วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร

บ้านซินนามอน ฮอลล์ ปีนัง

วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗

ทูล สมเด็จกรมพระนริศรฯ

หม่อมฉันได้รับลายพระหัตถ์ฉะบับลงวันที่ ๑๖ พฤษภาคม เรื่องเถนที่ทรงพยายามสืบได้ความจากสมเด็จพระวันรัตนั้น เปนเค้าเงื่อนดีมากทีเดียว ถ้าจะลงอธิบายในอภิธาน น่าจะกล่าวว่า “คนกินเดน” หรือ “คนอาศัยเดนผู้อื่นเลี้ยงชีพ” มีอธิบายต่อไปว่าผู้ซึ่งจะบวชเปนพระหรือเปนเณรไม่ได้ จะเลี้ยงตัวเองเปนอุบาสกก็ไม่ได้ จึงไปเปนเถนกินอาหารเหลือพระฉัน นุ่งห่มด้วยผ้าซึ่งพระไม่ใช้แล้ว และอาศัยที่ว่างไม่มีใครอยู่ในวัด คิดต่อไปถึงศีลของเถนว่าจะถืออย่างไรเห็นว่าจะถือศีล ๑๐ อย่างสามเณรนั้นเอง ถ้าถือศีล ๘ ก็เปนอุบาสก ถ้าถือศีล ๕ ก็เปนคฤหัสฐ์ไม่เปนเถน แต่ก็คงสมาทานไปอย่างนั้นเองเพราะมิได้บวชเพื่อแสวงศีลธรรม เถนจึงเปนตัวอย่างในเรื่องนิทานว่ามักทำลามกต่าง ๆ มีความสงสัยเกิดขึ้นข้อหนึ่งไม่ทราบว่าสมเด็จพระวันรัตจะตอบได้หรือไม่ ว่าบวชเถนนั้นทำอย่างไร เคยเห็นตัวอย่างแต่ภิกษุต้องการครุกาบัติจะคงอยู่เปนพระไม่ได้ แต่ไม่อยากเปนคฤหัสฐ์ อาจบวชเปนสามเณร เช่นสามเณรอ้นที่วัดบวรนิเวศนฯ แต่กรณีย์ เช่น “เถนสังบางกระจะ บวชเปนพระแล้วเลื่อนลงเปนเถน” นั้นจะเลื่อนด้วยอาการอย่างไร หรือมิฉะนั้นถ้ามีคฤหัสฐ์ปราร์ถนาจะบวชเปนเถน จะทำอย่างไรจึงจะเปนเถนได้ ข้อนี้หม่อมฉันขอถวายเปนปัญหาเพิ่มเติม

พูดถึงเรื่องเถน ได้ออกนามสมเด็จพระวันรัตนทำให้นึกวิตกด้วยได้ข่าวในหนังสือพิมพ์ว่ามีผู้ร้ายเข้าไปตั้งโรงกระสาปน์ทำอัฐที่ศาลาวัดสุทัศนฯ ถ้าเปนความจริงดูการปกครองหละหลวมมาก เกรงท่านจะได้ความรำคาญ ทรงทราบหรือไม่ว่าที่จริงมันเปนอย่างไร

เมื่อเขียนหนังสือนี้หม่อมฉันนึกขึ้นถึงหนังสือเรื่อง ๑ ซึ่งหม่อมฉันได้แต่งให้หอพระสมุดฯ พิมพ์นานมาแล้ว ดูเหมือนเรียกว่า “ตำนานเลิกบ่อนเบี้ย” เห็นจะรวมอยู่ในพวกประชุมพงศาวดาร ไม่รู้ว่าท่านได้เคยทรงแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ทรงควรจะทรง เพราะมีเรื่องอะไรแปลก ๆ ในทางโบราณคดีอยู่ในหนังสือเรื่องนั้นหลายอย่าง ทรงก็เห็นจะไม่เสียเวลาเปล่า

กถามรรคที่จะทูลคราวนี้มีรายงานเรื่องหม่อมฉันไปเมืองไต้เผงในอาณาเขตต์แปะระเมื่อวันพุธที่ ๑๗ มีถนนไปได้ด้วยรถยนต์ระยะทางประมาณ ๕๐ ไมล์ กลับในวันเดียวนั้นใช้เวลาราว ๗ ชั่วโมง เหตุที่จะไปเมืองไต้เผงมี ๒ อย่าง ชอบกลอยู่ อย่างที่ ๑ นั้น เปนเรื่องรำลึกชาติหนหลัง ด้วยหม่อมฉันได้เคยไปตามเสด็จสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงถึงเมืองไต้เผงครั้ง ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๓ ครั้งนั้นไปเรือขึ้นบกที่ท่า Port Weld แล้วขึ้นรถไฟไปอีกสัก ๒๐ นาทีจึงถึงเมืองไต้เผง ได้ขี่รถไฟเปนหนแรกในคราวนั้น หูผึ่ง และเมื่อไปถึงเมืองไต้เผงหม่อมฉันเปน Lord Programme กะโปรแกรมพลาดด้วยไม่รู้ถิ่นฐาน กระบวรข้างในกับกระบวรเสด็จซึ่งเจ้าเมืองเขาจัดรับทั้ง ๒ แห่งอยู่ห่างกันเกินไป ข้างในอดเข้ากลางวัน หม่อมฉันเข็ดมาแต่ครั้งนั้น ทีหลังจะทำโปรแกรมให้เสด็จที่ไหนต้องไปดูเสียเองก่อนทุกคราวเว้นแต่ที่ไม่สามารถจะไปได้ ตั้งเปนตำรามาจนตลอด เหตุอีกอย่างหนึ่งนั้น เมื่อสัก ๓ ปีมานี้ เขาขุดพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ของโบราณได้ที่ในแขวงอาณาเขตต์แปะระองค์ ๑ ประจวบกับเวลาขุดได้ฐานพระพุทธรูปโบราณในแขวงมณฑลภูเกต ผู้จัดการพิพิธภัณฑสถานเมืองแปะระเขาเคยถามเข้าไปถึงหม่อมฉันที่ราชบัณฑิตยสภา ว่าจะเปนฐานพระพุทธรูปองค์นั้นหรือมิใช่ ได้ถ่ายรูปฉายาลักษณ์ส่งสอบสวนกันเห็นว่ามิใช่ คราวนี้จึงอยากจะไปดูพระพุทธรูปองค์นั้นด้วย หม่อมฉันไปไม่ให้ใครรู้ หม่อมฉันเองก็ไม่รู้ว่าพิพิธภัณฑสถานอยู่ที่ไหน ตรงไปยังที่สำนักคนเดินทางของรัฐบาล (ทำนองเดียวกับโฮเตลรถไฟที่สงขลา) ไปสั่งให้ทำอาหารกลางวัน แล้วต้องนั่งคอยคนขับรถไปสืบตำแหน่งพิพิธภัณฑสถาน ขณะนั้นมีคนเดินทางเปนผู้หญิงฝรั่งนั่งคอยอยู่ที่นั่นเหมือนกันคน ๑ นั่งชำเลืองดูกันเบื่อเข้า หม่อมฉันเห็นว่าเขาเปนผู้หญิงจึงออกปากทักก่อน ถามว่าเขาอยู่ที่เมืองนั้นหรือมาเที่ยวจากที่อื่น เขาตอบว่าเขาเปนเยอรมันมาอยู่ที่ลังกาได้ ๒ ปี พึ่งมาเที่ยวในแหลมมลายู หม่อมฉันถามว่าเขาเปนเยอรมันชาวเมืองไหน เขาบอกว่าเขาเปนชาวเมืองเบอร์ลิน หม่อมฉันบอกว่าหม่อมฉันก็ได้เคยไปเมืองเบอร์ลินเมื่อ ๔ ปีมาแล้ว ไปเที่ยวดูบ้านเมือง ชอบใจมาก เขากลับตอบว่าถึงชอบใจก็อย่าไปอีกเลยเพราะในประเทศเยอรมันเดี๋ยวนี้ ไม่เหมือนแต่ก่อน พวกฮิตเลอร์ที่มีอำนาจในเวลานี้ร้ายกาจนัก ไม่เปนธรรมและไม่มีเมตตาปรานี ไม่ชอบใครก็จับเอาไปกักขังลงโทษหรือขับไล่เสียตามอำเภอใจแล้วติเตียนต่างๆ ต่อไปอีกมาก หม่อมฉันจึงเข้าใจว่าผู้หญิงคนนั้นเปนจีว แต่จะชื่อเรียงเสียงไรก็ไม่ทราบ พอคนขับรถมาบอกว่ารู้แห่งพิพิธภัณฑสถานแล้ว ก็ขึ้นรถตรงไปพิพิธภัณฑสถาน ฝรั่งผู้จัดการไม่อยู่ มีแต่เลขานุการเปนมลายูคน ๑ ยังหนุ่ม พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง แต่แรกไม่รู้จักหม่อมฉันว่าเปนใคร แต่เห็นจะสังเกตได้ว่าเปนผู้ดีไทยก็ออกมารับ หม่อมฉันเผลอไปไม่ได้ห้ามไว้เสียก่อน คนขับรถไปกระซิบบอกว่า “รายาเสียม” เลขานุการคนนั้นไปฉวยสมุดเรื่องพงศาวดารสยามที่ Mr. Woods แต่ง เอามาพลิกเปิดที่รูปหม่อมฉัน ถามหญิงพิลัยว่า “คนนี้หรือมิใช่” หญิงพิลัยรับแกก็เลยนบนอบเอื้อเฟื้อใหญ่ นำทางพาเที่ยวดู จะดูของตู้ไหนก็ไขกุญแจหยิบออกมาให้ดู แล้วเล่าให้ฟังว่าฝรั่งที่เคยสื่อสาส์นกับหม่อมฉันเปนอาจารย์ของแก แกเคยได้ยินชื่อเสียงหม่อมฉันมาแต่ครั้งนั้น พระพุทธรูปองค์ที่ขุดได้นั้นเปนปางลีลาจากดาวดึงส์สูงราวสักศอก ๑ เปนฝีมืออันเคยแบบสมัยคุปตของเราไม่มีเหมือน ของในพิพิธภัณฑสถานนี้จัดเปนหมวดหมู่เรียบร้อยดี (ไม่เข้าใครออกใคร) เหมือนอย่างที่เราเคยจัดพิพิธภัณฑสถานในกรุงเทพฯ เสียแต่สถานที่เล็กนัก ตั้งตู้อยู่ข้างต้องยัดเยียดและที่ตั้งพิพิธภัณฑสถานก็อยู่ห่างไกลทางสัญจรของมหาชน จึงมิใคร่มีใครเห็น เขามีของดีที่เราต้องยอมว่าไม่สู้ได้อย่าง ๑ คือเครื่องศิลาสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เช่น ขวานและจักริ์หินเปนต้นมีมากจนน่าปลาดใจว่าของประเภทนั้นเหตุใดจึงมามีชุมข้างปลายแหลมมลายูยิ่งกว่าข้างเหนือ ได้ยินว่าดอกเตอร์คัลเลนเฟล ฮอลันดา ผู้ชำนาญเรื่องก่อนประวัติศาสตร์ กำลังมาเที่ยวขุดค้นอยู่ในแหลมมลายู Resident Councillor เจ้าเมืองปีนังบอกหม่อมฉันว่าแกจะมาถึงวันที่ ๒๔ นี้ และจะมาขุดค้นที่ในเกาะนี้ตำบล ๑ อยู่นอกเขาห่างเมืองสัก ๑๐ ไมล์ บางทีหม่อมฉันจะได้ดูวิธีขุดค้นเพราะเคยคุ้นกับดอกเตอร์คัลเลนเฟลมาแต่ก่อนแล้ว

หม่อมฉันหวังใจว่าพระองค์ท่านกับทั้งคุณโตและหลานทั้งปวง จะเปนสุขสบายดีอยู่ ได้ยินจากพวกที่มาจากกรุงเทพฯ ว่าที่กรุงเทพฯ ปีนี้ร้อนจัดเหลือเกิน แต่ที่ปีนังนี้อากาศดี ไม่สู้ร้อนนัก กลางคืนตอนดึกยังต้องห่มผ้าทุกคืน

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ