- คำนำ
- คำอธิบาย
- เนื้อเรื่องย่อ
- สมุดไทยเล่มที่ ๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๑๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๑๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๑๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๑๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๑๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๑๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๑๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๑๗
สมุดไทยเล่มที่ ๓๘
๏ บัดนั้น | สุกรสารฤทธิแรงแข็งขัน |
เห็นวานรออกมาแล้วตรวจกัน | ตกใจตัวสั่นไม่สมประดี |
ลับล่อรออยู่จนสุดท้าย | ตาหมายเขม้นจะเหาะหนี |
เวียนวนวุ่นวายเป็นหลายที | ไม่รู้ที่จะลอดออกไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | คำแหงหนุมานทหารใหญ่ |
เห็นวานรสุดท้ายตกใจ | ลับล่อมิใคร่จะออกมา |
จึ่งพินิจพิศดูสำคัญ | ก็เห็นมั่นเหมือนคำพิเภกว่า |
เผ่นโผนโจนจับอสุรา | ด้วยกำลังฤทธาว่องไว ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ รวบรัดกระหวัดไม่วางกร | วานรจิกเศียรไว้ได้ |
รูปนั้นไม่เป็นกระบี่ไพร | กลับไปเป็นเพศกุมภัณฑ์ |
อันโยธาวานรทั้งหลาย | ไพร่นายกริ้วโกรธตัวสั่น |
ผูกมัดทุบถองตีรัน | รุมกันฉุดลากมาทันที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เตียว
๏ ครั้นถึงจึ่งประณตบทบงสุ์ | ทูลองค์พระนารายณ์เรืองศรี |
ซึ่งโองการให้จับอสุรี | บัดนี้ได้ตัวมันมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
ฟังวายุบุตรก็ปรีดา | ผ่านฟ้าสั่งลูกพระอาทิตย์ |
จงถามอสุราสาธารณ์ | ที่มันอาจหาญทะนงจิต |
ผู้ใดใช้สอยเป็นต้นคิด | ไม่เกรงฤทธิ์มาปลอมโยธี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พญาสุครีพกระบี่ศรี |
รับราชบรรหารพระจักรี | ยอกรชุลีแล้วออกมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึ่งตั้งกระทู้ซักถาม | นามมึงชื่อไรไอ้ยักษา |
อยู่ไหนจึ่งแปลงกายา | มาปลอมโยธาพลไกร |
ไม่กลัวว่าตัวจะวายปราณ | ใครคิดอ่านใช้สอยเป็นไฉน |
จงให้การแต่ตามสัจจริงไป | ประสงค์สิ่งไรดั่งนี้ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | อสูรสุกรสารยักษี |
ความกลัวเพียงสิ้นชีวี | ให้การตามที่เป็นเรื่องมา |
ตัวข้าชื่อว่าสุกรสาร | ถิ่นฐานบ้านเรือนเคหา |
อยู่เกาะพิชัยลงกา | เป็นข้าทศกัณฐ์อสุรี |
เหตุด้วยศิลานั้นปลิวไป | ตกลงในเมืองยักษี |
พญามารสงสัยพันทวี | ตรัสใช้ข้านี้ให้มาดู |
จึ่งนิมิตกายาเป็นเหยี่ยว | บินเที่ยวมาเห็นก็ราอยู่ |
จะกำหนดกฎหมายไปให้รู้ | ว่าหมู่โยธาของผู้ใด |
เหล่าลิงทิ้งศิลาดั่งห่าฝน | ถูกปีกไม่ทนอยู่ได้ |
ความเจ็บสุดที่จะบินไป | จนใจก็ตกลงมา |
ข้าจึ่งนิมิตเป็นวานร | ปลอมพลนิกรซ่อนหน้า |
ทั้งนี้ตามแต่จะเมตตา | โทษาถึงสิ้นชีวี ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | พญาสุครีพกระบี่ศรี |
ซักไซ้ไถ่ถามอสุรี | ได้ความถ้วนถี่ทุกสิ่งอัน |
จึ่งใช้วานรเสมียน | เขียนเอาถ้อยคำให้มั่น |
เสร็จแล้วก็รีบจรจรัล | มาสุวรรณพลับพลาอลงการ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ จึ่งน้อมเศียรเกล้าบังคมทูล | นเรนทร์สูรปิ่นภพมหาสถาน |
เสร็จสิ้นตามคำขุนมาร | ท่ามกลางทหารชาญฤทธิ์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์จักรกฤษณ์ |
แจ้งว่าทศเศียรปัจจามิตร | คิดแต่งมาปลอมโยธี |
จึ่งมีพระราชบัญชา | ให้ปรึกษาโทษยักษี |
อันไอ้สุกรสารตนนี้ | โทษมันจะมีประการใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนาวานรน้อยใหญ่ |
รับสั่งพระองค์ทรงภพไตร | บังคมไหว้แล้วรีบออกมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ พร้อมหมู่มนตรีทวยหาญ | ชมพูพานเรียงคำปรึกษา |
ว่าพระอัยการบุราณมา | ถ้าว่าข้าศึกบังอาจใจ |
สองตนเข้ามาปลอมทัพ | โยธานั้นจับตัวได้ |
ผู้หนึ่งทำโทษแล้วปล่อยไป | ผู้หนึ่งให้มล้างชีวิต |
เสียบประจานไว้หน้าทัพขันธ์ | ให้สาใจมันที่โทษผิด |
สุกรสารเป็นพวกปัจจามิตร | คิดการผู้เดียวปลอมมา |
ฆ่าเสียก็ไม่เป็นเกียรติยศ | ควรงดชีวิตยักษา |
แต่ให้เฆี่ยนทะเวนอสุรา | สักหน้าปล่อยไปให้นายมัน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | สุครีพลูกพระสุริย์ฉัน |
เสร็จปรึกษาโทษกุมภัณฑ์ | ก็พากันไปเฝ้าพระจักรี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึ่งน้อมเศียรเกล้าบังคมบาท | ทูลพระภูวนาถเรืองศรี |
ตามคำวานรเสนี | ที่ปรึกษาโทษอสุรา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
ฟังคำปรึกษาเสนา | ผ่านฟ้าสอดคล้องต้องพระทัย |
จึ่งมีบัญชาประกาศิต | สั่งลูกพระอาทิตย์ผู้ใหญ่ |
จงทำตามปรึกษาที่ว่าไว้ | ให้สมนํ้าหน้าอสุรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พญาสุครีพกระบี่ศรี |
รับสั่งสมเด็จพระจักรี | ถวายอัญชุลีแล้วออกมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึ่งสั่งราชมัลใจหาญ | เอาไอ้สุกรสารยักษา |
ผูกเข้าลงราชอาญา | ตามบัญชาสั่งพระทรงธรรม์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ราชมัลวานรตัวขยัน |
ได้ฟังลูกพระสุริยัน | ก็ฉุดลากกุมภัณฑ์เข้ามา |
ปักหลักแล้วใส่คาเข้า | ผูกเอวผูกเท้ายักษา |
บีบขมับบีบมือเป็นโกลา | ลงอาญาเฆี่ยนไปไม่ปรานี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ แล้วสักเป็นตีนกาลง | ที่ตรงหน้าผากยักษี |
เพชฌฆาตราชมัลตัวดี | ก็พาอสุรีทะเวนไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ นายฉม่องตีฆ้องให้ร้องขาน | ประจานไปรอบทัพใหญ่ |
เตือนตีมิได้อาลัย | ฉุดไล่อื้ออึงคะนึงมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ลูกพระอาทิตย์ฤทธิ์กล้า |
ครั้นเสร็จให้ถอดอสุรา | ปล่อยไปลงกาธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ฝ่ายสุกรสารยักษี |
ครั้นวานรปล่อยก็ยินดี | อสุรีเหาะข้ามสมุทรไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงขึ้นเฝ้าเจ้าลงกา | กราบกับบาทาแล้วร้องไห้ |
ทูลว่าพระองค์ทรงฤทธิไกร | ใช้ข้าไปดูเหตุการณ์ |
จึ่งนิมิตกายาเป็นเหยี่ยว | บินเฉี่ยวไปบูรพ์ทิศาล |
บินข้ามมหาชลธาร | พบพวกบริวารวานร |
พ้นที่จะนับคณนา | ล้วนมีศักดาชาญสมร |
ต่างต่างสำแดงฤทธิรอน | เอาสิงขรเขาทุ่มทิ้งกัน |
ศิลาแตกลอยกระเด็นตรง | ถูกปีกตกลงเพียงอาสัญ |
จึ่งอุบายนิมิตเข้าปลอมมัน | ลิงนั้นจับข้าพาไป |
ยังที่กองทัพพลับพลา | เนินคันธกาลาเขาใหญ่ |
เห็นพิเภกอนุชาภูวไนย | เป็นใจไปอยู่ด้วยไพรี |
อันจอมโยธานั้นพระราม | สั่งให้ซักถามถ้วนถี่ |
แล้วลงอาญาเฆี่ยนตี | ปิ้มสิ้นชีวีจึ่งปล่อยมา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ทศพักตร์สุริย์วงศ์ยักษา |
แจ้งว่าพระรามยกโยธา | มาตั้งยังท่านที |
พิเภกไปอยู่เป็นข้าเฝ้า | ให้ร้อนเร่าฤทัยดังไฟจี่ |
หนักอกหนักใจพันทวี | อสุรีนิ่งนึกตรึกไป |
เห็นทีไอ้นี่จะบอกการ | จึ่งคิดอ่านจับสุกรสารได้ |
ไว้ช้าน่าที่จะมีภัย | มันจะสาวไส้ให้กากิน |
จำกูจะคิดอุบาย | ไปทำลายศึกเสียให้สิ้น |
ทั้งไอ้พิเภกใจทมิฬ | จะให้กินแหนงแคลงกัน |
แม้นพระรามขับจากพลับพลา | จะตามฆ่าให้ม้วยอาสัญ |
คิดแล้วยอกรอภิวันท์ | กุมภัณฑ์ร่ายเวทอันเชี่ยวชาญ ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ ตระ
ชมตลาด
๏ กลายองค์ทรงเพศเป็นโยคี | พร้อมเครื่องอาหุดีบริขาร |
เจิมจุณสอดใส่สังวาล | ดั่งองค์พรหมานลงมา |
มือซ้ายถือไม้เท้าจ้อง | มือขวาถือพัดป้องบังหน้า |
เหาะระเห็จออกจากลงกา | ด้วยกำลังฤทธาว่องไว ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ รวดเร็วดั่งหนึ่งพระพาย | หมายคันธกาลาเขาใหญ่ |
ครั้นถึงฟากฝั่งสมุทรไท | ก็ลงในพ่างพื้นปัถพี |
แล้วจึ่งดำริตริการ | ด้วยปรีชาชาญยักษี |
แม้นจะเข้าไปบัดนี้ | น่าที่พิเภกอสุรา |
มันจะล่วงรู้อุบายกล | ว่ากูแปลงตนเป็นชีป่า |
จะบอกพระลักษมณ์พระรามา | เห็นว่าจะเสียการไป |
จำจะผูกจิตเสียให้มั่น | อย่าให้มันเจรจาออกได้ |
คิดแล้วอ่านเวทอันเกรียงไกร | ตามในลัทธิอสุรี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ ตระ
๏ ครั้นเสร็จก็จับไม้เท้าจ้อง | พักตร์ป้องตามเพศฤๅษี |
แกล้งทำสำรวมอินทรีย์ | เข้าไปยังที่พลับพลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ พราหมณ์เข้า
๏ ไปถึงหน้าฉานก็ยืนอยู่ | ชำเลืองแลดูทั้งซ้ายขวา |
เห็นหมู่วานรเสนา | เฝ้ากลาดดาษดาประนมกร |
แต่ละตนท่วงทีองอาจ | สามารถห้าวหาญชาญสมร |
พิเภกสุครีพฤทธิรอน | นั่งหน้าวานรเสนี |
ให้กริ้วโกรธพิโรธดั่งเพลิงพิษ | ยิ่งคิดคับใจยักษี |
ทำร้องอวยพรสวัสดี | แล้วมีวาจาถามไป |
ซึ่งพระองค์ยกพลโยธา | เสด็จมาจะไปหนไหน |
ล้วนเหล่าเสนาวานรไพร | รูปนี้สงสัยในวิญญาณ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระจักรีผู้ปรีชาหาญ |
สำคัญว่าองค์พระอาจารย์ | งามดั่งพรหมานในโสฬส |
มีความปรีดาสถาพร | ด้วยสังวรในอิริยาบถ |
จึ่งกล่าวบรรหารมธุรส | ซึ่งข้ายกทศโยธา |
จะไปสังหารทศกัณฐ์ | ให้สิ้นวงศ์พงศ์พันธุ์ยักษา |
ด้วยมันไปลักนางสีดา | เมียข้ามาไว้ในบูรี |
พระองค์นี้อยู่ตำบลไหน | นามกรชื่อใดพระฤๅษี |
ซึ่งว่ามาหาข้านี้ | มีกิจประสงค์สิ่งใด ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ทศพักตร์ผู้มีอัชฌาสัย |
ได้ฟังจึ่งตอบคำไป | รูปนี้อยู่ในหิมวันต์ |
ชื่อกาลสิทธโคดม | ไปจงกรมกลับมาแต่สวรรค์ |
แจ้งว่าพระองค์ทรงธรรม์ | ยกพวกพลขันธ์วานร |
จะข้ามไปสงครามในลงกา | เมตตามาห้ามพระทรงศร |
อันองค์ท้าวยี่สิบกร | ฤทธิรอนเลิศลํ้าแดนไตร |
มีทั้งทหารชำนาญยุทธ์ | นับด้วยสมุทรก็ว่าได้ |
อันพระองค์จะยกพลไป | ไหนจะครั่นมืออสุรี |
ใช่ว่าสิ้นนางในโลกา | ผ่านฟ้าจะไร้มเหสี |
ถึงได้มาก็เป็นราคี | น่าที่ไม่พ้นอัประมาณ |
ดั่งดวงแก้วตกกลางกองไฟ | อย่าสำคัญจะไม่ร้าวฉาน |
จะตามไปไยให้ป่วยการ | จงเลิกทวยหาญไปพารา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงภพลบโลกนาถา |
ได้ฟังจึ่งมีบัญชา | ว่าไยฉะนี้พระนักธรรม์ |
อันนางสีดายุพาพักตร์ | คือพระลักษมีสาวสวรรค์ |
ถึงจะตกน้ำไฟบรรลัยกัลป์ | อย่าสำคัญว่าจะเป็นราคี |
มาตรแม้นใช่องค์กัลยา | จะตํ่าศักดิ์ลงมาจนทาสี |
มิตามไปมล้างอสุรี | ก็จะมีความอัปยศนัก |
จะว่าข้ากลัวกุมภัณฑ์ | จะเย้ยหยันไยไพทั้งไตรจักร |
ทำไมแก่ไอ้ทศพักตร์ | กับพวกพลยักษ์ในลงกา |
อุปมาเหมือนหมู่มฤคี | หรือจะต่อราชสีห์ตัวกล้า |
จะผลาญเสียด้วยศรศักดา | ให้สิ้นโคตรยักษาอาธรรม์ ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ดาบสทศเศียรรังสรรค์ |
ฟังพระรามกล่าวถ้อยคำฉกรรจ์ | กุมภัณฑ์จึ่งตอบวาที |
ซึ่งรูปว่านี้ด้วยเมตตา | เมื่อมิฟังข้าผู้ฤๅษี |
จะขืนไปรณรงค์อสุรี | ทั้งนี้ก็ตามแต่ความคิด |
ว่าพลางเหลือบแลดูน้อง | ให้ขัดข้องเดือดดาลทะยานจิต |
จะใคร่สังหารผลาญชีวิต | หากว่าใกล้ชิดพระรามา |
จนใจแล้วกล่าวอุบาย | ถามด้วยแยบคายยักษา |
อันวานรผู้ใหญ่เป็นเสนา | กับกุมภัณฑ์นั่งหน้าพลไกร |
ทั้งสองตนนี้ดูประหลาด | เชื้อชาตินามกรเป็นไฉน |
ถิ่นฐานบ้านเมืองแห่งใด | จึ่งได้มาอยู่ด้วยภูมี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระตรีภูวนาถเรืองศรี |
ได้ฟังจึ่งตอบวาที | อสุรีนี้ชาวลงกา |
ชื่อว่าพิเภกกุมภัณฑ์ | เป็นน้องทศกัณฐ์ยักษา |
พี่ชายขับจากพารา | จึ่งมาพึ่งข้าพระอาจารย์ |
วานรนี้น้องพาลี | ชื่อศรีสุครีพใจหาญ |
พี่นั้นเสียสัตย์ปฏิญาณ | ชิงโฉมเยาวมาลย์ดารา |
ศรข้าจึ่งผลาญราญรอน | วานรสิ้นชีพสังขาร์ |
สุครีพคุมพลโยธา | มาอยู่กับข้าด้วยภักดี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ทศกัณฐ์ผู้เป็นฤๅษี |
ได้ฟังทำว่าปรานี | เอะไฉนฉะนี้พระทรงฤทธิ์ |
มาคบอสุราวานร | อันเกิดร่วมอุทรกับคนผิด |
พิเภกก็พวกปัจจามิตร | น้องสนิทขององค์เจ้าลงกา |
อันพาลีพี่ชายสุครีพ | ก็สิ้นชีพด้วยพระองค์เข่นฆ่า |
น้องเขาหรือจะรักผ่านฟ้า | ยิ่งกว่าพี่ตนนั้นผิดไป |
ซึ่งจะคบพงศาปัจจามิตร | เหมือนอสรพิษไม่เลี้ยงได้ |
พระองค์ผู้ทรงฤทธิไกร | ขับเสียให้ไกลบทมาลย์ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกทุกสถาน |
ได้ฟังจึ่งมีโองการ | พระอาจารย์เจรจาไม่ชอบธรรม์ |
ถึงว่าพิเภกนี้เป็นน้อง | ร่วมท้องทศพักตร์โมหันธ์ |
เพื่อนกับพี่ชายก็ผิดกัน | กุมภัณฑ์จึ่งบากหน้ามา |
พึ่งข้าผู้ใช่ญาติวงศ์ | ด้วยความซื่อตรงของยักษา |
อันพญาสุครีพผู้ศักดา | ซึ่งเป็นอนุชาพาลี |
ก็อยู่ในสัจจาสถาวร | สุริย์วงศ์วานรเรืองศรี |
ทั้งสองล้วนกษัตริย์ธิบดี | ไม่มีสิ่งซึ่งทรยศ |
ครองยุติธรรม์กตัญญู | รอบรู้ผิดชอบด้วยกันหมด |
มิได้ทรชนเป็นคนคด | เหมือนคำดาบสเจรจา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ฤๅษีทศพักตร์ยักษา |
ได้ฟังพระรามบัญชา | อสุราจึ่งตอบคำไป |
อันซึ่งรูปว่านี้โดยจริง | ใช่จะชิงชังเขานั้นหาไม่ |
เมื่อพระองค์ไม่ฟังจะเลี้ยงไว้ | นานไปก็จะเห็นร้ายดี |
ถึงมาตรจะทำการณรงค์ | ด้วยองค์ทศเศียรยักษี |
อันโยธาวานรเหล่านี้ | ไหนจะทานฤทธีอสุรา |
สำหรับแต่จะเป็นอาหาร | หมู่มารกินเล่นเป็นภักษา |
พระองค์ก็ทรงปรีชา | ผ่านฟ้าคิดดูให้จงดี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ท้าวพญาวานรกระบี่ศรี |
ได้ฟังวาจาพระมุนี | โกรธดั่งอัคคีบรรลัยกัลป์ |
ขบเขี้ยวเคี้ยวกรามคำรามรน | ต่างตนคั่งแค้นตัวสั่น |
ผูกคิ้วนิ่วหน้ามือคัน | จะใคร่ฟาดฟันให้บรรลัย |
หากเกรงใต้เบื้องบทมาลย์ | ทหารทั้งปวงไม่ทำได้ |
ต่างทูลอาสาภูวไนย | วุ่นไปทุกหมู่โยธา |
บ้างว่าจะไปจับทศกัณฐ์ | มาบั่นเศียรเกล้าเกศา |
บ้างว่าจะยกพระเมรุมา | ทุ่มทับลงกาธานี |
บ้างว่าจะพลิกแผ่นดิน | ให้ตายสิ้นทั้งเมืองยักษี |
บ้างว่าจะวิดวารี | พาพลกระบี่ข้ามไป |
บ้างว่าจะช้อนเอาลงกา | ขึ้นใส่หัตถามาให้ได้ |
ทุ่มลงในท้องสมุทรไท | มิให้ยากใจโยธี ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายพญาพิเภกยักษี |
รู้ว่าทศกัณฐ์อสุรี | แปลงเป็นโยคีออกมา |
จะกราบทูลองค์พระทรงจักร | ให้ตระหนักว่าท้าวยักษา |
ก็ต้องพระเวทมนตรา | เจรจามิได้ดั่งใจคิด |
แต่ตระหนกอกสั่นขวัญหาย | ทุรนทุรายไม่นั่งติด |
ความกลัวดั่งจะสิ้นชีวิต | คลานเข้าไปชิดพระอนุชา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ฤๅษีทศพักตร์ยักษา |
เห็นหมู่วานรเสนา | ต่างตนโกรธาดั่งไฟกาล |
จึ่งชม้ายชายเนตรชำเลืองดู | ทุกหมู่ห้าวศึกฮึกหาญ |
แต่ไอ้พิเภกสาธารณ์ | ลนลานประหนึ่งจะรู้ที |
ว่ากูแปลงมาเป็นชีไพร | อสุราตกใจจึ่งคลานหนี |
แม้นบอกพระรามขึ้นบัดนี้ | น่าที่จะไม่รอดชีวา |
เหลียวหน้าเหลียวหลังระวังตัว | กลัวหมู่วานรจะเข่นฆ่า |
อุตส่าห์แข็งใจเจรจา | ผ่านฟ้าค่อยอยู่สถาวร |
เวลานี้ก็จวนอัสดง | รูปจะลาพระองค์ไปก่อน |
ว่าพลางจดจ้องธารกร | เร่งรีบบทจรออกไป ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นลับตาวานรเสนี | สำแดงฤทธีแผ่นดินไหว |
เหาะข้ามมหาสมุทรไท | ตรงเข้าพิชัยลงกา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | พิเภกสุริย์วงศ์ยักษา |
ครั้นทศเศียรอสุรา | ไปจากพลับพลาก็ยินดี |
ซึ่งต้องเวทมนตร์ก็เสื่อมสิ้น | อสุรินทร์ประณตบทศรี |
ทูลพระหริรักษ์จักรี | เมื่อกี้มิใช่พระนักพรต |
คือทศกัณฐ์มันอุบาย | แปลงกายเข้ามาเป็นดาบส |
เพราะไอ้สุกรสารใจคด | ที่มันปลอมทศโยธา |
กลับไปแถลงแจ้งเหตุ | ว่าพระทรงเดชนาถา |
ให้ทหารลองฤทธิ์ศักดา | พบข้าอยู่ใต้บทมาลย์ |
ทศพักตร์จึ่งแปลงเป็นฤๅษี | มาดูโยธีทวยหาญ |
หมายพิฆาตข้าให้วายปราณ | ขุนมารมาดมาไม่สมคิด |
ครั้นจะกราบทูลให้ทราบ | เพื่อนร่ายมนต์กำหราบผูกจิต |
โทษข้าถึงสิ้นชีวิต | พระทรงฤทธิ์จงโปรดปรานี ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์เรืองศรี |
ได้ฟังพิเภกอสุรี | ภูมีนิ่งนึกตรึกไป |
ชิชะน้อยหรือไอ้ทศกัณฐ์ | มันลวงเจรจาด้วยกูได้ |
คิดคิดให้แค้นแน่นใจ | ภูวไนยจึ่งมีบัญชา |
อันไอ้ทศพักตร์มันอุบาย | แปลงกายมาเป็นชีป่า |
กูไม่ทันพิจารณา | สำคัญว่าเป็นโยคี |
หาไม่ที่ไหนจะลำบาก | ยากแก่ไพร่พลกระบี่ศรี |
ตรัสแล้วก็เสด็จจรลี | เข้าที่พลับพลาอลงกรณ์ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายท้าวสิบพักตร์ชาญสมร |
ครั้นถึงลงกาพระนคร | บทจรขึ้นปราสาทโอฬาร์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ เอนองค์ลงเหนือที่ไสยาสน์ | กรก่ายนลาฏยักษา |
ให้ร้อนจิตคิดแค้นแน่นอุรา | เสียดายอุตส่าห์แปลงไป |
หมายว่าจะตัดสงคราม | มิให้ลุกลามมาได้ |
ก็ไม่สมจิตดั่งคิดไว้ | จะอุบายแก้ไขไฉนดี |
อันศึกมนุษย์นี้ใหญ่หลวง | เห็นจะล่วงมาถึงบุรีศรี |
ด้วยโยธาวานรเสนี | ล้วนมีฤทธีดั่งไฟกาล |
พื้นพงศ์อมรินทร์ทินกร | ขจรเลื่องชื่อลือหาญ |
ทั้งพิเภกจังไรใจพาล | ไอ้สาธารณ์ไปอยู่ด้วยมนุษย์ |
เหตุผลสารพันมันล่วงรู้ | ก็จะบอกศัตรูจนสิ้นสุด |
อันการณรงค์ยงยุทธ์ | จะคิดสัประยุทธ์เห็นยากใจ |
แต่ผุดลุกผุดนั่งไม่เป็นนอน | แสนทุกข์ทอดถอนใจใหญ่ |
ให้ร้อนจิตดั่งต้องพิษไฟ | จนอุทัยส่องแสงสว่างฟ้า ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ จึ่งคิดได้ว่าศึกครั้งนี้ | เป็นต้นด้วยที่เสน่หา |
กูจะให้เบญกายกัลยา | แปลงเป็นสีดาเยาวมาลย์ |
ไปทำตายลอยอยู่ที่ท่าสรง | อันพระรามเคยลงสระสนาน |
แม้นเห็นว่านางวายปราณ | การศึกก็จะเลิกกลับไป |
คิดแล้วสระสรงทรงเครื่อง | อร่ามเรืองดั่งดวงแขไข |
เสด็จออกพระโรงข้างใน | อำไพด้วยแก้วแกมสุวรรณ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์รัตน์ | ภายใต้เศวตฉัตรฉายฉัน |
พร้อมหมู่สนมกำนัล | จึ่งบรรหารสั่งนางอสุรี |
เอ็งจงเร่งลงไปหา | เบญกายกัลยาโฉมศรี |
ผู้เป็นหลานรักร่วมชีวี | ขึ้นมายังที่พระโรงคัล ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายนางอสุรีสาวสวรรค์ |
รับสั่งพญากุมภัณฑ์ | บังคมคัลแล้วพากันรีบไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๏ ครั้นถึงที่อยู่นางเทวี | ยอกรชุลีประนมไหว้ |
ทูลว่าพระจอมภพไตร | ให้ข้ามาเชิญนงคราญ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางเบญกายเยาวยอดสงสาร |
แจ้งว่าทศกัณฐ์พญามาร | โองการให้หาก็ตกใจ |
หน้าซีดผาดเผือดลงทันที | ไม่รู้ว่าร้ายดีเป็นไฉน |
ให้ประหวั่นครั่นคร้ามเกรงภัย | ก็รีบไปด้วยนางอสุรา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงน้อมเศียรอภิวาทน์ | แทบบาทพญายักษา |
ความกลัวเพียงม้วยมรณา | กัลยาหมอบอยู่ไม่เงยพักตร์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริย์วงศ์ทรงจักร |
ครั้นเห็นเบญกายนงลักษณ์ | พญายักษ์จึ่งมีโองการ |
อนิจจาหลานรักของลุงเอ๋ย | ทรามเชยผู้ยอดสงสาร |
ทั้งนี้เวราแต่บูราณ | จึ่งบันดาลให้ลุงโกรธา |
แก่พ่อเจ้าร่วมสายโลหิต | ไม่ผิดก็ทำโทษา |
ริบราชย์ขับเสียจากพารา | ต้องไปเป็นข้าไพรี |
บัดนี้หายโกรธคิดถึง | ร้อนเร่ารุมรึงดั่งเพลิงจี่ |
สงสารเป็นพ้นพันทวี | มิรู้ที่จะทำประการใด |
ด้วยไปอยู่กับปัจจามิตร | สุดคิดจะรับมาได้ |
จึ่งหาอัคเรศอรไท | หวังจะให้แปลงเป็นสีดา |
หลานรักจงไปทำตาย | ที่หาดทรายฉนวนประจำท่า |
แม้นพระรามได้ทอดทัศนา | ก็จะว่าสีดาวายปราณ |
จะแสนโศการํ่ารัก | เห็นจักสิ้นชีพสังขาร |
ยังแต่วานรบริวาร | จะแตกฉานแยกย้ายกันไป |
แม้นว่าสำเร็จดั่งจินดา | กลับมาจะแบ่งสมบัติให้ |
ทั้งบิตุรงค์ขององค์อรไท | จะได้คืนพาราสถาพร ฯ |
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางเบญกายดวงสมร |
ได้ฟังดั่งใครมาฟันฟอน | ตัดกรตัดเกล้าเมาลี |
จึ่งน้อมประณตบทบงสุ์ | ทูลองค์พญายักษี |
ตัวข้านี้เป็นสตรี | ที่จะลวงไพรีนั้นจนใจ |
ดั่งสิ้นบุรุษทั้งลงกา | จะด้านหน้าฝ่าไปกระไรได้ |
โยธาวานรแน่นไป | มาในกองทัพแต่ล้วนชาย |
ชั่วดีผู้ใดไม่ล่วงเห็น | ก็จะเป็นราคีไม่รู้หาย |
อันชีวิตของข้าไม่พ้นตาย | อย่าหมายว่าจะรอดคืนมา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษา |
จึ่งตรัสปลอบราชนัดดา | แก้วตาอย่าประหวั่นพรั่นใจ |
อันหมู่กระบี่เดียรัจฉาน | จะล่วงรู้ถึงการนั้นหาไม่ |
เจ้าก็มีปรีชาว่องไว | มันจะทำไมได้อย่าสงกา |
ถึงมาตรเป็นหญิงก็ยิ่งชาย | ด้วยเล่ห์กลอุบายแกล้วกล้า |
แม้นไปก็จะสมดั่งจินดา | หลานอย่าเกรงพวกไพรี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางเบญกายยักษี |
ได้ฟังพระราชวาที | เทวีคะนึงรำพึงคิด |
ครั้นจะขืนขัดพระบัญชา | ก็เกรงอาญาประกาศิต |
จะลงโทษถึงสิ้นชีวิต | สุดคิดแล้วกราบทูลไป |
ซึ่งพระองค์ทรงเห็นจะเป็นการ | จะขัดพระบรรหารกระไรได้ |
อันนางสีดาทรามวัย | ยังไม่เคยเห็นพักตรา |
จะนิมิตก็จะผิดรูปทรง | ไม่เหมือนองค์อัคเรศเสน่หา |
จะขอถวายบังคมลา | ไปดูลักขณานางเทวี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษี |
ได้ฟังดั่งทิพวารี | มาโสรจสรงอินทรีย์กุมภัณฑ์ |
ลูบหน้าลูบหลังหลานรัก | พญายักษ์ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
แล้วสั่งฝูงนางกำนัล | จงพากันไปบอกเสนี |
ให้ตระเตรียมเทียมราชรถทรง | คอยรับเสด็จองค์นางโฉมศรี |
พร้อมด้วยอสูรโยธี | ยังเกยมณีรจนา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายนางกำนัลซ้ายขวา |
รับสั่งถวายบังคมลา | แล้วพากันรีบออกไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๏ ครั้นถึงจึ่งมีวาที | สั่งมหาเสนีผู้ใหญ่ |
ให้เตรียมรถรัตนามัย | ตามในบัญชาพญามาร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนาผู้ใหญ่ใจหาญ |
ได้แจ้งแห่งราชโองการ | ก็รีบลนลานออกมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จัดหมู่อสูรกุมภัณฑ์ | ตามหมวดตรวจกันพร้อมหน้า |
เตรียมทั้งรถทรงอลงการ์ | คอยท่าเสด็จนางเทวี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางเบญกายยักษี |
บังคมลาพญาอสุรี | ลงมาจากที่ปราสาทชัย |
จึ่งชำระองค์ทรงเครื่อง | อร่ามเรืองพักตร์ผ่องดั่งแขไข |
พร้อมด้วยสนมกำนัลใน | เสด็จไปทรงรถรัตนา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ เสนีให้เคลื่อนพระประเทียบ | เรียงเรียบโดยกระบวนซ้ายขวา |
ออกจากพระนครลงกา | ตรงมายังสวนอุทยาน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงประทับกับเกยแก้ว | แล้วลงจากรถมุกดาหาร |
พาฝูงอนงค์บริวาร | ไปนิเวศน์สถานพระมารดา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึ่งเข้าสวมสอดกอดบาท | พระชนนีธิราชเสน่หา |
ซบพักตร์สะอื้นโศกา | ดั่งว่าจะสิ้นสมประดี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | นางตรีชาดายักษี |
ครั้นเห็นพระราชบุตรี | เทวีสวมสอดด้วยความรัก |
ลูบไล้ไปทั่วสารพางค์ | แล้วอุ้มองค์นางขึ้นใส่ตัก |
วันนี้แม่พึ่งเห็นพักตร์ | คิดว่าจักไม่พบกัน |
ว่าพลางเชยชมพระธิดา | กัลยาจูบจอมถนอมขวัญ |
แสนโศกโศการำพัน | พ่างเพียงชีวันจะบรรลัย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เบญกายเยาวยอดพิสมัย |
กอดบาทชนนีเข้าไว้ | สะอื้นไห้แล้วแจ้งกิจจา |
บัดนี้พระองค์ทรงนัคเรศ | มงกุฎเกศอสูรยักษา |
ให้ลูกนิมิตกายา | เหมือนองค์สีดาเยาวมาลย์ |
ไปลวงพระรามพระลักษมณ์ | ผู้วงศ์จักรพรรดิมหาศาล |
ทำตายลอยอยู่ในชลธาร | แทบท่าสรงสนานภูมี |
ครั้นจะขืนขัดก็จนใจ | กลัวภัยพญายักษี |
จะทำโทษาฆ่าตี | เทวีเล่าพลางพลางโศกา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางตรีชาดายักษา |
ได้ฟังพระราชธิดา | กัลยาพ่างเพียงจะขาดใจ |
โอ้อนิจจานะลูกเอ๋ย | กรรมสิ่งใดเลยมาซัดให้ |
พ่อเจ้าก็จากอกไป | เป็นตายฉันใดไม่พบกัน |
ตัวแม่นี้ตั้งแต่ทนทุกข์ | ไม่มีสิ่งสุขเกษมสันต์ |
ยังแต่เจ้าดวงชีวัน | นอกนั้นมิได้เห็นใคร |
ขับพ่อเสียแล้วมิหนำ | มาซํ้าฆ่าลูกก็เป็นได้ |
รํ่าพลางแสนโศกาลัย | อรไทเพียงสิ้นสมประดี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | นางเบญกายยักษี |
กราบบาทสมเด็จพระชนนี | เทวีสนองพระวาจา |
อันเกิดมาในภพทั้งหลาย | ความตายนั้นอยู่เบื้องหน้า |
กรรมแล้วจะสู้เวทนา | ไปกว่าจะสิ้นชีวัน |
พระมารดาค่อยอยู่สถาวร | อย่าทุกข์ร้อนวิโยคโศกศัลย์ |
ว่าแล้วถวายบังคมคัล | ผันพักตร์ย่างเยื้องดำเนินไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงที่อยู่พระลักษมี | ยอกรชุลีประนมไหว้ |
แกล้งทำโศกาอาลัย | ใส่ไคล้ด้วยกลมารยา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | พระชนนีโลกเสน่หา |
ทอดพระเนตรเห็นนางอสุรา | เข้ามาบังคมแล้วโศกี |
ให้คิดฉงนสนเท่ห์นัก | ด้วยไม่รู้จักยักษี |
จึ่งมีพระราชเสาวนีย์ | เจ้านี้มีนามกรใด |
รูปทรงแน่งน้อยโสภา | ไฉนจึ่งมาร้องไห้ |
ทุกข์ร้อนอาวรณ์ด้วยสิ่งใด | มาหาเราไยอสุรี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางเบญกายยักษี |
ได้ฟังพระราชเสาวนีย์ | ชุลีกรสนองพระวาจา |
อันตัวของข้าบาทบงสุ์ | ทรงนามเบญกายยักษา |
เป็นบุตรนางตรีชาดา | พิเภกอสุรานั้นบิดร |
ทศกัณฐ์ขับจากเวียงชัย | ไปอยู่เป็นข้าพระทรงศร |
ค่อยได้ความสุขสถาวร | ด้วยพระสี่กรปรานี |
ตัวข้าเป็นบุตรจงรัก | ภักดีต่อพระมเหสี |
อันทศกัณฐ์อสุรี | น่าที่จะม้วยมรณา |
ขอเอาเบื้องบาทพระแม่เจ้า | เป็นฉัตรร่มเกล้าไปภายหน้า |
จึ่งอุตส่าห์เล็ดลอดออกมา | หวังจะฝากชีวาบังอร |
ทูลพลางทางชำเลืองเนตร | สังเกตลักขณาดวงสมร |
จำสำคัญได้แน่นอน | ก็ลาบทจรออกไป ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ขึ้นนั่งยังราชรถทรง | พร้อมฝูงอนงค์น้อยใหญ่ |
เคลื่อนหมู่พหลพลไกร | คืนไปลงกาธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงประทับกับเกยแก้ว | อันเพริศแพร้วด้วยดวงมณีศรี |
ยอกรเหนือเกล้าเมาลี | อสุรีนิมิตกายา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
ชมตลาด
๏ ทรงโฉมประโลมวิไลลักษณ์ | ผิวพักตร์เพียงเทพเลขา |
อรชรอ้อนแอ้นจำเริญตา | เหมือนองค์สีดาวิลาวัณย์ |
แล้วจึ่งแหวกม่านอลงกรณ์ | ดั่งนางอัปสรในสวรรค์ |
ลงจากรถแก้วแพรวพรรณ | จรจรัลขึ้นเฝ้าพญามาร ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริย์วงศ์ใจหาญ |
เสด็จเหนือแท่นแก้วอลงการ | ท่ามกลางบริวารกัลยา |
เห็นนางเบญกายหลานรัก | ทรงลักษณ์ยิ่งเทพเลขา |
สำคัญจิตคิดว่าสีดา | เสน่หาพ่างพ้นพันทวี |
รสรักรัญจวนป่วนสวาท | มิอาจนั่งอยู่กับที่ |
โจนจากแท่นแก้วมณี | จรลีมารับอรไท ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
ชาตรี
๏ จึ่งมีมธุรสวาจา | แก้วตาผู้ยอดพิสมัย |
ขอเชิญยุพเยาว์ดวงใจ | มานั่งในอาสน์อลงกรณ์ |
เป็นที่สิริไสยาสน์ | ร่วมราชภิรมย์สโมสร |
จะถนอมกล่อมเลี้ยงบังอร | มิให้อนาทรสักนาที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางเบญกายยักษี |
เห็นองค์พญาอสุรี | เสด็จลงจากที่บัลลังก์ทรง |
ด้วยได้เห็นรูปนิมิต | คิดว่าสีดานวลหง |
ดำเนินเดินเข้ามาเคียงองค์ | ใหลหลงประโลมด้วยวาจา |
นางจึ่งน้อมเศียรอภิวาทน์ | พระบาทจงโปรดเกศา |
ข้าคือเบญกายอสุรา | มิใช่สีดาเทวี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวทศพักตร์ยักษี |
ยิ้มแล้วจึ่งกล่าววาที | ว่าไยฉะนี้เยาวมาลย์ |
พี่คิดถึงเจ้าทุกเวลา | ดั่งหนึ่งอุราจะแตกฉาน |
แสนทุกข์แสนเทวษมาช้านาน | สงสารบ้างเถิดนะน้องรัก |
ว่าพลางจูงกรขึ้นแท่นทรง | แล้วโอบอุ้มองค์ขึ้นใส่ตัก |
ตระโบมโลมลูบจูบพักตร์ | พญายักษ์จึ่งกล่าวสุนทร |
พี่จะตั้งเจ้าไว้ให้เป็นเอก | ร่วมเศวกฉัตรประภัสสร |
ใหญ่กว่าอนงค์บังอร | มิให้อนาทรฤทัย |
อันการบำรุงบำเรอรัก | จะต้องถือมือหนักก็หาไม่ |
สาวสวรรค์ขวัญตาอย่าอาลัย | ในองค์พระรามสามี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางเบญกายยักษี |
ทรุดลงจากตักอสุรี | เทวีสลัดปัดกร |
ทศกัณฐ์ยิ่งกระหวัดรัดกาย | ความเจ็บความอายดั่งต้องศร |
ยิ่งบอกยิ่งเข้ามาว่าวอน | บังอรก็คลายกายา |
อันรูปนิมิตก็สูญหาย | คืนเป็นเบญกายยักษา |
กราบลงแทบเบื้องบาทา | พลางก้มพักตราไม่พาที ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษี |
พิศเพ่งเล็งโฉมนางเทวี | กลายเป็นอสุรีนัดดา |
ให้คิดสะเทินเขินใจ | ตะลึงไปมิใคร่จะดูหน้า |
อนิจจาลุงคิดว่าสีดา | ขอสมาเสียเถิดนะหลานรัก |
ทีนี้จะสมอารมณ์หมาย | ด้วยอุบายปรีชาเจ้าแหลมหลัก |
อันซึ่งพระรามพระลักษมณ์ | เห็นจักสิ้นชีพชีวี |
นัดดาจงเร่งรีบไป | อย่าให้ทันอุทัยไขศรี |
เสร็จแล้วจงคืนมาธานี | ลุงนี้จะคอยบังอร ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางเบญกายดวงสมร |
ก้มเกล้าดุษฎีชุลีกร | บทจรออกมาแล้วเหาะไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ งามดั่งเมขลานารี | ข้ามมหานทีสมุทรใหญ่ |
ลงยังฟากฝั่งชลาลัย | เหนือที่ทัพชัยพระรามา |
จึ่งเข้าอาศัยหยุดพัก | สำนักร่มไทรใบหนา |
ยอกรร่ายเวทวิทยา | อสุรานิมิตอินทรีย์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
๏ กลายเป็นสีดานงลักษณ์ | ดวงพักตร์แช่มช้อยเฉลิมศรี |
ทำตายลอยมาในนที | เร็วรี่ดั่งวายุพาจร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ โล้
๏ ครั้นถึงที่ฉนวนลงสรง | ขององค์พระรามทรงศร |
ก็เข้าไปเกยกายนิ่งนอน | อยู่ริมสาครที่หาดทราย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ