สมุดไทยเล่มที่ ๘๒

๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิ์ล้ำสุริย์ฉาน
ครั้นพระมาตุลีชัยชาญ คืนไปสถานเมืองฟ้า ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จึ่งมีบัญชาอันสุนทร ดูก่อนพิเภกยักษา
แต่เรายกพลโยธา มาสงครามเข่นฆ่าไพรี
เคี่ยวขับกันมาก็ช้านาน จนสิ้นพวกพาลยักษี
ซึ่งเป็นหลักเสี้ยนธาตรี บัดนี้จะกลับคืนไป
ยังอยุธยานัคเรศ เป็นมหานิเวศน์อันใหญ่
ด้วยเราได้ให้สัญญาไว้ แก่สองไทธิราชอนุชา
โดยในรับสัจพระบิตุรงค์ อันทรงคุณก่อเกล้าเกศา
ครบสิบสี่ปีจะกลับมา ครอบครองไพร่ฟ้าประชาชี
แม้นเรามิไปตามกำหนด พระพรตพระสัตรุดเรืองศรี
ก็จะวิ่งเข้ากองอัคคี ถึงที่สุดสิ้นชีวาลัย
ทั้งสามสมเด็จพระมารดร จะทุกข์ร้อนเศร้าสร้อยละห้อยไห้
บัดนี้ก็จวนสัญญาไว้ จะรีบไปให้ทันสิบสี่ปี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พญาพิเภกยักษี
ได้ฟังบรรหารพระจักรี ชุลีกรสนองพระวาจา
ข้าบาทจะขอโดยเสด็จ พระจักรเพชรตรีภพนาถา
จะได้ช่วงใช้ใต้บาทา ไปกว่าจะถึงพระนคร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระนารายณ์สุริย์วงศ์ทรงศร
ได้ฟังน้องท้าวยี่สิบกร ภูธรจึ่งกล่าววาที
ท่านจงหาฤกษ์ยาตรา โดยวันเวลาดิถี
ให้เป็นมงคลสวัสดี แก่หมู่กระบี่พลไกร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พิเภกผู้มีอัชฌาสัย
รับสั่งพระองค์ทรงภพไตร แล้วคำนวณไปตามตำรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จึ่งน้อมเศียรเกล้าบังคมทูล นเรนทร์สูรปิ่นภพนาถา
พรุ่งนี้ยํ่ารุ่งเวลา พระจันทร์มาราศีมิน
อาทิตย์ร่วมธาตุกับพฤหัส ฤกษ์นั้นสารพัดจะดีสิ้น
แต่เล็งราหูอสุรินทร์ เห็นมลทินโทษกับจันทร์
ทายว่าจะมีข้าศึก ผู้เดียวห้าวฮึกโมหันธ์
ตามไปในทางพนาวัน หักโหมโรมรันบีฑา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ลือฤทธิ์ทุกทิศา
ได้ฟังพิเภกโหรา ผ่านฟ้าจึ่งมีโองการ
แม้นมาตรอริราชศัตรู จะตามไปต่อสู้หักหาญ
เราไม่เกรงมือไอ้สาธารณ์ จะผลาญเสียให้สิ้นชีวี
ซึ่งท่านจะไปด้วยเรา จงจัดเหล่าสุริย์วงศ์ยักษี
อันซื่อตรงจงรักภักดี อยู่รักษาบุรีลงกา
ตรัสแล้วสั่งลูกพระอาทิตย์ ท่านผู้มีฤทธิ์แกล้วกล้า
จงเตรียมพหลโยธา ท้าวพญาวานรให้พร้อมกัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุครีพพิเภกคนขยัน
รับสั่งถวายบังคมคัล ก็แยกกันไปจัดโยธี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี

๏ สุครีพก็จัดพลกระบินทร์ ทั้งชมพูขีดขินบุรีศรี
เข้ากระบวนเสด็จพระจักรี โดยที่พยุหบาตรยาตรา
องคตผู้มีฤทธิรณ คุมพลสิบสมุทรเป็นทัพหน้า
ถัดนั้นพระศรีอนุชา โยธาสิบห้าสมุทรไท
อันกระบี่ยี่สิบเจ็ดสมุทร กับสิบแปดมงกุฎทหารใหญ่
อยู่ในกระบวนทัพชัย องค์พระภูวไนยสี่กร
แต่ตัวโอรสพระสุริยัน คุมพวกพลขันธ์ชาญสมร
สิบห้าสมุทรวานร บทจรถัดทัพหลวงมา
อันซึ่งคำแหงวายุบุตร คุมพลสิบสมุทรแกล้วกล้า
เป็นกองหลังรั้งท้ายโยธา ตรวจตรากันเสร็จตามบาญชี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายพญาพิเภกยักษี
ครั้นถึงลงกาธานี อสุรีจึ่งบัญชาการ
ให้เปาวนาสูรกุมภัณฑ์ อันมีปรีชากล้าหาญ
คุมหมู่พหลพลมาร อยู่รักษาราชฐานลงกา
แล้วเกณฑ์โยธาห้าสมุทร ล้วนถืออาวุธพร้อมหน้า
สำหรับโดยเสด็จพระจักรา ไปยังอยุธยาธานี
แต่งทั้งบุษบกทิพรัตน์ คู่ทรงจักรพรรดิเฉลิมศรี
รถรองรถประเทียบรูจี ตามที่ตำแหน่งอันดับกัน
แล้วให้สุวรรณกันยุมา กับตรีชฎาเมียขวัญ
เบญกายลูกรักร่วมชีวัน นางจันทวดีนงคราญ
มาขึ้นพิชัยราชรถ อลงกตพรรณรายฉายฉาน
ยกไปเข้าทัพพระอวตาร ยังสถานที่สวนมาลี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์เรืองศรี
กับสองกษัตริย์ร่วมชีวี เสด็จมาเข้าที่สรงชล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โทน

๏ สามกษัตริย์สระสนานสำราญกาย สุหร่ายแก้วโปรยปรายดั่งสายฝน
ทรงสุคนธารสเสาวคนธ์ ปรุงปนนพมาศชมพูนุท
พระหริรักษ์กับพระลักษมณ์สุริย์วงศ์ สอดทรงสนับเพลารายบุษย์
ภูษาเครือก้านกระหนกครุฑ ทองผุดต่างพื้นเขียวแดง
นางทรงภูษิตพื้นม่วง ลอยดวงทองพรายลายแย่ง
สองพระองค์ทรงประดับชายแครง ชายไหวลายแทงทับทิมพราย
นางทรงสไบตาดสอดสี ประดับถันด้วยดวงมณีฉานฉาย
ต่างทรงทับทรวงจำหลักลาย สังวาลรายมรกตตาบทิศ
ทองกรพาหุรัดรูปภุชงค์ ธำมรงค์พลอยมณีโลหิต
มงกุฎแก้วมณฑลชวลิต กรรเจียกจรขจิตด้วยมุกดา
งามทรงสมเด็จพระจักรี งามพระลักษมีเสน่หา
งามองค์พระลักษมณ์อนุชา ดั่งเทเวศหยาดฟ้าลงมาดิน ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ สามกษัตริย์เสด็จยุรยาตร งามวิลาสเสมอกันทั้งสิ้น
ทอดกรกรีดกรายดั่งหงส์บิน ลินลามาเกยอลงกรณ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ พระหริวงศ์กับองค์นางสีดา ขึ้นมหาบุษบกประภัสสร
องค์พระอนุชาฤทธิรอน ทรงรถบวรรูจี
ครั้นได้ศุภฤกษ์มงคล สุริยนแจ่มแจ้งจำรัสศรี
ให้เลิกพหลโยธี จากสวนมาลีอสุรา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

โทน

๏ บุษเอยบุษบกแก้ว จำรูญพรายจำรัสแพร้วพระเวหา
ไพโรจน์เพียงรถพระสุริยา หยาดฟ้าหยดฟุ้งสุธาดล
รังสีรถทรงองค์พระลักษมณ์ จับพักตร์แจ่มพื้นโพยมหน
ดั่งแขเดินเคียงพระสุริยน แสงล้นส่องโลกทั้งสองดวง
แถวฉัตรถัดชั้นธงชาย ชุมสายฉายแสงโชติช่วง
เครื่องสูงครบสิ่งห้อยแก้วพวง สีรุ้งส่องร่วงรูจี
รถประเทียบเรียบแถวรถรอง เสียงฆ้องซ้องขานประสานปี่
ครื้นสนั่นครั่นเสนาะดนตรี เภรีไพเราะประโคมไป
พลแห่พื้นห้าวหักศึก โห่ครึกฮึกครั่นหวั่นไหว
เร่งพวกรีบพลสกลไกร ข้ามไปตามถนนที่จองมา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ กลองโยน

๏ บัดนั้น พญาพิเภกยักษา
ครั้นถึงฟากฝั่งคงคา อสุรากราบทูลพระจักรี
อันถนนซึ่งจองข้ามสมุทร ไปต่อยุทธ์ล้างเหล่ายักษี
เป็นทำนบปิดทางวารี กันที่เภตรานาวาจร
ขอพระองค์จงตัดเสียให้ขาด ด้วยอำนาจฤทธิ์พระแสงศร
ให้ลึกกว้างเป็นทางสาคร คงเหมือนแต่ก่อนบุราณมา
จะได้เลื่องลือชาปรากฏ เกียรติยศสืบไปภายหน้า
ตราบเท่าชั่วกัปกัลปา ผ่านฟ้าจงได้ปรานี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระหริวงศ์ทรงสวัสดิ์รัศมี
ได้ฟังพิเภกอสุรี ภูมีเห็นจริงทุกสิ่งไป
จึ่งทรงพระแสงพลายวาต อันมีอำนาจแผ่นดินไหว
พาดสายน้าวหน่วงว่องไว ภูวไนยผาดแผลงไปด้วยฤทธิ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ ศรไปล้างถนนศีลา ด้วยกำลังศักดาพระจักรกฤษณ์
ทลายแหลกแตกกระจายไปทุกทิศ เสียงสนั่นครรชิตอึงอล
พระสมุทรตีฟองนองระลอก กระฉ่อนฉอกฟัดฝั่งกุลาหล
เป็นทางกว้างใหญ่ในสายชล จนตลอดถึงเกาะลงกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นเสร็จซึ่งล้างถนนหลวง ให้ล่วงพลโยธีทัพหน้า
โดยกระบวนพยุหยาตรา ไปตามมรคาพนาลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ รอนแรมมาหลายคืนวัน ล่วงเหมติรันคีรีศรี
พอเย็นรอนอ่อนแสงพระรวี ถึงที่แห่งหนึ่งสะอาดตา
พื้นราบเรี่ยรายด้วยทรายอ่อน หอมพรรณเกสรบุปผา
จึ่งให้หยุดพหลโยธา ลงที่ชายป่าอันโอฬาร
จึ่งตรัสสั่งน้องพาลี ผู้มีปรีชากล้าหาญ
ป่านี้เป็นที่สำราญ ผลไม้ห้วยธารชอบกล
อสุราวานรจะอาศัย เห็นจะไม่ลำบากขัดสน
จงตั้งพลับพลาในอารญ ใต้ต้นพฤกษาริมธาร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น อสุราวานรทวยหาญ
รับคำสุครีพบัญชาการ ก็เกณฑ์กันอลหม่านมุ่นไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บ้างถางที่ปราบดินขุดหลุม กลุ้มกันถากฟันไม้ใหญ่
แบกขนมาตั้งพลับพลาชัย ข้างหน้าข้างในพร้อมกัน
มีทั้งที่สรงที่เสวย ท้องพระโรงแลเกยระเนียดกั้น
ทิมดาบซ้ายขวาเรียงรัน ศาลาลูกขุนคั่นถัดมา
ทัพใครใครตั้งลงตามกอง เป็นทิวถ้องโดยซ้ายฝ่ายขวา
จุกช่องกองไฟตรวจตรา ก็เสร็จตามบัญชาพระสี่กร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์ทรงศร
กับนางสีดาบังอร กรายกรขึ้นพลับพลารูจี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ช้า

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์อาสน์ กับโฉมอัครราชมเหสี
พอพลบคํ่าย่ำแสงพระรวี รัศมีจันทร์แจ่มเมฆา
พระพายชายพัดรวยริน พากลิ่นเสาวคนธ์บุปผา
หอมตระหลบอบทั่วทั้งพลับพลา ซาบซ่านนาสาสำราญใจ
สำเนียงเรไรจักจั่นแจ้ว ดั่งดนตรีปี่แก้วเสียงใส
พระหริวงศ์กับองค์อรไท ก็หลับไปในราษราตรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ กล่อม

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงบรรลัยกัลป์ยักษี
โอรสทศเศียรอสุรี นางกาลอัคคีเป็นมารดา
แต่ชนมาได้ห้าขวบปลาย ใจร้ายองอาจแกล้วกล้า
พญานาคผู้เป็นอัยกา ขอเอาอสุราไปเลี้ยงไว้
ยังในพิภพนาคี จนอสุรีจำเริญใหญ่
รอบรู้วิชาว่องไว ต่างตาต่างใจทุกประการ
วันหนึ่งเข้าที่ไสยาสน์ เหนืออาสน์รัตนามุกดาหาร
กับด้วยภุชงค์นงคราญ ขุนมารหลับสนิทนิทรา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ กล่อม

๏ ฝันว่ามีเทพเทวัญ สี่กรถือพระขรรค์คมกล้า
เข้ามาหักคออสุรา แหวะดวงวิญญาณ์พาจร
ตกใจผวาตื่นขึ้นทันที ให้เร่าร้อนอินทรีย์ดั่งต้องศร
ขุกคิดถึงองค์พระบิดร แล้วสะท้อนถอนจิตจาบัลย์
เอะจะเป็นกระไรก็ไม่รู้ หลากใจด้วยกูนิมิตฝัน
เห็นเป็นมหัศอัศจรรย์ เหตุนั้นจะได้แก่ผู้ใด
คิดแล้วเข้าที่โสรจสรง ประดับองค์อร่ามดั่งแขไข
ออกจากห้องแก้วแววไว ขึ้นไปเฝ้าองค์พระอัยกา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ จึ่งน้อมเศียรเกล้าบังคมบาท พระทรงธรรม์ธิราชนาถา
ทูลว่าหลานนี้จะขอลา ขึ้นไปลงกาธานี
เยี่ยมเยียนสมเด็จพระบิตุเรศ ชนนีเกิดเกศเกศี
ไม่ช้าสักเจ็ดราตรี ภูมีจงได้เมตตา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวกาลนาคนาถา
ได้ฟังพระราชนัดดา ลูบหลังลูบหน้าด้วยอาลัย
ซึ่งเจ้าจะไปเยี่ยมพระบิดา ยังนครลงกากรุงใหญ่
ทั้งนี้ก็ตามแต่นํ้าใจ แต่อย่าอยู่ให้ช้านัก
จงเร่งรีบกลับคืนมา ช่วยกันรักษาอาณาจักร
ตานี้หวังใจแก่หลานรัก จะให้เป็นปิ่นปักนาคี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บรรลัยกัลป์สุริย์วงศ์ยักษี
รับสั่งอัยกาธิบดี อสุรีถวายบังคมลา
เสร็จแล้วก็ลงจากปราสาท อันโอภาสจำรัสพระเวหา
กรายกรลีลาศยาตรา เสด็จมาเข้าที่สรงชล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

โทน

๏ ชำระสระสนานสำราญกาย วารีโปรยปรายดั่งสายฝน
ทรงสุคนธาทิพย์เสาวคนธ์ ปรุงปนเกสรสุมามาลย์
สนับเพลาเชิงรูปราชสีห็ ภูษาลายเจ็ดตะคลีเครือก้าน
สอดใส่ฉลององค์อลงการ ทับทรวงสังวาลฉลุลาย
ตาบทิศทองกรมังกรพด พาหุรัดมรกตฉานฉาย
ธำมรงค์เรือนเก็จเพชรพราย มงกุฎแก้วพรรณรายกรรเจียกจร
ห้อยพวงมาลัยดอกไม้มาศ นพรัตน์โอภาสประภัสสร
ขัดมหาวชิราคทาธร บทจรจากปราสาทรัตนา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ครั้นแล้วสำแดงแผลงฤทธิ์ เสียงสนั่นครรชิตทุกทิศา
ชำแรกแทรกพื้นพระสุธา ขึ้นมาด้วยกำลังว่องไว ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ มาถึงลงกาพระนคร พอทินกรเลี้ยวลับเหลี่ยมไศล
อสุรีผันแปรแลไป ตามในสองข้างทางจร
ไม่เห็นหญิงชายบันเทิง รื่นเริงอื้ออึงเหมือนแต่ก่อน
เงียบเหงาไปทั่วพระนคร ทั้งหมู่นิกรโยธี
สงัดเสียงพิณพาทย์ฆ้องกลอง ขับร้องดุริยางค์ดีดสี
ให้ฉงนสนเท่ห์พันทวี อสุรีตะลึงทั้งกายา
อันซึ่งอัศจรรย์วิปริต จะเป็นเหมือนนิมิตกระมังหนา
จำจะลอบไปเฝ้าพระมารดา ทูลถามกิจจาให้แจ้งใจ
คิดแล้วเข้าแอบซุ้มทวาร ขุนมารยอกรบังคมไหว้
องค์บรมพรหเมศฤทธิไกร สำรวมใจกำบังอินทรีย์ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดเดี๋ยวก็บันดาลเงาหาย ใครไม่เห็นกายยักษี
เข้ายังพระนิเวศน์รูจี อสุรีขึ้นเฝ้าพระมารดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น นางกาลอัคคีเสน่หา
เสด็จเหนือแท่นแก้วอลงการ์ เหลือบมาเห็นองค์พระลูกชาย
มีความโสมนัสเป็นพ้นนัก คิดถึงผัวรักแล้วใจหาย
วิ่งไปด้วยกำลังกาย โฉมฉายกอดบุตรเข้าโศกี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เป็นครู่มิใคร่จะเจรจา ค่อยดำรงกายามารศรี
จูงกรลูกรักร่วมชีวี มาขึ้นแท่นมณีอลงกรณ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึ่งบรรลัยกัลป์ชาญสมร
ครั้นเห็นสมเด็จพระมารดร โศกาอาวรณ์ประหลาดนัก
กราบลงกับเบื้องบาทา ให้เร่าร้อนอุราดั่งต้องจักร
ชลเนตรคลอคลองนองพักตร์ ขุนยักษ์จึ่งทูลถามไป
เป็นไฉนฉะนี้พระมารดร จึ่งทุกข์ร้อนโศกาละห้อยไห้
พระบิตุเรศเสด็จอยู่แห่งใด ลูกจะไปเฝ้าพระบาทา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางกาลอัคคีเสน่หา
สะอื้นพลางทางแจ้งกิจจา แก้วตาแม่ร่วมชีวี
อันองค์พระบิตุเรศเจ้า ซึ่งบังเกิดเกล้าเกศี
บัดนี้มีราชไพรี พี่น้องชื่อว่ารามลักษมณ์
คุมหมู่โยธาวานร ข้ามมหาสาครมาหาญหัก
ฆ่าเสียสิ้นสุริย์วงศ์ยักษ์ ด้วยศักดาเดชมหิมา
แต่พญาพิเภกอาเจ้า ไปเข้าด้วยมนุษย์ลิงป่า
พระรามให้ผ่านพารา ครอบครองไพร่ฟ้าประชาชี
บัดนี้มนุษย์ทั้งสอง พี่น้องเลิกพลกระบี่ศรี
กลับไปอยุธยาธานี ได้สามราตรีสามวัน ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บรรลัยกัลป์สุริย์วงศ์รังสรรค์
ได้ฟังมารดารำพัน ให้อัดอั้นตะลึงทั้งกายา
ดั่งหนึ่งพระกาลพาลราช มาพิฆาตตัดเกล้าเกศา
ชลเนตรไหลอาบพักตรา อสุราครวญคร่ำร่ำไร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๏ โอ้พระบิตุเรศของลูกเอ๋ย ไม่แจ้งเลยว่าเกิดศึกใหญ่
คิดถึงพระคุณภูวไนย ตั้งใจมาเฝ้าบทมาลย์
ควรหรือพระจอมมงกุฎเกศ ทรงเดชสิ้นชีพสังขาร
ด้วยมืออริราชภัยพาล อัประมาณทั่วไตรโลกา
เสียแรงลูกเอากำเนิด เกิดในสุริย์วงศ์ยักษา
มิได้แทนคุณพระบิดา ดั่งว่าใช่ชายชาตรี
ถึงกระไรพอได้ต่อยุทธ์ ด้วยมนุษย์พี่น้องทั้งสองศรี
แม้นตายไม่เสียดายชีวี ดีกว่าที่อยู่สืบไป
ร่ำพลางกอดบาทพระมารดร โศกาอาวรณ์ละห้อยไห้
ดั่งจะสิ้นชีวิตจิตใจ ไม่เป็นสติวิญญาณ์ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ครั้นคลายโศกาจาบัลย์ กุมภัณฑ์ยอกรเหนือเกศา
ลูกรักจักขอบังคมลา ตามไปเข่นฆ่าไพรี
อาวุธสิ่งใดที่วิเศษ ของพระบิตุเรศเรืองศรี
ยังเหลืออยู่บ้างหรือพระชนนี ลูกนี้จะขอไปชิงชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางอัคคีเยาวยอดพิสมัย
ได้ฟังตระหนกตกใจ ดั่งใครมาเด็ดเอาชีวา
สะอื้นพลางทางห้ามพระลูกรัก ดวงจักษุแม่เสน่หา
อันมนุษย์พี่น้องสองรา ศักดาปราบได้ทั้งสิบทิศ
เป็นยอดกษัตริย์ชัยชาญ ชำนาญในการศรสิทธิ์
แต่พระบิตุรงค์ทรงฤทธิ์ กุมภกรรณอินทรชิตอสุรี
สิ้นทั้งประยูรสุริย์วงศ์ พงศ์พันธมิตรเรืองศรี
แต่ละองค์ล้วนทรงฤทธี ไปต่อตีไม่รอดชีวา
ซึ่งเจ้ามานะอหังการ ฮึกหาญจะตามไปเข่นฆ่า
ที่ไหนจะรอดคืนมา น่าที่จะม้วยชีวัน
ตัวแม่ได้เห็นหน้าเจ้า ค่อยบรรเทาวิโยคโศกศัลย์
พ่ออย่าติดตามไปโรมรัน ขวัญตาจงฟังชนนี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น บรรลัยกัลป์สิทธิศักดิ์ยักษี
ได้ฟังคั่งแค้นแสนทวี โกรธดั่งอัคคีไหม้ฟ้า
เป็นไฉนฉะนี้พระแม่เจ้า มากลัวเหล่ามนุษย์ลิงป่า
ตัวลูกชาติชายอาชา ศักดาปราบได้ทั้งแดนไตร
จะตามไปสังหารราญรอน ต่อกรกับมันให้ได้
ฆ่าเสียให้สิ้นทั้งทัพชัย จึงสาแก่ใจไอ้อัปรีย์
เหมือนได้แทนคุณพระบิตุเรศ อันบังเกิดเกศเกศี
ให้ปรากฏยศไว้ในธาตรี ลูกนี้ไม่ฟังพระวาจา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางกาลอัคคีเสน่หา
เห็นลูกรักกริ้วโกรธโกรธา กัลยาอัดอั้นตันใจ
ชลนัยน์ไหลนองคลองพักตร์ เยาวลักษณ์จะขัดก็ไม่ได้
จึ่งหยิบพระแสงศรชัย ส่งให้แก่องค์พระโอรส
ศรนี้ของบรมพรหเมศ ทรงฤทธิ์เรืองเดชดั่งเพลิงกรด
ให้แก่บิตุรงค์ทรงยศ ทศทิศไม่ทานศักดา
เจ้าจงเอาไปต่อยุทธ์ ด้วยสองมนุษย์กับลิงป่า
ให้มีชัยอริราชพาลา แก้วตาจงไปสวัสดี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บรรลัยกัลป์สุริย์วงศ์ยักษี
รับศรรับพรพระชนนี ชุลีกรกราบกับบทมาลย์
ลาองค์สมเด็จพระมารดา ออกจากมหาราชฐาน
สำแดงแผลงฤทธิ์ชัยชาญ เหาะทะยานล่วงข้ามสมุทรไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงฟากฝั่งชลธี อสุรีลงยังทางใหญ่
ตามรอยบาทาพลไกร รีบไปด้วยกำลังโกรธา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา
เสด็จออกยังหน้าพลับพลา พร้อมหมู่เสนาวานร
ทั้งเหล่ายักษาสุริย์วงศ์ เกลื่อนกลาดเฝ้าองค์พระทรงศร
ดั่งดาวล้อมดวงศศิธร ในพื้นอัมพรไม่ราคี
พอได้ยินสำเนียงกึกก้อง สะเทือนท้องหิมเวศคีรีศรี
ดั่งลมกาลผลาญโลกธาตรี ผงคลีมืดคลุ้มอโณทัย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ จึ่งมีพระราชบรรหาร ถามโหราจารย์ผู้ใหญ่
อันซึ่งสำเนียงเกรียงไกร จะเป็นเหตุสิ่งใดอสุรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พญาพิเภกยักษา
รับสั่งพระองค์ทรงศักดา แล้วพิจารณาตามนาที
พร้อมทั้งอัศกาลแลตรีเนตร โดยในสังเกตของยักษี
เสร็จแล้วน้อมเศียรอัญชุลี อสุรีกราบทูลพระทรงครุฑ
อันสำเนียงครั่นครึกกึกก้อง สะเทือนท้องสุธามหาสมุทร
คือบรรลัยกัลป์ฤทธิรุทร เป็นบุตรทศเศียรอสุรา
เกิดด้วยนางกาลอัคคี มีกำลังเรี่ยวแรงแข็งกล้า
พญานาคผู้เป็นอัยกา มาขอไปไว้ยังบาดาล
ให้ตั้งการกิจพิธีกรรม์ ชุบแช่ตัวมันด้วยน้ำว่าน
ถึงเจ็ดปีเจ็ดเดือนจึ่งชำนาญ เชี่ยวชาญหาญยิ่งด้วยฤทธี
มาเยือนสมเด็จพระบิตุเรศ แจ้งเหตุว่าท้าวยักษี
พระองค์สังหารผลาญชีวี อสุรีกริ้วโกรธพิโรธนัก
อวดหาญในการรณรงค์ ผู้เดียวอาจองทะนงศักดิ์
ตามมาด้วยกำลังฮึกฮัก ขุนยักษ์ไม่มีรี้พล
พิเคราะห์ในยามเวลา เห็นว่าจะตายกลางหน
ขอให้หนุมานฤทธิรณ ไปผจญฆ่ามันให้วายปราณ ฯ

ฯ ๑๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิ์ล้ำสุริย์ฉาน
ได้ฟังพิเภกขุนมาร ผ่านฟ้าจึ่งมีบัญชา
ดูก่อนคำแหงวายุบุตร ท่านผู้ฤทธิรุทรแกล้วกล้า
จงไปสังหารอสุรา ตัดเอาเศียรมาบัดเดี๋ยวนี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
รับสั่งสมเด็จพระจักรี ถวายอัญชุลีแล้วรีบจร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ มาด้วยกำลังได้โยชน์หนึ่ง ถึงที่แนวเนินสิงขร
คิดด้วยปรีชาวานร กูจะลองฤทธิรอนไอ้จังไร
คิดพลางพอแลไปเห็นบึง แห่งหนึ่งริมทางกว้างใหญ่
ยอกรไหว้เจ้าภพไตร สำรวมใจร่ายเวทอันศักดา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๏ เดชะพระมนต์เชี่ยวชาญ ก็บันดาลกลายเป็นมหิงสา
ตกหล่มจมอยู่ทั้งกายา ตั้งตาคอยดูอสุรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายบรรลัยกัลป์ยักษี
เดินดัดลัดป่าพนาลี ตามรอยกระบี่พลไกร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เหลือบแลมาเห็นกาสร นอนจมอยู่ในบึงใหญ่
จึ่งมีวาจาถามไป ว่าเหวยมหิงส์ไพรใจฉกรรจ์
ยังเห็นมนุษย์สองชาย ยกพวกนิกายทัพขัน
ไปจากที่นี้สักกี่วัน จงบอกกันแต่โดยสัจจา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า
ได้ฟังจึงตอบด้วยมารยา ตัวข้าลำบากมาช้านาน
ตกหล่มจมอยู่ในบึง ปิ้มจะถึงสิ้นชีพสังขาร
ช่วยยกเราขึ้นจากกันดาร จึ่งจะแจ้งการอสุรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บรรลัยกัลป์สุริย์วงศ์ยักษี
ไม่ทันรู้กลก็ยินดี อสุรีก็ตรงลงไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ สองเท้าเหยียบยันดินดอน บ่าแบกกาสรตัวใหญ่
ดันด้วยกำลังฤทธิไกร จนเหื่อไหลทุกเส้นโลมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ แต่เข้าแบกดันเป็นหลายหน จนสิ้นสุดแรงยักษา
กาสรไม่ไหวดั่งจินดา หนักกว่ายกเขาหิมวันต์
อ่อนจิตอ่อนใจเป็นพ้นนัก อ้าปากหอบฮักตัวสั่น
สุดฤทธิ์สุดคิดจะแบกดัน กุมภัณฑ์ก็กลับขึ้นไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่
เห็นฤทธิ์ก็คิดแต่ในใจ ไอ้นี่มันจะม้วยชีวา
กูจะลวงให้ยกอีกก่อน จึ่งจะหย่อนกำลังยักษา
แล้วจึ่งร้องไปด้วยมารยา ดูราขุนมารชาญชัย
อันตัวของท่านก็มีฤทธิ์ แต่ว่าความคิดนั้นหาไม่
เมื่อเหนื่อยมาดั่งหนึ่งจะขาดใจ มิได้หยุดยั้งให้สำราญ
ตัวท่านสิยังหิวโหย มาหักแรงเอาโดยกำลังหาญ
ที่ไหนจะได้นะขุนมาร ป่วยการลำบากอินทรีย์
จงไปอาบนํ้าชำระกาย ให้สบายเป็นสุขเกษมศรี
ถึงจะหนักยิ่งกว่าเรานี้ น่าที่จะขึ้นดั่งจินดา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวทศพักตร์ยักษา
ได้ฟังสอดคล้องในวิญญาณ์ อสุราเห็นจริงทุกสิ่งไป
มีความยินดีเป็นพ้นนัก ผ่องพักตร์ดั่งดวงแขไข
ก็ออกจากร่มพระไทร ลงไปยังท่าวารี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ สองกรกอบน้ำดื่มกิน แล้วชำระมลทินยักษี
เปือกตมหมดสิ้นทั้งอินทรีย์ อสุรีก็กลับขึ้นมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ คืนเข้าหยุดพักสำนักนั่ง ยังใต้ต้นไทรใบหนา
ร่มชิดมิดแสงสุริยา พระพายพัดมาสำราญใจ
ลุกขึ้นผาดแผลงสำแดงฤทธิ์ ทศทิศกัมปนาทหวาดไหว
ออกจากใต้ร่มพระไทร ลงไปยังมหิงส์ตัวฉกรรจ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ จึ่งเข้ายุดกายกาสร ด้วยกำลังฤทธิรอนแข็งขัน
ย้ายยักชักฉุดเอาบ่าดัน เท้ายันกลับกลอกว่องไว ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ปล้ำปลุกแบกดันเป็นหลายหน ก็พาพ้นจากหล่มขึ้นได้
อสุราร่าเริงบันเทิงใจ ตบหัตถ์หวั่นไหวเป็นโกลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ แล้วถามไปด้วยใจอหังการ เหวยไอ้เดียรัจฉานมหิงสา
อันมนุษย์ซึ่งยกโยธา ไปโดยมรคาได้กี่วัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ลูกพระพายฤทธิแรงแข็งขัน
ได้ฟังวาจากุมภัณฑ์ ทำหูชันลองเชิงเริงไป
โก่งหางวางวิ่งลดเลี้ยว เสี่ยวตักธรณีขวิดไขว่
แล้วร้องว่าท่านผู้ฤทธิไกร ได้มีคุณเราครั้งนี้
ครั้นจะนิ่งไว้ก็ไม่ชอบ จำจะตอบแทนคุณยักษี
อันซึ่งพระรามองค์นี้ คือพระจักรีขี่ครุฑ
พระลักษมณ์นั้นคือบัลลังก์นาค เสด็จจากวารีกษีร์สมุทร
ยกพลวานรฤทธิรุทร มาล้างทุจริตในลงกา
ท่านอย่าอาจองทะนงใจ จงกลับคืนไปเสียดีกว่า
ชีวิตจึ่งจะไม่มรณา ฟังคำเราว่าเถิดกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บรรลัยกัลป์ฤทธิแรงแข็งขัน
ได้ฟังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตบมือสรวลสันต์แล้วร้องไป
เหวยเหวยไอ้ชาติเดียรัจฉาน มึงรู้เหตุการณ์มาแต่ไหน
มายกมนุษย์เท่าแมงใย ว่านารายณ์นั้นไวกูณฐ์มา
มึงนี้เจรจาทุจริต หากคิดว่าเป็นสัตว์ป่า
หาไม่จะผลาญชีวี ให้สมนํ้าหน้าไอ้อัปรีย์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
ได้ฟังวาจาอสุรี ขุนกระบี่จึ่งร้องตอบไป
ซึ่งเราว่านี้โดยสัจจา จะแกล้งกล่าวมุสานั้นหาไม่
เมตตาช่วยว่าห้ามไว้ เป็นไฉนจึ่งมาโกรธเอา
แม้นมิฟังจะไปต่อสู้ มาลองดูกับกูควายเฒ่า
ถ้าดีมีชัยแก่เรา อ่อเจ้าจึ่งตามไปราวี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึ่งบรรลัยกัลป์ยักษี
ได้ฟังกริ้วโกรธดั่งอัคคี อสุรีจึ่งร้องตอบไป
เหวยไอ้กาสรทรลักษณ์ จะรู้จักคุณกูก็หาไม่
หากช่วยจึ่งรอดชีวาลัย ควรหรืออาจใจจะต่อฤทธิ์
กับกูผู้ทรงอานุภาพ ปราบทั่วชั้นฟ้าดุสิต
ผลมึงจะถึงสิ้นชีวิต ด้วยความทุจริตอหังการ์
ว่าแล้วกวัดแกว่งคันศร สำแดงฤทธิรอนแกล้วกล้า
เผ่นโผนโจนจ้วงทะลวงมา โถมจับมหิงสาด้วยว่องไว ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ มือหนึ่งง้างเขาเท้ายัน ติดพันมิให้ห่างได้
หวดรันด้วยคันศรชัย กระหน่ำไปไม่งดลดกร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หนุมานซึ่งเป็นกาสร
โก่งหางวางวิ่งเข้าราญรอน ตะลุมบอนสัประยุทธ์ขุนมาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ตักตีขยี้ด้วยแพนเขา เหวี่ยงเอาด้วยกำลังหาญ
ขวิดไขว่ไล่เลี้ยวประจัญบาน เท้าทะยานถีบอกอสุรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บรรลัยกัลป์ฤทธิแรงแข็งกล้า
ไม่รอรั้งยั้งหยุดกายา ยักษาไล่บุกคลุกคลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ วิ่งโลดโดดขึ้นบนหลัง ตีด้วยกำลังยักษี
ถูกกายกาสรเป็นหลายที อสุรีถีบซ้ำด้วยบาทา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หนุมานผู้เป็นมหิงสา
ต้องธนูเจ็บปวดทั้งกายา เสียทีเสียท่าที่ชิงชัย
หลบหลีกขวิดชนพัลวัน จะสังหารกุมภัณฑ์ก็ไม่ได้
แต่รั้งรอนิ่งนึกตรึกไป จะเป็นกระบือไพรอยู่ดั่งนี้
ไม่ว่องไวในเชิงรณรงค์ จะหนีวงไปให้ไกลยักษี
จะคืนเป็นวานรเข้าราวี จึ่งจะฆ่าอสุรีมรณา
คิดแล้วไม่เข้าโรมรัน ติดพันสัประยุทธ์ยักษา
หันกลับออกจากอสุรา แล้ววิ่งเข้าป่าอ้อมไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ มาถึงซึ่งเนินคีรี อยู่ที่ริมข้างทางใหญ่
จึ่งกลับกลายเป็นวานรไพร ตั้งใจคอยดูกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บรรลัยกัลป์ฤทธิแรงแข็งขัน
เห็นมหิงส์วิ่งเข้าพนาวัน ก็บุกบันไล่ติดตามมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จนสิ้นรอยเท้ากาสร เหลือบเห็นวานรที่เงื้อมผา
จึ่งถามไปด้วยใจโกรธา เหวยเหวยลิงป่าพนาลัย
เอ็งเห็นไอ้ควายสาธารณ์ วิ่งผ่านมานี่หรือหาไม่
กูตามรอยมาก็หายไป สงสัยเป็นพ้นพันทวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
ได้ฟังจึ่งตอบอสุรี ท่านนี้มีนามกรใด
เชื้อวงศ์พงศ์ใครนะขุนมาร ถิ่นฐานบ้านเมืองอยู่ไหน
จึ่งมาถามถึงมหิงส์ไพร จะประสงค์สิ่งใดอสุรา
ตัวท่านจงแจ้งแก่เราก่อน วานรจึ่งจะบอกยักษา
หาไม่ตัวเราผู้ปรีชา ก็ไม่แจ้งกิจจาอสุรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บรรลัยกัลป์ยักษี
ได้ฟังลิงป่าพนาลี พาทีองอาจอหังการ
จึ่งคิดดำริตริไป ไอ้นี่หยาบช้ากล้าหาญ
แม้นกูมิบอกวงศ์วาน จะเสียการที่ติดตามมา
คิดแล้วจึ่งร้องตอบไป เหวยไอ้ลิงไพรใจกล้า
ตัวเราเป็นบุตรเจ้าลงกา มีนามชื่อว่าบรรลัยกัลป์
มาแต่บาดาลนัคเรศ เรืองเดชฤทธิแรงแข็งขัน
ตามมนุษย์พี่น้องมาหลายวัน หวังจะฆ่ามันให้บรรลัย
กูพบกาสรทรลักษณ์ ตกปลักอยู่ในบึงใหญ่
ตัวเราลงช่วยชีวิตไว้ หาไม่จะม้วยมรณา
ครั้นถามถึงสองมนุษย์ กลับชวนสัประยุทธ์เข่นฆ่า
พ่ายแพ้ฤทธีก็หนีมา เราตามหาจะล้างชีวัน ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วายุบุตรฤทธิแรงแข็งขัน
ได้ฟังวาจากุมภัณฑ์ ตบมือเย้ยหยันแล้วตอบไป
เหวยเหวยดูก่อนอสุรี เอ็งว่าฉะนี้หาชอบไม่
อันซึ่งถ้อยคำมหิงส์ไพร บอกให้ด้วยความเมตตา
โดยใจซื่อสัตย์สุจริต หวังช่วยชีวิตยักษา
ไฉนจึ่งมาโกรธา กูฟังก็น่าประหลาดนัก
อันพระปิ่นภพทั้งสององค์ ฤทธิรงค์ปราบได้ตั้งไตรจักร
ตัวเอ็งนี้หรือไอ้ขุนยักษ์ จะฮึกฮักมาตามราวี
สำมะหาพ่อมึงยังหัวขาด ทั้งสิบเศียรตกกลาดด้วยศรศรี
บรรดาโคตรวงศ์แลโยธี เหล่ากระบี่ฆ่าตายก่ายกัน
ตัวกูเป็นไพร่ล้อมวง องค์พระหริรักษ์รังสรรค์
ล้าหลังเดินไปไม่ทัน กุมภัณฑ์จงมาชิงชัย
แม้นว่าตัวเอ็งชนะกู จึ่งรีบไปต่อสู้ด้วยทัพใหญ่
ว่าแล้วก็โจนลงไป ยืนอยู่ให้ใกล้อสุรี ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บรรลัยกัลป์สิทธิศักดิ์ยักษี
ได้ฟังลิงน้อยพาที โกรธดั่งอัคคีบรรลัยกัลป์
เหม่เหม่ดูดู๋ไอ้เดียรัจฉาน อหังการหยาบช้าโมหันธ์
ตัวมึงสักเท่าแมลงวัน กูจะหั่นมิให้แค้นคอกา
ว่าพลางเข่นเขี้ยวกระทืบบาท ผาดแผลงสิงหนาทดั่งฟ้าผ่า
กวัดแกว่งแสงศรอันศักดา เข้าไล่เข่นฆ่าวานร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร
วิ่งผลุนหมุนเข้าราญรอน ประจัญกรต่อตีกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ โถมถีบด้วยเท้าเบื้องขวา ถูกอกอสุราเหหัน
แล้วกลับเป็นหนุมานชาญฉกรรจ์ แกว่งตรียืนยันแล้วร้องไป
เหวยเหวยดูก่อนไอ้ขุนยักษ์ มึงรู้จักกูหรือหาไม่
ชื่อว่าวายุบุตรวุฒิไกร เป็นทหารคู่ใจพระจักรี
ดั่งองค์พระกาลชาญฤทธิ์ จะมาเอาชีวิตยักษี
อันตัวของมึงในวันนี้ น่าที่ไม่รอดชีวัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ