สมุดไทยเล่มที่ ๔

ช้า

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวโคดมเรืองศรี
ผ่านกรุงสาเกดธานี ไม่มีธิดาแลโอรส
คิดเหนื่อยหน่ายใจในสมบัติ สลัดไปบวชเป็นดาบส
บำเพ็ญภาวนาจําเริญพรต กำหนดสองพันปีมา
จนหนวดนั้นยาวดั่งหญ้ารก ปกทรวงพระอาจารย์ฌานกล้า
หลับเนตรสำรวมวิญญาณ์ ตามเพศชีป่าซึ่งเรียนรู้ ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ ตระ

๏ บัดนั้น ฝ่ายนกกระจาบไพรทั้งคู่
เห็นหนวดดาบสสยุมภู จึ่งมาทำรังอยู่ทุกปี
จนนางนกนั้นคลอดไข่ ฟักฟองในหนวดพระฤๅษี
เมื่อเหตุจะบังเกิดมี สกุณีจึ่งว่าแก่ภรรยา
ตัวเจ้าจงอยู่ฟักฟอง ปกป้องพิทักษ์รักษา
พี่จะเที่ยวไปหาเหยื่อมา ว่าแล้วสกุณาก็บินไป ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ แผละ

๏ ครั้นมาถึงป่าหิมพานต์ เห็นสระปทุมมาลย์กว้างใหญ่
มีดอกบัวบานตระการใจ ก็โผลงในดวงบุษบง
เสียดไซ้เกสรขจรกลิ่น จิกกินเพลินใจใหลหลง
จนเพลาเย็นย่ำค่ำลง บุษบงกลัดกลีบหุ้มไว้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นรุ่งสางสว่างเวลา สุริยาเยี่ยมยอดเหลี่ยมไศล
ดอกบัวบานรับอโณทัย ดีใจก็บินไปสู่รัง ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เชิด

๏ บัดนั้น นางนกเห็นผัวก็คลุ้มคลั่ง
จึ่งว่าด้วยความโกรธเป็นกำลัง ชั่งไปไหนมาป่านนี้ ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ บัดนั้น นกผู้จึ่งบอกนางปักษี
ตัวข้าค้างอยูในมาลี เล่าความถ้วนถี่แต่ต้นมา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น นางนกได้ฟังผัวว่า
ผินหลังแล้วตอบวาจา ใช่ว่าตัวข้าไม่เข้าใจ
ไปคบชู้สู่สมภิรมย์รัก อย่าพักมาแต่งแก้ไข
ดอกบัวที่ไหนจะกลัดไว้ เจ้าอย่าใส่ไคล้พาที ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

๏ บัดนั้น นกผู้จึ่งตอบนางปักษี
จะแค้นเคียดเสียดแทงไปไยมี มิเชื่อพี่จะให้สัจจา
ถ้านอกใจให้บาปพระดาบส ผู้ทรงพรตนี้ได้แก่ข้า
ความจริงค้างอยู่ในมาลา จึ่งกลับมาต่อรุ่งสุริยัน ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระโคดมอาจารย์ฌานขยัน
ฟังนกเจรจาสาบานกัน ให้คิดอัศจรรย์จึงถามมา
ดูกรนกน้อยตัวผู้ มาทํารังอยู่แล้วมิสา
เป็นเหตุไฉนสกุณา สบถให้ภรรยาเชื่อใจ
กูสร้างพรตกำหนดปีสองพัน บาปนั้นจะมีข้อไหน
ซึ่งเอ็งจะรับเอาบาปไป กูทำอย่างไรสกุณี ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ

๏ บัดนั้น นกกระจาบตอบคำพระฤๅษี
พระองค์เป็นกษัตริย์ธิบดี ยังไม่มีโอรสแลธิดา
ละสมบัติออกมาทรงพรต บวชเป็นดาบสอยู่ในป่า
ให้ขาดวงศ์กษัตริย์ขัตติยา ซึ่งจะครองพาราสืบไป
อันบาปกรรมของพระมุนี ข้อนี้จะเป็นโทษใหญ่
ข้าสาบานตัวด้วยกลัวภัย จงตรึกไตรดูเถิดพระนักพรต ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระมหาดาบส
ได้ฟังดั่งอมฤตรส เห็นจริงด้วยหมดทุกสิ่งไป
อย่าเลยกูจะตั้งพิธี กองกูณฑ์อาหุดีโดยไสย
ให้เกิดเป็นนางขึ้นกลางไฟ เลี้ยงไว้สู่สมภิรมยา
คิดแล้วชําระหนวดเครา สะสางเศียรเกล้าเกศา
ครั้นเสร็จก็เดินออกมา ยังหน้าอรัญกุฎี ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ เสมอ

๏ จึ่งตั้งกองกูณฑ์บูชาไฟ โดยไสยเวทเรืองศรี
หลับเนตรสำรวมอินทรีย์ พระมุนีก็บริกรรมไป ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ ตระ

๏ ครั้นถ้วนคำรบครบพัน พสุธาเลื่อนลั่นสนั่นไหว
บังเกิดเป็นนางขึ้นกลางไฟ แน่งน้อยวิไลทั้งกายา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ งามล้ำนางเทพอัปสร อรชรอ้อนแอ้นดั่งเลขา
โฉมเฉลาเยาวลักษณ์จําเริญตา คล้ายพระอุมาเทวี
จึ่งให้นามนาฏนุชนงคราญ ชื่อกาลอัจนามารศรี
พระดาบสออกจากพิธี ด้วยความยินดีพ้นคิด
ร่วมรักสมัครสโมสร สถาวรเบิกบานสำราญจิต
คลึงเคล้าเย้ายวนชวนชิด แสนสนิทพิศวาสไม่คลาดคลาย ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ กล่อม

๏ เมื่อนั้น นางกาลอัจนาโฉมฉาย
สมสู่อยู่สุขสนุกสบาย ช้านานได้หลายเดือนมา
พิศวงปลงรักพระนักธรรม์ จนครรภ์ถ้วนทศมาสา
ครั้นได้ฤกษ์ยามเวลา กัลยาก็คลอดบุตรี
ให้ชื่อสวาหะนงคราญ งามปานนางฟ้าในราศี
องค์พระชนกชนนี ประโลมเลี้ยงเทวีทุกเวลา ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระโคดมดาบสพรตกล้า
ครั้นเช้าจะเข้าอรัญวา ก็สั่งนางอัจนาเมียรัก
ค่อยอยู่เลี้ยงลูกแต่ในห้อง จะประคองต้องถืออย่ามือหนัก
จะไปหาผลไม้ไม่ช้านัก ได้แล้วจักกลับคืนมา
สั่งเสร็จจึ่งองค์พระอาจารย์ จับสาแหรกขอคานขึ้นพาดบ่า
ออกจากพระบรรณศาลา บ่ายหน้าเข้าไปในไพรวัน ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ เชิด

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงองค์เจ้าตรัยตรึงศ์สวรรค์
แจ้งว่านนทุกชาญฉกรรจ์ ไปเกิดเป็นกุมภัณฑ์ในลงกา
บุตรท้าวลัสเตียนพรหเมศ เรืองเดชฤทธิ์แรงแข็งกล้า
ชื่อว่าทศเศียรอสุรา จะเบียดเบียนโลกาธาตรี
พระนารายณ์จะต้องอวตาร ไปสังหารอาธรรม์ยักษี
จำกูจะแบ่งฤทธี ทั้งกำลังอินทรีย์ลงไป
เป็นทหารคอยองค์พระทรงศรี จะได้ช่วยราญรอนศึกใหญ่
อันผัวนางอัจนาทรามวัย บัดนี้ออกไปพนาลี
ตัวกูจะลงไปหา สัมผัสกายานางโฉมศรี
ให้เกิดกําหนัดยินดี ก็จะมีโอรสอันศักดา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๏ คิดแล้วทรงทิพย์อาภรณ์ อลงกรณ์โชติช่วงพระเวหา
ออกจากสถานวิมานฟ้า เหาะรีบลงมาด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ กล่อม

๏ ครั้นถึงพระบรรณศาลา เห็นนางอัจนาโฉมศรี
นั่งร้อยสร้อยสนมาลี ก็เข้าไปยังที่กัลยา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เสมอ

ชาตรี

๏ จึ่งมีวาจาอันสุนทร ดูกรเยาวยอดเสน่หา
พี่จำนงจงถวิลจินดา แก้วตาผู้ดวงฤทัย
แสนพิศวาสองค์นงลักษณ์ จึ่งหักมาด้วยความพิสมัย
ศรีสวัสดิ์อย่าตัดอาลัย สายสมรจงได้ปรานี ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น นางกาลอัจนาโฉมศรี
เห็นองค์หัสนัยน์ธิบดี รัศมีพรายพรรณเป็นขวัญตา
สุรเสียงดั่งอมฤตรส พจมานเสนาะเสน่หา
พิศวงด้วยทรงพระอินทรา ให้ร้อนในอุราดั่งเพลิงพิษ
เกิดความกระสันรัญจวน ยั่วยวนรสรักแล้วหักจิต
ด้วยความละอายนั้นพ้นคิด ทำบิดเบือนพักตร์ไม่เจรจา ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ โลม

๏ เจ้าเอยเจ้าพี่ มารศรียอดสุดเสน่หา
พี่ตั้งใจเจาะจงจำนงมา แก้วตาอย่าตัดไมตรี
ความแสนพิศวาสจะขาดใจ ควรหรือเจ้าไม่เห็นอกพี่
ผันผินพักตราไม่พาที เทวีทำไยฉันนั้น
เข้าชิดแล้วลูบปฤษฎางค์ ตระโบมโลมพลางทางรับขวัญ
นางเกิดประดิพัทธ์ผูกพัน ก็มีครรภ์ด้วยเดชอินทรา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ กล่อม

ร่าย

๏ แล้วมีบัญชาอันสุนทร ดูกรเยาวยอดเสน่หา
เจ้าค่อยอยู่เถิดจะขอลา ก็เหาะไปเมืองฟ้าด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระมหาโคดมฤๅษี
เก็บได้ผลไม้ตามมี แล้วกลับมากุฎีพระนักธรรม์ ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึงอุ้มลูกรัก ใส่ตักกอดจูบรับขวัญ
เชยชมเป็นนิจนิรันดร์ เกษมสันต์ด้วยราชธิดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น นางกาลอัจนาเสน่หา
ทรงครรภ์ถ้วนทศมาตรา กัลยาประสูติโอรส
เป็นชายแช่มช้อยอรชร สีกายเขียวอ่อนดั่งมรกต
เสิศล้ำเทวาในโสฬส งามหมดเหมือนองค์พระบิดา ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโคดมอาจารย์ฌานกล้า
เห็นองค์เยาวราชกุมารา สำคัญว่าเป็นบุตรพระมุนี
ไม่รู้ในกลมารยา นางอัจนาโฉมศรี
พิศวาสกว่าราชบุตรี เป็นที่ชมเชยทุกเวลา
ครั้นเช้าจึ่งสั่งเมียรัก นงลักษณ์ผู้ยอดเสน่หา
ตัวพี่จะไปพนาวา เก็บผลพฤกษาบรรดามี
เจ้าจงพิทักษ์รักษา โอรสธิดาทั้งสองศรี
สั่งแล้วออกจากกุฎี จรลีเข้าในหิมวา ฯ

ฯ ๘ คํา ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น นางอัจนาเสน่หา
นั่งอยู่ในบรรณศาลา เห็นพระสุริยาเรืองแรง
รัศมีจํารัสประภัสสร ลอยกลางอัมพรส่องแสง
สีเหลืองอ่อนปนระคนแดง ดังแกล้งรจนาวิลาวัณย์
ให้เกิดความเสน่หาอาวรณ์ ในพระทินกรรังสรรค์
ยอกรเหนือเกศบังคมคัล องค์พระสุริยันอันศักดา ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น พระอาทิตย์ฤทธิแรงแสงกล้า
จึ่งส่องทิพเนตรลงมา ก็แจ้งว่าอัจนาเทวี
มีความประดิพัทธ์ประหวัดจิต พระอาทิตย์ชื่นชมเกษมศรี
สมคิดที่จะแบ่งฤทธี ไปช่วยพระจักรีปราบมาร
ตริแล้วจึงสั่งเทพสารถี ให้ขับรถมณีไพศาล
ส่องโลกไปทั่วจักรวาล องค์พระสุริย์ฉานก็ลงมา ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงเห็นองค์นงลักษณ์ ผ่องพักตร์เพียงเทพเลขา
เข้าใกล้จึ่งมีวาจา เมื่อกี้เจ้าว่าประการใด ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น นางอัจนาผู้มีอัชฌาสัย
รู้ว่าพระอาทิตย์ฤทธิไกร ก็มีใจประดิพัทธ์พันทวี
จะตอบก็คิดความอาย โฉมฉายค้อนให้แล้วผันหนี
ชายเนตรชําเลืองเป็นที มารศรีรัญจวนป่วนใจ ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

โลม

๏ น้องเอยน้องรัก เยาวลักษณ์ผู้ยอดพิสมัย
รักเจ้าเท่าดวงฤทัย เบือนพักตร์เสียไยนางกัลยา
พี่หวังตั้งจิตมาฝากรัก ควรหรือมาหักเสน่หา
ปรานีบ้างเถิดวนิดา ว่าพลางไขว่คว้าพัลวัน
ลูบหลังลูบหน้านงลักษณ์ พิศพักตร์ภิรมย์ชมขวัญ
ยั่วเย้าสนิทติดพัน นางนั้นยินดีปรีดา ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ กล่อม

ร่าย

๏ เสร็จแล้วจึ่งองค์พระทินกร สำแดงฤทธิรอนแกล้วกล้า
เหาะจากพระบรรณศาลา ไปยังมหาพิชัยรถ ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายพระโคดมดาบส
เที่ยวเก็บผลไม้เลี้ยวลด พระนักพรตได้แล้วก็กลับมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งบอกเมียรัก วันนี้เหนื่อยพักตร์หนักหนา
ว่าพลางรับเอากุมารา เชยชมลูกยาค่อยคลายร้อน ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เจรจา

ช้า

๏ เมื่อนั้น นางกาลอัจนาสายสมร
แต่วันยินดีด้วยพระทินกร เกิดความสโมสรก็มีครรภ์
กำหนดถ้วนทศมาสา ก็ประสูติบุตราเฉิดฉัน
รูปทรงคล้ายองค์พระสุริยัน ผิวพรรณดั่งเทพนิมิต
นางอุ้มลูกน้อยเสวยนม กอดจูบลูบชมภิรมย์จิต
แต่ลูกใหญ่นั้นแอบแนบชิด พิศวาสทั้งราชธิดา
อุตส่าห์ถนอมกล่อมเกลี้ยง เลี้ยงดูบำรุงรักษา
เป็นนิจนิรันดร์ทุกวันมา โรคาสิ่งไรก็ไม่มี ฯ

ฯ ๘ คํา ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระมหาโคดมฤๅษี
ครั้นรุ่งสางสว่างราตรี เมื่อจะมีเหตุภัยใหญ่มา
ให้อาวรณ์ร้อนรนสกนธ์กาย ดังจะวายชีวังสังขาร์
คิดจะใคร่ไปสรงคงคา ในท่ามหาวารี
จึ่งอุ้มลูกน้อยเบื้องขวา พี่ยาขี่หลังพระฤๅษี
มือซ้ายจูงราชบุตรี จรลีไปตามมรคา ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น นวลนางสวาหะเสน่หา
ขัคแค้นพระราชบิดา เดินบ่นลงมาถึงนที
อนิจจาหลงรักลูกเขา ช่างเอาอุ้มชูแล้วให้ขี่
ลูกตนให้เดินปัถพี ไม่ปรานีบ้างเลยพระบิดา ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระดาบสพรตกล้า
ได้ฟังสงสัยในวิญญาณ์ จึ่งมีวาจาถามไป
ดูราลูกน้อยกลอยสวาท เจ้าว่าประหลาดพ่อสงสัย
เหตุผลต้นความประการใด บอกให้แจ้งใจพระบิดา ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น สวาหะได้ฟังก็ก้มหน้า
ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา แล้วแจ้งกิจจาแต่เดิมที
ตั้งแต่พระองค์ออกไปป่า พระมารดาเป็นสุขเกษมศรี
ด้วยสองชายสองครั้งในกุฎี ความจริงดั่งนี้พระบิดา ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระอาจารย์ฌานกล้า
ได้ฟังมืดกลุ้มในวิญญาณ์ ดั่งเอาไฟฟ้ามาจ่อใจ
ทั้งรักทั้งแค้นแน่นจิต พระนักสิทธ์ปิ้มเลือดตาไหล
มันคบชู้ดูดู๋ไม่กลัวภัย เสียแรงรักใคร่แต่เดิมมา
อันว่ากุมารทั้งคู่ ถึงกูจะเลี้ยงรักษา
ถ้าลูกชู้ก็ดูเวทนา โลกาจะพลอยอัประมาณ
คิดแล้วยอกรขึ้นประณต พระดาบสตั้งสัตย์อธิษฐาน
เดชะข้าได้บำเพ็ญฌาน ขอให้บันดาลประจักษ์ตา
แม้นว่าสามเจ้านี้เป็นเนื้อ เชื้อสายโลหิตแห่งข้า
จะทิ้งออกไปกลางคงคา จงว่ายกลับมาทันใด
แม้นว่าเป็นลูกชายอื่น อย่าได้ว่ายคืนเข้ามาได้
จงเป็นสวาวานรไพร เสี่ยงแล้วขว้างไปทันที ฯ

ฯ ๑๒ คํา ฯ เชิด

๏ แต่นางสวาหะผู้ธิดา กลับว่ายมาหาพระฤๅษี
สองกุมารนั้นข้ามวารี เป็นกระบี่เข้ายังพนาลัย
พระโคดมครั้นเห็นประจักษ์ตา ก็สิ้นความกังขาไม่สงสัย
อุ้มองค์พระธิดายาใจ กลับไปยังบรรณศาลา ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เสมอ

๏ ครั้นมาถึงคันธกุฎี พระมุนีกริ้วโกรธแล้วร้องว่า
เหวยเหวยดูก่อนอีอัจนา เหตุใดมาเป็นดั่งนี้
คบชู้สู่สมภิรมย์รัก ทําการทรลักษณ์บัดสี
ดั่งหญิงชั่วช้ากาลี ให้อินทรีย์ของมึงเป็นศิลา
แม้นว่านารายณ์อวตาร มาสังหารเผ่าพาลยักษา
ในทวีปพิชัยลงกา เอาแผ่นผานี้จองถนนไป
ให้มึงจมอยู่ในสมุทร อย่าได้รู้ผุดขึ้นมาได้
ตามคำของกูที่สาปไว้ ให้สาแก่ใจอีกาลี ฯ

ฯ ๘ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น นางอัจนาโฉมศรี
ตกใจดั่งต้องอสุนี โศกีแล้วว่าแก่ธิดา
เสียแรงอุ้มท้องครองครรภ์ ทุกวันบำรุงรักษา
ไม่รู้จักคุณกูเลี้ยงมา ผลาญชีวาแม่ให้บรรลัย
มึงเป็นลูกเกิดในอุทร ควรหรือเป็นหนอนบ่อนไส้
ตัวกูนี้ต้องสาปไป ฝ่ายมึงให้ได้ทรมาน
จงไปอ้าปากยืนตีนเดียว เหนี่ยวกินลมอยู่ในไพรสาณฑ์
ยังเชิงขอบเขาจักรวาล ตามคำสาบานของกูนี้
ต่อมึงมีลูกเป็นวานร ฤทธิรอนเลิศล้ำกระบี่ศรี
จึ่งพ้นสาปสิ้นบาปอัปรีย์ ว่าแล้วไปเป็นศีลา ฯ

ฯ ๑๐ คํา ฯ เพลง

๏ เมื่อนั้น นวลนางสวาหะเสน่หา
จึ่งบังคมลาพระบิดา กันแสงโศกาแล้วเดินไป ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เพลง

๏ ถึงป่าอ้าปากยืนตีนเดียว มือเหนี่ยวกิ่งพฤกษาใหญ่
ตามคำมารดาสาปไว้ อยู่ในจักรวาลคีรี ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ กราวรำ

ยานี

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวหัสนัยน์เรืองศรี
ทั้งองค์พระอาทิตย์ฤทธี เห็นพระมุนีสาปโอรส
เป็นวานรอยู่ริมคงคา ทนทุกข์เวทนาแสนสาหส
เสียศักดิ์เสียศรีเสียยศ ทศทิศจะเย้ยไยไพ
จำกูจะไปยังปัถพี สร้างราชธานีขึ้นให้
จะเสกสองโอรสยศไกร ครองไอศวรรยาในธาตรี
ทั้งจะได้คอยท่าพระอวตาร คุมทหารล้างเหล่ายักษี
คิดแล้วชวนกันจรลี ลงไปยังที่พนาวัน ฯ

ฯ ๘ คํา ฯ โคมเวียน

ร่าย

๏ ครั้นถึงจึงอุ้มลูกรัก เชยพักตร์ภิรมย์ชมขวัญ
เจ้าผู้สุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ จะสร้างสรรค์ให้อยู่สำราญ
แล้วองค์อินทราพระอาทิตย์ จึ่งพินิจพิศดูถิ่นฐาน
ครั้นได้ชัยภูมิโอฬาร ก็ตั้งเขตปราการพารา ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ ตระ

ชมตลาด

๏ อันปราสาทแก้วทั้งสามองค์ สูงระหงยอดเยี่ยมพระเวหา
ดั่งเวไชยันต์ในชั้นฟ้า ลอยมาตั้งเหนือปัถพี
วังหนึ่งนั้นมีปราสาท ที่พญาอุปราชเรืองศรี
ล้วนแก้วเจ็ดประการรูจี ดั่งบุษบกมณีโอฬาร
จึ่งนิมิตนักสนมกรมใน งามวิไลเยาวยอดสงสาร
แล้วอ่านมนตราชัยชาญ เรียกเทพบริวารลิงไพร ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ ตระ

ร่าย

๏ ตั้งเป็นเสนาสามนต์ รี้พลทวยหาญน้อยใหญ่
ให้ตรวจตรารักษากรุงไกร นอกในพื้นพวกพานรินทร์
แล้วขนานนามราชธานี ชื่อว่าบุรีขีดขิน
อันกุมารโอรสพระอินทร์ ชันษาขุนกบินทร์นามจันทร์
ชื่อกากาศพิริยจุลจักร ปิ่นปักนคเรศรังสรรค์
ฝ่ายว่าลูกพระสุริยัน ให้นามนั้นสุครีพอนุชา
เป็นพญามหาอุปราช รองบาทบรมเชษฐา
จึ่งสอนพระเวทวิทยา พิธีมนตราครบครัน
แล้วอวยพระพรชัยศรี จงเรืองฤทธีแข็งขัน
เสร็จแล้วทั้งสองเทวัญ เหาะไปชั้นฟ้าดุษฎี ฯ

ฯ ๑๐ คํา ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น องค์พญากากาศเรืองศรี
เสวยสุขอยู่ทุกราตรี ด้วยสนมนารีกํานัลใน
อันเสนาวานรทวยหาญ พ้นที่จะนับประมาณมิได้
ล้วนมีกำลังฤทธิไกร ห้าวหาญชาญชัยในสงคราม
โยธาวานรแต่ละตน ฤทธิรณชํานาญชาญสนาม
ย่อมล้วนเลื่องชื่อลือนาม เข็ดขามคร้ามครั่นทั้งธาตรี
บำรุงไพร่ฟ้าประชากร ถาวรเป็นสุขเกษมศรี
อันสองพระองค์ทรงธรณี ขึ้นเฝ้าพระศุลีเรืองชัย
พระเชษฐารักองค์อนุชา ดั่งดวงนัยนาก็ว่าได้
สององค์บำรุงกรุงไกร ไม่มีฉันทาราคี ฯ

ฯ ๑๐ คํา ฯ เจรจา

ร่าย

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวมหาชมพูเรืองศรี
เป็นจุลจักรเลิศล้ำธรณี ผ่านบุรีชมพูนครา
ท้าวมีมเหสีดวงสมร ชื่อนางแก้วอุดรเสน่หา
ทรงโฉมประโลมโลกา ดั่งนางในชั้นฟ้าโสฬส
เป็นชาวอุดรกาโร โสภาเอี่ยมองค์อลงกต
ไร้ราชบุตรีแลโอรส มีแต่สนมยศบริวาร
อันขุนพลแก้วซึ่งใช้ชิด ฤทธาสามารถอาจหาญ
รี้พลรณยุทธ์โรมราญ ล้วนกระบี่ผู้ชาญฤทธา
องค์พระสยมภูวญาณ ประทานลูกพระกาลแกล้วกล้า
ชื่อนิลพัทอันศักดา ให้มาเป็นหลานร่วมใจ
พระองค์ทรงศักดาวราฤทธิ์ ทศทิศคร้ามครั่นหวั่นไหว
มิได้อภิวันท์ผู้ใด ทั่วทั้งไตรภพจบโลกา
บังคมแต่นารายณ์ฤทธิรงค์ กับองค์อิศวรนาถา
ท้าวเสด็จขึ้นเฝ้าพระอิศรา ยังมหาไกรลาสคีรี
เป็นสหายกับพญากากาศ อันครองราชย์ขีดขินบุรีศรี
ร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมชีวี มีความสัตย์ซื่อต่อกัน
ไปมาเยี่ยมเยียนเป็นนิจ ไม่คิดรังเกียจเดียดฉันท์
สองกรุงร่วมแผ่นสุวรรณ ส่งบรรณาการไปมา ฯ

ฯ ๑๘ คํา ฯ

ช้า

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงพระอิศวรนาถา
แจ้งว่านวลนางอัจนา โกรธาสาปราชบุตรีไป
ให้ยืนตีนเดียวเหนี่ยวกินลม ยอดพนมจักรวาลเนินไศล
กูจะให้มีบุตรวุฒิไกร จะได้เป็นทหารพระจักรา ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

ร่าย

๏ คิดแล้วจึงแบ่งกำลัง สั่งองค์พระพายแกล้วกล้า
เอาเทพอาวุธอันศักดา ทั้งกำลังกายาของเรานี้
ไปซัดเข้าปากสวาหะ จะเกิดบุตรเป็นกระบี่ศรี
อันคทาเพชรเรืองฤทธี มีอานุภาพเกรียงไกร
ให้เป็นสันหลังตลอดหาง จึ่งจะเดินทางอากาศได้
อันตรีเพชรสุรกานต์ชาญชัย ให้เป็นกายกรบาทา
จักรแก้วอันเรืองฤทธิรอน เป็นเศียรวานรแกล้วกล้า
อาวุธทั้งสามศักดา มหิมาประกอบเป็นอินทรีย์
มาตรแม้นจะล้างศัตรู ทั้งหมู่อสุรศักดิ์ยักษี
ให้ชักเอาตรีเพชรฤทธี ที่อกกระบี่ออกราญรอน
แล้วดูป้องกันอันตราย อย่าให้ใครกล้ำกรายดวงสมร
ตัวท่านนั้นเป็นบิดร วานรในครรภ์นางเทวี ฯ

ฯ ๑๒ คํา ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระพายฤทธิรงค์เรืองศรี
รับเอากำลังพระศุลี ทั้งตรีเทพอาวุธบังคมลา
ออกมาทรงม้าพลาหก เผ่นผงกผกผาดพระเวหา
ดั้นหมอกออกกลีบเมฆา มายังสวาหะด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงเอาเทพอาวุธ ทั้งสามฤทธิรุทรเรืองศรี
ทิ้งเข้าไปในปากนางเทวี ตามมีเทวราชโองการ
จึ่งบอกว่าองค์พระศุลี ประสาทบุตรฤทธีห้าวหาญ
ให้เราป้องกันภัยพาล บริบาลรักษานางเทวี ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เจรจา

ช้า

๏ เมื่อนั้น นวลนางสวาหะโฉมศรี
ตั้งแต่พระพายฤทธี เอาอาวุธพระศุลีลงมา
ทิ้งเข้าในปากโฉมยง ก็ทรงครรภ์เกินทศมาสา
ถ้วนสามสิบเดือนโดยตรา กัลยาอยู่สุขสำราญ ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

ร่าย

๏ ครั้นได้ศุภฤกษ์ยามดี พระรวีหมดเมฆแสงฉาน
ปีขาลเดือนสามวันอังคาร เยาวมาลย์ก็ประสูติโอรส
เป็นวานรผู้เผ่นออกทางโอษฐ์ เผือกผ่องไพโรจน์ทั้งกายหมด
ใหญ่เท่าชันษาได้โสฬส อลงกตดั่งดวงศศิธร ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ คุกพาทย์

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรดั่งไกรสร
ครั้นออกจากครรภ์มารดร ก็เหาะขึ้นอัมพรด้วยฤทธา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เชิด

๏ ลอยอยู่ตรงพักตร์พระชนนี รัศมีโชติช่วงในเวหา
มีกุณฑลขนเพชรอลงการ์ เขี้ยวแก้วแววฟ้ามาลัย
หาวเป็นดาวเดือนรวีวร แปดกรสี่หน้าสูงใหญ่
สำแดงแผลงฤทธิ์เกรียงไกร แล้วลงมาไหว้พระมารดา
ทั้งองค์พระพายเรืองเดช สำคัญว่าบิตุเรศนาถา
ก็เข้าอิงแอบแนบกายา วานรชื่นชมยินดี ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระพายเทวัญเรืองศรี
เห็นวานรสำแดงฤทธี สนั่นทั้งธาตรีอัมพร
จึ่งให้นามตามเทวโองการ ชื่อหนุมานชาญสมร
แบ่งทั้งกำลังฤทธิรอน ให้แก่วานรโอรส
แล้วจึ่งอำนวยอวยชัย จงเรืองฤทธิไกรดังไฟกรด
ให้เลื่องชื่อลือนามขามยศ ทศทิศอย่ารอต่อกร ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางสวาหะดวงสมร
เห็นบุตรนั้นเป็นวานร ฤทธิรอนดั่งองค์พระสุริยัน
มีใจใสโสมนัสสา พ้นคำมารดาสาปสรรค์
จึ่งอุ้มลูกยาวิลาวัณย์ ให้เสวยซึ่งถันธารา
กอดจูบลูบทั่วอินทรีย์ ดวงชีวีแม่สุดเสน่หา
สงสารที่เจ้าเกิดมา อนาถาไร้ญาติเข็ญใจ
ทั้งแม่ลูกก็มิได้เลี้ยงกัน สารพันไม่มีสิ่งใดให้
มิหนำจะซ้ำจากไป อาลัยเป็นพ้นพันทวี
จงฝากกายพระพายเทเวศร์ ซึ่งเป็นบิตุเรศเรืองศรี
อันกุณฑลขนเพชรเขี้ยวมณี ที่มีในกายของลูกรัก
ถ้าว่าผู้ใดมาทักทาย ท่านนั้นนารายณ์ทรงจักร
อวตารลงมาผลาญยักษ์ เจ้าจงสามิภักดิ์กับบาทา ฯ

ฯ ๑๒ คํา ฯ

๏ บัดนั้น หนุมานชาญชัยใจกล้า
รับพรพระพายบิดา ด้วยโสมนัสสาพันทวี
จำทั้งคำสั่งพระมารดร ยอกรประณตบทศรี
ลาองค์บิตุเรศชนนี ขุนกระบี่ก็เหาะระเห็จไป ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เชิด

๏ เที่ยวคะนองลองฤทธิ์บนอากาศ องอาจหาเกรงผู้ใดไม่
เห็นสวนพระอุมาอรไท ดีใจก็ตรงเข้ามา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ คุกพาทย์

๏ เที่ยวถอนพฤษาผลาผล โน้มต้นเก็บลูกเป็นภักษา
หักโค่นเกลื่อนกลาดดาษดา วานรทําเล่นประสาใจ ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น นางอุมาผู้ยอดพิสมัย
เสด็จอยู่กับหมู่อนงค์ใน แลไปก็เห็นวานร
ตัวน้อยกระจ้อยกระจิริด ขาวขจิตแลเลื่อมประภัสสร
โกรธาดั่งหนึ่งไฟฟอน บังอรตวาดด้วยวาจา
เหม่เหม่ดูดู๋ไอ้จังไร เป็นไฉนมาหักพฤกษา
ของกูผู้อัครชายา องค์เจ้าโลกาทรงญาณ
ให้กําลังเอ็งน้อยถอยกึ่ง สมน้ำหน้ามึงที่อวดหาญ
ตามคำกูสาปสาบาน ไอ้ชาติเดียรฉานอัปรีย์ ฯ

ฯ ๘ คํา ฯ

๏ บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
ตกใจเพียงสิ้นชีวี ชุลีกรสนองพระบัญชา
อันตัวของข้านี้เฉาโฉด โทษถึงสิ้นชีพสังขาร์
ไม่รู้ว่าสวนเทพมารดา สำคัญว่าป่าก็ดีใจ
เห็นลูกไม้สุกก็เก็บกิน จะดูหมิ่นพระองค์ก็หาไม่
ซึ่งตัวข้าทำประมาทไป พระแม่จงได้ปรานี ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระอุมาโฉมศรี
จึ่งมีเทวราชวาที ว่าเหวยกระบี่ผู้ศักดา
อันคำของกูประกาศิต ดั่งเหล็กเพชรลิขิตแผ่นผา
ไม่รู้ที่จะคืนวาจา แต่ว่าจะให้ผ่อนไป
เมื่อใดพระทรงบัลลังก์นาค เสด็จจากเกษียรสมุทรใหญ่
มาเป็นพระรามเรืองชัย ได้ลูบหลังจนหางวานร
จึ่งให้พ้นคำกูสาปสรร กำลังนั้นคงคืนดั่งก่อน
เอ็งอย่าทุกขาอาวรณ์ วานรจงเป็นสวัสดี ฯ

ฯ ๘ คํา ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
ต้องสาปพระอุมาเทวี ขุนกระบี่ก็กลับลงมา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เชิด

๏ เที่ยวไปในป่าหิมพานต์ ทุกถ้ำธารชะโงกโตรกผา
เห็นรุกขชาติสะอาดตา ผลาผลดกดาษกลาดไป
จึงปีนป่ายร่ายเก็บกิ่งน้อย ห้อยโหนโจนหักกิ่งใหญ่
ห่มเล่นเต้นตามสบายใจ ที่ในหิมวาพนาลี ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เชิด

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงองค์พระพายเรืองศรี
เสด็จยังวิมานรัตน์มณี มีจิตคิดถึงหนุมาน
จำกูจะพาขึ้นไปเฝ้า พระเป็นเจ้าสามภพจบสถาน
คิดแล้วทรงม้าเหาะทะยาน ไปยังหิมพานต์ด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งเรียกลูกรัก เชยพักตร์ลูบหลังกระบี่ศรี
พ่อจะพาไปเฝ้าพระศุลี ยังคีรีไกรลาสบรรพตา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานหาญกล้า
น้อมเศียรสนองพระบัญชา ตามพระบิดาจะปรานี ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพายเทวัญเรืองศรี
จึ่งพาหนุมานผู้ฤทธี เหาะไปยังที่วิมานฟ้า ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งประณตบทบงสุ์ ทูลองค์พระอิศวรนาถา
ว่าลูกนางสวาหะกัลยา ชื่อว่าหนุมานชาญฉกรรจ์ ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น พระอิศวรบรมรังสรรค์
ได้ฟังพระพายเทวัญ ทรงธรรม์ก็ทอดทัศนา
เห็นวานรน้อยเผือกผู้ ดูกำลังท่วงทีแกล้วกล้า
ควรเป็นทหารพระจักรา ผ่านฟ้าชื่นชมยินดี
จึงบอกคาถามหามนต์ แปลงกายหายตนกระบี่ศรี
ทั้งจังงังคงทนอินทรีย์ แล้วมีพจนารถอวยพร
ให้อายุยืนชั่วกัลปา มีเดชศักดาดั่งไกรสร
ถึงศัตรูจะประหารราญรอน วานรตายแล้วจงเป็นมา ฯ

ฯ ๘ คํา ฯ

ร่าย

๏ บัดนั้น หนุมานฤทธิไกรใจกล้า
รับพรเรียนเวทวิทยา ของพระอิศราเรืองชัย
ชำนาญในการประกอบฤทธิ์ ตบะกิจพิธีก็จำได้
เฝ้าแหนสนิทติดพันไป ในใต้เบื้องบาทพระศุลี ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสยมภูวนาถเรืองศรี
เห็นวานรชํานาญฤทธี จึงมีเทวราชโองการ
อันพญากากาศลูกอินทร์ กับกบินทร์สุครีพใจหาญ
เป็นน้องสวาหะนงคราญ ซึ่งเป็นมารดาของพานร
ครองกรุงขีดขินนคเรศ เรืองเดชโลกาไหวกระฉ่อน
ไร้บุตรนัดดาฤทธิรอน ไม่มีผู้ต่างกรต่างตา
จะให้ท่านกับชมพูพาน อันปรีชาชาญหาญกล้า
ไปอยู่ขีดขินพารา ด้วยพญากากาศผู้ฤทธี
แล้วมีบัญชาประกาศิต สั่งจิตุบทเรืองศรี
ไปหาเจ้าขีดขินธานี ให้ขุนกระบี่รีบขึ้นมา ฯ

ฯ ๑๐ คํา ฯ

๏ บัดนั้น จิตุบทเทวัญแกล้วกล้า
รับสั่งถวายบังคมลา ก็เหาะตรงมาด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ กลม

๏ ครั้นถึงลอยอยู่ในอัมพร ตรงหน้าบัญชรชัยศรี
ร้องว่าดูก่อนเจ้าธานี องค์พระศุลีให้หาไป ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น ลูกอินทร์ผู้มีอัชฌาสัย
ได้แจ้งรับสั่งเจ้าภพไตร ดีใจก็ชวนอนุชา
สององค์ทรงเครื่องเสร็จสรรพ กรจับตรีเพชรคมกล้า
ถีบทะยานผ่านขึ้นบนเมฆา เหาะมาไกรลาสคีรี ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบาท พระสยมภูวนาถเรืองศรี
กลางหมู่เทวานาคี ขุนกระบี่คอยฟังพระบัญชา

ฯ ๒ คํา ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระอิศวรบรมนาถา
เห็นสองพานรขึ้นมา มีความปรีดาแล้วตรัสไป
ดูกรลูกอมรินทรา รู้จักนัดดาหรือหาไม่
บุตรนางสวาหะทรามวัย พระพายฤทธิไกรเป็นบิดร
มีนามชื่อว่าหนุมาน องอาจกล้าหาญดั่งไกรสร
ตัวท่านเป็นเจ้าพระนคร วานรไร้บุตรนัดดา
อันชมพูพานฤทธิรงค์ ก็อาจองเข้มแข็งแกล้วกล้า
เราชุบด้วยเหื่อไคลได้ใช้มา สรรพยาวิเศษก็เข้าใจ
เมื่อนารายณ์อวตารไปผลาญยักษ์ ถ้าเสียทีจักได้แก้ไข
จะให้เป็นโอรสยศไกร จงพาไปกับราชนัดดา ฯ

ฯ ๑๐ คํา ฯ

ร่าย

๏ ตรัสแล้วจึงเรียกหนุมาน กับชมพูพานออกมาหา
ทั้งสองจงฝากกายา ไปกว่าจะสิ้นชีวี ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น ชมพูพานหนุมานเรืองศรี
ฟังเทวบัญชาพระศุลี ยินดีก็คลานออกมา
น้อมเศียรลงถวายอภิวาทน์ แทบบาทพระอิศวรนาถา
บังคมเจ้าขีดขินพารา ทั้งพญาสุครีพฤทธี ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวหัสนัยน์เรืองศรี
กับองค์อนุชาธิบดี เห็นสองกระบี่บังคมคัล
ต่างองค์ลูบหลังลูบหน้า ปรีดาภิรมย์ชมขวัญ
หาไม่ไม่รู้จักกัน เจ้าผู้วงศ์เทวัญอันศักดา
ว่าแล้วก็น้อมเศียรเกล้า ทูลเจ้าสามภพนาถา
ซึ่งพระองค์ทรงพระเมตตา แก่ข้าผู้พงศ์พานรินทร์
จะพรรณนาคุณพระเป็นเจ้า ตายแล้วเกิดเล่าก็ไม่สิ้น
จะปรากฏพระยศชั่วฟ้าดิน ในชมพูขีดขินธานี
ทูลแล้วทั้งสี่วานร ประนมกรเหนือเกล้าเกศี
ลาพระอิศโรโมลี เหาะมาบุรีด้วยฤทธา ฯ

ฯ ๑๐ คํา ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงสถิตเหนืออาสน์ พร้อมเสนามาตย์ซ้ายขวา
จึ่งประทานเครื่องทรงอลงการ์ ทั้งปราสาทรัตนาอำไพ
อีกนางสนมกํานัล สารพันจัดแจงแต่งให้
แก่โอรสนัดดายาใจ สิ่งใดมิให้อนาทร ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น กำแหงหนุมานชาญสมร
อยู่ชมพูขีดขินพระนคร สถาวรเป็นสุขทุกเวลา
จงรักภักดีสุจริต มิได้คิดฉันทาโทสา
ขึ้นเฝ้าเช้าเย็นอัตรา เป็นที่วางตาวางใจ
อันราชกิจไม่เกียจคร้าน ทั่วทุกพนักงานเอาใจใส่
เป็นสุขสนุกทั้งเวียงชัย ไพร่ฟ้าเกษมเปรมปรีดิ์ ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ เจรจา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ