- เมษายน
- วันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- —วันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ พระยาประมวญวิชชาพูล
- —วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- —วินิจฉัยเรื่องยุทธภัยระวางยี่ปุ่นกับอังกฤษ
- —วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ม.ร.ว.อี๋ นพวงศ
- วันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- —พรรณนาพิธีตั้งแต่สังฆราชโรมันคาโธลิค
- วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- พฤษภาคม
- วันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- —อักษรจารึก ที่รูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดโมลีโลก
- —อักษรจารึก ที่รูปสมเด็จพระสังฆราช วัดมหาธาตุ
- —ประกาศตราตระกูล
- —สมโภชพระนครร้อยปี
- —หมายกำหนดการพระราชพิธีเชิญพระบรมรูปจากพระที่นั่งศิวาไลยมหาปราสาท
- —หมายกำหนดการฉลองพระบรมรูปพระบาทสมเดจพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แลวันที่รฦกมหาจักรี
- วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- มิถุนายน
- กรกฎาคม
- สิงหาคม
- วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- —ท่านทราบไหมว่า
- วันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- กันยายน
- วันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- —เล่าเรื่องไปชะวา ครั้งที่ ๓
- วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗
- —คณะกรรมการผู้เริ่มตั้งสมาคมสถาปนิกสยาม
- วันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- ตุลาคม
- วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- —ร่าง ตำนานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
- วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- พฤศจิกายน
- วันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗
- วันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร (๒)
- วันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- ธันวาคม
- วันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- มกราคม
- กุมภาพันธ์
- มีนาคม
- วันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- —กฎมณเฑียรบาลพะม่า
- วันที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- —กฎมณเฑียรบาลพะม่า (ต่อ)
- วันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- —บันทึกความสำนึกในวิธีราชาภิเษกแบบพะม่า
- วันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- —บันทึกข้อที่น่าใส่ใจในกฎมนเทียรบาลของพะม่า (ภาค ๒)
วันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
บ้านซินนามอน ฮอลล์ ปีนัง
วันที่ ๑๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗
ทูล สมเด็จกรมพระนริศรฯ
สัปดาหะนี้เรื่องที่จะทูลบันเลงมีแต่เรื่องเบ็ดเตล็ด หม่อมฉันได้ศาสตราจารย์คัลเลนเฟลเปนเพื่อนพูดอีกคนหนึ่ง ด้วยแกมาอยู่ปีนัง ทำการขุดค้นของสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ดังหม่อมฉันได้ทูลไปในจดหมายฉะบับก่อน ตกลงกันว่าแกจะมากินน้ำชากับหม่อมฉันทุกวันอาทิตย์ต่อไป เมื่อหม่อมฉันจดหมายทูลไปแล้วได้พบกับแกอีกครั้ง ๑ สนทนากันถึงเรื่องที่มนุษย์เมื่อสมัยก่อนประวัติศาสตร์ อพยพย้ายถิ่นฐานจากภูมิลำเนาเดิม เนื่องมาจากเรื่องที่แกบอกอธิบาย สันนิษฐานว่าพวกชะวาเดิมจะอยู่ทางเมืองจีนข้างฝ่ายใต้ ใกล้กับแดนของพวกไทยที่หม่อมฉันทูลไปแล้ว หม่อมฉันเสนอความเห็นของหม่อมฉันว่าธรรมดามนุษย์ ย่อมชอบอยู่ด้วยกันเปนหมู่เหล่า ตามพวกพ้องที่พูดภาษาและคือขนบธรรมเนียมอย่างเดียวกัน ถ้าไม่มีเหตุจำเปนก็ไม่ทิ้งภูมิลำเนา หรือแม้แต่จะแยกย้ายไปอยู่ให้ห่างไกลกัน อันมูลเหตุที่ทำให้มนุษย์อพยพจากภูมิลำเนาเดิมนั้น หม่อมฉันสันนิษฐานว่ามี ๒ อย่าง คือ อย่างที่ ๑ เพราะความอัตคัด คือเมื่อมีจำนวนคนเกิดเพิ่มเติมมากขึ้น จนที่ทำมาหากินไม่พอกัน ผู้ที่ขัดสนจึงไปเที่ยวทำมาหากินถึงต่างถิ่นฐานบ้านเมือง ไปเจอะที่ทำมาหากินได้สดวกแห่งใด ก็พาครอบครัวของตัวไปตั้งประจำทำมาหากินอยู่ในที่นั้น ถ้าเปนที่ว่างก็ไปอยู่เปนอิสระ ถ้าเปนที่มีเจ้าของปกครองก็ไปอยู่เปนไพร่บ้านพลเมือง ทีหลังผู้อื่นที่อัตคัดขัดเคืองก็พากันตามไปบ้าง เปนเหตุให้มีประชุมชนพวกนั้นไปตั้งภูมิลำเนาอยู่ ณ ที่ต่าง ๆ ด้วยประการฉะนี้ อย่างที่ ๒ เพราะหนีภัย เปนต้นว่าเกิดโรคภัยหรือทุพภิกขภัย หรือมีศัตรูมาย่ำยี จะอยู่ในถิ่นเดิมทนไม่ไหว จึงพากันอพยพทิ้งถิ่นเดิมไปอยู่ที่อื่น และคงตามไปอยู่กับพวกพ้องของตัวที่ไปตั้งภูมิลำเนาได้แล้วอย่างว่ามาแต่ก่อน ไม่เที่ยวแยกย้ายเพ่นพ่านไปตามบุญตามกรรม บางทีอพยพไปอยู่ร่วมกันมีกำลังมาก เห็นว่าเจ้าของถิ่นกำลังน้อยกว่า ก็เลยชิงเอาแผ่นดินเปนของตัว และเปนเหตุให้เจ้าของถิ่นนั้นอพยพหลบหนีต่อกันไปเปนชั้นๆ ดังนี้ ตามที่ปรากฎในพงศาวดารยุโรปฉันใด ทางอาเซียนี้มันก็จะเปนทำนองเดียวกัน เพราะเปนวิสัยของมนุษย์ แกรับรองว่าแกเห็นพ้องด้วยเช่นนั้นเหมือนกัน.
หญิงเหลือถามแกถึงเรื่องอิเหนา แกบอกอธิบายว่าอิเหนานั้นพวกชะวาเรียกเปน ๓ ชื่อ คือ ปันหยี, อิเหนา, กะรัตปาตี. คำว่าปันหยี นั้นแปลว่าธง หมายความเปนยศแม่ทัพใหญ่ เพราะคุมพลกองใหญ่ที่ใช้ธงนำทัพเปนสำคัญ คำ อิเหนา แปลว่ายุพราช คำว่า กะรัตปาตี นั้นเปนชื่อตัว อิเหนาเสวยราชย์เมื่อราว พ.ศ. ๑๖๐๐ เรียกนามตามที่ปรากฏในศิลาจารึกว่า “คาเมศวร” ถือศาสนาวิษณุเวศ (ตามอธิบายนี้ รูปพระปฏิมากร ที่เล่นละคอนอิเหนา ควรทำเปนรูปพระนารายณ์)
เจ้าคุณพระประยูรวงศกับเจ้าพระยารามราฆพ ออกมาถึงปีนังเมื่อวันเสาร์ที่ ๔ มาพักอยู่ที่บ้านของพระพิทักษ์๑กรมการจีนเมืองภูเกต พอมาถึงรุ่งขึ้นท่านก็เที่ยวเยี่ยมเยียนเจ้านายที่เสด็จมาอยู่นี่ทุกพระองค์ ดูยังแข็งแรงดีมาก อายุของท่านเข้า ๘๐ เท่ากับอายุมารดาหม่อมฉันเมื่อถึงอสัญญกรรม แต่มารดาของหม่อมฉันปลกเปลี้ยไม่เหมือนท่าน ได้ยินว่าจะไปเมืองสิงคโปร์ และบางทีจะเลยไปชะวาด้วย
เมื่อเขียนไว้ถึงเที่ยงนี้ได้รับลายพระหัตถ์ฉะบับลงวันที่ ๘ สิงหาคม หม่อมฉันจะทูลสนองความในลายพระหัตถ์ต่อไป
เรื่องตำนานวัดราชประดิษฐ์นั้น หม่อมฉันได้ศึกษาทราบความดังจะทูลให้พิสดารสักหน่อยต่อไปนี้ คือเมื่อทูลกระหม่อมทรงตั้งพระสงฆ์ธรรมยุติกาขึ้นในเวลาที่ยังทรงผนวชนั้น ไม่ได้หมายจะตั้งเปนนิกายสงฆ์ขึ้นอีกนิกายหนึ่งต่างหาก พระราชประสงค์เพียงจะตั้งอย่างเปนสโมสรพระสงฆ์ซึ่งนิยมถือคติธรรมวินัยอย่างเดียวกัน เมื่อเสวยราชย์พระราชประสงค์ก็ยังคงอยู่เช่นนั้น ทรงสถาปนากรมหมื่นบวรรังษี๒ฯ ให้มีสมณศักดิ์เปนพระราชาคณะผู้ใหญ่ ก็ให้เปนแต่อนุนายกในคณะกลาง รองแต่สมเด็จกรมพระปรมานุชิต ฯ ลงมา เพราะฉะนั้นชื่อพระครูปลัดจึงเรียกว่า มหานุนายก จุลานุนายก ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงเปลี่ยนเปน มหานายก, จุลนายก. ท่านอ้างว่าเปนปลัดของเจ้าคณะใหญ่ ไม่ใช่ปลัดของเจ้าคณะรองเหมือนแต่ก่อน อีกประการหนึ่งตามที่ได้ยินมา งานพิธีสงฆ์ในรัชชกาลที่ ๔ ไม่มีที่จะนิมนต์แยกกันเปนธรรมยุติกา หรือมหานิกาย เว้นแต่งานเดียวคือเมื่อวันเฉลิมพระชันษา โปรดให้นิมนต์พระสงฆ์ธรรมยุติกา ๕ รูปสวดมนต์ในพระราชมณเฑียร แต่ก็ทำอย่างเงียบ ๆ อ้างว่าทำเหมือนอย่างเมื่อยังทรงผนวชอยู่ เมื่อคิดดูก็พอจะเข้าใจพระราชปรารภได้ไม่ยาก เพราะทรงเกรงพระสงฆ์จะเกิดแตกกันเปน ๒ หมู่ ๒ คณะ เปนพระสงฆ์พวกในหลวงและมิใช่พวกในหลวงเกิดขึ้น จะกลับให้โทษแก่บ้านเมือง ถึงกระนั้นเมื่อถึงรัชชกาลที่ ๔ มีคนแสดงความเลื่อมใสในพระสงฆ์ธรรมยุติกาแพร่หลาย เปนเหตุให้ทรงระแวงว่าจะเปนการเลื่อมใสเอาหน้า ถึงทรงห้ามปราม แม้เจ้านายที่เคยให้ลูกหลานบวชเปนมหานิกายมาแต่ก่อน มิให้บวชเปนธรรมยุติกา หม่อมเจ้าในกรม พระเทเวศร์๓ ฯ และกรมหลวงวงศา๔ ฯ จึงต้องบวชเปนมหานิกายทั้งนั้น หม่อมฉันเคยได้ยินท่านผู้ใหญ่เล่า จะเปนใครก็จำไม่ได้เสียแล้ว ว่าทูลกระหม่อมมีพระราชประสงค์จะให้มีพระสงฆ์ธรรมยุติกาแต่เพียงสักพันเดียว มิให้มากกว่านั้น เรื่องสร้างวัดราชประดิษฐนั้น ทรงเจตนาแต่แรกว่าจะให้เปนวัดพระสงฆ์ธรรมยุติกาอยู่เปนนิตย์ ดูเหมือนจะมีเปนลายลักษณ์อักษร แต่ก็นึกไม่ออกว่าอยู่ในหนังสืออะไร ที่ทรงสร้างเปนวัดขนาดเล็ก ก็เนื่องด้วยพระราชดำริจะให้มีพระสงฆ์ธรรมยุติกาแต่จำนวนน้อย เรื่องสร้อยชื่อนั้นหม่อมฉันนึกว่าเดิมจะเปน มหาสีมาราม จึงใช้ในราชการเสมอมา เพราะดูเหมือนจะเปนวัดมหาสีมาแต่อย่างเดียวแรกมีขึ้น ผิดกับวัดมงกุฎ ฯ และวัดโสมนัส ฯ ซึ่งมี พัทธสีมา และ มหาสีมา สร้อยว่าธรรมยุติการาม หม่อมฉันนึกว่าจะเกิดขึ้นภายหลัง อาจจะเกิดในรัชชกาลที่ ๕ ก็เปนได้ เห็นจะไม่ใช่เปนพระราชนิพนธ์ของทูลกระหม่อม คิดดูว่าถ้าสร้อยชื่อเดิม ทูลกระหม่อมทรงขนานไว้ว่า ธรรมยุติการาม ใครจะกล้าแก้เปน มหาสีมาราม และจะแก้เพราะเหตุใด ก็คิดไม่เห็น ข้อนี้เปนหลักฐานของความคิด
เรื่องพระนิรันตรายนั้น หม่อมฉันทราบเกือบตลอดเรื่อง เรื่องตอนต้นดูเหมือนจะมีพระราชนิพนธ์ด้วยซ้ำไป ในพงศาวดารเจ้าพระยาทิพากรวงศก็กล่าวไว้ย่อ ๆ ว่ามีผู้ขุดพบพระพุทธรูปโบราณ (แบบทวาราวดี) องค์ ๑ ที่ดงศรีมหาโพธิ หล่อด้วยทองคำทั้งแท่งหนัก ๕ ตำลึง พระเกรียงไกรกระบวรยุทธ์นำขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวาย พระราชทานรางวัลแก่ผู้ขุดได้ ๔ ชั่งเท่าราคาทองคำในสมัยนั้น ทรงพระราชดำริว่าเปนพระมีอภินิหาร เพราะผู้ขุดได้ไม่เอาไปทำลายขายเนื้อทองคำเอาเปนประโยชน์ จึงทรงขนานนามว่า พระนิรันตราย หม่อมฉันสันนิษฐานว่าคงจะทรงพระราชดำริว่าเปนมงคลวัตถุ ควรตั้งในการพระราชพิธี แต่จะเชิญไปมาและตั้งรักษาโดยลำพังองค์พระพุทธรูปทองคำนั้น เปนการเสี่ยงภัย จึงโปรดให้หล่อพระพุทธรูปตามแบบรัชกาลที่ ๔ ครอบไว้อีกองค์ ๑ แต่ไม่มีเรือนแก้ว คงเอาชื่อองค์ในมาเรียกรวมกับองค์นอกจึงเรียกว่า พระนิรันตราย เหตุที่ทูลกระหม่อมทรงสร้างพระนิรันตรายมีเรือนแก้ว พระราชทานไปไว้ตามวัดนั้น พระราชปรารภจะอย่างไรหม่อมฉันไม่เคยได้ยิน ทราบแต่ว่าสร้างในตอนปลายรัชชกาล สำหรับพระราชทานไปไว้ตามวัดธรรมยุติกา ถ้าจะเดา หม่อมฉันใคร่จะเดาว่าความปรารภน่าจะเกิดขึ้นทางพระสงฆ์ธรรมยุติกา ใคร่จะมีอนุสสรณ์เนื่องต่อพระองค์ทูลกระหม่อมซึ่งทรงตั้งคติธรรมยุติกาไว้เปนที่สักการบูชา จึงโปรดให้สร้าง พระนิรันตราย ซึ่งทรงคิดแบบขึ้นและทรงนับถือว่าเปนมงคลวัตถุพระราชทาน หม่อมฉันนึกได้เปนเลา ๆ ว่าไม่ทันแล้วสำเร็จหมดในรัชชกาลที่ ๔ และพระนิรันตรายวัดราชบพิธนั้น เปนพระหล่อในรัชชกาลที่ ๔ เหลือจำนวนที่จะพระราชทาน พอสร้างวัดราชบพิธจึงแห่พระนิรันตรายไปได้ทีเดียว ไม่ปรากฎว่าหล่อใหม่
ทูลเพิ่มเติมต่อไปอีกเรื่อง ๑ ที่พบในพงศาวดารของเจ้าพระยาทิพากรวงศ เมื่อหม่อมฉันค้นเรื่องพระนิรันตรายที่จะทูลสนองนี้ ปรากฏว่าพระพุทธรูปทองคำ ๒๘ องค์ที่ประดับพระมาลาเบี่ยงไว้นั้น คนทอดแหได้ในลำน้ำมูลแขวงเมืองนครราชสีมา (เห็นจะเปนที่วังปลัดนั้นเอง) พระยานครราชสิมานำถวาย
หม่อมฉันอยากจะพบเซเดส์เหมือนใจจะขาด ได้เขียนจดหมายเข้าไปชวนให้มาปีนัง ศาสตราจารย์คัลเลนเฟลก็ชวนไปให้ออกมาดูขุดขุมทรัพย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ แต่ยังไม่ได้รับตอบ
อาการหญิงใหญ่ป่วยนั้น หม่อมฉันอยู่ข้างวิตกมาก ด้วยท่าทางมันจะเปนวรรณโรคภายในเสียแล้ว ใจของเธอเองก็ไม่ดี ด้วยน้องสาวของเธอตายด้วยวรรณโรคทั้ง ๒ คน ขอให้ท่านกับทั้งคุณโตช่วยปลอบโยน หรือทำอย่างไรให้ใจเธอแจ่มใสขึ้นได้บ้าง ก็จะเป็นพระเดชพระคุณ
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
-
๑. พระพิทักษ์ชินประชา (ม้าเสียง ตัณฑะวณิช) ↩
-
๒. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ประสูติ ๑๔ กันยายน ๒๓๕๒ สิ้นพระชนม์ ๒๘ กันยายน ๒๔๓๕ ↩
-
๓. พระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๒ พระองค์เจ้ากลาง กรมพระเทเวศร์วัชรินทร์ ประสูติ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๓๔๘ สิ้นพระชนม์ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๑๙ ต้นราชสกุล “วัชรีวงศ์” ↩
-
๔. พระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๒ พระองค์เจ้านวม กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ประสูติ ๙ กรกฎาคม ๒๓๕๑ สิ้นพระชนม์ ๓๑ สิงหาคม ๒๔๑๓ ต้นราชสกุล “สนิทวงศ์” ↩