- เมษายน
- วันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- —วันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ พระยาประมวญวิชชาพูล
- —วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- —วินิจฉัยเรื่องยุทธภัยระวางยี่ปุ่นกับอังกฤษ
- —วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ม.ร.ว.อี๋ นพวงศ
- วันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- —พรรณนาพิธีตั้งแต่สังฆราชโรมันคาโธลิค
- วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- พฤษภาคม
- วันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- —อักษรจารึก ที่รูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดโมลีโลก
- —อักษรจารึก ที่รูปสมเด็จพระสังฆราช วัดมหาธาตุ
- —ประกาศตราตระกูล
- —สมโภชพระนครร้อยปี
- —หมายกำหนดการพระราชพิธีเชิญพระบรมรูปจากพระที่นั่งศิวาไลยมหาปราสาท
- —หมายกำหนดการฉลองพระบรมรูปพระบาทสมเดจพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แลวันที่รฦกมหาจักรี
- วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- มิถุนายน
- กรกฎาคม
- สิงหาคม
- วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- —ท่านทราบไหมว่า
- วันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- กันยายน
- วันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- —เล่าเรื่องไปชะวา ครั้งที่ ๓
- วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗
- —คณะกรรมการผู้เริ่มตั้งสมาคมสถาปนิกสยาม
- วันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- ตุลาคม
- วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- —ร่าง ตำนานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
- วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- พฤศจิกายน
- วันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗
- วันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร (๒)
- วันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- ธันวาคม
- วันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- มกราคม
- กุมภาพันธ์
- มีนาคม
- วันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- วันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- —กฎมณเฑียรบาลพะม่า
- วันที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- วันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
- —กฎมณเฑียรบาลพะม่า (ต่อ)
- วันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- —บันทึกความสำนึกในวิธีราชาภิเษกแบบพะม่า
- วันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- —บันทึกข้อที่น่าใส่ใจในกฎมนเทียรบาลของพะม่า (ภาค ๒)
วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๗ ดร
Cinnamon Hall,
206 Kelawei Road, Penang. S.S.
วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๗๗
ทูล สมเด็จกรมพระนริศร ฯ
หม่อมฉันได้รับลายพระหัตถ์ฉะบับลงวันที่ ๒๐ ขอทูลสนองความในลายพระหัตถ์ซึ่งเปนข้อขำก่อน คือเรื่องที่เสด็จข้ามไปวัดประยูรวงศนั้น ในเวลาเมื่อหม่อมฉันอ่านลายพระหัตถ์ตรงนั้น ใจก็นึกอยากรู้ตามไปว่าในที่สุดจะตกลงเสด็จเรืออะไร และลงท่าไหน จนถึงออกชื่อสะพานพระพุทธยอดฟ้าจึงนึกได้ว่าที่จริงไม่ต้องลงเรือ จึงขอทูลให้ทรงทราบว่าไม่งุ่มง่ามแต่ท่านพระองค์เดียวเท่านั้น
เรื่องที่พระยาธรรมสารเนตร์๑ฯ พิมพ์หนังสือพงศาวดารรัชชกาลที่ ๔ แจกนั้นเปนการดีอยู่ เขามีฉะบับของเจ้าพระยาทิพากรวงศ๒ ซึ่งตกต่อมาถึงเจ้าพระยาภาณุวงศ๓บิดาของเขา แล้วเลยเปนมรดกตกอยู่แก่ตัวเขาใช้เปนต้นฉะบับ หนังสือฉะบับนี้หม่อมฉันเคยยืมมาสอบกับฉะบับของหอพระสมุด ฯ ซึ่งคัดสำเนามาจากฉะบับหอหลวง แต่ฉะบับที่พิมพ์ขึ้นเจ้าภาพยังไม่ได้ส่งมาให้หม่อมฉัน และหม่อมฉันเกรงว่าเขาจะไม่ส่ง ถ้าท่านโปรดหาประทานมาได้สัก ๒ ฉะบับจะเปนพระเดชพระคุณนักหนา
เรื่องที่จะทูลบันเล็งในสัปดาหะนี้ หม่อมฉันไปพบเค้าเงื่อนในพงศาวดารรัชชกาลที่ ๔ แห่ง ๑ ที่ในหนังสือราชกิจจานุเบกษาปีจอ พ.ศ. ๒๔๑๗ อีกแห่ง ๑ เปนเหตุให้คิดปรารภขึ้น คือเรื่องทหารที่เรียกว่า “เกณฑ์หัดอย่างยุโรป” พิเคราะห์ตามอธิบายของศัพท์ที่เอามาประสมกันนั้น “ทหาร” หมายความว่า พลรบ “เกณฑ์” หมายความว่า ฉะเพาะจำพวกหนึ่งซึ่งได้เลือกสรร มิใช่ทหารอย่างสามัญ “หัด” หมายความว่า ทหารพวกนั้นไม่ใช่แต่แต่งตัวและถือศาสตราวุธอย่างพวกทหารอาสาเช่นพวกนั่งกลาบาต มีวิชชาอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะต้องหัดให้ชำนาญด้วย “อย่างยุโรป” เปนอธิบายต่อมาจากศัพท์ก่อนว่าหัดตามแบบทหารฝรั่งดังนี้ วินิจฉัยข้อต้น คำว่า “ยุโรป” นั้นเปนสำเนียงอังกฤษหรืออเมริกันเรียก ไทยเราเรียกกันแต่โบราณตามสำเนียงแขกว่า “อิหรอป” เช่นดินปืนชนิดหนึ่งเรียกกันว่า “ดินอิหรอป” ส่อให้เห็นว่าคำยุโรปนั้นเราเรียก “อิหรอบ” อยู่ก่อน มาเปลี่ยนเรียกว่า “ยุโรป” เมื่อชั้นหลัง ชวนให้คิดปัญหาว่าทหารเกณฑ์หัดอย่างยุโรปจะมีขึ้นเมื่อใด
ว่าตามหลักฐานในพงศาวดารที่เรียกว่า ทหารอาสานั้นมีมาก่อนเก่า มักเปนพวกต่างภาษาที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ในพระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้รับความยกเว้นไม่ต้องทำราชการเหมือนอย่างไทยที่เปนพลเมือง เวลามีงานราชสงคราม พวกเหล่านั้นรับไปช่วยรบพุ่งเปนการสนองพระเดชพระคุณ มีตัวอย่างเช่นพวกโปรตุเกศไปช่วยรบพะม่าครั้งสมเด็จพระชัยราชาธิราชเปนต้น พวกอาสาจาม อาสายี่ปุ่นและอาสาพวกอื่น ๆ ก็เปนทำนองเดียวกัน เมื่อไปรบพุ่งก็รบตามถนัดของตน พวกอาสาโปรตุเกศจึงได้นามว่าทหารแม่นปืน การที่เกณฑ์ไทยให้ฝึกหัดเปนทหารตามแบบฝรั่ง ปรากฏในพงศาวดารว่าแรกมีในรัชชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เกณฑ์คนให้นายทหารฝรั่งเศสคน ๑ ชื่อเชวเลีย เดอ ฟอแบงค์ เปนผู้ฝึกหัดประจำรักษาป้อมวิชัยประสิทธิ์ที่เมืองธนบุรี แต่คงไม่เรียกว่าเกณฑ์หัดอย่างยุโรป เพราะตามภาษาฝรั่งเศสเรียก ยุโรป ว่า อูรบ เมื่อสิ้นแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชไทยไล่พวกฝรั่งเศสไปจากเมืองไทย ทหารเกณฑ์หัดพวกนั้นก็เปนอันยกเลิก และไม่ปรากฏในพงศาวดารว่ามีทหารไทยที่เอาอย่างยุโรปต่อมา จนถึงรัชชกาลที่ ๒ กรุงรัตนโกสินทร บริษัทรัฐบาลอินเดียของอังกฤษแต่งให้ ครอเฟิด เปนทูตเข้ามากรุงเทพ ฯ มีทหารแขกอินเดียที่หัดอย่างฝรั่ง อังกฤษเรียกว่า ทหารสิปอย เข้ามาในเรือกำปั่นรบด้วย ดูเหมือนจะได้เห็นทหารอย่างฝรั่งที่ในกรุงรัตนโกสินทร์เปนครั้งแรกในคราวนั้น เมื่อครอเฟิดกลับไปแล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงโปรด ฯ ให้จัดไทยเปนทหารแต่งตัวอย่างสิปอยขึ้นพวก ๑ ไทยเรียกว่า “ทหารสิป่าย” หม่อมฉันได้เคยเห็นรูปภาพในหนังสือฝรั่งแต่งเรื่องเมืองไทยสมัยนั้น มีทหารสิป่ายยืนแถวอยู่สัก ๓๐ คน แต่จำนวนทหารสิป่ายทั้งหมดจะมีเท่าใด และในเวลานั้นยังไม่มีครูฝรั่ง ใครจะเปนผู้หัดและจะใช้ราชการอย่างใดไม่ปรากฏ หม่อมฉันสันนิษฐานว่าที่ทูลกระหม่อมทรงจัดทหารรักษาพระองค์ (พวกตาหว่างที่เรารู้จักกัน) สำหรับยืนเฝ้าทวารพระราชฐานนั้น จะทรงอนุโลมมาจากทหารสิป่ายนั่นเอง แต่ก็ยังไม่เรียกว่าทหารเกณฑ์หัดอย่างยุโรป ครั้นถึงรัชชกาลที่ ๓ เมื่อเตรียมป้อมปราการต่อสู้ญวนและอังกฤษ ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจัดญวนและเขมรเข้ารีตเปนทหารปืนใหญ่ และให้สมเด็จเจ้าพระยา ฯ เมื่อยังเปนที่พระยาศรีสุริยวงศ จัดพวกมอญฝึกหัดเปนทหารปืนเล็กอย่างฝรั่ง สำหรับรักษาป้อมปราการ แต่ครูฝรั่งก็ยังไม่มี มีแต่พวกมิชชันนารีอเมริกันเข้ามาตั้งแล้ว และได้ช่วยท่านทั้ง ๒ นั้นแปลตำหรับตำราภาษาอังกฤษ ตำราปืนใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งเมื่อรัชชกาลที่ ๓ ก็ยังปรากฏอยู่ มามีคำเรียกว่า “ทหารอย่างยุโรป” แรกปรากฏในความที่พรรณนาการพระราชพิธีบรมราชาภิเศกของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหนังสือพงศาวดารของเจ้าพระยาทิพากรวงศว่า เมื่อวันเสด็จออกท้องพระโรงนั้นมี “ทหารอย่างยุโรป” ยืนแถวที่หน้าพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ๒๐๐ คน จะเปนทหารที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงควบคุมกองร้อยหนึ่ง ที่สมเด็จเจ้าพระยา ฯ ควบคุมกองร้อยหนึ่ง หรือจะมีทหารไทยอย่างยุโรปอีกกรมหนึ่งซึ่งจัดขึ้นเมื่อรัชชกาลที่ ๓ ข้อนี้สงสัยอยู่ นอกประตูพิมานชัยศรีมีทหารอาสาสิบหมู่ (คือพวกนั่งกลาบาต แต่ให้ยืน) รายทางต่อไปอีก ๑,๐๐๐ คน พวกนี้คือทหารอาสาอย่างเดิม
คำว่า “ทหารเกณฑ์หัดอย่างยุโรป” น่าจะเกิดขึ้นเมื่อในรัชชกาลที่ ๔ ด้วยมีในจดหมายเหตุบางกอกคาเลนดาร์ของหมอบรัดเล ว่าในปีกุนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชย์นั้นเอง มีนายร้อยเอกทหารอังกฤษคน ๑ ชื่ออิมเปย์ Impey (ที่เปนครูของหลวงรัดรณยุทธ์ เล็ก ที่เปนครูของเรา) เข้ามาจากอินเดียมาขอรับราชการ จึงโปรด ฯ ให้จ้างไว้ฝึกหัดทหารไทย ข้อนี้เปนหลักฐานว่าทหารกรมต่าง ๆ ที่ฝึกหัดตามแบบฝรั่ง และใช้คำบอกทหารเปนภาษาอังกฤษ เริ่มเกิดขึ้นแต่ปีกุนนั้น ส่วนทหารเก่าที่ฝึกหัดมาแต่รัชชกาลที่ ๓ ปรากฏว่าทหารญวน (พวกพระยาบันลือ) ย้ายไปเปนทหารวังหน้า และเข้าใจว่าพวกทหารมอญย้ายไปเปนทหารมรีน ขึ้นอยู่ในสมเด็จเจ้าพระยา ฯ เมื่อเปนที่สมุหพระกลาโหม ด้วยเริ่มจัดการทหารเรือขึ้นในครั้งนั้นเหมือนกัน ส่วนพวกทหารบกที่ให้ครูอิมเปย์หัดนั้นเกณฑ์คนในกรมต่าง ๆ ส่งไปเปนทหาร ฝึกหัดจัดการบังคับบัญชาและมีโรงที่อยู่ประจำตามแบบทหารฝรั่ง การเหล่านี้เริ่มเกิดขึ้นในรัชชกาลที่ ๔ ทั้งนั้น
ปัญหามีต่อมาว่าทหารเกณฑ์หัดอย่างยุโรปที่จัดขึ้นในรัชชกาลที่ ๔ มีกี่กรม ข้อนี้มาพบเค้าเงื่อนในหนังสือราชกิจจารัชชกาลที่ ๕ เมื่อปีจอซึ่งหม่อมฉันคัดสำเนาถวายมากับจดหมายฉะบับนี้ ว่าด้วยทหารถือน้ำประจำเดือน มีรายชื่อกรมทหาร ๙ กรม (ไม่ได้นับทหารมหาดเล็ก เพราะไม่ได้ถือน้ำประจำเดือน) น่าพิจารณาว่าทหารกรมไหนมีขึ้นรัชชกาลไหน ขอให้ช่วยทรงพิจารณาและสืบสวนถ้ายังสามารถจะสืบได้ หม่อมฉันจะทูลความวินิจฉัยของหม่อมฉันในจดหมายสัปดาหะหน้าต่อไป เพราะไม่มีเวลาพอจะเขียนให้ทันเมล์นี้ได้
ได้ความรู้แปลกขึ้นอีกอย่างหนึ่งว่าประเพณีทหารถือน้ำประจำเดือนที่เราได้เคยเห็นกันเมื่อแรกเปนทหารอยู่นั้น เปนประเพณีพึ่งเกิดขึ้นใหม่ในรัชชกาลที่ ๕ ด้วยความคิดของพระยาพิชัยสงคราม (อ่ำ)๔ เมื่อยังเปนพระอินทรเทพ แต่เปนการถูกต้องตามแบบแผนทีเดียว แต่ก่อนหม่อมฉันเคยคิดสงสัยอยู่ว่าเพราะเหตุใดการพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒสัตยาจึงมีปีละ ๒ ครั้ง ครั้นไปอ่านหนังสือฝรั่งเศสแต่งว่าด้วยขนบธรรมเนียมไทยครั้งรัชชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พบอธิบายว่าไพร่หลวงต้องเข้ามาประจำราชการปีละ ๖ เดือน จึงจับเหตุได้ว่าในเวลาเปลี่ยนคนเข้ามาประจำราชการอยู่ใกล้พระองค์ จึงให้ถือน้ำเสียก่อน เปลี่ยนกันปีละ ๒ ครั้งจึงมีการพิธีถือน้ำปีละ ๒ ครั้ง เมื่อมาตั้งกรมทหารกำหนดเวลาให้ผลัดเปลี่ยนกันเข้าเวรเดือนหนึ่ง ออกเวรสองเดือน จึงต้องให้คนที่เข้ามาใหม่ถือน้ำในเวลาเปลี่ยนทุกเดือน อันนี้เปนมูลของทหารถือน้ำประจำเดือน
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด