วันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ น

ตำหนักปลายเนีน คลองเตย

วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๔๗๗

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรง ทราบฝ่าพระบาท

เกล้ากระหม่อมเขียนหนังสือกราบทูลตอบลายพระหัตถ์ซึ่งลงวันที่ ๓ ยังไม่สิ้นข้อที่จับใจ ในเรื่องที่ตรัสเล่าถึงได้ไปทอดพระเนตรแห่พระขันธกุมารอีกครั้งหนึ่งนั้น ทำให้นึกไปถึงระเบงงานโศกันต์เขาไกรลาส ตัวที่เราเรียกว่าพระกาลนั้นหาใช่ไม่ ที่แท้เปนพระขันธกุมาร เพราะขี่นกยูง และพระขันธกุมารนั้นมีกำเนิดจากพระศิว เปนผู้ทรงศักดิเลิศในการรบ มาขัดทัพกษัตริย์ร้อยเอ็จเจ็ดพระนครมิให้ขึ้นไปไกรลาสนั้น สมด้วยเหตุผลหมดทุกอย่าง แต่พวกตากษัตริย์ร้อยเอ็จเจ็ดพระนครแกจะไปไกรลาสทำไม ในคำร้องมีว่า “รักแก้วข้านี่เอยจะไปไกรลาส” เปนความว่าจะไปตามหาผู้หญิง นิทานเรื่องนี้ยังไม่เคยพบเห็นที่ไหนเลย

ข้อที่ตรัสเล่าถึงแตรรูปตัว S นั้น เปนการเพิกถอนความโง่เขลาของเกล้ากระหม่อมไปได้อย่างใหญ่หลวงทีเดียว เกล้ากระหม่อมเคยเห็นรูปเขียนเขียนแตรรูปดังนี้มาเปนอันมาก แต่เข้าใจเสียว่าตั้งใจจะเขียนแตรฝรั่งแต่เขียนไม่ถูก เพิ่งจะมาทราบว่าที่แท้เปนแตรแขก มีรูปเช่นนั้นจริงๆ ดีใจอย่างยิ่งที่ได้ความรู้อันนี้ ยังมีประสงค์ต่อไปอยากทราบชื่อว่าเขาเรียกอะไร ถ้ามีโอกาศได้ทรงพบปะตาพราหมณ์ใจดีคนนั้นแล้วโปรดตรัสถามแกดูด้วย

ตาพราหมณ์ใจดีที่ถวายกระแจะให้ทรงเจิมเองนั้น เปนกิริยาอัชฌาศัยอ่อนน้อมมาข้างไทยเสียแล้ว แบบของเขาเห็นจะต้องพราหมณ์เจิมถวาย เช่นพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงตรัสเล่าถึงเมื่อเสด็จไปเมืองลังกา พอเสด็จขึ้นที่ท่าเรือมีคนมารับเสด็จหรือมาคอยดูอยู่สับสน มีตาพราหมณ์คนหนึ่งตรงเข้ามาเฝ้า แกกำตลับกระแจะมาในมือก็ไม่ทันทรงสังเกตไม่บอกเล่าเก้าสิบอะไร พอถึงพระองค์ก็เจิมพระพักตร์ผับเข้าด้วยไม่ทันรู้พระองค์ ทรงรู้สึกฉุน แต่ว่าต้องนิ่งเลยตามเลย

ในการสืบเสื้อยศสีกรมนั้น มีอินสิเดนต์เกิดขึ้นขันพิลึก ด้วยเกล้ากระหม่อมไปหาพระยามหานิเวศน์ที่บ้านไม่พบ เขาบอกว่าไปสโมสรคือสโมสร YMCA อยู่ที่บุนอิดศิลปาคาร ใกล้บ้านพระยามหานิเวศน์สักญี่สิบหรือสามสิบก้าวเท่านั้น เกล้ากระหม่อมจึงตามไปหาที่สโมสร สนทนากันด้วยไม่ทันนึกว่าจะมีเหตุเภทพานประการใดเลย แต่ต่อมาอีกสามวัน ได้รับหนังสือฝรั่งลงชื่อมิสเตอร์ซิมเมอมานน์ ว่าเสียใจมากที่เสด็จไปเยี่ยมสโมสรไม่ได้เฝ้า เรากลับเสียก่อนคลาศไม่กี่นาที เขามีความยินดีเปนอันมากที่ทรงใฝ่พระทัยในสโมสรของเขา คราวที่เสด็จไปเยี่ยมแล้วนั้นเปนแต่การไปรเวต เขาอยากให้เสด็จไปอีกครั้งหนึ่งเปนทางราชการ เขาจะรับรองให้สมควรแต่พระเกียรติยศเปนการเปิดสโมสร YMCA เกล้ากระหม่อมตกใจสิ้นสติ นำคดีไปปรึกษาองค์อาทิตย์ เพราะเธอเข้าใจในทางฝรั่งมังค่า เธอรับว่าไม่เปนไร เธอจะไปพูดไกล่เกลี่ยขอระงับกับมิสเตอร์ซิมเมอมานน์

เรื่อง เถร - ตาเถร - นั้นพร้อมที่จะกราบทูลได้แล้ว ได้เรียนถามสมเด็จพระวันรัตน ท่านบอกได้เกินคาดหมาย ท่านบอกว่าเปนพวกครึ่งพระครึ่งเณร อาศัยวัดอยู่ตามศาลามุขหน้าโบสถ์หลังโบสถ์พระระเบียงหรือพะเพิงอะไรตามแต่จะหาได้ โดยมากพึ่งพระสงฆ์ขอผ้าและอาหารเหลือไปบริโภค ทำการให้แก่วัดให้แก่พระสงฆ์ตามใจสมัค ศีลนั้นไม่ปรากฏว่าถืออย่างไร อาจเปนศีลสิบ ศีลแปด ศีลห้า หรือไม่ถือศีลเลยก็ได้ การนุ่งห่มนั้นใช้ผ้าเหลืองตามแต่จะหาได้ ลางคนก็นุ่งแต่ผ้าอาบหรือสบงเท่านั้น ลางคนก็มีผ้าพาดบ่าอย่างที่เรียกว่าพาดควาย ลางคนก็มีไตรจีวรครองเหมือนพระสงฆ์ ความประพฤติลางคนก็ดูดีเห็นเหมือนพระภิกษุมีคนเคารพนับถือก็มี ที่ประพฤติเลวทรามมีสูบกัญญาเปนต้นไม่มีคนนับถือก็มี ถามท่านว่าท่านได้เห็นเองหรือได้ยินคำบอกเล่ามา ท่านตอบว่าได้เห็นเองทีเดียว แต่ก่อนมีมากมีที่วัดสระเกศเปนมากกว่าที่วัดอื่น

ถามท่านว่า คำเถรเปนคำดี ทำไมจึงเอามาใช้เรียกพวกนี้ ท่านว่าก็ไม่ทราบ แต่ท่านผู้ใหญ่ท่านปรับไว้ว่าเปนพวก “วิฆาสาท” ซึ่งมีมาในพระบาลี แปลว่าพวกกินเดน เกล้ากระหม่อมกลับมาบ้านก็พลิกดิกชนารีบาลีของจิลเดอร์ดู พบแปลว่าผู้กินอาหารเหลือ ไม่ได้ความรู้อะไรมากขึ้นไปอีกเลย ครั้นลูกเณรงั่วมาหาถามดูว่าได้พบศัพท์วิฆาสาทบ้างหรือไม่ แกว่ามีถมไปในนิทานธรรมบท เปนพวกเที่ยวทำลามกอะไรต่าง ๆ ถามแกว่าที่เปนนักบวชหรือมิใช่ แกบอกว่าไม่แน่ ไม่เหมือนพวกนิครนถ์และอาชีวก นั่นเปนนักบวชแน่ แต่พวกวิฆาสาทนั้นเปนคนที่มีบ้านเรือน มีบุตรภรรยาอยู่ก่อนก็มี แล้วสละทิ้งไปถือเอาเภทวิฆาสาท ถ้าฟังตามนี้ดูก็น่าจะเปนนักบวช แต่ประพฤติลามกหนัก มีโกงอยู่ในนั้นมาก เกล้ากระหม่อมจึงลองค้นดิกชนารีสํสกฤตของโมเนียวิลเลียมส์สอบดู ได้ความยาวออกไปอีกหน่อยว่า “วิฆส” แปลว่าที่อันคนนำเครื่องเซ่นไปเซ่นเทวดาหรือผีญาติ “วิฆสาศ” คนกินเครื่องเซ่นอันเหลืออยู่ เกล้ากระหม่อมมานึกดู เห็นว่าจะได้แก่ที่ฝรั่งเรียกว่า Mendicant พบในนิทานอินเดียนแฟริเตล แม้ภิกษุศิษย์พระพุทธเจ้าก็คงได้ประพฤติมาเช่นเดียวกันนี้เมื่อมีผู้ติเตียน พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติสิกขาบทให้รับประเคนขึ้น

เหตุที่พวกตาเถรถือศีลไม่มีกำหนดเหมือนพวกยายชี การนุ่งห่มก็ไม่มีระเบียบว่านุ่งอย่างไร นอกจากว่าตาเถรได้ผ้าเหลือง ยายชีใช้ผ้าขาวแล้วก็อาศัยวัดเปนที่อยู่เหมือนกัน และมีนิสสัยลามกเหมือนกัน ตาเถรเปนชาย ยายชีเปนหญิง จึงมีนิทานตาเถรกับยายชีสมคบกันทำลามกอยู่เปนอันมาก ตาเถรมีรูปเปนภิกษุ แต่ไม่มีศีลเท่าภิกษุ และแก่เกินเณร ในกฎหมายท่านจึงวางไว้ในระหว่างภิกษุกับเณร ใช้คำติดกันว่าพระภิกษุสงฆ์เถรเณร เปนการประหลาดที่คำเถรเปนคำดี ทำไมจึงเอามาเรียกปนชื่อพวกลามกนี้ แล้วยังมีประหลาดต่อไปอีก ที่ภิกษุผู้ต้องอธิกรณเรียกว่าสมี ซึ่งมาแต่สามิอันเปนคำดีเหมือนกัน ในการที่เอาคำเถรมาเรียกเปนชื่อคนลามกนี้ ทูลกระหม่อมทรงรู้สึกเดือดร้อนพระทัย จึงทรงบัญญัติให้เขียนเปน “เถน” ซึ่งภาษาบาลีแปลว่าขะโมย อยู่ข้างจะเกินเหมาะไปสักหน่อย

ถ้าจะปรับคนที่มีศรัทธามาลาเข้าเปนพวกพุทธบริษัท ภิกษุสงฆ์ก็ได้แก่สมณ เณรก็ได้แก่สามเณร ตาปะขาว (คือชายนุ่งขาว) ได้แก่อุบาสก ยายชีได้แก่อุบาสิกา ส่วนตาเถรนั้นขวาง ขยับไปข้างจะเปนลักเภท ที่เกิดเห็นจะมาได้สองทาง คือบวชเปนเณรแล้วไม่บวชเปนพระเมื่ออายุครบ และไม่สึกนั้นอย่างหนึ่ง หรือบวชเปนพระแล้วประพฤติตัวเหลวไหล เลื่อนลงเปนเถร เช่น เสภาเรื่องเถรสัง ซึ่งพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย) แต่งไว้นั้นอีกอย่างหนึ่ง ชาวบ้านจะมาถือเอาเภทเปนตาเถรเห็นจะไม่มี เจ้าพระฝางและฐานาของท่านนั้นไม่ใช่อื่น คือพวกตาเถรนี้ทีเดียว พวกตาเถรอยู่ในฐานะที่ประพฤติผิดกฎหมาย เมื่อการบริหารพระสาสนาเข้มงวดเข้าจึงต้องสูญหายไป คงมีอยู่ไม่ได้ ฟักทองแกงบวช คงเปนฟักทองแกงบวชเถรเพราะมีลักษณเปนสีเหลือง คู่กับกล้วยบวชชีซึ่งมีลักษณเปนสีขาว

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

  1. ๑. สมเด็จพระวันรัต (แพ ติสฺสเทโว) วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นสมเด็จพระวันรัตฯ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๒ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๑ แล้วได้เลื่อนขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๔๘๑-๒๔๘๘)

  2. ๒. พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ