเด็จกรมพระนริศร ฯ

หม่อมฉันได้รับลายพระหัตถ์ฉะบับลงวันที่ ๕ ทราบความแล้วขอทูลสนองความบางข้อในลายพระหัตถ์ก่อน

พระยานครพระรามนั้น เขาเคยเปนศิษย์ของหม่อมฉันมาแต่ครั้งยังอยู่ในโรงเรียนมหาดเล็ก และเมื่อแรกเข้ารับราชการในกระทรวงมหาดไทย เมื่อเขาจะขึ้นไปเปนเทศามณฑลพิษณุโลก หม่อมฉันได้เตือนว่าควรจะเอาใจใส่ศึกษาโบราณคดี ด้วยมณฑลนั้นมีเรื่องมาก และมักมีชาวต่างประเทศไปเที่ยวดูโบราณสถาน ถ้าเทศาไม่รู้เรื่องอะไรของมณฑลเสียเลยจะถูกเขาดูหมิ่น เพราะเหตุนั้นเมื่อพระยานครพระรามขึ้นไปเปนเทศา ก็ไปตั้งต้นศึกษาโบราณคดี แต่ทางศึกษาได้แต่อาศัยหนังสือไทยที่มีอยู่แล้ว เพราะไม่รู้ภาษาต่างประเทศและความรู้ยังไม่พอที่จะตัดสิน แม้ในหนังสือไทยเองว่าเรื่องไหนจะถูกและผิดตรงไหน หรือถ้าว่าโดยย่อเปนผู้รู้ชนิดหม่อมเจ้าปิยภักดีนาถนั้นเอง แต่เขาเริ่มรวบรวมเครื่องสังคโลกมานานแล้ว เคยส่งรูปฉายาลักษณ์มาให้หม่อมฉันดูที่ว่ามีของถึง ๒ ตู้นั้นเปนเครื่องสังคโลกทั้งนั้น พึ่งจะกล่าวถึงเรื่องเครื่องถ้วยชาม ที่ว่าไทยทำทางมณฑลพายัพที่เวียงป่าเป้า เรื่องนี้พระยานครพระรามไปได้ความคิดมาจากไหนแห่ง ๑ นานแล้ว ว่าพวกไทยเดิมที่ลงมาจากเมืองจีนนำวิธีทำถ้วยชามมาตั้งทำในประเทศนี้ก่อนสมัยพระร่วง พระร่วงไปเอาช่างจีนเข้ามาเปนแต่วันหลัง แต่พระยานครพระรามไม่ได้แสดงข้อพิศูจน์ความเห็นให้ปรากฏ หม่อมฉันจึงนิ่งอยู่

เรื่องชื่อเมืองในเรื่องพระลอนั้น “เมืองสอง” ปรากฏแล้ว เปนเมืองขึ้นของเมืองแพร่อยู่ทางทิศเหนือ เดี๋ยวนี้ยังเปนกิ่งอำเภออันหนึ่ง แต่ “เมืองสรวง” นั้น ยังไม่ปรากฏร่องรอยว่าจะอยู่ที่ไหน เมื่อมาได้ชื่อห้วยกาหลงเปนหลักเพิ่มขึ้น แสดงว่าเมืองสรวงคงจะอยู่ทางฝ่ายตะวันตกของห้วยนั้น ถ้ามีใครที่เปนผู้มีอุปนิสสัยในทางโบราณคดีไปเที่ยวเสาะค้นคงจะหาได้ ด้วยเมืองโบราณ หรือที่เรียกตามคำชาวเมืองว่า “เวียง” อันมีแต่เชิงเทินเปนเค้า มีอยู่ในมณฑลพายัพมากมายหลายแห่ง แต่มันลำบากอยู่อย่างหนึ่งที่คนเราเมื่อคิดความตามเรื่องที่แต่งไว้เปนบทกลอน มักเห็นบ้านเมืองเปนตึกรามและมีปราสาทราชมณเฑียรใหญ่โต ตัวคนในเรื่อง ถ้าเปนเจ้าเปนนายก็เห็นใส่ชะฎายอดแหลม ๆ สะพรั่งไป ด้วยเอารูปภาพที่เคยเห็นเขียนตามวัดเปนอารมณ์ จะป่วยกล่าวไปไยถึงสิ่งอื่น แม้พระพุทธองค์ก็ยังมักคิดเห็นพระรูปโฉมว่ามีพระเกตุมาลา และพระรัศมีเปนยอดแหลมอยู่บนพระเศียร เปนอารมณ์อยู่อย่างนี้ มันจะต้องเปลื้องอารมณ์เช่นว่านั้นเสียก่อน จึงจะค้นเมืองสรวงได้สดวก.

เรื่องชื่อ แตรงอน ของพวกฮินดู หม่อมฉันลืมสืบไปขอประทานโทษจะพยายามสืบถวาย

ในเวลานี้ที่ปีนังก็เริ่มหนาวจัดกว่าปกติมาหลายวันแล้ว ข้อที่ทรงปรารภเรื่องคนแก่รู้สึกหนาวกว่าหนุ่มสาวนั้น ตรงกับที่หม่อมฉันได้เคยสังเกตตัวเอง แต่ก่อนถ้าปรอทเพียง ๗๘-๗๙ ก็พอสบาย ไม่ต้องห่มผ้าหรือห่มผ้าแต่อย่างบาง ๆ มาในปีสองปีนี้ปรอทเพียงเท่านั้นรู้สึกหนาวถึงต้องห่มผ้า หม่อมฉันได้เคยพูดกับลูกว่าพึ่งเข้าใจคำที่กล่าวว่า “หนาวจนคนแก่ตาย” เพราะคนแก่กำลังโลหิตเดินอ่อนกว่าเมื่อเปนหนุ่มเปนสาว จึงรู้สึกหนาวมาก ว่าถึงผ้าห่มหนาว เมื่อหม่อมฉันขึ้นไปเมืองเชียงใหม่ในรัชชกาลที่ ๖ เจ้าจามรีภรรยาเจ้าแก้วนวรัฐ ทำผ้านวมสำหรับห่มนอนให้หม่อมฉันผืน ๑ ได้ห่มมาตลอดทางเรือเมื่อขากลับแล้วเอามาเก็บไว้ เมื่อหม่อมฉันออกมาอยู่หัวหินถึงตอนมรสุม พ.ศ. ๒๔๗๕ หนาวจัด สั่งให้ไปเอาผ้านวมผืนนั้นออกมาห่มแล้วเลยเก็บไว้ที่หัวหิน ครั้นมาสงขลาและมาอยู่ปีนัง ผ้านวมผืนนั้นก็ติดมาด้วย ได้เอาออกห่มเมื่อหนาวจัดในสองสามวันนี้ รู้สึกว่าดีกว่าผ้าขนฝรั่งมากทั้งที่เบากว่าและอุ่นกว่า ถ้าของท่านมีอยู่ขอให้ทรงลอง.

เรื่องเบ็ดเตล็ดในปีนังสำหรับเล่าถวายในสัปดาหะนี้ มีเรื่องสโมสรการบินเขาเชิญหม่อมฉันให้ไปขึ้นเครื่องบินเที่ยวดูเกาะปีนัง หรือจะให้ลูกหลานขึ้นก็ตามใจ ตัวหม่อมฉันกับหญิงพูน หญิงพิลัย หญิงเหลือเคยขึ้นแล้วคนละ ๒ หนก็ออก “เชื่อ” ยังอยู่แต่หญิงเป้ากับชายใหม่คิดว่าจะไปขอให้เขาพาขึ้นให้รู้รสเครื่องบิน ฝ่ายยายแมวหลานเข้ามาอ้อนวอนจะขอขึ้นเครื่องบินบ้าง เกรงว่าถ้าคุณยายรู้จะไม่ให้ขึ้น หม่อมฉันจึงพาไปที่สนามบินเมื่อวันอังคารที่ ๔ เขาให้หญิงเป้ากับยายแมวขึ้นด้วยกันเที่ยวแรก เกณฑ์ให้ใส่หมวกใส่แว่นตา ดูน่าหวาดเสียวอยู่บ้างแต่ก็ไม่กลัวทั้ง ๒ คน เขาพาบินไปเที่ยวดูตลอดเมืองเปนเวลาสัก ๒๐ นาทีจึงกลับไปถึงสนามบิน ไม่เมาและบอกว่าสนุกทั้ง ๒ คน เที่ยวที่ ๒ เขาให้ชายใหม่ขึ้นแต่คนเดียว คนขับเขาชอบขึ้นมาอย่างไร เขาวนให้ผูกตัวติดกับเครื่องบินแล้วพาตีลังกาหกคะเมนในอากาศ ชายใหม่กลับมาบอกว่าออกสนุกมาก แต่หม่อมฉันขอให้ขึ้นกันพอให้รู้รสชาติแต่ครั้งเดียวและได้เขียนรายงานบอกไปถึงหม่อมเจิม จะว่าอย่างไรยังไม่รู้.

เมื่อวันที่ ๗ เขามีการเอ๊กซหิบิเชนวิทยุ หม่อมฉันได้ไปดูเห็นกร่อย ๆ ไม่มีอะไรแปลกปลาดที่น่าจะทูลถวายรายงาน ตอนกลางคืนเขานัดจะให้ฟังเสียงจากลอนดอนในระวางแต่เวลา ๒๑.๓๕ นาทีไปจนถึงเที่ยงคืน เดิมหม่อมฉันคิดว่าจะไปฟัง แต่เห็นเขาจัดที่ให้นั่งในสนาม ตอนค่ำลมพัดกล้าหนาวจัดก็เลย เชื่อ ไม่ได้ไป.

เมื่อวันเสาร์ที่ ๘ วานนี้ เดิมศาสตราจารย์คัลเลนเฟลนัดว่าจะมาหา แต่มาไม่ได้ ด้วยเมื่อกลับจากสิงคโปร์มาในเรือพลัดตกกระไดลงอีก (ด้วยแกมันโตเกินขนาดนั่นเอง) มีอาการยอกขัดข้างหลังยังเดินไกลไม่ได้ แกบอกมาขอเชิญหม่อมฉันขึ้นไปกินน้ำชาที่แกอยู่ ณ โฮเตลแคร๊ก บนเขาสูงจึงขึ้นไปกับหญิงพูนเมื่อบ่าย ๔ โมง ดูยังคุยได้แจ่มใส อาการเห็นจะไม่มากมายเท่าใดนัก แกบอกว่าการขุดขุมทรัพย์ที่ตำบลคัวปักกาหยุดแล้ว เพราะทำจนสิ้นจำนวนเงินที่รัฐบาลอังกฤษอนุญาต ที่แกไปสิงคโปร์นั้นเพื่อเอาวัตถุต่างๆ ที่ขุดได้ไปส่งพิพิธภัณฑสถาน และชี้แจงให้ภัณฑารักษ์ทราบ ตัวแกจะอยู่ที่ปีนังอีก ๒ สัปดาหะ พอขึ้นปีใหม่จะไปเมืองมนิลา ในการประชุมสโมสรบุรพประวัติศาสตร์ตามกำหนด ๓ ปีครั้งหนึ่ง เดิมเขากะว่าจะเข้าไปประชุมกันในกรุงเทพฯ ในคราวปีนี้แต่มาเปลี่ยนใจไปประชุมกันที่เมืองมนิลา แกว่าที่แกเชิญหม่อมฉันขึ้นไปที่แกอยู่นั้น เพราะแกได้ของสมัยบุรพประวัติศาสตร์ เขาส่งมาให้แกตรวจหลายสิ่ง เปนของที่ขุดพบในชะวา เอาหีบมาเปิดให้หม่อมฉันดูเปนก้อนหินต่าง ๆ ทั้งนั้น ถ้าเราไปพบก็เห็นจะคว่างทิ้งเสียโดยมาก แต่เมื่อได้มาเห็นตัวอย่าง พอเข้าใจได้อย่างหนึ่งว่าเมื่อขุดพบก้อนหินหรือก้อนกรวด พิจารณาดูว่ามีรอยคนได้ทำอะไรแตะต้องไว้ให้ผิดกับของธรรมดาบ้างหรือไม่ เท่านั้นเปนหลัก มีก้อนศิลาที่แกให้ดูเมื่อวานนี้เปนของปลาดจับใจก้อนหนึ่ง เปนศิลาเนื้อใสสีน้ำตาล ข้างในมีรอยเปนรูปปะการังอยู่เต็มไป แกบอกว่าศิลาก้อนนั้นเดิมเปนแต่ปะการังอยู่ในท้องทะเลเมื่อราวสัก ๑๒ ล้านปี แล้วไฟในกลางโลกบันดาลให้แผ่นดินในท้องทะเลไหวเป่าขึ้นมาเปนภูเขาหินปูน เมื่อก้อนหินปูนที่หุ้มปะการังนั้นย่อยกลายเปนหินปูนจึงขึ้นมาเปนภูเขาอยู่บนบก ทีหลังฝนชะหินปูนที่หุ้มห่อให้ย่อยเปนทรายไหลลงทะเลไปทีละน้อย ปะการังนี้เหลืออยู่ ธาตุ Fossil เข้ามาจับคลุมข้างนอก ในที่สุดจึงกลายเปนอยู่ในก้อนหินที่เราเห็น หม่อมฉันอ่านพบในหนังสือภูมิธาตุศาสตร์ Geology กล่าวว่าหินที่มีในโลกนี้มีมากอยู่ ๓ อย่าง คือ หินทรายอย่าง ๑ หินปูนอย่าง ๑ กับหิน Granite (เลียงโผ) อีกอย่าง ๑ อธิบายว่าหินทรายนั้นเกิดแต่ฝนชะภูเขาและแผ่นดิน ให้ย่อยเปนทรายลงไปทับถมอยู่ในห้องทะเล หินปูนนั้นเกิดแต่เปลือกหอยและปะการังที่ตายทับถมอยู่ในท้องทะเล หินเลียงโผนั้นเกิดแต่ไฟในโลกเผาธาตุให้ละลาย จนกลายเปนแก้วมีติดระคนปนอยู่กับเนื้อหิน เช่นเพชรและนิลเป็นต้นดังนี้ มาได้ความปลาดที่ปูนขาวเราใช้ก่อตึกรามทำด้วยหินปูนอย่าง ๑ เรียกว่า ปูนหิน ทำด้วยเปลือกหอยอย่าง ๑ เรียกว่าปูนหอย อันที่จริงทำด้วยเปลือกหอยทั้ง ๒ อย่าง ผิดกันแต่ว่าเปนเปลือกหอยบุรพประวัติศาสตร์กับเปลือกหอยในประวัติศาสตร์เท่านั้น.

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ